ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

67)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

      " ไกร? "  ท่านผู้เฒ่าที่เหมือนจะเป็นคนแรกที่สังเกตได้ถึงสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นในท่าทีของไกรเอ่ยขึ้นเป็นเชิงทักเบาๆทันที ซึ่งศกุนตลาเองก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นได้พร้อมกัน แต่เธอยังเลือกที่จะยืนนิ่งเพื่อดูท่าทีก่อน ในขณะที่ไกรยืนนิ่งไปเล็กน้อยพร้อมกับหลับตาลงเหมือนจะเตรียมใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะลืมตาที่คมกริบและเต็มพร้อมไปด้วยความสงบนิ่งขึ้นอีกครั้งขึ้น

 

      ' ไม่ใช่...ต่อให้เหมือนกันชนิดเห็นทีแรกคิดว่าเป็นคนเดียวกัน แต่ถ้าสังเกตดีๆก็ต่างกันนิดหน่อยแฮะ...แต่ว่า...ถึงอย่างนั้น...เหมือนกันจนน่าตกใจจริงๆ '  ไกรคิดในใจอย่างคลายอารมณ์และความตึงเครียดลงพร้อมกับสังเกตอีกฝ่ายด้วยสายตาอย่างค้นหาชัดๆอีกครั้ง

 

     ...สิ่งแรกแบบชัดๆเลยที่เห็นได้ชัดถึงข้อแตกต่างระหว่างหญิงสาวผู้นี้กับเพียงออผู้เป็นน้องสาวของเขาก็คือเพียงออที่เขารู้จักพึ่งจะอายุได้ ๑๘ มาไม่นาน ในขณะที่หญิงสาวผู้นี้น่าจะมีอายุได้ประมาณ ๒๐ ต้นๆที่ดูอ่อนกว่าเขาเพียงเล็กน้อย...ดวงตาที่กลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่มีโทนสีเช่นเดียวกับของเพียงออ แต่กลับเต็มไปด้วยแววตาที่ซ่อนเร้นอ่านไม่ออก เป็นดวงตาที่สมกับเป็นจารชนชั้นดี...ไล่ไปถึงเส้นผมที่เรียบลื่นราวกับเส้นไหม และร่างบางเล็กราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ...ทว่าหญิงสาวผู้นี้น่าจะเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่แข็งแกร่งกว่าโดยสิ้นเชิง เพราะภายใต้ผิวที่ขาวนวลนั้นซ่อนด้วยกล้ามเนื้อราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี...ใช่แล้ว...อย่างที่ท่านผู้เฒ่าบอกไว้ตั้งแต่แรก...ถึงจะมีรูปร่างหน้าตาและทาทางเหมือนกับเพียงออน้องสาวของเขามากเพียงใดก็ตาม แต่หญิงสาวผู้นี้คือจารชนชัดๆ!

 

      " ไกร! "  เสียงของท่านผู้เฒ่าที่เริ่มจะซีเรียสและดังขึ้นปลุกไกรให้ตื่นจากภวังค์อีกครั้ง ก่อนที่เขาจะยกมือบอกอีกฝ่ายเล็กน้อยว่าเขาไม่เป็นอะไร...ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะก้าวไปและทรุดลงนั่งตรงหน้าหญิงสาวมือฉมังธนูที่เวลานี้ดูเหมือนจะสิ้นฤทธิ์ไปแล้วโดยมีดาบสดายุถูกวางอยู่ข้างๆ...เขามองหน้าอีกฝ่ายนิ่งในขณะที่อีกฝ่ายก็จ้องมาที่ดวงตาของเขานิ่งโดยไม่ยอมหลบเลี่ยงเช่นกัน...ห้องทั้งห้องตกสู่ความเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ในที่สุดไกรจะเริ่มต้นพูดขึ้นอย่างช้าๆ

 

      " เธอ... "

 

      " นามของข้า...คือ อเทตยา "

 

        คำพูดที่เป็นเหมือนกับข้อมูลแรกที่ออกมาจากปากของหญิงสาว ทั้งๆที่ทุกคนในห้องนี้ต่างก็ใช้ทุกวิธีเพื่อรีดความลับแล้วแต่กลับไม่ได้ผลแล้วแท้ๆ ทำให้ทุกคนที่อยู่นอกลูกกรงต้องหันไปมองหน้ากันเองอย่างพูดอะไรไม่ออกทันที

 

      " บางครั้งข้าก็อดสงสัยไม่ได้นะ...ว่าไอ้หมอนี่มีดีอะไรที่ข้าไม่มี "  สิงห์ที่ยืนมองอยู่อดเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างข้องใจไม่ได้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าฝืนหัวเราะเบาๆพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองอย่างเหนื่อยล้าทันที

 

      " เฮ้อ...รู้อย่างนี้ไปเรียกมันมาตั้งแต่เมื่อคืน...ป่านนี้ก็คงจะสิ้นเรื่องไปแล้วแท้ๆ "

 

        ในขณะที่ไกรเองก็ชะงักเล็กน้อยอย่างงงงวยวูบ ก่อนที่เขาจะปรับอารมณ์อย่างรวดเร็วด้วยการยิ้มเล็กน้อยอย่างผ่อนคลายมากขึ้นพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " อเทตยาอย่างนั้นหรือ? ...ไม่ใช่นามของคนไทยนี่ "

 

      " ตัวข้า...และเทือกเถาเหล่ากอข้าเป็นมอญทั้งหมด "

 

        คำตอบอันห้วนสั้นของหญิงสาวที่ถูกพันธนาการทำให้ท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิดทันทีจนอนาสตาเซียผู้เป็นลูกสาวบุญธรรมสังเกตเห็นได้จนเธอต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามออกมาเบาๆว่า

 

      " มีอะไรรึเปล่า? ท่านพ่อ "

 

      " อืม...ก็...ไม่เชิงหรอก เพียงแต่ว่าข้าพึ่งจะสังเกตว่าสำเนียงของยัยนั่น...สำเนียงของอเทตยาเป็นมอญจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่มอญพลัดถิ่น แต่เป็นมอญหงสาวดีต่างหาก "

 

      " มอญหงสาวดี? "

 

      " ใช่...หงสาวดีที่เวลานี้ราบเป็นหน้ากลองไปแล้วนั่นแหละ! "

 

        ระหว่างนั้นเอง ขณะที่อเทตยาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมาต่อ แต่เธอก็ต้องชะงักเพราะไกรยกมือห้ามไว้เสียก่อน ทำเอาทุกตนในห้องต้องหันไปมองอย่างงงงวยทันที

 

      " ประเดี๋ยวก่อน...อเทตยา...ก่อนจะเข้าเรื่องกันหรือก่อนจะพูดอะไรต่อไป...ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าซักข้อ "

 

      " ??? "

 

        ไกรใช้ดวงตาอันสงบนิ่งจ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวผู้มีใบหน้าประพิมพ์ประพายเดียวกับ เพียงออ น้องสาวของเขาราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน...ก่อนที่ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาจะเหลือบไปมองตามร่างกายเล็กๆของหญิงสาวที่เป็นเพราะผิวขาวๆของเธอทำให้เขาเห็นรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆที่เกิดจากการทรมานเพื่อรีดความลับอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะที่บริเวณนิ้วมือของเธอที่เห็นเป็นรอยช้ำอย่างรุนแรงจากเครื่องบีบข้อนิ้วอันเป็นเครื่องมือทรมานพื้นฐานของยุคสมัยนี้ ซึ่งถ้าหากว่ากันตามจริง ไกรก็รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ปรกติมากๆสำหรับนักโทษหรือเชลยศึกในยุคนี้ ออกจะน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้ทำ...เพียงแต่พอแผลเหล่านี้มาอยู่บนร่างกายของหญิงสาวผู้ที่ทั้งใบหน้าและท่าทางเหมือนกับน้องสาวของเขาไม่มีผิดเพี้ยน มันทำให้เขาอดสงสารและเห็นใจอีกฝ่ายอย่างไม่อาจจะห้ามใจได้เลยทีเดียว

 

        ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆพลางพร่ำบอกกับตัวเองว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่น้องสาวของเขา เพื่อไล่ความเห็นอกเห็นใจอันไม่เข้าเรื่องนี้ออกไปจากหัว พร้อมกับพูดต่อเรียบๆว่า

 

      " อเทตยา...เธอยอมที่จะอดทนต่อการสอบสวนและทัณฑ์ทรมานตลอดเกือบทั้งราตรีโดยไม่ยอมแม้แต่จะปริปากแม้แต่นามของเธอ...แต่ทำไมเธอถึงยอมที่จะพูดทุกอย่างกับข้าโดยที่ข้าแทบจะไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ...มันไม่น่าแปลกใจไปหน่อยหรือที่เธอให้ความไว้เนื้อเชื่อใจข้าถึงขนาดนี้...หรือว่า...นี่เธอกำลังเล่นเล่ห์กลอะไรอีก "

 

        คำถามของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวที่ถูกพันธนาการและถูกทัณฑ์ทรมานตรงหน้านิ่งอึ้งไปเล็กน้อย หญิงสาวก้มหน้าและดวงตาหรุบต่ำลงราวกับคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเอ่ยตอบคำถามของชายหนุ่มด้วยการถามคำถามกลับมาเบาๆว่า

 

      " ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ--- "

 

      " เรียกข้าว่าไกรเถอะ "

 

      " ท...ท่านไกร...ข้ารู้สถานะของข้าในเวลานี้ดี ว่าข้าไม่อาจจะมีสิทธิมีเสียงใดๆได้...แต่ข้าขอถามท่านซักหน่อยเถอะนะ...ท่านจำคืนที่ข้าลักลอบเข้าไปในเขตราชฐานชั้นใน...ที่ราชอุทยานสวนองุ่นและพยายามจะลอบสังหาร---ไม่สิ ลอบปลงพระชนม์สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรได้หรือไม่?  "

 

        ไกรทำหน้านึกเล็กน้อยก่อนจะร้อง อ๋อ! พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยทันทีเมื่อนึกย้อนถึงค่ำคืนที่เขาเอากายเข้าปกป้ององค์หญิงสิริจันทรจากลูกธนูที่มาจากมือของหญิงสาวตรงหน้าชนิดที่เกือบจะก้าวขาทั้งสองข้างลงนรกไปแล้วแท้ๆ ชนิดที่หากไม่ได้องค์หญิงสิริจันทร ไม่สิ...หากไม่ได้พลังอันไม่คาดคิดของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ช่วยไว้ ป่านนี้ก็คงจะได้ฝังกันไปแล้วแน่ๆ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบาๆ

 

      " จำได้สิ...พูดตามตรงนะ...เล่นส่งลูกธนูมาปักอยู่เต็มๆกลางอกข้าเช่นนั้น ใครลืมลงก็แปลกแล้ว "

 

      " ...ธนูปักกลางอก? นี่ค่ำคืนนั้นไกรบาดเจ็บสาหัสหนักถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? "  ท่านผู้เฒ่าถึงกับครางออกมาเบาๆทันทีเพราะพึ่งรู้ในความจริงข้อนี้ ในขณะที่อนาสตาเซียที่รู้อยู่ก่อนแล้วแต่ช่วยปิดบังไว้ตามคำขอร้องของไกรเพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วงหลบตาวูบ ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่อเทตยาเพื่อคอยระวังไม่ให้อีกฝ่ายเล่นลวดลายอะไร ในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าน้อยๆพร้อมกับพูดต่อว่า

 

      " ...ทั้งๆที่ท่านเกือบจะต้องดับดิ้นไปแล้วด้วยฝีมือของข้าแท้ๆ แต่เพราะเหตุใดในเวลาต่อมา เมื่อข้ากำลังเข้าตาจนและเกือบจะต้องสิ้นชีวิตใต้เงื้อมหัตถ์ของสมเด็จเจ้าฟ้าที่เวลานั้นดูเหมือนจะถูกพลังอะไรบางอย่างครอบงำ...เหตุใดท่านถึงพุ่งเข้ามาช่วยข้าไว้ล่ะ? "

 

      " เหตุใดอย่างนั้นหรือ? "

 

      " เจ้าค่ะ...นั่นเป็นเรื่องที่ข้าติดใจสงสัยมาตลอดจนถึงเวลานี้...เหตุใดกัน? "

 

        ไกรเงียบไปเล็กน้อยอย่างครุ่นคิดทันที...หากให้เขาตอบไปตามความจริง เขาคงจะตอบไปว่า เพราะคิดว่าอเทตยาเป็นคนกลุ่นเดียวกับกลุ่มมือสังหารที่พยายามลอบปลงพระชนม์สองกษัตริย์ที่วัดประดู่ทรงธรรม และเป็นเหมือนกุญแจสำคัญเพียงดอกเดียวในเวลานั้น ที่ทำให้เขาและหมู่บ้านยุคันตวาตสามารถสาวรอยไปถึงต้นตอของกลุ่มมือสังหารลับที่ใช้ตราสัญลักษณ์เช่นเดียวกับพวกเขาได้ นั่นทำให้เขาต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วด้วยการพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตของหญิงสาวผู้เป็นเหมือนพยานปากสำคัญผู้นี้ไว้...แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็แก่พรรษาและ เชี่ยว ในเรื่องนี้มากพอจะไม่ตอบออกไปตามความเป็นจริงอย่างที่เขาคิดไว้

 

     ...ขืนถ้าหากพูดออกไป มีหวังไก่ก็ตื่นพอดีน่ะสิ...

 

     ...หญิงสาวผู้นี้กำลังเคว้ง...ถ้าหากยึดตามข้อมูลที่ท่านผู้เฒ่าเกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้นขณะที่พวกเขากำลังควบม้ามาที่นี่...ก็เท่ากับว่าเธอไม่ใช่มือสังหารที่สังกัดอยู่กับกลุ่มมือสังหารที่ใช้ตราสัญลักษณ์แบบเดียวกับหมู่บ้านยุคันตวาต แต่เป็นมือสังหารรับจ้างที่ทำงานตามลำพัง ที่น่าจะรับงานมาต่ออีกที...และสุดท้ายเธอก็ถูกไอ้มือสังหารกลุ่มนั้นหักหลัง และเกือบจะถูกฆ่าปิดปากไปแล้วถ้าหากกลุ่มของสิงห์ไม่ประจวบเหมาะเข้าไปช่วยไว้ทัน...นั่นทำให้หญิงสาวผู้นี้รู้สึกเหมือนกับถูกทรยศ ถูกหักหลัง และรู้สึกโดดเดี่ยว...ด้วยภาวะทางอารมณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ ทำให้จิตใจของเธอสร้างกลไกในการปกป้องตัวเองด้วยการหาที่พึ่งพิง...หาสิ่งที่ทำให้เธอสามารถยึดเหนี่ยวไว้ได้...แม้ว่าสิ่งยึดเหนี่ยวนั้นจะเป็นเพียงฟางเส้นเล็กๆ ที่ถูกพาดอยู่เหนือหุบเหวลึกก็ตามที...

 

     ...และมันก็แจ๊คพอตตรงที่ผู้เดียวที่ดีกับเธอที่สุดในช่วงนี้คือไกรพอดิบพอดี...ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะเชื่อใจไกรที่สุด เพราะเชื่อว่าเขาเป็นผู้เดียวที่จะไม่ทำร้ายหรือหักหลังเธออย่างแน่นอนนั่นเอง...

 

      " ...เจ้าจะหาว่าข้าโง่...หาว่าข้าโลกสวย ไม่ทันคนก็ได้นะ อเทตยา...แต่ในช่วงเวลานั้นสติสัมปชัญญะและสัญชาตญาณของข้าบอกแต่เพียงว่าข้าให้เจ้าตายไม่ได้...เรื่องก็มีเพียงเท่านั้นแหละ "

 

      " ไอ้ชั่ว... "  เสียงครางอันเบาแสนเบาของมือสังหารสาวนามว่าอุษาที่ยืนอยู่นอกลูกกรงไกลออกไปอาจจะเบามากเกินไปจนกระทั่งผู้ที่อยู่ภายในลูกกรงนั้นไม่อาจได้ยิน แต่คำด่านี้กลับลอยมาเข้าหูผู้ที่อยู่นอกลูกกรงนี้อย่างชัดเจนจนท่านผู้เฒ่าถึงกับรีบเบือนหน้าหนีพร้อมกับกัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที

 

      " หืม? อุษา...เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ "  อนาสตาเซียที่เหมือนจะได้ยินไม่ถนัดหูนักหันกลับไปถามอีกฝ่ายเบาๆ แต่อีกฝ่ายก็ยักไหล่เป็นเชิงว่าเธอไม่คิดจะพูดอะไรต่อ เธอจึงได้แต่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจพร้อมกับหันมามองที่ท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของเธอเหมือนจะถาม แต่ท่านผู้เฒ่าก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าเขาก็ไม่อาจจะตอบอะไรได้เช่นกัน

 

      ' ...เออ...ไอ้นี่มันสำมะคัญจริงๆ...มีดีอยู่กับตัวแต่กลับไม่ได้ใช้ความสามารถนี้พร่ำเพรื่อ เลือกที่จะใช้อย่างถูกจังหวะพอดิบพอดี...ไอ้เด็กนี่...มันเก่งกว่าสมัยที่เรายังหนุ่มแน่นและใช้นามว่า ศรีปราชญ์ เสียอีกด้วยซ้ำไปนะเนี่ย '  

 

        คำพูดที่แสนหวานหูของไกรสร้างความอบอุ่นใจอย่างประหลาดให้กับหญิงสาว แม้ว่าตัวเธอจะยังถูกพันธนาการไว้อย่างหนาแน่นจนแทบจะกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ก็ตามที่ ในขณะที่ไกรเลือกที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของตัวเองด้วยการหันไปขอกุญแจสำหรับปลดโซ่ตรวนกับศกุนตลา ซึ่งศกุนตลาที่ยังคงยืนกอดอกนิ่งอยู่เบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนที่เธอจะส่ายหน้าช้าๆทันที

 

      " ข้าก็รู้นะว่าเจ้ามีงานอดิเรกที่ชอบหาเรื่องตาย...แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้มีขอบเขตเสียหน่อยเถอะ "

 

      " นี่ ศกุนตลา...ช่วงหลังนี้ปากเจ้ามันช่างกัดได้เจ็บปวดเสียเหลือเกินนะ เอามาเถอะน่า...ส่วนเจ้าก็ออกไปด้านนอกเถอะ...ข้าไม่เป็นอะไรหรอก "

 

        คำพูดของไกรทำให้มือสังหารสาวขมวดคิ้ววูบ ก่อนที่เธอจะเหลือบหันกลับไปมองท่านผู้เฒ่าที่เป็นหัวหน้าของทุกๆคนในห้องนี้เหมือนกับเป็นการยกภาระการตัดสินใจให้แก่เขา ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าทำหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่นึง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตเบาๆทันที

 

      " ถ้าหากเจ้าเกิดตายตกไปเพราะความโง่เขลาของเจ้า...ซึ่งข้าว่าไม่ช้าก็เร็วนี่แหละ ข้าจะไม่พุธโธสักนิดเลย "  หญิงสาวได้แต่หลับตาลงพร้อมกับครางเบาๆ ก่อนจะส่งลูกกุญแจดอกเล็กๆให้พร้อมกับเดินออกมาจากลูกกรง ในขณะที่คำพูดของหญิงสาวทำให้ผู้ที่แก่พรรษาและ เคย เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาก่อนอย่างท่านผู้เฒ่าที่ยืนกอดอกอยู่ออกจะไม่เห็นด้วยเล็กน้อยพร้อมทั้งหัวเราะในลำคอเบาๆทันที

 

      ' โง่เขลาอย่างนั้นรึ...ไอ้เด็กนี่เดินหมากได้อย่างเจ้าเล่ห์แสนกลจนแม้แต่เราเองยังเกือบจะตามไม่ทันเลยด้วยซ้ำ '

 

     ...เมื่อได้ลูกกุญแจมา ชายหนุ่มก็ค่อยๆเลื่อนเข้าไปใกล้กับหญิงสาวเพื่อถอดพันธนาการให้โดยที่เขาไม่ลืมเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับหยิบผ้าหนาๆแห้งๆที่อยู่ใกล้ๆมาคลุมตัวหญิงสาวที่กายสั่นน้อยๆด้วยความหนาวเหน็บอยู่ สร้างความอบอุ่นใจให้กับหญิงสาวอย่างประหลาดเลยทีเดียว...

 

      " ข้า...คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกที่จะไว้เนื้อเชื่อใจท่าน ท่านไกร "

 

        คำพูดที่เหมือนกับออกมาจากส่วนลึกของจิตใจจริงๆของมือฉมังธนูสาวนามว่าอเทตยาทำให้ไกรรู้สึกผิดเล็กน้อยทันที และไอ้ความรู้สึกผิดเล็กน้อยนี่ก็ดูเหมือนจะเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาใช้กลวิธีนี้กับหญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาและท่าทางเหมือนกับน้องสาวของเขาไม่มีผิดเพี้ยน แต่ท่านผู้เฒ่าที่ยืนมองอยู่ลอบพยักหน้าเบาๆให้กับเขาเป็นเชิงว่าให้เขาเล่นบทนี้ต่อ ทำให้เขาต้องยอมใจแข็งตามน้ำต่อไป

 

      " อเทตยา...ที่เจ้าบอกว่าเป็นมอญ...และเจ้าเกือบจะถูกไอ้พวกกลุ่มมือสังหารเวรนั่นฆ่าตัดตอน---หมายถึงจะสังหารปิดปาก ก็แปลว่าเจ้าไม่ใช่พวกเดียวกับพวกมันน่ะสิ "

 

        หญิงสาวใช้มือที่เวลานี้ยังคงปวดระบมอยู่จากทัณฑ์ทรมานกระชับผ้าที่อีกฝ่ายห่มคลุมตัวให้เล็กน้อยเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ก่อนที่ดวงตาจะหรุบต่ำลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ

 

      " เจ้าค่ะ...หากไม่นับเรื่องราวและยศศักดิ์แอำนาจหน้าที่ในอดีต...เวลานี้ข้าเป็นเพียงมือสังหารรับจ้างที่ไร้สังกัดและหัวเดียวกระเทียบลีบเท่านั้น...ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ "

 

      " เวลานี้อย่างนั้นหรือ? หมายความว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่มือสังหารรับจ้างอย่างนั้นรึ? "  ท่านผู้เฒ่าที่ละเอียดลออพอจะมองเห็นช่องว่างของคำพูดของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเบาๆ แต่อเทตยากลับหันมามองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเบือนสายตากลับไปมองไกรที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกครั้งโดยไม่ตอบข้อสงสัยอะไร นั่นทำให้ชายผู้เป็นหัวหน้ามือสังหารทั้งหมดถึงกับอ้าปากพะงาบๆทันที

 

      " อเทตยา...เขาเป็นเสมือนนายของข้า และเป็นผู้มีพระคุณของข้า...เพราะอย่างนั้น ช่วยตอบคำถามของเขาซักหน่อยเถอะนะ "  ก่อนที่ไกรที่นั่งขัดสมาธิอย่างผ่อนคลายอยู่ตรงหน้าหญิงสาวจะเอ่ยขอร้องขึ้นน้ำเสียงเบานุ่ม นั่นทำให้เธอหันดวงตากลมโตมาสบตาไกรอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าเบาๆอย่างว่าง่ายทันที

 

      " ...เมื่อประมาณ ๓-๔ ขวบปีก่อน...ข้าไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่เป็นอุปนิกขิต(สายลับ)แห่งหงสาวดี ที่แฝงตัวลอบสืบข่าวในอโยธยาแห่งนี้น่ะเจ้าค่ะ "

 

      " หงสาวดี?...เธอ...รับใช้พวกพม่า...พวกพระเจ้าอลองพญาอย่างนั้นหรือ? "

 

      " มอญน่ะ...ไกร "  คำพูดขัดเรียบๆของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรหันกลับมามองอย่างสนใจทันที

 

      " อ้าว? แล้ว "

 

      " หลังจากรัชสมัยของพระเจ้านันทบุเรง หงสาวดีหรือพะโคถูกเผาทำลายสิ้น ทำให้พม่าแตกแยกเป็นหลายแผ่นดินโดยไม่อาจจะรวมแผ่นดินกันติด...จนกระทั่งเมื่อเกือบ ๑๐ ขวบปีก่อน ภายใต้การนำของ อ่องซา หรือ พระยาทะละ มอญเชื้อสายพม่าขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเมืองหงสาวดีหรือเมืองพะโค...พระองค์ได้ยกกำลังปราบปรามพม่าทั้งหมดจนแม้แต่นครอังวะที่กษัตริย์ราชวงศ์ ตองอู ผู้สืบสายเลือดบุเรงนองยังต้องพ่ายแพ้ พม่าถึงกับเกือบจะสิ้นชาติไร้แผ่นดินอยู่... "

 

      " ห...หืม? "  ไกรเลิกคิ้วอย่างงงๆ เพราะเขาเอาแต่ศึกษาในประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยแทบไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านเลย นั่นทำให้เขาออกจะงงงวยระคนตื่นเต้นกับความรู้ใหม่นี้อยู่พอสมควรทีเดียว...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าได้แต่โคลงหัวพร้อมกับพูดต่อช้าๆว่า

 

      " ...อืม...ในเวลานั้นมอญก้าวขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินพม่าแทนเหล่าพม่าเดิม...จนกระทั่งการโต้กลับและกอบกู้ชนชาติพม่าของพรานป่าแห่งหมู่บ้านมุกโชโบ ผู้มีนามว่า อองไชยะ เปลี่ยนสถานการณ์ไปโดยสิ้นเชิง...จากที่พม่าเกือบจะสิ้นชาติ กลายเป็นชนชาติมอญที่เป็นฝ่ายสิ้นชาติและไร้แผ่นดินอยู่เสียเอง...หงสาวดีอันเป็นเมืองหลวงของชาวมอญถูกตีแตกและทำลายย่อยยับอีกครั้ง ในขณะที่พรานป่านามว่าอองไชยะผู้นั้นสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเมืองชเวโบ หรือรัตนสิงค์...เถลิงนามว่าพระเจ้าอลองพญา ผู้กำลังกรีฑาทัพมาบุกอโยธยานั่นเอง! "

 

    ...คำพูดที่เป็นเหมือนกับความรู้ใหม่ที่ออกมาจากปากของผู้ที่น่าจะอยู่ใเหตุการณ์จริงด้วยอย่างท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรหันกลับมามองหญิงสาวผู้มีนามว่าอเทตยาผู้นี้อย่างประเมินค่าเสียใหม่ทันที

 

      ' ...แปลว่าอเทตยาถูก ลอยแพ อยู่ในเมืองที่ตนเองมาสืบข่าวซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน...ไม่ต่างอะไรจากกรณีของสายลับของสหภาพโซเวียตที่ถูกลอยแพในต่างแดนเมื่อคราวที่สหภาพโซเวียตล่มสลายที่เราเคยดูในภาพยนตร์หลายๆเรื่องเลยไม่ใช่รึไงเนี่ย...มิน่าเล่า...ผู้หญิงคนนี้ถึงได้ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวจนกระทั่งแม้แต่เรายังรู้สึกได้... '

 

     ...สิ่งเดียวที่หญิงสาวผู้นี้ต้องการคือแหล่งพักพิง...หญิงสาวผู้นี้ต้องการ บ้าน ...และเธอเคยเผลอคิดว่ากลุ่มมือสังหารกลุ่มนั้นคือ บ้าน ของเธอ...ทำให้เธอตัดสินใจทุ่มพลังทั้งหมดให้กับพวกมัน...เกินคำว่ามือสังหารรับจ้าง จนเราเข้าใจผิดว่าเธอเป็นพวกเดียวกับพวกมัน...กระทั่งถูกพวกมันหักหลังและพยายามจะฆ่าปิดปาก ทำให้เธอรู้แล้วว่าเธอเพียงแค่ถูกหลอกใช้ และทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้ง...และคราวนี้...เธอตัดสินใจเลือกไกรเป็นที่พักพิงของเธอ...

 

      " ...อันตราย "

 

       ไกรไม่ใช่ผู้เดียวที่จ้องเขม็งมองหญิงสาวนามว่าอเทตยาอย่างประเมินค่า เพราะมือสังหารสาวนามว่าอนาสตาเซียเองก็มองไปที่หญิงสาวอย่างคาดเดาและประเมินค่าเช่นกัน โดยพยายามมองให้ปลอดอคติและไม่สนใจเสียงของเทพีสาวในหัวที่เป็นเหมือนเสียงมารร้ายชักนำมากกว่าเสียงเทพชี้แนะ แต่ถึงอย่างนั้น...เมื่อมองและคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็ต้องพูดออกมาเบาๆอย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่ทันที

 

     ...หญิงสาวผู้นี้อันตรายเกินกว่าที่เธอ และทุกคนคิดไว้เสียแล้ว...

 

      " ข้ารู้ดีว่าท่านคิดอะไรอยู่ ท่านอนาสตาเซีย...ข้าเห็นด้วยกับท่าน...หญิงสาวผู้นี้อันตรายเกินไป ทั้งกับพวกเรา...กับคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งกับตัวเธอเอง... "

 

      " ศกุนตลา? "

 

      " หญิงสาวผู้นั้น...ที่ข้าเองก็เชื่อว่าไม่ได้มีนามว่า อเทตยา หรอก...เธอเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ไร้ซึ่งปลอกคอ...สัตว์ร้ายที่แปรปรวน ไม่แน่ใจว่าผู้ใดเป็นนาย ทำให้เธอสามารถหันคมเขี้ยวไปสู่ใครก็ได้...ไม่เว้นแม้กระทั่งไกรเองที่เธอดูเหมือนจะไว้เนื้อเชื่อใจนักหนาก็ตาที...เธออันตรายเกินกว่าจะเลี้ยงไว้ได้...แต่ถึงอย่างนั้น เธอกลับมีความสำคัญและมีความสามารถอันน่าทึ่งและน่าเสียดายมากเกินกว่าที่จะสังหารทิ้งเสียทั้งอย่างนี้ "

 

      " เจ้าพูดราวกับรู้จักสตรีนางนี้ดีอย่างนั้นแหละ ศกุนตลา... "

 

      " นางทำให้ข้านึกถึงคนบางคน...นึกถึงผู้ที่ข้ารู้จักดี "

 

      " ??? "

 

      " ...นางทำให้ข้าหวนนึกถึงตัวของข้าเองอย่างไรล่ะ "

 

 

 

 

...................................................

 

 

 

 

 

     ...หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าสอบถามหญิงสาวนามว่าอเทตยาโดยมีไกรเป็นเหมือนล่ามที่คอยทำหน้าที่เป็นโทรโข่งถามคำถามแทนให้อยู่ชั่วครู่ใหญ่ๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับขู่เข็ญใดๆทั้งสิ้น ในที่สุด...เมื่อถึงยามสายที่ดวงตะวันที่ภายนอกเริ่มทอแสงกล้าขึ้น...ท่านผู้เฒ่าก็ได้ข้อมูลที่เขาค่อนข้างพอใจแล้ว...

 

      ' ...ไม่ใช่ขี้ๆเลย...ยัยเด็กผู้หญิงคนนี้...ไม่สิ...ต้องพูดว่าไม่เสียแรงที่เคยเป็นถึงอุปนิกขิตของมอญหงสาวดี ที่ถูกส่งตัวมาสืบความเคลื่อนไหวในราชอาณาจักรอโยธยาด้วยอายุเพียงเท่านี้มากกว่า...ถึงทีแรกคำพูดของเธอแสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเชื่อมั่นไอ้พวกมือสังหารที่ทรยศเธอเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังใช้ช่องว่างของการติดต่อสื่อสารกับพวกมัน ทำการรวบรวมข้อมูลของกลุ่มมือสังหารนี้อย่างสุดความสามารถ...ทั้งยังฉลาดพอที่ไม่บอกข้อมูลที่ว่านั่นทั้งหมด เพื่อไว้ใช้เป็นข้อต่อรอง แม้ว่าไกรจะปะเหลาะถามเพียงใดก็ตาม...เด็กนี่ฉลาดพอจะรู้ดีว่าถ้าหากเธอบอกทุกอย่างทั้งหมด เธอจะกลายเป็นหมากที่หมดประโยชน์และถูกกำจัดทิ้งทันที ' 

 

      " "

 

      " ไกร...ออกมาได้แล้ว...เราต้องคุยอะไรบางอย่างกัน...ด้านนอก...อนาสตาเซีย อุษา สิงห์ พวกเจ้าก็มาด้วย...ส่วนศกุนตลา เจ้าเฝ้านางไว้ที่นี่แหละ "

 

      " ขอรับ/เจ้าค่ะ "

 

        ไกรเองก็รับคำพร้อมกับที่เขาจะลุกและหยิบดาบขึ้น เตรียมที่จะออกไปด้านนอกตามคำขอร้องกึ่งๆคำสั่งของท่านผู้เฒ่า แต่พอเขาลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนและหันหลังให้ หญิงสาวผู้มีนามอย่างสดใสเช่นดวงอาทิตย์อย่าง อเทตยา ที่นั่งคลุมด้วยผ้าห่มหนาก็ลุกขึ้นพร้อมกับใช้มือเรียวงามที่ยังคงสั่นเทาจากทัณฑ์ทรมานจับยุดชายเสื้อของชายหนุ่มไว้โดยทันที

 

      " ท่านไกร... "

 

      " หืม? มีอะไรอย่างนั้นหรือ อเทตยา "

 

      " อ...เอ่อ "

 

      " ขอบคุณเจ้ามากนะ ที่ตอบคำถามเกือบทุกเรื่องที่ข้าถามไปตามความจริง...แม้ว่าหลายๆคำถามจะสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าไม่น้อยก็ตาม เพราะอย่างนั้น ถ้าหากเจ้ามีเรื่องจะพูดหรืออยากได้อะไร ก็ช่วยรอสักประเดี๋ยวก็แล้วกันนะ "

 

      " จ...เจ้าค่ะ...อ...เอ่อ...ถ้าอย่างไร--- "  หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเบาบางพร้อมกับก้มหน้าหรุบต่ำเล็กน้อย ในขณะที่ไกรเหลือบมองมาที่นิ้วมือของหญิงสาวที่เวลานี้ยังคงบวมช้ำและห้อเลือดด้วยแววตาที่เกือบจะเข้าขั้นสงสารอยู่รอมร่อ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวผู้นี้ใช้ใบหน้าเดียวกับน้องสาวคนเดียวของเขา ทำให้เขาใช้อารมณ์เข้ามาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจค่อนข้างเยอะกว่าปรกตินั่นเอง...ก่อนที่เขาจะก้มลงและใช้มือที่กว้างหนาและอบอุ่นของเขากุมมือของหญิงสาวผู้นี้เบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอารีย์ทันที

 

      " ไมต้องห่วงนะ อเทตยา...ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา "

 

      " ...เจ้าค่ะ "

 

      " นี่...ท่านอนาสตาเซีย...ถ้าจะให้ข้าสังหารนางทิ้งเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามล่ะก็ เวลานี้แหละเหมาะสุดแล้วนะ "  เมื่อเห็นท่าทีของไกรและอเทตยา มันทำให้ศกุนตลาอดที่จะกระซิบหยอกเบาๆกับสหายสาวผู้สูงศักดิ์กว่า ระหว่างที่อนาสตาเซียกำลังจะออกไปด้านนอกตามคำสั่งของท่านผู้เฒ่า นั่นทำให้อีกฝ่ายกลอกตาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกทันที

 

      " บางครั้งข้าก็อดคิดไม่ได้นะ ว่าข้าอาจจะชอบเจ้าในยุคที่ปากไม่จิกกัดเช่นนี้มากกว่าก็เป็นได้ "  หญิงสาวพูดเบาๆพร้อมกับเดินออกไปทันทีโดยไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด เพื่อไปพบกับท่านผู้เฒ่าที่ออกไปรออยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่ไกร สิงห์และอุษาก็เดินตามออกไปในทันที...

 

     ...หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าและมือสังหารที่ท่านผู้เฒ่าเรียกตัวออกไปทั้งหมดสิ้น มือสังหารสาวที่น่าจะลึกลับที่สุดในหมู่มือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตทั้งหมดอย่างศกุนตลาก็หลับตาลงและถอนหายใจเฮือก...หญิงสาวขยับหน้ากากยักษ์แสยะยิ้มที่ปิดบังครึ่งหน้าซีกหนึ่งของเธอเล็กน้อยก่อนจะทรุดลงนั่งชันเข่าโดยใช้หลังพิงลูกกรงเหล็กไว้ ในขณะที่หญิงสาวนามว่าอเทตยาที่อยู่ในลูกกรงก็มองมาที่ศกุนตลาที่นั่งหันหลังให้ด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนที่เธอจะทรุดลงนั่งชันเข่าโดยหันหลังของเธอติดกับลูกกรงเช่นเดียวกับศกุนตลา และพูดเบาๆด้วยภาษามอญอันเป็นภาษาแห่งชาติกำเนิดของเธอราวกับรำพึงกับตัวเองว่า...

 

      " ...เจ้าเป็นรามัญ(พม่า)...แต่ไม่มีรามัญใดที่จะมีชื่ออย่างไทยว่า ศกุนตลา...แปลว่านั่นมิใช่ชื่อของเจ้าจริง คนรามัญที่ไม่แม้แต่จะใช้นามตัวอย่างเจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่...กับพวกเขา...กับไกร "

 

      " ...ข้าละทิ้งนามดั้งเดิมของข้าไปแล้ว พร้อมกับอดีตและแผ่นดินเกิดของข้า...ข้าไม่ใช่คนรามัญ...ไม่ใช่อีกต่อไป...ทว่าเป็นคนของหมู่บ้านยุคันตวาต...เป็นมือสังหารในอุดมคติในแบบที่ควรจะเป็น...ไม่ใช่กุ๊ยที่ถือศาสตราเช่นเดียวกับพวกมัน...พวกคนของ บรรลัยกัลป์ ตามที่เจ้าบอก "  ศกุนตลาไม่ได้มีท่าทีตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเลย...ตรงกันข้าม เธอกลับเหมือนจะทราบดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรเชนนี้ จึงตอบกลับไปในภาษามอญเช่นเดียวกันอย่างเรียบลื่นราวกับพูดด้วยลิ้นของชาวมอญไม่มีผิดเพี้ยน ก่อนที่เธอจะพูดเรียบๆต่อในทันทีว่า

 

      " ...นามอเทตยาเองก็ไม่ใช่นามปรกติธรรมดาของเหล่ามอญเช่นเดียวกัน...แม้แต่นามจริงเจ้ายังไม่เปิดเผยออกมาอย่างชัดแจ้ง...แล้วใครจะไปเชื่อ...ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความสัตย์จริง "

 

      " ไม่จำเป็น...เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อในคำพูดของข้า เพราะข้าเองก็ไม่ได้บอกกล่าวแก่เจ้าอยู่แล้ว...สำหรับเจ้ามันอาจจะเป็นคำมดเท็จ อาจจะเป็นหลุมพราง...อะไรก็สุดแล้วแต่ที่ใจเจ้าอยากจะคิด...แต่สำหรับข้า...ต่อหน้าท่านไกร ข้าได้พูดความจริงทุกอย่างไปจนครบถ้วนกระบวนความแล้ว "

 

         คำพูดของหญิงสาวทำให้ศกุนตลาที่นั่งหันหลังให้ถึงกับเหลือบมามองที่เชลยศึกที่อยู่ในลูกกรงช้าๆ ก่อนที่เธอจะหลับตาลงพร้อมกับหัวเราะเบาๆในลำคอทันที

 

       " เจ้าทำให้ข้าหวนนึกถึงตัวข้าในอดีตเสียจริง...อเทตยา...ทั้งความมืดมนที่อยู่ภายในดวงปราณ ความเกลียดชังต่อทุกๆสรรพสิ่งที่เก็บงำไว้ในส่วนลึกสุดภายใต้จิตใจ...ความโดดเดี่ยวที่พร้อมจะกลืนกินทุกอย่างรอบข้างเพียงเพื่อเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดห้วงไป...มิน่าเล่า...ดวงจิตที่เหลือความเป็นมนุษย์น้อยเต็มทีอย่างนี้อย่างไรล่ะ ที่ทำให้เจ้าสามารถปิดกั้นจิตสังหารได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้... "

 

       " เจ้าต้องการจะพูดอะไรกัน... "

 

       " คนประเภทเราจำเป็นต้องหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวใจเพื่อไม่ให้เป็นบ้าใบ้เสียจริตไป อเทตยา...สำหรับข้า...หมู่บ้านคือทุกอย่างของข้า...ส่วนสำหรับเจ้า...ไม่จำเป็นต้องบอกข้าหรอกว่าเวลานี้เจ้ายึดเหนี่ยวสิ่งใด... "  ศกุนตลาพูดเรียบๆ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนโดยไม่สนที่จะพูดอะไรหรือฟังอะไรจากปากของอีกฝ่ายอีกต่อไป

 

       ' ...สิ่งที่คนอย่างพวกเรายึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับอุดมคติ...สำหรับข้าแล้ว หมู่บ้านคืออุดมคติอยู่แล้ว...แต่สำหรับนาง...ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะซวยก็คงเป็นเจ้าเองนั่นแหละ...ไกร '

 

      

 

 

 

..............................................................

 

      

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา