ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
69)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
" อรัญ...อรัญญิกาเทวี? "
" เจ้าค่า...ตัวจริงเสียงจริงเลยเนี่ย จะขอลอยเซ็นต์ก็รีบขอเลยนะเอ้า! "
" เทพี...ผู้สิงสู่อยู่ในแหวนของผมงั้นเหรอ? "
" จ้าาาา "
" อ...ไอ้เทพีที่ว่า...นี่คือรุกขเทพ อย่างพวกเทพารักษ์น่ะเหรอ? "
" จ้า...เทพจ่ะเทพ...เสริมอีกอย่างก็คือพี่สาวคนนี้มีศักดิ์เหนือกว่ารุกขเทพอย่างพวกเทพารักษ์นะจ๊ะ...แต่อยู่ในระดับอากาศเทพที่มีวิมานอยู่บนฟ้าต่างหากล่ะ " ระหว่างที่เทพีสาวที่อยู่ในร่างของมือสังหารสาวนามว่าอนาสตาเซียกำลังจีบปากจีบคอจ้อไม่หยุด...ไกรก็ค่อยๆขยับไปที่ย่ามสีหม่นๆอันเป็นย่ามที่เขาใส่ของขลังประหลาดๆของสิงห์และอุปกรณ์จุกจิกต่างๆ ก่อนจะหยิบตะบันไฟสีดำออกมาโยนให้อรัญญิกาเทวีทันที
" เอ้า! "
" อ...เอ๋? ตะบัน--- "
ชิ้งงงงง ! ฟุ่บ !!!
" กรี๊ดดดด!! "
เทพีสาวผู้สิงอยู่ในร่างของอนาสตาเซียร้องลั่นทันที เพราะหลังจากที่โยนตะบันไฟให้เสร็จสิ้น ไกรก็ชักดาบสดายุออกจากฝักและฟันเข้าใส่เธอเต็มแรงทันที จนกระทั่งเธอต้องรีบก้มลงม้วนตัวหลบอย่างลนลานไปฉิวเฉียดชนิดที่ปอยเส้นผมเล็กๆของเธอปลิวติดคมดาบไปเลย...ในขณะที่เมื่อดาบแรกพลาดเป้า ไกรก็สะกิดปุ่มกลไกลับเพื่อเรียกดาบสัมพาที...ดาบลับอีกเล่มเข้ามาอยู่ในมือพร้อมกับแยกเขี้ยววับทันที
" หนอย...ไอ้สิงห์...นอกจากจะหาเรื่องแกล้งกันแบบไม่รู้กาลเทศะแล้ว ยังเสือกใช้มุกเดิมอีก ตูไม่หลงกลซ้ำสองหรอกเฟ้ย!! "
" ด...เดี๋ยวๆๆๆ ไกร! นี่ตัวจริงๆ ฉันอยู่ในร่างของนาสตี้จริงๆ "
" หนกขู!! ตกลงเธอเป็นใคร?! มายา ชีวา ราตรี? เผยตัวออกมาเถอะ โทษหนักจะได้เป็นเบา! "
" เดี๋ยวสิ! ปรกติแล้วเขาต้องให้ฉันทดลองจุดไฟให้ดูก่อนไม่ใช่รึไง?! แบบนี้มันข้ามขั้นตอนนะยะ! "
" ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าเธอไม่ใช่อนาสตาเซียแน่ แล้วยังจะรอเวลาทำถ้วยทำโล่อะไรล่ะ! โดนซักฉับประเดี๋ยวก็เผยตัวจริงออกมาเองนั่นแหละ! "
" ป...ปัดโธ่เอ้ย! ไอ้เด็กนี่!! " หลังจากม้วนหลบดาบอันน่าหวาดเสียวอยู่ ๒-๓ ครั้ง ในที่สุดอรัญญิกาก็ส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจก่อนที่เธอจะตัดสินใจเปล่งพลังรัศมีศักดิ์สิทธิ์บางอย่างออกมาเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายชะงักไป พร้อมๆกับใชัพลังที่เหมือนเป็นแรงดึงดูดบางอย่างดึงดาบทั้งสองเล่มออกจากมือที่กำแน่นของไกรไปถือไว้แทนทันที!
" ฮ...เฮ้ย!! "
ในขณะที่ไกรร้องออกมาอย่างตกใจในพลังที่เหนือธรรมชาติตรงหน้า หญิงสาวก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับประกอบดาบรวมกลับเป็นเล่มเดียวช้าๆ ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วน้อยๆพร้อมกับก้มลงมองดาบในมืออย่างสนใจทันที
" หืม...โหย...ทำออกมาได้ปราณีตสุดๆเลยนะเนี่ย...สมแล้วที่ถูกสร้างโดยยัยนั่น...แบบนี้ต่อให้เป็นเป็นเรา ถ้าถูกเข้าก็คงเจ็บจี๊ดแน่ๆ "
" ธ...เธอ! "
" เฮ้อ...เออ ฉันผิดเองแหละที่ไม่ยืนยันหลักฐานเสียก่อน ถ้าฉันเป็นนายฉันก็คงจะต้องสงสัยเหมือนกัน...เอางี้นะ เพื่อพิสูจน์ว่าฉันเป็นเทพีที่สิงสถิตอยู่ในแหวนจริงๆ ฉันจะบอกอะไรบางอย่างให้ก็แล้วกันนะ...จะให้ฉันพูดอะไรเพื่อพิสูจน์ความจริงดีล่ะ "
" ??? " ในขณะที่ไกรกำลังทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอย่างตั้งตัวไม่ทัน หญิงสาวที่บอกว่าตนเป็นเทพที่สิงอยู่ในร่างของอนาสตาเซียก็ลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆทันที
" คิกๆ...มิติของเทพน่ะ มันต่างจากมิติของมนุษย์บาปหนาอย่างพวกนาย...พวกฉันมีมิติที่แยกเป็นเอกเทศจากสิ่งที่เรียกว่า กาลเวลา ...ทำให้สำหรับฉันแล้ว...จะที่นี่ กรุงเทพในอีก ๒๐๐ ปีข้างหน้า...หรืออีกเป็น ๕๐๐ ปีข้างหน้าไปก็ไม่ต่างกันหรอก...เพราะฉะนั้น ฉันสามารถพูดถึงปัจจุบันหรืออนาคตของนายได้อย่างตาเห็นยิ่งกว่าหมอดูเสียอีกนะ "
" ...ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์สิ " ไกรพูดด้วยน้ำเสียงกระชากๆ พร้อมกับแอบซ่อนมีดเล่มเล็กๆไว้ด้านหลังอย่างไม่ไว้วางใจผู้หญิงตรงหน้าเลยซักนิด พร้อมกับพูดต่อเรียบๆว่า
" ถ้าอย่างนั้นลองบอกซิ...ฉันมีพ่อ มีแม่ชื่อว่าอะไร...มีพี่น้องกี่คน ชื่ออะไร! "
" หืม? คำถามง่ายๆแค่นี้เนี่ยนะ...นี่ฉันเปิดโอกาสให้นายสามารถถามถึงอนาคตของนายได้เลยนะ "
" ถ้าอยากพิสูจน์ตัวตนว่าเป็นเทพ...เป็นเทพี...ไม่ใช่พวกเสือสมิงหรือร่างทรงกิ๊กก๊อกกำมะลอ ก็บอกมา...หรือไม่ก็ออกไปซะ มันเสียเวลากับเราทั้งคู่! "
คำพูดอันแสดงถึงความดูแคลนของชายหนุ่มทำให้อรัญญิกาผู้เป็นเทพีจริงๆถึงกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆอย่างถอนฉิวทันที
" ...หืม...คิกๆๆ แหม...ขอแค่นั้นมันดูถูกกันเกินไปนิด...เอาเป็นว่าฉันจะแสดงอะไรสนุกๆให้นายดูก็แล้วกัน "
" หืม? "
ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างงงๆในคำพูดอันเต็มไปด้วยเลศนัยของอีกฝ่าย ในขณะที่อรัญญิกาเทวีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและและหลับตาลงราวกับกำลังบริกรรมคาถาอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่เสียงต่อมาที่ดังกังวานขึ้นไปทั่วทั้งห้องจะทำให้ทำให้เขาถึงกับแทบหัวใจหยุดเต้นทันที
' ...แม่ไม่ได้จากไปไหนหรอก...ลูกแม่...แม่คอยปกป้องและเฝ่ามองลูกเติบใหญ่อยู่ไม่ห่าง...ไกร...อย่าร้องไห้ไปเลย...ลูกยังมีพ่อ มีน้องสาวลูกอีก...และต่อให้ในวันที่ลูกไม่มีใคร...ก็จงจำไว้ว่าลูกไม่ได้อยู่เดียวดาย...แม่จะอยู่ข้างๆลูกเสมอ...ลูกรักของแม่ '
" แม่!! "
ไกรทะลึ่งพรวดตะโกนออกมาดังลั่นอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ เพราะต่อให้เวลาผ่านไปนานเกิอบจะสิบปีแล้ว แต่เขาก็ยังจำได้อย่างไม่มีลืมเลือนเลยแม้แต่น้อย...เสียง และคำพูดของแม่ของเขา...คำพูดที่เป็นเหมือนคำสั่งเสียสุดท้ายของผู้เป็นแม่ที่พูดกับเขา ก่อนจะจากไปอย่างสงบด้วยโรคร้ายแน่นอน...ก่อนที่ชั่วเสี้ยววินาทีต่อมาเขาจะต้องทรุดลงและเอามือทั้งสองกุมหน้าอกตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นผิดจังหวะราวกับจะหยุดเต้นไปอย่างปวดร้าวที่สุดในชีวิตทันที
" อั่ค!! อ๊ากกก! "
' ท่านอรัญญิกา ! ท่านเล่นรุนแรงเกินไปแล้วนะ !! ' เสียงตะโกนอย่างตำหนิและจริงจังที่สุดของอนาสตาเซียที่ดังก้องอยู่ในหัวของเธอราวกับสลับตำแหน่งกันอยู่ ทำให้เทพีสาวยิ้มออกมาเย็นๆในขณะที่กำลังใช้ดวงตาก้มลงมองชายหนุ่มผู้กำลังดิ้นทุรนทุรายจากการถือดี ลามปาม และ ลองดี กับเธอ...เทพีสาวหน่วงเวลาไว้อีกชั่วขณะนึง จนกระทั่งอนาสตาเซียที่อยู่ภายในหัวร้องออกมาอย่างร้อนรนอีกครั้ง ก่อนที่เธอโบกมือเพื่อไล่อะไรบางอย่างออกไปพร้อมๆกับความเจ็บปวดจนเจียนตายของไกรจะหายไปในทันที
" ...หึๆ เป็นไงบ้างล่ะ...เด็กน้อย...นี่เห็นว่านาสตี้ขอไว้เลยแกล้งๆหยอกในขั้นปราณีแล้วนะ...ทั้งๆที่จะจัดให้หนักกว่านี้เป็นสิบๆเท่าก็ย่อมได้ "
" ... " ไกรที่ตุกเข่าลงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงเบิกตากว้างขึ้นมามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ไกรไม่เชื่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
' หญิงสาวผู้สิงสู่อยู่ในร่างของอนาสตาเซีย...เป็นเทพผู้อยู่เหนือฟ้าดินและกาลเวลาจริงๆ! '
" ส...เสียง...เสียงนั้นมัน... "
" อืม...นายเข้าใจไม่ผิดหรอก...เสียงของแม่ของนายอย่างไรล่ะ "
" ด...ได้ไงกัน?! "
" ก็...ไม่ค่อยยากเท่าไหร่หรอกนะ...เพียงแค่ย้อนกลับไปดึงเอาเฉพาะเสียงในช่วงเวลาในความทรงจำของนายขึ้นมาเล่นซ้ำใหม่อีกรอบ เป็นแค่ทริคเล็กๆน้อยๆโดยอาศัยช่องโหว่ของกฎของ เทวสมาคม ที่ไม่ได้ห้ามไว้เท่านั้นแหละ "
" ท...ท่านอรัญญิกาเทวี...แปลว่าท่านเป็นเทพจริงๆสินะ? "
" จ้า...ก็พี่สาวบอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่...นายนั่นแหละที่ไม่เชื่อกันเอง "
" ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเป็นท่านเองสินะ ที่เป็นผู้พาผมกลับมายังโลกอดีต...พาผมย้อนกลับมาในสมัยอยุธยาเช่นนี้สินะครับ? "
คำถามของไกรทำให้เทพีสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับเดินไปนั่งไขว่ห้างที่ปลายเตียง...หญิงสาวผู้บอกว่าเป็นถึงเทพีผู้มีศักดิ์เหนือกว่ารุกขเทพและอากาศเทพแต่ดันต้องมาสิงสู่ราวกับเป็นสัมภเวสีอยู่ในแหวนถอนหายใจเฮือกพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยทันที
" นั่นแหละ ปัญหาสำคัญของฉันและนาย...ไกร...ฉันไม่ได้เป็นคนส่งนายกลับมาที่โลกอดีตแห่งนี้! "
" ว...ว่าไงนะ?!! "
" ก็...อย่างว่านั่นแหละนะ...ถึงฉันจะอยู่ในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาก็จริง แต่ว่าการนำคนจากช่วงเวลาหนึ่งส่งไปยังช่วงเวลาหนึ่งมันผิดกฎขั้นรุนแรง ถึงขั้นถูกถอดออกจาก--- " เทพีสาวชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอพึ่งรู้ตัวว่าเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรออกมา อรัญญิกาเทวีจึงโคลงหัวเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้งทันที
" เอาเป็นว่าฉันพูดได้แต่เพียงว่าฉันเพียงแค่ตกกระไดพลอยโจนกลับมาสู่โลกอดีตกับนาย และแหวนวงนี้ก็ไม่ได้มีพลังอำนาจที่จะสามารถส่งใครย้อนเวลาหรือควบคุมร่างให้ใครบ้าคลั่งได้ตามที่นายเข้าใจในตอนแรกอีกด้วย...เป็นเพียงแค่แหวนที่เป็นที่พำนักที่ภายในมี ๒ ห้องนอน ๒ ห้องน้ำพร้อมกับเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันและมุมห้องครัวในตัวของฉันเท่านั้นเอง "
" ป...แปลว่า...ผมถูกส่งมาด้วยพลังอำนาจอย่างอื่นงั้นเหรอ? "
" ใช่แล้วล่ะ...พลังอำนาจที่แม้แต่ฉันและพวกของฉันใน เทวสมาคม เองก็ยังไม่อาจจะระบุได้ว่าเป็นพลังอะไร และทำไมถึงจงใจส่งนายมาอยู่ที่นี่...แต่เท่าที่รู้ก็คือ พลัง ที่ว่านี้...สามารถแหกกฎเกณฑ์ที่พวกเราเหล่า เทวสมาคม ตั้งไว้แทบจะทุกข้อเลยทีเดียว!...ทำให้ฉันซึ่งปรกติแล้วไม่เคยปรากฎตัวให้มนุษย์บาปหนาอย่างพวกนายเห็นมาก่อนต้องมาอยู่เช่นนี้...เพื่อหาต้นตอของพลังลึกลับที่ว่า...และมาช่วยให้นายกลับสู่โลกที่นายควรจะอยู่อย่างไรล่ะ "
ประโยคคำพูดอันราบเรียบไม่ยินดียินร้ายใดๆ ของอีกฝ่ายกลับทำให้ไกรถึงกับตาลุกโพลงราวกับว่ามีคนมาบอกว่าเขาถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ แจ๊กพอตยังไงยังงั้น เพราะนั่นแปลว่าเขาสามารถกลับไป...กลับสู่โลกที่เขารู้จัก กลับสู่โลกปัจจุบัน...โลก ที่มีบ้านของเขา มีครอบครัวของเขาอย่างครูมืดและเพียงออ...มีเพื่อนๆอย่างเค หมิง และกล้ารอคอยเขาอยู่ได้แล้วนั่นเอง!
" จ...จริงเหรอครับ! ท...ท่าน...ท่านสามารถพาผมกลับสู่โลกปัจจุบันของผมได้จริงๆเหรอครับ! " ชายหนุ่มพุ่งคุกเข่าลงตรงหน้าเทพีสาวพร้อมกับร้องออกมาอย่างลิงโลดทันที แต่เทพีสาว กลับแสยะยิ้มออกมาออกมาพร้อมกับยกมือห้ามความลิงโลดของไกรไว้ทันที
" ใจเย็นๆก่อน ไกร...ฟังพี่สาวคนนี้ก่อน "
" ??? "
" ...นายเคยได้ยินคำๆนึง ที่พูดว่า เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว บ้างรึเปล่าล่ะ? "
" ทฤษฏี Butterfly Effect งั้นเหรอครับ? "
" อืม...คิกๆ ใช่แล้วล่ะ... " เทพีสาวที่อยู่ในร่างของอนาสตาเซียยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงมาและจับสันจมูกของไกรเขย่าช้าๆพร้อมกับพูดต่อทันทีว่า
" ...พี่สาวอยากให้นายเข้าใจเสียก่อนว่าสิ่งที่นายเป็น และกำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความจริง...มิติเวลาของโลกมนุษย์น่ะมีอยู่เพียงหนึ่ง ...เป็นเหมือนสายน้ำที่มีอยู่เพียงเส้นเดียว ไม่มีมิติคู่ขนานใดๆอย่างที่พวกนักวิทยาศาสตร์ในโลกของนายอนุมานหรือตั้งข้อสัณนิษฐานใดๆทั้งสิ้น...การกระทำทุกอย่างที่นายได้กระทำลงไปในเวลานี้ล้วนส่งผลไปถึงอนาคตที่นายจากมา...แล้วนายรู้ตัวรึเปล่าว่านายในตอนนี้น่ะ ทำเรื่องที่มากมายยิ่งกว่าแค่ การเด็ดดอกไม้ แบบสุดๆไปเลยนะ... "
" อ...อึ๋ย! "
" ความจริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรจะบอกนายนะ...พวกที่อยู่ใน เทวสมาคม น่ะ เป็นพวกที่ตัดขาดจากมิติของโลกมนุษย์ชนิดไม่คิดจะใยดีด้วยแล้ว...พวกท่านๆเหล่านั้นจึงคิดเพียงจะให้นายกลับสู่โลกของนายโดยไม่สนว่านายเปลี่ยนอนาคตไปเป็นรูปแบบใด...ซึ่งถ้าหากฉันส่งนายกลับไปตอนนี้ อนาคตที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปจะไม่สามารถถูกแก้ไขได้อีกต่อไป... "
" อ...อนาคตที่ถูกเปลี่ยนแปลง...ท่านอรัญญิกา...ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างอย่างนั้นหรือครับ? "
เทพีสาวกอดอกและเหลือบมองไกรชั่วแวบนึง ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆทันที
" ...การกระทำต่างๆของนาย ไม่ว่าจะเป็นการมาเตือนอยุธยาให้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของทัพพม่า การดึงเอาศรี---หมายถึงท่านผู้เฒ่าของเจ้าและหมู่บ้านยุคันตวาตเข้ามาสู่สงครามจะส่งผลหลายประการ แต่ที่หลักๆที่สุดคือ การเด็ดดอกไม้ ของนายส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาอันเป็นราชธานีของไทยในเวลานี้ไม่เสียเมืองแก่พม่า และไม่ถูกเผาทำลายจนเหลือเพียงเถ้าถ่านอย่างไรล่ะ "
" อยุธยาไม่แตก...ก...ก็ดีน่ะสิครับ!! "
คำอุทานที่แสนลิงโลดของไกรทำให้เทพีสาวที่นั่งกอดอกอยู่ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างมีเลศนัยทันที ก่อนที่เธอจะโน้มตัวลงมาใกล้ๆเขาชนิดแทบจะหายใจรดกันและพูดเบาๆทันที
" คิกๆ คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ...เด็กน้อยเอ้ย...ฉันให้โอกาสนายคิดต่อดีๆนะ...จริงอยู่ว่าอโยธยาศรีรามเทพนครอันสวยงามราวกับสวรรค์ชั้นฟ้านี่จะไม่เหลือเพียงความทรงจำ ไม่กลายเป็นเศษซากและเถ้าถ่านก็จริง...แต่นายลองวางสติและตั้งถุงกาวก่อน แล้วลองคิดสืบต่อไปดีๆ ว่าหลังจากอโยธยาไม่เสียแก่พม่า...หลังจากนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น "
คำพูดที่เป็นเหมือนเตือนสติของเทพีสาวทำให้ไกรขมวดคิ้วและทำสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง โดยที่เขาไม่สนจะแก้มุกต๊องๆ ของอีกฝ่ายให้...และในที่สุด เมื่อครุ่นคิดไปได้เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มก็ร้องออกมาอย่างตกใจทันที
" ม...ไม่มีการเสียกรุง...ก...ก็ ไม่มีการกู้กรุง...ไม่มีสมเด็จพระเจ้าตากสิน...ไม่มีกรุงธนบุรี...และ ไม่มี---- ย...แย่แล้ว!! "
" คิกๆ เข้าใจแล้วสินะ "
" น...นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแล้วนะครับ! ยังจะหัวเราะได้อีก!! "
" เอ้า ก็ฉันบอกแล้วว่าเทพอย่างพวกฉันตัดขาดจากโลกของเหล่ามนุษย์บาปหนาไปแล้ว...การเปลี่ยนแปลงใดที่เกิดขึ้นบนโลกถึอว่าไม่เกี่ยวของกับพวกฉันอีกต่อไป...เพียงแต่ฉันอยู่ใกล้ชิดกับพวกนายเป็นพิเศษเลยอดมีจิตสงสารไม่ได้เท่านั้น...แต่จะว่าไป...ถ้าหากนายกลับไปและปล่อยให้อดีตเปลี่ยนแปลงกลายเป็นอนาคตอันไม่แน่นอนแบบนี้มันก็น่าสนใจดีไม่หยอกเหมือนกันนะ...เอ้า...ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายแล้วล่ะ ไกร... "
" ก...การตัดสินใจของผม? "
" ใช่แล้ว...มันมีทางเลือกอยู่สองทางเท่านั้นสำหรับนาย...ทางแรก คือให้ฉันส่งนายกลับสู่โลกปัจจุบันเสียในเวลานี้...แต่นายจะกลับไปสู่ยุคที่นายจะไม่รู้จักเลย และจะไม่มีใครรู้จักนายเลยเช่นกัน...นายจะกลายเป็นบุคคลนิรนาม ไม่มีชื่ออยู่ในทุกๆสารบบ...ไร้ซึ่งญาติมิตร...ไร้ซึ่งครอบครัว...ไม่มี ครูมืด ไม่มีเพียงออ ไม่มีเพื่อนฝูงอีกต่อไป...ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการกระทำของนาย สมกับกรรมที่นายกระทำขึ้นอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้...หรือ อีกทางหนึ่ง... "
" อ...อีกทางหนึ่ง "
เทพีสาวที่อยู่ในร่างของอนาสตาเซียเหลือบมองมาที่ดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อยอย่างประเมินค่าชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆอย่างตัดสินใจทันที
" ...เฮ้อ...แบบนี้มีหวังฉันถูกไล่ออกจากงานแหงๆ...เอาเถอะ...ทางเลือกที่ ๒ ของนาย...หนุ่มน้อย...นายได้เปรียบทุกคนในโลกอดีตแห่งนี้เพราะนายเหมือนกับรู้เหตุการณ์ต่างๆล่วงหน้าอยู่แล้วนี่...ไกร... "
" หมายความว่ายังไงกัน? "
อรัญญิกาเทวีหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นหยิบดาบสดายุของไกรมากวัดแกว่งและชี้มาตรงหน้าไกรราวกับผู้ที่อยู่เหนือกว่าในทุกๆทางกำลังออกคำสั่งชายตรงหน้าในทันที
" ...หมู่บ้านยุคันตวาตมีแนวทางที่จะเป็นเงามืดอยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ที่เป็นดั่งแสงสว่างอยู่แล้ว...ท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านและผู้แหกกฏเกณฑ์แห่งวัฏสงสารผู้นั้น เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ในพงศาวดารหลายต่อหลายเรื่องนับตั้งแต่ยุคพระนารายณ์ฯ เป็นต้นมาอยู่แล้ว...ไกร มันจะเป็นอะไรไปถ้าหากนายจะร่วมมือกับเขา สร้างประวัติศาสตร์ที่นายรู้จักขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งกันล่ะ...ประวัติศาสตร์...ที่นายจะเป็นผู้สร้างมันเองกับมือ...นายจะกลายเป็นผู้กำหนดสิ่งที่เขียนไว้ในพงศาวดารในอนาคต...ด้วยตนเอง...โดยมีฉันคอยอยู่ดูมันไปตลอดจนสุดทาง...ไกร...หลังจากที่นายสร้างประวัติศาสตร์ที่นายพอใจขึ้นกับมือแล้ว...ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่วัน กี่เดือน...กี่ปี...หรืออีกกี่สิบปีก็ตามที...เมื่อถึงเวลานั้น...เมื่อถึงเวลาที่อนาคตกลับสู่รูปแบบที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง...ฉันจะพานายกลับไปสู่โลกของนาย...กลับสู่บ้าน ของนายเอง... "
...เขียนประวัติศาสตร์ ที่จะกลายเป็นพงศาวดาร...ด้วยมือของตัวเอง...
คำพูดที่เป็นเหมือนสิ่งเพ้อฝันไม่อาจจะเป็นไปได้ ที่ออกมาจากปากของอรัญญิกาเทวีเวลานี้กลับดูมีมนต์ขลังและดังก้องอยู่ในหัวอันมึนชาของเขาอย่างประหลาด...มันเหมือนกับเธอบอกเขาอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว...นอกจากรั้งอยู่ที่นี่...อยู่เพื่อสร้างประวัติศาสตร์...สร้างอนาคตของเขาเอง...
...กลายเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้เงามืดอันอนัธกาล...ผู้เขียนประวัติศาสตร์อันสว่างไสวด้วยมืออันดำมืดของเขาเอง...
...ปรัชญาอันเป็นจุดสูงสุดแห่งหมู่บ้านยุตันตวาตนั่นเอง...
" ...ไกร...ถ้าหากถามฉัน...ฉันไม่เชื่อหรอกนะ ว่า พลัง อันเหนือพลังของพวกฉันที่ส่งนาย กลับมายังโลกอดีตนี้จะส่งนายกลับมาอย่างสะเปะสะปะ และไร้ซี่งจุดหมาย...พลังนั้นต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแน่นอนที่ส่งนายกลับมาอยู่กับหมู่บ้านที่เป็นดั่งเงามืดแห่งประวัติศาสตร์เช่นนี้...และบางที...จุดประสงค์นั้นอาจจะเป็นเรื่องเดียวกับสิ่งที่ฉันให้ทางเลือกแก่นายนี้ก็ได้...ฉันในเวลานี้มีพลังมากพอจะส่งนายกลับสู่ พุทธศักราช ๒๕xx สู่บ้านของนายได้...ไกร...แต่ฉันอยากจะขอให้นายเลือกทางเลือกที่ ๒ นี้...ไม่เชื่อเพือใคร...แต่เป็นเพื่อตัวนายเอง " อรัญญิกาเทวีพูดพร้อมกับโยนดาบสดายขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะคว้าจับด้านที่เป็นส่วนของสันดาบตรงปลายไว้อย่างแม่นยำ และยื่นส่วนที่เป็นด้ามดาบยื่นส่งมาให้เขา...เหมือนเป็นการยกหน้าที่ในการตัดสินใจมาให้เขา...เพราะสิ่งที่เธอต้องการจะพูด...เธอได้พูดออกมาหมดแล้วนั่นเอง...
...จากท่าทางที่ฝ่ายหนึ่งผู้เป็นเทพี...เป็นวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่เหนือกาลเวลา...ผู้กำลังยื่นดาบสีเงินอันงดงามให้แก่หนึ่งชายหนุ่มผู้อยู่ผิดที่ผิดทางที่สุดในประวัติศาสตร์...ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง แต่กลับเนิ่นนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์...ในที่สุด ไกรก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับรับดาบสดายุที่อีกฝ่ายยื่นให้กลับมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง...ออกจะยิ้มเล็กน้อยด้วยซ้ำ...ทั้งๆที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล แต่เขากลับยังคงไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือเป็นกังวลใดๆอีกต่อไปแล้ว...หัวใจที่เต้นอย่างสงบและสม่ำเสมอของเขาบ่งบอกเป็นอย่างดี...ว่าชายหนุ่มได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว...
" ...ประวัติศาสตร์ที่ผมรู้จัก...ผมจะนำมันกลับมาเอง... "
" คิกๆ...แล้วพี่สาวคนนี้จะเป็นผู้เฝ้าดูนายไปตลอดเส้นทางที่นายเลือกนี้เอง...ไกร " เทพีสาวผู้ที่อยู่ในร่างของอนาสตาเซีย แต่เวลานี้ชายหนุ่มกลับเห็นเป็นร่างเงาของสตรีผู้สูงศักดิ์และงดงามตามแบบฉบับบหญิงไทยสมัยนิยมทุกประการซ้อนทับอยู่อย่างเลือนลางยิ้มให้ไกรเล็กน้อยอย่างอบอุ่นและอารีย์ราวกับเป็นพี่สาวคนโตที่ห่วงใยน้องชายอย่างเขาจริงๆ พร้อมกับแตะเบาๆที่ไหล่อันหนากว้างของเขาเล็กน้อยเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนที่เธอจะหันหลังให้เล็กน้อยราวกับเป็นการเตรียมจะจากลาด้วยการคืนสิทธิ์การควบคุมร่างกายนี้ให้แก่เจ้าของจริงๆอย่างอนาสตาเซีย แต่เธอก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะไกรคว้ามือบางๆของเธอ...หรือในความจริงคือมือของอนาสตาเซียไว้ ก่อนที่เธอจะหันกลับมาและเลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายบางๆเป็นเชิงถามทันที
" ท่านอรัญญิกา...หากไม่เป็นการบังอาจ หรือเป็นการผิดกฎอะไรที่ท่านยึดถืออยู่...ผมขอถามในสิ่งที่ค้างคาใจผมซัก ๒-๓ ข้อได้ไหมครับ? "
" หืม? ...จะแน่เร้อ...มนุษย์บาปหนาอย่างนาย พอเห็นฉันอ่อนข้อและตามใจเข้าหน่อยก็ขี้คร้านจะปะเหลาะถามไปเรื่อยโดยไม่รู้จักพอตามสันดานของผู้ไม่รู้จักพอซะล่ะมั้ง? "
" ถือเป็นสัจจะของผมก็ได้...มหาเทวี...สัจจะของผมที่ในเวลานี้เสมือนไร้ญาติขาดมิตร...และไร้ที่พึ่งพิงใดๆ ...มีเพียงท่านเป็นที่พึ่งพิงเดียว เป็นผู้เดียวที่จะเมตตาสงสารคนอย่างผมได้... "
คำขอที่เต็มไปด้วยคำป้อยอประจบประแจงอันหวานหูของไกรทำให้เทพีสาวผู้มีศักดิ์เป็นถึงอากาศเทพถึงกับต้องยิ้มออกมาอย่างขบขันระคนเอ็นดูในเด็กหนุ่มตรงหน้าทันที จนเธอถึงกับต้องเดินใกล้เข้ามาและใช้มือจับจมูกของชายหนุ่มเสยเชิดขึ้นอย่างหมั่นไส้พร้อมกับพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆว่า
" ปากหวาน...ช่างประจบประแจง...และฉลาดพูด...มิน่าเล่าถึงได้อยู่ที่ไหนก็รอดได้ทุกที่...แต่อย่าหวังมาเกี้ยวเทพอย่างพี่สาวเลย...เกี้ยวนางมนุษย์ไปน่ะดีแล้ว...เฮ้อ...เอาเถอะ...จะถามอะไรพี่สาวก็ถามมาสิจ๊ะ แต่ให้ได้แค่ ๓ ข้อตามที่นายให้สัตย์ไว้เท่านั้นนะ "
" ...แม่...แม่ของผม...ท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ? "
" ...เธอเป็นคนดีที่หาได้ยากคนนึงในยุคปัจจุบัน...เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์มาตลอดทั้งชีวิต อีกทั้งยังได้รับผลบุญส่วนกุศลที่ครอบครัวของเธออย่างพ่อของนาย...นาย และเพียงออ อุทิศให้อย่างเป็นเนื่องนิตย์เกื้อหนุนอยู่ตลอด...ต่อให้ฉันไม่บอกนายก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วนี่...ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลใดๆเลย ไกร...แม่ของนาย เธออยู่ในภพภูมิที่ดีกว่า และไร้ซึ่งทุกข์ใดๆทั้งสิ้นทั้งปวงแล้ว "
คำตอบที่เป็นเหมือนคำยืนยันในสิ่งที่เขากังวลถึงผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในโลกทำให้ไกรยิ้มออกมาน้อยๆพร้อมกับดวงตาที่หรุ่บต่ำลงอย่างหวนคิดถึงสตรีผู้ให้กำเนิดเขา ก่อนที่ดวงตานั้นจะกลับมาฉายแววแรงกล้าอีกครั้งอย่างเข้มแข็งตามแบบฉบับของเขาเองพร้อมกับถามในคำถามที่สองที่ค้างคาใจเขาอยู่ว่า
" ...อเทตยา...สายลับมอญคนนั้น...เธอมีใบหน้าและท่าทางเช่นเดียวกับเพียงออเลย...เธอคืออดีตชาติของเพียงออ น้องสาวของผมรึเปล่าครับ? "
" คิกๆ กะแล้วว่าต้องถาม ก็นะ...น้องสาวสุดที่รักทั้งที่นี่ " เทพีสาวหัวเราะออกมาเบาๆด้วยกระแสเสียงหยอกเย้าและรู้ทัน ก่อนที่เธอจะพูดต่อเบาๆว่า
" ...อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่...ขอโทษนะ เรื่องนี้พี่สาวไม่อาจตอบนายได้ ไกร...เพราะมันจะขัดต่อลิขิตของฟ้าและกฎที่ยึดฉันไว้ให้อยู่ในฐานะของเทพเช่นนี้...แต่ใช่ว่านายจะไม่สามารถรู้คำตอบของข้อสงสัยของนาย ไกร... "
" ครับ? "
" ...ในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อนายมีอายุเยอะขึ้น...ถึงพร้อมด้วยศีลและสัตย์ ตบะญาณบารมี ที่พอกพูนสะสมขึ้นในฐานะของสัตตบุรุษคนหนึ่ง...เมื่อถึงวันนั้น ลองทดลองนั่งกรรมฐานและนึกย้อนกลับไปในอดีตชาติของตนในภพภูมิก่อนๆดูสิ...ไม่มีใครที่จะมาพบกัน มาเกี่ยวข้องกันโดยที่ไม่เกิดจากแรงกรรมเก่าหรอกนะ...เพียงแต่จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วเท่านั้นเอง...ใครจะไปรู้...หญิงสาวนามว่าอเทตยาคนนั้นอาจจะเป็นน้องสาวของนาย...หรือคนที่นายคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็เป็นได้...ใครจะไปรู้ "
" ...คนที่คาดไม่ถึง? "
" ใช่แล้ว...เพราะงั้นอย่าพึ่งไปสอนให้เธอเรียกนายว่า ท่านพี่ พี่ไกร หรือ พี่จ๋า เชียวนะเอ้อ! "
" ม...ไม่ให้เรียกอย่างนั้นหรอกน่า!! "
ถึงจะไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนหรือสามารถไขข้อข้องใจของเขาได้ แต่ไกรก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าอย่างยอมรับและเข้าใจ ในขณะที่อรัญญิกาเทวียิ้มออกมาจนเห็นไรฟันอย่างน่ารัก ก่อนจะกอดอกและพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อเป็นเชิงเร่งเบาๆว่า
" เอ้า...มาถึงคำถามชิงรางวัลข้อสุดท้ายตามที่ขอไว้แล้ว...รีบๆหน่อยก็ดีนะเพราะใกล้เวลาตอกบัตรทำงานของฉันแล้ว งานนี้เป็นโอที ๓ แรงด้วย...ก็อย่างว่าแหละนะ เศรษฐกิจแบบนี้อาศัยบุญเก่าอย่างเดียวคงไม่พอยาไส้แน่ๆ "
ไกรสบดวงตาของเทพีสาวที่เป็นเหมือนภาพอันเลือนลางซ้อนทับร่างของอนาสตาเซียนิ่งพร้อมกับกระตุกยิ้มให้เล็กน้อยกับประโยค สาวออฟฟิศ ของเธอ...นานชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดออกมาเบาๆว่า
" ท่านอรัญญิกา...ท่านเป็นผู้บอกผมเองว่าเทพและเหล่าเทวสมาคมของท่านไม่สนใจเรื่องการกระทำของผมที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอนาคตไป เพียงแค่ต้องการให้ผมกลับสู่โลกที่ผมควรอยู่เท่านั้นก็ถือว่าเสร็จสิ้นความรับผิดชอบแล้ว...แต่ทำไมท่านถึงได้ยอมที่จะอธิบายสิ่งที่อยู่ปลายทางของทางเลือกที่ผมสามารถเลือกเดินได้...สนับสนุนทางที่ดีที่สุดให้ผม และรับปากว่าจะคอยช่วยเหลือผมไปจนสุดทาง...ทั้งๆที่มันอาจจะผิดต่อกฎของท่าน...มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้...ว่าท่านจะยอมเสี่ยงเอาตัวตนของสถานะเทพของท่านเป็นเดิมพัน เพื่อช่วยคนที่เป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน และแทบไม่มีค่าพอจะเสี่ยงด้วยอย่างผมไปทำไมกันล่ะครับ? "
คำถามอันราบเรียบและแสดงถึงความอยากรู้โดยไม่มีกระแสเสียงสบประมาทหรือสงสัยใดๆของไกรทำให้เทพีสาวถึงกับผงะและนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยทันทีเพราะเธอไม่ได้ตั้งตัวและเตรียมใจว่าจะพบกับคำถามอันบาดลึกและซ่อนคมที่ไกรใช้จังหวะซ่อนมาเป็นคำถามสุดท้ายเช่นนี้...ในขณะที่เธอมองไปที่ดวงตาของชายหนุ่ม...ดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้าก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่านี่ไม่ใช่คำถามที่พูดเพื่อหยอกเล่น...แต่เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบจริงๆ
นาน...ชั่วอึดใจนึงก่อนที่เทพีสาวจะตั้งสติได้ เธอสูดลมหายใจลึกและกลับสู่บุคลิกเดิมอีกครั้งพร้อมกับยิ้มบางๆให้กับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่อนลง...แววตา ที่ไม่ใช่แววตาของเทพที่ใช้มองมนุษย์เดินดิน...แต่เป็นเหมือนแววตาของพี่สาวที่ใช้มองน้องชายของตนมากกว่า ก่อนที่ในที่สุดเธอจะพูดออกมาเบาๆว่า
" ...คำตอบของคำถามนี้ อยู่ในคำตอบข้อที่สองที่ฉันตอบนายไปแล้ว...เด็กน้อย...ไม่มีผู้ใดที่จะมาพบ มาเจอกันได้โดยที่ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันและกันหรอกนะ...และเราทั้งคู่ก็ไม่ใช่ผู้ที่ถูกละเว้นจากกฎอันเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ได้...ทั้งฉันและนายมีเวรมีกรรมผูกกันมาหลายต่อหลายชาติ หลายต่อหลายภพภูมิ...เพียงแต่ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่จะคิดบัญชีตามแรงกรรมที่ทำไว้ต่อกันเท่านั้นเอง...ความรู้สึก ความผูกพันที่เคยมีมาตั้งแต่ชาติภพก่อนๆ รวมถึงความเสียดายในดวงชะตาของผู้ที่ฉลาดและกล้าหาญอย่างนายทำให้ฉันเสียดายจนอดต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไม่ได้เท่านั้นเอง "
" ม...มีเวรและกรรมผูกพันกันหลายภพหลายชาติ? ...ท่านอรัญญิกา คำตอบของท่านทำข้างงไปหมดแล้วนะครับ? "
" ...ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ไกร...เมื่อถึงวันที่นายถึงพร้อมด้วยตบะญาณบารมี มากพอจะสามารถนั่งเพ่งย้อนกลับไปในอดีตชาติของนายได้ วันนั้นนายใจเข้าใจเอง... "
เทพีสาวกล่าวทิ้งท้ายเบาๆ อย่างเต็มไปด้วยเลศนัย ก่อนที่เธอจะหันหลังให้และเตรียมจะสละการควบคุมร่างกายคืนแก่อนาสตาเซีย แต่อยู่ๆ เธอก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นน้อยๆอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนที่เธอจะหันมาและเอียงคอถามชายหนุ่มที่ยังยืนงงกับคำตอบของเธออย่างทีเล่นทีจริงว่า
" นี่แหน่ะ ไกร...หลังจากที่ฉันเฝ้ามองนายผ่านดวงตาของนาสตี้มาซักระยะหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนาย...สิ่งที่ฉันรู้สึกชอบที่สุดคือนายวางตัวกับสตรีทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับนายได้อย่างฉลาด...และให้เกียรติพวกเธอ...แต่ฉันอยากจะขอเตือนในฐานะที่มองนายเหมือนน้องชายวัยคะนองคนนึง...ว่าไอ้นิสัย รักหยก ถนอมบุปผา ของนายนี่แหละ มันอาจจะกลายเป็นเชือกที่เขม็งเกลียวรัดคอนายเองก็ได้นะ "
" หืม? " คราวนี้ไกรขมวดคิ้วอย่างงงๆและไม่เห็นด้วยพร้อมกับตอบกลับไปทันทีว่า
" ผมว่าผมวางตัวอย่างชัดเจนอยู่แล้วนะครับ...สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรเป็นเหมือนผู้ที่ผมเคารพและบูชาสูงสุดในฐานะเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ...อนาสตาเซียเป็นลูกสาวของท่านผู้เฒ่าผู้มีพระคุณของผม และไม่ต่างอะไรจากสหายที่ผมสามารถพูดคุยได้ในทุกๆเรื่อง...ส่วนอเทตยาผมก็ช่วยชีวิตเธอไว้ และเห็นเธอไม่ต่างอะไรจากน้องสาวผู้เป็นครอบครัวเดียวกันเท่านั้น...ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านี้แน่นอนครับ "
เพียงแต่คำตอบอันชัดเจนของไกรกลับทำให้เทพีสาวเพียงแค่หลิ่วตาพร้อมกับหัวเราะในลำคอใส่อย่างกวนโมโหเล็กน้อยพร้อมกับร้อง เห! และพูดไล่บี้ไกรต่อช้าๆว่า
" ทั้งๆที่เจ้าก็น่าจะฉลาดพอจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าหญิงองค์น้อยนั่นคิดยังไงกับนายแท้ๆน่ะนะ...ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์เอ้ย! "
" ...อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า มาถนอม สูงสุดมือมักตรอม อกไข้ เด็ดแต่ดอกพะยอม ยามยาก ชมนา สูงก็สอยด้วยไม้ อาจเอื้อมเอาถึง... "
(โคลงโลกนิติ)
" หืม?...เอาจริงเหรอ? ไม่ใช่ว่านายยกโคลงบทนี้มาเพื่อปิดบังความผิดบาปในใจหรอกนะ ถึงอย่างนั้นก็น่าสงสัยอีกนั่นแหละ ว่าใครกันนะ ที่โชคดีกลายเป็น ดอกพะยอมยามยาก ของนายกัน "
" อ...เอ่อ "
" ...เฮ้อ...แต่เอาเถอะ ไอ้ฉันก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดนิดๆก็เถอะนะ...แต่วานะ ไกร...พี่สาวจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะ...อย่าลืมสิ ไกร...ว่านายในเวลานี้น่ะคือผู้ที่อยู่ในเงามืดของประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์อยู่ในมือของนายแล้ว จะเขียนให้มันไปใทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว...อ้อ...แล้วก็นะ อีกเรื่องนึงก่อนจะจากกัน "
" ค...ครับ? "
เทพีสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเจ้าเล่ห์ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาและเอียงคอกระซิบข้างหูชายหนุ่มเบาๆทันที
" ท...ท่านอรัญญิกา? "
" ...ยูงทองล่องฟ้าเมฆิน ถวิลหวังไอดิน โบยบินผินสู่พสุธา ...ดอกฟ้าโน้มกิ่งลงมา จากสวรรค์อาภา ให้ดินปรีดาอาวรณ์... "
.....................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ