ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
72)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ไม่กี่นาทีต่อมา...ณ ร่มใต้ถุนเรือนของออกพระเพชรพิไชย...
...ท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าใหญ่แห่งหมู่บ้านยุคันตวาตนั่งลูบคางและใบหน้าที่เวลานี้ไร้ซึ่งร่องรอยของบาดแผลจากฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระพี่นางพินทวดีแล้วจากผลของพลังวิเศษประจำกาย...ซึ่งเวลานี้สีหน้านิ่งสนิททันที หลังจากเขาฟังเรื่องราวจากปากของบุตรสาวบุญธรรมผู้เป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของหมู่บ้านเสร็จสิ้น...ในขณะที่กำลังลูบคาง ดวงตาอันสุขุมและเต็มไปด้วยแววที่อ่านไม่ออกของเขาก็เหลือบไปมองที่ชายหนุ่มตัวต้นเรื่องอย่างไกร ที่เวลานี้ยังคงยืนทอดสายตาไปที่ทิวทัศน์กำแพงราชวังนิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ...ก่อนที่ในที่สุด ท่านผู้เฒ่าจะพ่นลมหายใจออกทางจมูกเฮือก และเริ่มต้นพูดช้าๆทันที...
" ไกร... "
" ขอรับ...ท่านผู้เฒ่า "
" เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าข้าจะพูดว่าอะไร? "
" ท่านมีทางออก ๒ ทางให้ข้าเลือก...ใช่หรือไม่ล่ะขอรับ? "
" ... "
" ...และทางที่ท่านจะแนะนำก็คือทางแรก...ท่านจะให้ข้าหลบหนีกลับไปยังหมู่บ้านยุคันตวาตเพื่อตัดปัญหา ซึ่งข้าคงต้องขอปฏิเสธ "
" ...อืม ก็กะอยู่แล้วว่าต้องพูดเช่นนี้ " ท่านผู้เฒ่าเกาหัวแกรกๆพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่...ราวกับว่าเขาเดาในเรื่องนี้ได้อยู่แล้วจากนิสัยไม่ยอมแพ้และนิสัยชอบกระโจนเข้าใส่ปัญหาของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะโคลงหัวพร้อมกับพูดเรียบๆต่อว่า
" ไกร...ข้ารู้ดีว่าการถอยกลับครานี้เป็นการเสียหน้า...เสียศักดิ์ศรี...ยิ่งสำหรับคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยทิฐิมานะเช่นเจ้ายิ่งแล้วใหญ่...แต่เราต้องเห็นการใหญ่และชีวิตของเจ้าเป็นสำคัญ...หากไม่หลบหนีไปเสียตั้งแต่เวลานี้ เมื่อเจ้าถูกใส่ขื่อคาจองจำและถูกลากไปเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์พ่ออยู่หัว เจ้าจะต้องเสียใจที่ดึงดันในทิฐิของเจ้าเป็นแน่...เจ้าคิดว่าโทษในการกระทำผิดราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาลที่เจ้าถูกกล่าวหานั่นมีโทษทัณฑ์สูงสุดแค่ดุด่ารึอย่างไร?...โทษที่เจ้าระวางน่ะคือฟันคอริบเรือน!...ไม่ใช่แค่เจ้า แต่รวมไปถึงสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร ที่จะต้องมาพลอยฟ้าพลอยฝนถูกโทษทัณฑ์ไปด้วย! "
" แต่หากข้าหนีกลับไปคราวนี้...ช้า...ไม่สิ ไม่ใช่แค่ข้า แต่รวมไปถึงหมู่บ้านยุคันตวาตจะหมดเครดิต---หมายถึงหมดความน่าเชื่อถือไปในทันที...ถึงเราจะเล่นนอกกฎมาโดยตลอด แต่ฉากหน้าของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ และหน่วยคเณศร์เสียงาจำเป็นต้องขาวสะอาดเสมอ ข้าจำเป็นต้องเล่นอยู่ในกฎ และความไว้วางพระราชหฤทัยของพ่ออยู่หัวและความไว้เนื้อเชื่อใจของเหล่าขุนนางก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด...หากข้าเล่นนอกกฎเพียงครั้งเดียว ฉากหน้าของข้าจะพังทลายลงทันที และหมู่บ้านยุคันตวาตจะเหลือเพียงเบื้องหลัง ไม่มีฉากหน้าอีกต่อไป... "
" ยังอยากจะเล่นฉากหน้าอยู่...แต่เจ้ากลับไล่เรืองกับสินให้กลับไป...ทั้งๆที่หากเขาสองคนยังอยู่ พวกเขาก็จะเป็นกำลังให้กับเจ้าในการคัดง้างและเป็นผู้หนุนหลังเจ้าได้....เรืองน่ะแม้จะเคยต้องโทษในความผิดขั้นอุกฤษฏ์ แต่เขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ขุนนางรุ่นเก่าอยู่พอสมควร...ในขณะที่สินน่ะถึงแม้จะมีนิสัยเหมือนไม่น่าคบ แต่เขาก็เป็นบุตรบุญธรรมของออกญาจักรี...พระสมุหนายก และเป็นหนึ่งในขุนนางรุ่นใหม่ไม่กี่คนที่เก่งกล้าสามารถและมีอนาคตในการราชการอีกไกล...และเป็นที่เข็ดขยาดและยำเกรงในหมู่ขุนนางหนุ่มเกือบทั้งหมด...ตกลงเจ้าโง่หรือบ้ากันแน่เนี่ย?! "
" พวกเขาเป็นคนนอก...ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขอรับ "
" คนนอก??...แต่ไอ้คนนอกที่ว่าน่ะ อาจจะช่วยให้เจ้ารอดตายได้นะ "
" การนำพวกเขาเข้ามาเกี่ยวรังแต่จะนำความเดือดร้อนไปให้พวกเขาโดยไม่จำเป็น...ข้าไม่อาจจะทำได้ "
" ...ถ้าเจ้าห่วงชีวิตของเจ้าเองได้สักครึ่งของที่เป็นห่วงพวกเขา เจ้าคงจะอายุยืนไปอีกนานเป็นแน่! ...เขาสองคนเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา...ที่ด้อยกว่าทั้งยศศักดิ์และหน้าตาการราชการ...พวกเขาไม่ใช่พ่อหรือญาติผู้ใหญ่ของเจ้า...จะไปห่วงทำตะบักตบวยอะไรวะ?! " ท่านผู้เฒ่าเริ่มพูดเป็นเชิงด่าด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้นอย่างเริ่มคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์กับไอ้ความดื้อแพ่งอย่างโง่เขลาในสายตาของเขา...ในขณะที่คำบ่นทำให้ไกรหน้าเจื่อนและนิ่งไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะส่ายหน้าน้อยๆพร้อมกับยังยืนยันคำเดิมอีกครั้งว่า
" ถึงท่านจะชักแม่น้ำทั้งห้า...ยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง...ข้าก็ยังต้องขอยืนยันคำเดิม...ข้าเลือกที่จะอยู่สู้คดี...และข้าไม่อาจนำพวกเขาเข้ามาเกี่ยวเพื่อตัวข้าเองได้ "
" เฮ้อ...กูจะบ้าตาย! " ท่านผู้เฒ่าหลับตาลงพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยหน่ายใจทันทีเมื่อฟังสิ่งที่ไกรพูดจบ และคำพูดของที่ไกรที่พึ่งพูดออกมาก็ถูกค้านในทันทีเช่นกัน...ไม่ใช่จากปากของท่านผู้เฒ่า...แต่เป็นจากปากของมือฉมังธนูสาวผู้เวลานี้กลายเป็นผู้ติดตามและหนึงในหน่วยคเณศร์เสียงาเต็มตัวอย่างอเทตยา ที่พูดด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะกลายเป็นคำตวาดว่า
" เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง! ท่านไกร!!... "
" อเทตยา? "
" นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะต้องมาเสี่ยง ข้าไม่สนว่าท่านจะกระทำผิดจริงตามที่บัตรสนเท่ห์นั่นกล่าวหาหรือไม่...มันไม่ใช่สมรภูมิของท่าน...หนีเถอะเจ้าค่ะ ท่านไกร! "
" หากเราหนี...กลุ่มบรรลัยกัลป์ก็จะชนะ...เจ้าจะพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่? ไกร " อนาสตาเซียที่หัวไวพอจะแปลรหัสที่แฝงมาในคำพูดของชายหนุ่มพูดแทรกขึ้นเรียบๆอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร แต่นั่นก็ทำให้อเทตยาชะงักกึกพร้อมกับหันไปมองทันที
" อนาสตาเซีย? "
" โฮ่...นี่เจ้าสนิทชิดเชื้อกับข้าจนสามารถเอ่ยนามอย่างห้วนๆได้เลยอย่างนั้นรึ? "
" นี่เจ้า---! "
" เฮ้อ...ขอล่ะ...เวลางวดลงทุกทีแล้ว...หากพวกเจ้าจะทะเลาะกันก็ออกไปด้านนอกเลย " ท่านผู้เฒ่าปรามเชิงคำไล่กลายๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจมากพอจะทำให้หญิงสาวทั้งสองที่กำลังตั้งท่าจะแง่งๆใส่กันหงอและหยุดลงได้อย่างชะงัด ก่อนที่เขาจะเกาหัวแกรกๆพร้อมกับพูดกับไกรต่อเรียบๆอีกครั้ง
" ไกร...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดคดีความที่บุรุษไปกระทำเรื่องมิงาม มิบังควรกับเหล่านางใน...ยิ่งบุรุษไปกระทำเรื่องมิงามกับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายอิสตรียิ่งแล้วใหญ่...ยกตัวอย่างที่ใกล้ที่สุดก็คงไม่พ้นกรณีของ สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ...ที่มีกรณีถูกครหาว่าไปลักลอบเป็นชู้กับ เจ้าฟ้านิ่ม ครานั้นทั้งที่หลักฐานยืนยันนอกจากปากคำของเจ้าสามกรมแล้วก็แทบไม่มี ทั้งสมเด็จเจ้าพ้าธรรมธิเบศรในเวลานั้นก็ดำรงยศเป็นถึงกรมพระราชวังบวรฯ (อุปราช-วังหน้า) ...ท่านยังต้องโทษทัณฑ์ถูกถอดลงเป็นไพร่...ทั้งยังต้องพระราชอาญาโบยจนถึงกับสิ้นพระชนม์...แล้วเจ้าเป็นใครกันล่ะ? มีความสำคัญอะไรจนถึงกับจะทำให้พ่ออยู่หัวจำต้องงดเว้นโทษตายเจ้า...หากเจ้ายังคงดึงดันรอคอยให้ถูกกุมตัว...มันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เจ้าเอาคอไปพาดขึ้นเขียงเลย! "
" เอ๋? ท่านพ่อ...ท่านก็เคยช่วยคนที่กลายเป็นมือสังหารของหมู่บ้านเราจากโทษทัณฑ์ประหารตั้งหลายต่อหลายคน...ทั้งยังเป็นถึงครูของพ่ออยู่หัวทั้งสอง...ต่อให้ผิดนักท่านก็น่าจะยังพอช่วยลดหย่อนผ่อนโทษของไกรลงได้บ้างนี่เจ้าคะ " อนาสตาเซียที่ยืนฟังอยู่ถึงกับเลิกคิ้วและร้องถามขึ้นอย่างสงสัยทันที เพราะที่เธอไม่ได้คัดค้านอะไรกับการที่ไกรจะไม่ยอมหนี ก็เป็นเพราะเธอคิดว่าต่อให้ต้องพระราชอาญาจริงๆ...พ่อบุญธรรมของเธอก็น่าจะมีความสามารถและบารมีมากพอจะขอพระราชทานอภัยโทษ...หรืออย่างน้อยๆก็น่าจะลดหย่อนผ่อนโทษให้กับชายหนุ่มได้...แต่ท่านผู้เฒ่าเหลือบมามองเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกและส่ายหน้าช้าๆทันที
" กรณีนี้มันต่างกัน...ต่างกันชนิดเปรียบกันไม่ติดเลยด้วยซ้ำ...ไอ้โทษประหารของมือสังหารที่ข้าช่วยไว้น่ะ ส่วนใหญ่ก็มีปฐมเหตุจากเรื่องลักวิ่งชิงปล้น หรือไม่ก็ฆ่าคน...ต่อให้เป็น เมือง ผู้เป็นอดีตออกญายมราชเองก็ต้องราชทัณฑ์ประหารเพราะการผลัดเปลี่ยนราชบัลลังก์ ซึ่งนั่นก็เป็นกรณีที่หนักที่สุดที่ข้าเคยเอาคอพาดเขียงขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว...แต่นี่เรากำลังพูดถึงราชทัณฑ์ที่ไกรถูกกล่าวหาว่าไปกระทำเรื่องมิบังควรกับเจ้าฟ้าฝ่ายอิสตรี ที่เป็นถึงราชธิดาในพ่ออยู่หัว ที่ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสีเชียวนะ...ถ้าว่ากันตามตรง ต่อให้ไกรต้องราชอาญาประหาร ๗ ชั่วโคตรข้าก็ยังไม่แปลกใจเลยด้วยซ้ำ! "
คำพูดของท่านผู้เฒ่าถูกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจนแม้แต่ไกรที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเลือกที่จะไม่หนียังถึงกับต้องหน้าซีดเผือดลงทันที ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมาเขาจะหลับตาลงและสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ความสับสนที่เกิดขึ้นในสีหน้าทิ้ง พร้อมกับจะพูดเรียบๆด้วยสีหน้าที่ถูกปรับกลับมาเป็นปรกติอีกครั้งว่า
" ท่านผู้เฒ่า...ข้าขอถามเพื่อยืนยันให้แน่แก่ใจอีกครั้งนะขอรับ...หากข้าเกิดตกลงตัดสินใจหนี---ถอยกลับไปกบดานอยู่ที่หมู่บ้าน...จะเกิดเหตุเภทภัยอันใดขึ้นกับอโยธยาภายใต้เงื้อมมือของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มบรรลัยกัลป์นั่นบ้างหรือขอรับ? "
คำถามของไกรทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านต้องลูบคางพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักอีกครั้ง โดยที่สมองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบร้อยปีของเขาคำนวณความเป็นไปได้ทุกทางจากหลักฐานและสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับกลุ่มมือสังหารบรรลัยกัลป์อันเป็นปฏิปักษ์ต่อหมู่บ้านของพวกเขา ก่อนที่ชั่วอึดใจต่อมาเขาจะใช้นิ้วขยี้สันจมูกเล็กน้อยเพร้อมกับตอบกลับมาเรียบๆว่า
" พวกมันไม่ได้ปองร้ายต่ออโยธยา...แต่ประสงค์ร้ายต่อพระเจ้าเอกทัศน์...ไม่สิ...ต้องพูดว่าพวกมันประสงค์ร้ายต่อพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงมากกว่า...โดยเฉพาะกับ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ...ถึงข้าจะยังไม่แน่แก่ใจว่ามันประสงค์สิ่งใดกับบุตรีแห่งสุรีย์แสง แต่มันต้องใช้ประโยชน์จากพลังอันไม่อาจจะประมาณใด้ของบุตรีแห่งสุรีย์แสงเป็นแน่...ด้วยการณ์ที่อยู่ในการณ์ศึกสงครามเช่นนี้ พวกมันอาจจะสามารถลอบปลงพระชนม์เจ้านายในรั้ววังได้...หากเป็นเจ้านายเล็กๆอาจจะยังพอปิดข่าวได้อยู่หรอก แต่ถ้าหากพวกมันสามารถอาศัยช่องโหว่ที่เจ้าซึ่งเป็นฉากหน้าไม่อยู่อีกต่อไป...สังหารเจ้านายชั้นสูงได้...แม้แต่เพียงพระองค์เดียว--- " ท่านผู้เฒ่าเว้นช่วงไปเล็กน้อยราวกับลำบากใจที่จะพูดประโยคถัดไปออกมา...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกและพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกที่สุดว่า...
" ...กองทหารจะเสียซึ่งขวัญกำลังใจ...ระบบราชการทั้งหมด...นับตั้งแต่ระดับพันถึงระดับเจ้าพระยาจะสะเทือนไปทั้งระบบทันที! "
ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะรีบชิงพูดเสริมต่อเบาๆเพื่อคลายความไม่สบายใจที่แผ่ซ่านไปทั่วเต็มใบหน้าของชายหนุ่มทันทีว่า
" ...แต่เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ไกร...เพราะข้า...รวมไปถึงอนาสตาเซียก็ยังคงอยู่ที่นี่...ข้าเองก็มั่นใจพอสมควรว่าตัวข้าและดาบของข้ามีพลังมากพอจะถวายการอารักขาพ่ออยู่หัวได้...ไม่นับรวมกลุ่มของสิงห์ที่ยังคงรอคอยอยู่ที่นอกกำแพงราชวังอีก...หากเจ้าถามข้า ข้าว่าเวลานี้เจ้าต้องนึกถึงความปลอดภัยเจ้าเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น--- "
" แค่นั้นไม่พอหรอกขอรับ "
" ว่าอย่างไรนะ! "
" ไม่ๆ ขอโทษที่ขอรับ...ข้าไม่ได้คิดจะสงสัยในฝีมือของท่าน หรือกลุ่มของสิงห์...แต่ว่า...ข้ามีสังหรณ์ใจบางอย่างน่ะขอรับ "
" สังหรณ์ใจ? " ท่านผู้เฒ่าทวนคำเสียงสูงปรี๊ด ในขณะที่ไกรเองก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพยักหน้ารับเบาๆ
" ขอรับ...อาจจะฟังดูไร้สาระ...แต่ข้าสังหรณ์ว่าหากข้ากลับไปหมู่บ้านยุคันตวาต...ทุกอย่างจะไม่อาจแก้ไขได้อีกต่อไป! "
คำพูดของไกรไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือจนแทบจะเอาเก็บมาคิดไม่ได้ แต่น้ำหนักของเสียงและอะไรบางอย่างที่แฝงมากลับทำให้เหตุผลบ้าบอนี้ มันดันสร้างน้ำหนักความน่าเชื่อถือที่มากพอจนท่านผู้เฒ่าต้องนำมาไตร่ตรองอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้...เพราะเขาเองก็ยังไม่ลืมว่าไกรเป็นผู้ที่มาจากอนาคตในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า...ดังนั้นต่อให้เป็นคำพูดที่ดูไร้เหตุผลแค่ไหนก็ไม่อาจจะปล่อยผ่านไปได้แม้แต่น้อย
" ท่านเป็นผู้เดียวที่จะหยุดเขาไม่ให้ฆ่าตัวตายได้! ท่านพูดอะไรสักอย่างสิ! " อเทตยาที่เห็นท่าไม่ดีรีบร้องบอกท่านผู้เฒ่าทันที แต่เธอก็ชะงักกึกเพราะมือเรียวบางทว่าแข็งแกร่งของอนาสตาเซียแตะไหล่ของเธอไว้เป็นเชิงปรามให้เงียบไว้...เมื่อหันหลังกลับมาเธอก็พบกับมือสังหารสาวชาวตะวันตกที่ส่ายหน้าให้อย่างช้าๆ...
" เวลางวดลงมาแล้ว ท่านพ่อ...เจ้าพระยาจักรีนั่นน่าจะนำกำลังมาใกล้จะถึงที่นี่เต็มทน...ข้ากับอเทตยาจะออกไปรับหน้าก่อน...ท่านเร่งตัดสินใจเอาเถอะ " พูดจบอนาสตาเซียที่รู้งานดีก็ลากอเทตยาที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจนักออกไปนอกใต้ทุนชานเรือน ปล่อยให้ไกรอยู่กับท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาบุญธรรมของเธอตามลำพัง ซึ่งไกรก็หันไปลอบส่งยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณเล็กน้อยทันที
" ท่านผู้เฒ่าขอรับ "
" ...เฮ้อ...มานั่งตรงนี้สิมา...ไอ้ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "
ก่อนที่ไกรจะได้ทันพูดอะไรต่อ ท่านผู้เฒ่าก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับทรุดลงนั่งที่หน้ากระดานหมากรุกไม้อย่างดีที่ถูกวางไว้อยู่พร้อมกับเอ่ยปากเชิญให้ชายหนุ่มตรงหน้าทรุดนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งไกรก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที เพราะเวลาที่กำลังเป็นเงินเป็นทองเช่นนี้เช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งโขกหมากรุกเล่นกันเป็นแน่...แต่เขาก็รู้จักท่านผู้เฒ่ามานานพอจะรู้ว่าท่านผู้เฒ่าไม่ใช่คนที่จะเล่นไม่เป็นเรื่องจนทำให้เสียเวลาไปโดยใช่เหตุแน่ๆ...เขาจึงได้แต่ทรุดลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายเงียบๆ พร้อมๆกับที่ท่านผู้เฒ่าจะยกตัวหมากรุกตัวโคนขึ้นมามองทันที
" ท่านผู้เฒ่า? "
" ถ้าหากเทียบสถานการณ์เป็นหมากกระดานนี้...นี่คือตำแหน่งที่เป็นหัวโขนของเจ้า...ไกร...ตำแหน่งโคน...โคนผู้เป็นได้ทั้งตำแหน่งรุกและตำแหน่งรับ...เป็นทั้งหน่วยอารักขาและเพชรฆาต...โคน ซึ่งเวลานี้ถูกนำไปวางอยู่อย่างผิดที่ผิดทางเสียแล้ว "
" ... "
" ...ทางเลือกของโคนมีอยู่แค่ ๒ ทางเท่านั้น...คือถอยกลับมาหาพรรคพวกของเจ้าที่รออยู่...โดยที่ปล่อยหน้าที่ให้เรือ...ม้า เม็ด และเบี้ยซึ่งเปรียบเทียบกับข้า และเหล่าขุนนางคนอื่นๆ อย่างออกญาจักรี ออกญามหาเสนา หรือออกพระเพชรพิไชย รวมไปถึงข้าปกป้องพ่ออยู่หัวซึ่งเปรียบได้กับขุนเอง...หรืออีกทางหนึ่ง คือบุกตะลุยเข้าไปต่อ...โดยที่เห็นทั้งเห็นอยู่ว่าทางขางหน้ามีแต่ถูกกินเท่านั้น...ต่อให้คนที่โง่ที่สุดยังสามารถเลือกได้อย่างง่ายๆเลย...ว่าเราควรเดินหมากไปในทางใด...ใช่หรือไม่? "
คำพูดของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรนิ่งเงียบไปเล็กน้อย...ก่อนที่ในที่สุด เขาจะขยับกระดานหมากรุกและหมุน ๓๖๐ องศาเพื่อเปลี่ยนฝั่งและคว้าโคนในมือของท่านผู้เฒ่าที่ท่านเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนกับตัวเขามาพร้อมกับเริ่มต้นพูดขึ้นยิ้มๆว่า
" หากข้าเป็นโคน...เป็นโคนที่อยู่ผิดที่ผิดทาง ตกอยู่ในวงล้อมซึ่งเป็นกับดักของกลุ่มบรรลัยกัลป์...อย่างนั้นข้าขอสมมุติว่าท่านเป็นผู้คุมหมากฝั่งของกลุ่มบรรลัยกัลป์...หากท่านเป็นคนของบรรลัยกัลป์...ท่านจะเดาทางเอาว่าโคนตัวนี้จะทำเช่นไรต่อล่ะขอรับ? "
" ...ก็...ขยับเพื่อเดินถอยกลั--- " ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาตยังตอบกลับมาได้ไม่ทันจบดีเขาก็ชะงักกึก ก่อนจะอ้าปากค้างทันทีราวกับสะกิดใจอะไรบางอย่างที่ไกรพยายามจะสื่อออกมาได้...ในขณะที่ไกรแสยะยิ้มพร้อมกับชิงพูดต่อเรียบๆทันที
" ใช่ไหมล่ะขอรับ...นับตั้งแต่ครั้งแรก...พวกเราเดินตามหลังกลุ่มบรรลัยกัลป์มาโดยตลอด...เพราะเราเลือกที่จะอยู่ในด้านสว่าง ในขณะที่พวกมันอยู่ในเงามืด...ต่อให้ข้าแก้ลำด้วยการหนีกลับไปหมู่บ้านจริงๆ พวกมันก็ยังมีแผนต่อไปเรื่อยๆ...หรือที่หนักที่สุด...การถอยของผมอาจจะเป็นการเข้าทางแผนของพวกมันด้วยซ้ำ...แต่ถ้าหากผมยังอยู่...นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเราเดินนำพวกมันบ้างล่ะ!...เชื่อข้าเถอะ ท่านผู้เฒ่า เราเล่นหมากแนวตั้งรับมานานเกินพอแล้ว...ถึงเวลาที่จะต้องรุกกลับบ้างแล้วล่ะ! "
เหตุผลของไกรราวกับเป็นน้ำเย็นมาสาดเข้าเต็มใบหน้า...ทำให้ท่านผู้เฒ่าตาสว่างขึ้นทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องจ้องลึกเข้าในดวงตาสีสนิมเหล็กของไกร ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพูดขึ้นเบาๆว่า
" แต่หากเราเล่นหมากนี้...เจ้าจะกลายเป็นหมากที่จำเป็นต้องสละ...เป็นหมากที่ต้องต่อเพื่อถูกกิน...ไกร...คณะลูกขุนแห่งศาลาลูกขุนไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ "
" คณะลูกขุน? "
" ใช่! คณะลูกขุนที่เป็นผู้ตัดสินคดีความทั้งหมดทั้งมวล...ถ้าหากเจ้าจะเล่นหมากเช่นนี้จริงๆ ข้าที่ยังอยู่เบื้องหลังก็จะต้องอยู่เบื้องหลังต่อไป...เป็นคนที่มองอยู่เหนือกระดาน...ไม่สามารถก้าวลงไปเป็นตัวหมากได้...นั่นแปลว่าข้าไม่สามารถทูลขออภัยโทษ...หรือช่วยผ่อนปรนเบาโทษทัณฑ์ให้เจ้าได้เลย...หมากกระดานนี้เจ้าจะถูกกำหนดให้ตาย...ไกร "
ไกรนิ่งเงียบไปเล็กน้อยกับคำพูดที่เป็นเหมือนการลงลายมือชื่อเซ็นต์คำสั่งประหารจากปากของท่านผู้เฒ่า...ก่อนที่ในที่สุด เขาจะหลับตาพร้อมกับถอนหายใจเฮือก และลุกขึ้นอย่างช้าๆทันที ในขณะที่เมื่อเห็นเช่นนั้น ท่านผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นตามมาทันทีเช่นกัน
" ไกร? "
" ท่านผู้เฒ่า...ท่านพอจะเขียนสารอะไรบางอย่างให้ข้าซักเล็กน้อยได้หรือไม่ขอรับ? เพราะข้ายังเขียนอักขระภาษาไทยในยุคนี้ไม่เป็นเท่าไหร่ "
" หา?...เฮ้ย! ประเดี๋ยวสิ! นี่มันใช่เวลาที่จะมาเขียนสารจดหมายสารภาพรักใดๆรึอย่างไรกัน?! ดูกาลเทศะเสียบ้างสิ! " ท่านผู้เฒ่าร้องว่าด้วยคำด่าที่ไกรอยากจะเถียงเหลือก้ำเหลือเกินว่า นี่ก็ไม่ใช่เวลามาเปรียบเทียบสถานการณ์ชนืดคอขาดบาดตายของเขากับกระดานหมากรุกเหมือนกันล่ะเฟ้ย!...แต่ไกรก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามาเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องพรรค์นี้...เขาโคลงหัวพร้อมกับตอบกลับไปเบาๆว่า
" ใช่ซะที่ไหนล่ะขอรับ! ...เอาเป็นว่านี่ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่จะเอาคอของข้าออกจากเขียงและปังตอที่พร้อมจะฟันลงมาก็แล้วกัน...แล้วอีกอย่างนะขอรับ ท่านผู้เฒ่า "
" หืม? "
" ชีวิตคนน่ะ...มันไม่ง่ายเหมือนการเดินหมากบนกระดานหรอกขอรับ...ทั้งกับฝั่งเรา และฝี่งของมัน! "
โคนที่ถูกสลักจากไม้สีอ่อนในมือของชายหนุ่มถูกโยนลงไปกลางกระดานไม้ที่วางอยู่...ความแรงของการร่วงหล่นลงมากระทบกับกระดานส่งผลให้ตัวหมากของทั้งสองฝั่งที่ตั้งเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่กระเด้งขึ้น ก่อนจะล้มระเนระนาดไปทั้งกระดานด้วยการตกลงมาของตัวโคนตัวเดียวทันที
...โคน...แห่งหมู่บ้านยุคันตวาต...สายลม ที่ก่อกำเนิดจนกลายเป็นพายุในวันล้างโลก!
.........................................
...เพียงไม่ถึง ๑๐ นาทีต่อมา...
...หน้าเรือนไม้ยกสูงหลังใหญ่อันเป็นจวนประจำตำแหน่งของออกพระเพชรพิไชย...หัวหน้าจางวางทหารล้อมวัง เวลานี้เต็มไปด้วยกองทหารในชุดสีเข้มที่มองเพียงผ่านๆก็รู้เลยว่าเป็นหน่วยปราบปรามที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีที่สุด...โดยมีเจ้าพระยาผู้มีอำนาจในมือสูงสุด ๒ คน อย่างเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ ท่านครุฑผู้เป็นสมุหนายก...และเจ้าพระยามหาเสนา ท่านบุนนาคผู้เป็นสมุหกลาโหมที่อยู่ในชุดเกราะรบเต็มยศทั้งคู่ จนไกรที่เวลานี้เปลี่ยนชุดใหม่กลายเป็นชุดทหารมหาดเล็กสีดำเต็มยศ ซึ่งเป็นชุดประจำหน่วยเคณศร์เสียงาและสะพายดาบสดายุอันเป็นดาบประจำตัวไ้ว้ด้านข้างและเดินออกมาจากชานเรือนถึงกับต้องผิวปากหวือออกมาอย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่ทันที
' อื้อหือ...แค่มาจับคนๆเดียวนี่ถึงกับต้องยกมาเป็นกองทหารเลยเหรอฟะเนี่ย?...อืม...แต่ก็อย่างว่าแหละนะ...ไอ้ยศเจ้าพระยาพิทักษ์ฯมันเป็นตัวเรียกตีนอยู่แล้ว แถมหน่วยเคเณศร์เสียงาของเราก็วัดกันด้วยปริมาณคนไม่ได้จริงๆ...เอามาประมาณนี้นี่แหละอุ่นใจดี ' ไกรคิดในใจเล็กน้อยพร้อมกับโคลงหัวไปมา...ก่อนจะเดินออกไปเพื่อพบกับเจ้าพระยาทั้งสอง แต่แขนของเขากลับถูกมือบางๆของหญิงสาวผู้ใช้ใบหน้าและกริยาท่าทางเช่นเดียวกับเพียงออน้องสาวของเขา...มือฉมังธนูสาวนามว่าอเทตยาฉุดแขนของเขาไว้ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงบางเบาราวกับรำพึงว่า
" ท่านไกร... "
ดวงตาที่เริ่มรื้นไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วงเต็มไปด้วยแววของความวิงวอนจนถึงกับทำให้ไกรที่คิดว่าตัวเองเตรียมใจมาดีพอแล้วยังถึงกับแกว่งไปเล็กน้อยเลยทีเดียว...แต่เขาก็ต้องหักใจส่ายหน้าช้าๆ และปลดมือเธอออกอย่างสุภาพพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเบานุ่มว่า
" ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...อเทตยา...ข้าไม่เป็นอะไรหรอก "
" ต...แต่ว่า "
" ข้าเองก็ไม่มีอะไรมายืนยันคำพูดข้าหรอกนะ...แต่...ถือเป็นสัตย์สัญญาของข้าก็ได้...ข้าจะไม่เป็นอะไรแน่ "
" ท่าน...กำลังปดข้า "
ไกรโคลงหัวเล็กน้อยอีกครั้ง ก่อนจะพูดเบาๆว่า
" อเทตยา...ข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วยข้าอยู่ ๒ เรื่อง...เรื่องแรก...เชื่อใจข้า...ถึงข้าจะทำอะไรระห่ำ หรือไร้หัวคิดไปบ้าง...แต่ทุกการกระทำของข้า ข้ามีแผนการรองรับเสมอ...แล้วก็อีกเรื่องนึง... "
" จ...เจ้าคะ? "
" ช่วยจัดการตามสิ่งที่อยู่ในกระดาษนี้ทีนะ... " ไกรพูดพร้อมกับส่งกระดาษแผนเล็กๆที่เขียนข้อความเป็นวลีประโยคสั้นๆให้หญิงสาว...แต่เมื่ออเทตยาอ่านข้อความบ่นกระดาษเล็กๆนั่นจบ เธอถึงกับต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงทันที...ในขณะที่ไกรก็ส่งห่อกระดาษซึ่งห่ออะไรบางอย่างชิ้นเล็กๆให้ในอีกมือหนึ่งของเธอพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า
" ฝากด้วยนะ...อเทตยา...ชีวิตข้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว "
ก่อนที่เขาจะก้าวเดินต่อ พร้อมกับเหลือบไปมองอนาสตาเซียที่ยืนกอดอกใช้หลังพิงเสาเรือนอยู่อย่างเงียบๆ ...ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าให้กับมือสังหารสาวผู้เป็นสหายเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยเบาๆว่า
" ข้าไปนะ...นาสตี้ "
" ร่ำลา สั่งเสีย...และส่งมอบพินัยกรรมเสร็จสิ้นแล้วสินะเจ้าคะ ท่านเจ้าพระยา? "
" เฮ้อ...ปากเจ้านี่น้าาา " ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อว่า
" ขอบใจนะ...นาสตี้...ที่เชื่อใจข้ามาโดยตลอด "
คำขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงจังของไกรทำให้เธอนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดเรียบๆตอบกลับมาว่า
" ถ้าอย่างนั้นก็รอดคมหอกคมดาบกลับมาให้ได้...สมกับที่ข้าให้ความเชื่อใจก็แล้วกัน "
" ฮ่ะๆ ขอรับๆ คุณแม่ " ไกรรับคำเบาๆพร้อมกับเดินมายืนตรงหน้าอัครมหาเสนาบดีผู้เป็นหัวหน้าขุนนางสูงสุดทั้งสองพร้อมกับค้อมหัวเป็นเชิงทักทายผู้อาวุโสทั้งสองทันที
" ท่านเจ้าพระยาจักรี...ท่านเจ้าพระยามหาเสนา "
" แปลว่าเลือกที่จะเผชิญหน้าสินะขอรับ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ " ท่านครุฑเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ในขณะที่ไกรเองก็ยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร...ใยขณะที่ท่านบุนนาคผู้เป็นเจ้าพระยามหาเสนามองลึกเข้ามาในดวงตาของไกรนิ่ง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหัวเราะในลำคออกมาเบาๆพร้อมกับเปรยขึ้นทันทีว่า
" ดูจากหน้าตาและราศีท่านแล้ว ท่านดูไม่เหมือนคนที่กำลังถูกกุมตัวในฐานะของนักโทษในความผิดที่อุกฉกรรจ์เลยนะขอรับ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "
" กระผมอาจจะเก็บสีหน้าเก่งเกินไปล่ะกระมังขอรับ...แต่เชื่อเถอะ...เวลานี้กระผมเครียดจนปวดกระเพาะไปหมดแล้วเนี่ย! "
" ฮ่ะๆๆๆ ...กระผมชื่นชอบอารมณ์ขันของท่านนัก...แต่เวลาไม่คอยท่าแล้ว...เชิญท่านไปกับพวกกระผมแต่โดยดีเถอะนะ " ท่านบุนนาคยิ้มบางๆพร้อมกับผายมือด้านที่ถือฝักดาบอยู่เพื่อเชิญไกรให้ไปกับพวกเขา...แต่เมื่อนายทหาร ๒-๓ คนจะนำตรวนและขื่อพันธนาการมาใส่ไกร ท่านครุฑก็เอ่ยห้ามขึ้นเรียบๆทันที
" ไม่จำเป็นต้องใช้มันหรอก "
" อ...เอ่อ...ต...แต่ว่า "
" หากท่านเจ้าพระยาคนเก่งผู้นี้คิดจะหนี ก็คงหนีไปนานแล้ว...หรือถ้าคิดจะต่อสู้ขัดขืน ลำพังแค่ตรวนแค่นั้นคงถูกดาบในมือของท่านฟันขาดในคราเดียวแน่...อย่าต้องให้ท่านต้องเสื่อมเสียซึ่งเกียรติ และศักดิ์ศรีไปมากกว่านี้เลย " ท่านบุนนาคเป็นฝ่ายตอบแทนการกระทำของท่านครุฑเรียบๆพร้อมกับพยักหน้าให้กับไกรเบาๆและพูดเป็นเชิงกระตุ้นอีกครั้ง
" เชิญขอรับ...ท่านไกร "
ภายใต้สีหน้าที่นิ่งสนิทและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจราวกับสวมหน้ากากอยู่...ไกรหลับตาลงพร้อมกับลอบระบายลมหายใจทางจมูกเล็กน้อยเพื่อคลายความตึงเครียดและความกดดันของตนเอง ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นก้าวเท้าออกไปทันที...
จะขึ้นสวรรค์หรือดิ่งลงนรก...ก็ตัดสินกันคราวนี้แหละ...
..........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ