ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.57K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
66)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...พลบค่ำในวันนั้นเอง...
...ณ เขตชายแดนของเมืองทวาย ทัพหน้าแห่งกองทัพพระเจ้าอลองพญาอันเกรียงไกร...
...นกพิราบสีหม่นที่มีกระบอกสารเล็กๆผูกติดมากับขาพุ่งลงสู่คานที่ถูกเตรียมไว้ของส่วนที่มีลักษณะคล้ายๆกับหน่วยข่าวกรองในปัจจุบันอย่างอ่อนล้าทันทีด้วยพึ่งผ่านการบินมาอย่างหนัก...นกพิราบสื่อสาร...ที่นำมาซึ่งข่าวใหญ่ที่ทำให้กระบวนทัพของพม่าทั้งมวลเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง...
...เพียงไม่กี่นาทีหลังจากการมาถึงของนกพิราบสื่อสาร...ม้วนกระดาษเล็กๆที่ถูกใส่ไว้ในกระบอกสารก็ถูกอัญเชิญมาถวายแก่แม่ทัพแห่งทัพหน้า...เจ้าชายมังระ...ยอดนักรบหนุ่มผู้เป็นราชบุตรพระองค์รองในสมเด็จพระเจ้าอลองพญาทันที
" นี่มัน...ระดับความน่าเชื่อถือของข่าวนี้ล่ะ " หลังจากอ่านข้อความสั้นๆในสารเสร็จสิ้น พระองค์ก็ส่งสารเวียนไปให้เหล่าขุนนางที่นั่งล้อมวงปรึกษาราชการศึกอยู่ พร้อมกับตรัสถามขึ้นเบาๆทันที...ในขณะที่ผู้ที่ดูแลส่วนพิราบสื่อสารที่นำสารนี้มาถวายยกมือขึ้นประนมเหนือหัวพร้อมกับทูลตอบกลับมาทันทีว่า
" ผู้ที่เป็นอุปนิกขิตที่แฝงตัวอยู่ในอโยธยายืนยันเรื่องนี้มาอย่างชัดเจนพุทธเจ้าข้า... "
คำยืนยันของอีกฝ่ายทำให้เจ้าชายมังระ...เจ้าชายหนุ่มผู้อยู่เคียงข้างพระวรกายพระเจ้าอลองพญาผู้เป็นพระราชบิดาในทุกๆศึกสงครามยกหัตถ์ขึ้นประสานตรงหน้าอย่างครุ่นคิดทันที
" อโยธยารู้ตัวในเรื่องกองทัพของพวกเรา และโต้ตอบมาเร็วเหลือเกิน...เร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้ถึงกว่า ๑ อาทิตย์...เกลือเป็นหนอนอย่างนั้นรึ " พระองค์ตรัสขึ้นพร้อมกับใช้สายตาที่แข็งกร้าวสาดมองไปที่ดวงตาของเหล่าขุนนางทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยแววจับผิดจนทุกคนถึงกับเสียวสันหลังวาบ ต้องเลี่ยงหลบสายพระเนตรนั้นทันที...ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่ใช่ หนอน ที่ว่านั่นแท้ๆ
" อ...เอ่อ " ระหว่างที่พวกขุนนางกำลังหันไปมองหน้ากันเองราวกับว่าเกี่ยงกันว่าจะให้ใครเป็นคนกราบทูลเสี่ยงตายก่อนเป็นคนแรก...เจ้าชายมังระก็ลุกพรวดประทับยืนขึ้นอย่างกะทันหัน...ดวงเนตรวาวโรจน์อย่างตัดสินพระทัยเด็ดขาด
" พวกเจ้าทั้งหมด รับคำสั่งจากข้า!...ค่ำคืนนี้ไปจัดเตรียมกองทหารในความดูแลของเจ้าให้พร้อมที่สุด!!...ให้ทหารตัวนายและม้าทุกตัวกินกันให้อิ่มหนำและพักผ่อนกันให้เต็มที่...วันรุ่งพรุ่งนี้ข้าจะกรีฑาทัพเข้าตีเมืองทวาย!! "
" !!! "
ดำรัสอันเป็นเสมือนคำสั่งที่ชี้ขาดทุกอย่างในกองทัพหน้านี้ทำให้ขุนนางเกือบทุกคนที่นั่งอยู่ในเรือนไม้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆให้กลายเป็นสถานที่ปรึกษาราชการศึกร่วม ๒๐ ชีวิตตะลึงพรึงเพริดทันทีอย่างตั้งตัวไม่ทัน เพราะในประวัติศาสตร์การศึกตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ทัพหน้าทัพเล็กๆ จะขัดคำสั่งของทางทัพหลวง และคิดจะยกทัพที่มีกองมหารเพียงแค่ ๖ กรม(ทหารราบ ๕,๐๐๐ นาย และม้าอีก ๕๐๐ ตัว) จะยกทัพเข้าตีเมืองที่มีค่ายคูประตูหอรบและกำแพงเมืองพร้อมสรรพอย่างเมืองทวายเช่นนี้ หลังจากทั้งหมดสร่างจากการตื่นตะลึง...ในที่สุด ขุนนางเฒ่าผู้มีผมสีขาวขึ้นแทบจะเต็มหัวที่ดูแล้วน่าจะอาวุโสที่สุดในหมู่ขุนนางที่นั่งอยู่ทั้งหมดก็ตัดสินใจทูลเอ่ยขึ้นเบาๆแทนเหล่าขุนนางทั้งหมดทันที...
" ...ช้าไว้ก่อนพระพุทธเจ้าข้า...พระอาญามิพ้นเกล้า...ท่านมังระราชบุตร ข้าพุทธเจ้าเห็นว่าท่านทรงปริวิตกเกินไปแล้วล่ะพระเจ้าข้า...อีกอย่าง ต่อให้ทางอโยธยารู้ตัวแล้วว่ากองทัพเรายาตราทัพมาทางด่านสิงขรแทนที่จะเป็นด่านเจดีย์สามองค์หรือด่านแม่ละเมา แต่กองทัพที่ถูกส่งมาต่อตีกลับเป็นทัพเล็กๆเพียงห้าพัน ที่ไม่น่าจะสามารถเรียกว่าเป็นกองทัพได้ด้วยซ้ำ...ข้าพุทธเจ้าเห็นว่าขอเพียงแค่พวกเรารอจนกว่าทัพหลวงจะมาสมทบ กองทัพของเราก็จะมากมายกว่าชนิดแทบจะนับสิบต่อหนึ่งได้...เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ทัพของอโยธยาตามมาสมทบกับทัพเมืองทวายได้ก็คงไม่ต่างจากน้ำน้อยที่ยังต้องแพ้กองอัคคีที่ใหญ่กว่าอยู่ดี...ไม่มีอะไรน่าวิตกทั้งสิ้น...เพราะฉะนั้นขอจึงใคร่ขอให้พระองค์ทรงดำริให้ถี่ถ้วนในคำบัญชาเสียก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า "
แต่คำพูดของเขากลับเป็นเหมือนไฟที่ถูกแหย่เข้าไปในถังดินดำที่ใช้เป็นประจุปืนใหญ่ไม่ผิดเพี้ยน เพราะเจ้าชายหนุ่มหันพระพักต์และดวงเนตรอันแข็งกร้าวทอดระเนตรมาที่ขุนนางเฒ่าอย่างคาดโทษทันที!
" หึ! อ่อนหัดราวกับเด็กอมมือ! มองเพียงภาพเล็กๆโดยไม่สนใจภาพรวมที่ใหญ่กว่า...ก็เพราะเจ้าคิดเช่นนี้อย่างไรเล่า...ชนชาติพม่าแห่งพระเจ้าชนะสิบทิศบุเรงนองอันเกรียงไกรจึงได้ตกอับอย่างอัปยศอดสู ต้องอยู่ใต้อำนาจของพวกมอญตั้งหลายสิบปี! ก่อนที่พระราชบิดาของข้าจะมากอบกู้ศักดิ์ศรีของพม่ากลับมาได้...ถ้าหากสติปัญญาของเจ้าสามารถสั่งให้ปากของเจ้าพูดได้แค่นี้ เจ้าก็หุบปากไปซะเถอะ...ก่อนที่ข้าจะสั่งตัดลิ้นอันโง่เง่าของเจ้าทิ้ง!! " คำตรัสเชิงบริภาษอันแสนเผ็ดร้อนรุนแรงชนิดไม่สนหัวหงอกหัวดำของเจ้าชายหนุ่มทำให้ขุนนางเฒ่าดวงซวยสีหน้าแดงขึ้นอย่างทั้งเจ็บทั้งอายทันที แต่เจ้าชายมังระกลับไม่สนใจที่จะขอโทษขอโพยขุนนางที่แก่กว่าพระองค์เกือบ ๔ รอบนี้เลยด้วยซ้ำ พระองค์เพียงแค่ปัสสาสะออกจากพระนาสิกเฮือกอย่างขัดพระทัยในความ โง่เขลา และ ขลาดกลัว ของเหล่าขุนนางใต้อาณัติของพระองค์...ก่อนที่พระองค์จะหยิบพระแสงดาบฝักทองอันเป็นดาบอาญาสิทธิ์ที่ได้รับพระราชทานมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอลองพญาโดยตรง อันเป็นสิทธิอำนาจแห่งเจ้าทัพหน้า และเสด็จกลับสู่พลับพลาที่พำนักโดยไม่ตรัสอะไรต่อทั้งสิ้น เพราะถือว่าพระองค์มีบัญชาสั่งเตรียมการทุกอย่างไปเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากที่พระองค์เสด็จจากไป เหล่าขุนนางที่เหมือนกับโดนด่ากันถ้วนหน้าหันไปมองหน้ากันอย่างไม่สามารถทำอะไรได้ถูก...ที่แน่ๆ พวกเขามีความคิดเห็นตรงกันว่าเจ้าชายหนุ่มผู้นี้เลือดร้อนเกินไป แหกประเพณีการรบทัพจับศึกที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลเกินไป จนไม่น่าจะสามารถมาบัญชากองทัพที่เสี่ยงการปะทะที่สุดอย่างกองทัพหน้านี้ได้...และต่างก็มองอย่างตรงกันว่า...การศึกในวันรุ่งพรุ่งนี้ คงไม่ต่างอะไรกับการส่งทหารเข้าสู่หุบเหวแห่งความตายเป็นแน่แท้!!
" ถึงจะพูดว่าเป็นบุตรที่พ่ออย่หัวไว้วางพระราชหฤทัยมากที่สุดก็เถอะ แต่เจ้าชายยังหนุ่มเกินไป พระทัยร้อน วู่วามขาดความยั้งคิด...ครานี้พวกเราคงได้ไปเฝ้ายมบาลกันหมดทั้งนายไพร่เป็นแน่แท้... "
" ...พูดก็พูดเถอะนะ...พ่ออยู่หัวทรงตามพระทัยเด็กนั่นจนเกินงามไปเสียแล้ว...นี่ถ้าหากแม่ทัพแห่งทัพหน้านี้เป็น ท่านแม่ทัพมังฆ้องนรธา ไม่ใช่มังระราชบุตร พวกเราคงจะไม่ต้องมารับคำสั่งอันโง่เขลาและเสี่ยงสิ้นทัพเช่นนี้แน่ๆ "
" ...การรุกรานอโยธยาคงจะสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ ด้วยความย่อยยับของทัพหน้าของพวกเรานี่แหละ... "
คำพูดที่เคยอยู่แต่ในใจของเหล่าขุนนางทุกคนที่แก่อาวุโสกว่าเจ้าชายมังระถูกพูดออกมาอย่างเผ็ดร้อนด้วยความอัดอั้นตันใจ และความสิ้นหวัง...มีเพียงขุนนางวัยกลางคนและวัยหนุ่มเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่นิ่งเงียบอยู่...และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ลุกขึ้นและกลับไปจัดเตรียมทัพในสังกัด ตามพระบัญชาของเจ้าชายมังระทันที...ในขณะที่ในที่สุด โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุล่วงเลยวัยฉกรรจ์มาได้ซักพัก ที่เวลานี้นั่งอยู่ในที่นั่งฝ่ายขุนนางพลเรือนและนิ่งเงียบมาตลอดจะหลับตาลงและลอบถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหยิบดาบของตนและลุกขึ้น...เดินออกมาจากเรือนราชการศึกนั้นตามลำพัง...เขาเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงหน้าเรือนไม้อันเป็นพลับพลาที่ประทับของเจ้าชายมังระผู้เป็นแม่ทัพ ก่อนที่ขุนนางหนุ่มจะพูดเบาๆกับทหารยามที่ยืนยามเฝ้าหน้าพลับพลาไว้ทันที
" ข้ามาเข้าเฝ้าเจ้าชายมังระ "
" เจ้าชายมังระราชบุตรไม่ประสงค์จะให้ผู้ใดเข้าเฝ้าในเวลานี้ขอรับ " ทหารยามที่ยืนอยู่บอกเบาๆตามหน้าที่ แต่ก็ชะงักไปทันทีเมื่อเห็นสายตาที่แข็งแกร่งของอีกฝ่าย ที่กดทับและข่มพวกเขาไว้ตั้งแต่แรกสบสายตาทันที!
" ข้ามีกิจธุระสำคัญที่ต้องกราบทูลให้ได้ในวันนี้...ช่วยหลบไปทีเถอะนะ " ขุนนางหนุ่มพูดอีกครั้งอย่างสุภาพ แต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังอะไรบางอย่างที่เหมือนกับทำให้ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นยักษ์ปักหลั่นอันน่าเกรงขาม สะกดทหารยามทกคนให้ยืนแข็งค้างโดยไม่อาจจะขัดขวางใดๆได้ทั้งสิ้น!
...แต่พอชายหนุ่มเปิดประตูที่อยู่ตรงด้านหน้าพลับพลาให้กว้างขึ้นเท่านั้น...คมของดาบเล่มงามวาววับที่ฝักดาบถูกทำมาจากทองประดับเพชรละลานตาก็วาดพรึ่บมาหยุดอยู่ตรงคอของเขาทันที!...โดยที่ส่วนคมของดาบเล่มนั้นอยู่ห่างจากลูกกระเดือกของเขาเพียงไม่ถืงองคุลีด้วยซ้ำ!!
" เจ้าคิดจะมาลอบปลงพระชนม์ข้าอย่างนั้นหรือ?! " พระสุรเสียงราบเรียบของเจ้าชายมังระแฝงไว้ด้วยจิตสังหารที่เข้มข้น อันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพระองค์ไม่ได้ถามอย่างล้อเล่น แต่ประสงค์คำตอบจริงๆ...และหากคำตอบนั้นไม่เข้าพระกรรณของพระองค์ หัวของผู้ตอบมีหวังขาดกระเด็นไปกลิ้งกับพื้นทันที!
แต่จิตสังหารที่เข้มข้นนี้กลับทำให้ขุนนางหนุ่มเพียงแค่หัวเราะเบาๆอย่างไม่เกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น...เขาเพียงแค่ใช้มือผละกคมดาบที่จ่ออยู่อย่างน่าหวาดเสียวจากคอของเขาเท่านั้น พร้อมกับพูดขึ้นเบาๆว่า
" หลังจากราตรีนี้เป็นต้นไป...พวกขุนนางเหล่านั้นคงจะเกลียดพระองค์พิลึกเลย...โดยเฉพาะไอ้ขุนนางเฒ่าที่เป็นที่เคารพของเหล่าทหารคนอื่นๆนั่น พระองค์นี่ทรงรอมชอม ประนีประนอมไม่เป็นเอาเสียเลยนะพุทธเจ้าข้า "
" ข้ามาที่นี่เพื่อทำการศึก ไม่ได้มาเจริญสันธวไมตรี...คำพูดที่หวานหูวกไปวนมาก็รังแต่จะทำให้เสียเวลาเท่านั้น "
" พระองค์กำลังจะประกาศสงครามกับอโยธยา...ราชอาณาจักรที่หลังจากสิ้นยุคพระเจ้านันทบุเรง เราไม่เคยคิดจะมารุกรานเลยมากว่าสองร้อยปีนะพุทธเจ้าข้า...อย่างน้อยพระองค์ก็น่าจะอธิบายให้พวกขุนนางเหล่านั้นเข้าใจ ว่าเหตุใดพระองค์ถึงจำต้องรีบยกทัพตีทวายโดยไม่รอท่าทัพหลวงเช่นนี้ "
" ถ้ามันโง่ขนาดที่่หากข้าไม่อธิบายแล้วไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย มันก็สมควรตายในสงคราม หรือไม่ก็ถูกถอดลงตะพุ่นหญ้าช้างทั้งสิน!...ทัพห้าพันนายที่ลงมาช่วยั้นเป็นเพียงทัพถ่วงเวลาเพื่อถ่วงให้การจู่โจมอย่างปัจจุบันราวกับสายฟ้าแลบที่พระเจ้าอลองพญาผู้เป็นบิดาข้าเพียรคิดขึ้นไม่ประสบผลสำเร็จ และทำให้กองทัพที่ยกไปตั้งเก้อที่ด่านแม่ละเมาและด่านเจดีย์สามองค์ ยกลงมาพร้อมและบริบูรณ์ที่อโยธยาเท่านั้น...ซึ่งถ้าหากกองทัพทั้งสองลงมาถึงอโยธยาสำเร็จก่อนที่เราจะสามารถล้อมกรุงอโยธยาได้ แผนการที่จะตีอโยธยาอย่างสายฟ้าแลบและง่ายดายราวกับผลไม้ที่สุกงอมพร้อมจะถูกเด็ด ก็จะถูกทำลายลงทันที...พวกเราอาจจะต้องทำสงครามล้อมเมืองที่ยืดเยื้อและยากเย็นแสนเข็ญ...เสียกำลังพลไปอย่างไม่อาจจะประเมินความเสียหายได้เลยก็เป็นได้!...การศึกครานี้ตัดสิกันที่เวลาและความรวดเร็วของแต่ละฝ่ายเท่านั้น! "
" นั่นปะไร...หากพระองค์อธิบายเช่นนี้ให้พวกมันฟังตั้งแต่ต้น...เรื่องมันก็อาจจะง่ายกว่านี้เยอะเลยเป็นแน่... "
" หึๆ...ช่างหัวพวกมัน...เวลาจะเป็นผู้บอกกล่าวพวกมันเอง "
" เฮ้อ...ข้าพุทธเจ้าก็คงทำได้เพียงกราบทูลเท่านั้น...เมื่อเป็นพระบัญชาของท่าน ต่อให้ต้องตะลุยเขาดาบทะเลเพลิง...พวกข้าก็จะรับด้วยเกล้าจนถึงที่สุดแน่ "
เจ้าชายมังระเหลือบเนตรมาสบสายตาของอีกฝ่ายราวกับพยายามค้นหาความจริงในคำพูดที่หวานหูแต่กลับไม่รู้สึกถึงแววประจบประแจงนั้น แต่พระองค์ก็ไม่พบอะไรนอกจากดวงตาที่อ่านไม่ออกเท่านั้น...ก่อนที่พระองค์จะหลับเนตรลงและปัสสาสะเฮือก และตรัสขึ้นเบาๆว่า
" ถึงจะบอกว่าเจ้าเป็นขุนพลที่ฝีมือดีที่สุดของข้า...แต่จนแล้วจนรอดข้าก็ยังอ่านเจ้าไม่ออกเสียที...เจ้าน่ะมันลึกลับได้อย่างสำคัญเสียจริงๆ...อะแซหวุ่นกี้! "
............................................
...เช้าวันต่อมา...จวนของออกพระเพชรพิไชย เขตพระราชฐานชั้นนอก...
...เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี หรือไกรตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืดอย่างสดชื่นและแจ่มใส หลังจากที่ความง่วงและเรื่องราวต่างๆที่ประดังประเดเข้ามาบังคับให้เขาล้มตัวลงนอนตั้งแต่บ่ายสามโมง และสลบรวดเดียวถึงเช้าเช่นนี้...ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาอย่างงงๆซักพักนึงก่อนจะโคลงหัวเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าเขาตื่นเช้ากว่าทุกที เลยไม่มีหญิงรับใช้มาคอบบริการต้มชากาแฟและเตรียมน้ำท่าล้างหน้าล้างตากับเสื้อแสงชุดใหม่ให้...ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆให้กับตัวเองทันที
" ฮ่ะๆ ทั้งๆที่แต่ก่อนก็ทำอะไรพวกนี้เองตลอดแท้ๆนี่หว่า...นี่ตูถูกความสะดวกสบายตามใจจนเสียนิสัยแล้วเหรอเนี่ย "
ชายหนุ่มอ้าปากหาวเล็กน้อยพร้อมกับบิดตัวจนกระดูกลั่นเกรียว ก่อนจะลุกขึ้นไปที่ตั่งโบราณที่มีลักษณะคล้ายกับโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกที่เป็นโลหะเงินวาวประดับอยู่พร้อมกับใช้มือลูบหนวดเคราที่เริ่มขึ้นแข็งเป็นตอ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและก้มลงค้นหาอะไรบางอย่างในสิ้นชักตั่งเครื่องแป้งนี้ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหยิบไม้กิ่งไม้ชนิดหนึ่งที่ด้ามถูกสลักไว้อย่างสวยงามไปจนถึงส่วนท้ายที่มีลักษณะแหลมเรียวเล็กน้อย ในขณะที่ส่วนหัวถูกทุบให้แตกเป็นฝอยๆและสางจนฟูและดูเป็นระเบียบขึ้นมาพร้อมกับตลับเงินเล็กอีกตลับหนึ่งขึ้นมา...ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะคว้าขันเงินตักน้ำจากตุ่มเล็กๆที่วางอยู่ใกล้ๆกับหน้าต่าง ในขณะที่ดวงตาเสมองไปยังภายนอกบ้าน ที่แม้ว่าจะยังคงไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา แต่ตามรายทางก็ถูกจุดประดับไว้ด้วยคบเพลิงอันโชติช่วงที่วางแน่นขนัด ให้แสงสว่างจนกระทั่งเขาสามารถเพ่งสังเกตเห็นกำแพงพระราชวังทั้งของชั้นนอกและชั้นกลางได้อย่างชัดเจนทีเดียว
" นานแล้วนะเนี่ย...ที่ไม่ได้ตื่นแต่เช้ามืดขนาดนี้ "
ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองกิ่งไม้รูปร่างประหลาดๆและตลับเงินในมือพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
" กิ่งข่อยกับเกลือ สีแล้วฟันขาว...ฮ่ะๆ ก็เคยแต่อ่านในเรื่อง อตีตา มาก่อนตอนนั้นก็นึกสงสัยอยู่หรอกว่ามันใช้กันยังไง...นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาใช้กับตัวเองแบบนี้ " ชายหนุ่มบ่นเบาๆพร้อมกับจิ้มส่วนหัวของกิ่งข่อยที่ถูกทุบแตกเป็นฝอยกับตลับเงินที่ใส่เกลือป่นละเอียดอยู่ ก่อนจะยกขึ้นมาสีฟันราวกับเป็นแปรงสีฟันพร้อมกับทำหน้าเหยเกทันที
" อ...อึ๋ย...เค็มแต่ดีสินะ "
หลังจากแปรงฟัน(แบบวินเทจด้วยข่อยกับเกลือ)และล้างหน้าล้างตาจนตาสว่างขึ้นเสร็จสิ้น กิจวัตรประจำวันของเขาที่ต้องทำต่อไปคือการฝึกดาบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเป็นประจำมาตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่กับครูมืดที่ยุคปัจจุบัน จนกระทั่งถึงในเวลานี้...ถึงแม้ว่าวันนี้จะพิเศษกว่าตรงที่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะฝึกด้วยดาบประจำกายของเขาที่ถูกตีขึ้นโดยยูกิโอะอย่างดาบสดายุและดาบสัมพาทีก็ตาม
' ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่อาจขาดการฝึกซ้อมพื้นฐาน...คนเก่งที่ว่าแน่ๆ ยังไงก็แพ้คนขยัน ' นี่เป็นคำสอนของครูมืด...หนึ่งในหลายๆคำสอนที่แม้จะน่าหมั่นไส้แค่ไหนแต่เขาก็จดจำไว้อย่างขึ้นใจเลยทีเดียว
หลังจากที่ค่อยๆเดินลงมาจากตัวบ้าโดยไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนเจ้าบ้านและผู้อื่นที่ยังคงนอนหลับอยู่จนกระทั่งเขามายืนอยู่ตรงสนามหญ้าที่หน้าจวน ชายหนุ่มก็เปลือยดาบสีเงินออกมาจากฝักหนัง ก่อนที่เขาจะใช้นิ้วกดเข้าที่ปุ่มกลไกบางอย่างที่อยู่ตรงด้ามดาบ ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ส่วนสันของดาบสดายุเปิดออกพร้อมกับที่ดาบสีตะกั่วเล่มบางอย่างดาบสัมพาทีจะพุ่งเข้าสู่มืออีกข้างหนึ่งที่รอรับไว้อยู่แล้วทันที ทำให้เขายิ้มออกมาบางๆราวกับเด็กเล็กๆที่ได้ของเล่นใหม่ที่ถูกใจไม่มีผิดเพี้ยน
" ต่อให้เป็นวิทยาการในยุคปัจจุบันก็ใช่ว่าจะสามารถสร้างดาบกลได้อย่างปราณีตขนาดนี้เลยนะ ฝีมือของคนจริงๆรึเปล่าเนี่ย " ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆพร้อมกับสะบัดดาบสีเงินที่เบาราวกับถือขนนกและดาบสีตะกั่วที่หนักอึ้งราวกับเอาตะกั่วจริงๆมาทำไปมาอย่างรวดเร็วและชำนิชำนาญราวกับว่ามันเป็นดาบที่เขาใช้เป็นดาบประจำมือมาทั้งชีวิต...ซึ่งไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งก็คงจะยังสามารถูดได้ว่าน่าทึ่งมากที่ยูกิโอะสามารถตีดาบที่เหมาะมือเขาได้มากถึงขนาดนี้ด้วยการพบและจับมือกันเพียงครั้งเดียวเช่นนี้
แปล๊บ!
" อ...อึ๋ย! "
แต่หลังจากฝึกดาบได้เพียงครู่เดียวชนิดเพียงแค่เหงื่อออกซึมๆเท่านั้น บาดแผลที่บริเวณไหล่ขวาของเขาก็ปวดแปล๊บขึ้นมาราวกับถูกๆฟช๊อตจนเขาจ้องหลุดมือลงอย่างกะทันหัน พร้อมกับน่านิ่วคิ้วขมวดมองแผลที่เวลานึ้ถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวอย่างหนาแน่นทันที
" ...นึกว่าข้าบอกเจ้าไปแล้วเสียอีก ว่าอย่าพยายามให้แผลกระทบกระเทือนในช่วงนี้ และเรื่องดาบน่ะ ต้องรอหลัง ๒ อาทิตย์ไปแล้ว...นี่ตกลงเจ้าไม่ฟังข้าเลย...หรือว่าแค่ต้องการหาเรื่องเจ็บตัวเฉยๆกันแน่นะ ไกร " เสียงของมือสังหารหญิงสาวชาวตะวันตกผู้ในเวลานี้กลายมาเป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาของเขาเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนกระทั่งไกรที่ตกอยู่ในภวังค์อยู่สะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะเบาๆในลำคอทันที
" หึๆ นึกว่าเจ้าจะคุ้นชินกับการเรียกข้าว่า ท่านไกรเจ้าคะ ซะแล้ว "
" ถ้าหากข้าชินขึ้นมา แล้วเจ้าจะขนลุก...แล้วไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเพื่อหนีความผิดเลย ข้ากำลังตำหนิเจ้าอยู่นะ " หญิงสาวที่เวลานี้อยู่ในชุดกระโจมอกและโจงกระเบนที่มีลักษณะทะมัดทะแมงคล้ายกับการแต่งกายของพวกจ่าโขลนเพียงแต่สีเข้มกว่า ในขณะที่ทรงผมเปลี่ยนจากไว้ยาวและม้วนเป็นลอนๆอย่างลูกคุณหนูชาวตะวันตก เปลี่ยนเป็นเกล้ามวยสูงไว้เพื่อให้ทะมัดทะแมงพร้อมกับไว้จอนผมเล็กๆที่ถูกดัดอย่างสวยงามข้างๆใบหูที่อธิบายง่ายๆคือคล้ายกับตัวละคร ทองกวาว ในเรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ไม่มีผิด ที่ถึงแม้ว่าจะดูแปลกตาที่คนตะวันตกเต็มขั้นอย่างเธอมาใส่ชุดไทยที่ทะมัดทะแมงเช่นนี้ แต่เธอก็แต่งออกมาได้ดูดีจนน่ารักน่ามองไปอีกแบบจากปรกติเลยทีเดียว
" น่ารักดีนะ... "
คำชมที่ออกมาจากปากชายหนุ่มทำเอาอนาสตาเซียหน้าร้อนวูบ หญิงสาวบ่นอุบอิบอะไรบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์เบาๆ ก่อนจะชี้หน้าพร้อมกับพูดเสียงดังว่า
" ไม่ต้องมาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเลย! ออกกำลังหนักๆเช่นนี้ถ้าหากแผลฉีกจะว่าอย่างไรกัน! "
" น่าๆ แค่ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยเท่านั้น...ขืนอยู่เฉยๆตั้งสองอาทิตย์มีหวังฝีมือขึ้นสนิมหมดพอดีน่ะสิ "
" ฝีมือขึ้นสนิม? "
" อ๊ะ...โทษที หมายถึงฝีมือตกน่ะ ...ว่าแต่ทางเธอเถอะ...หลังจากที่ข้ากลับมาก่อนแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะ? "
หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อยในคำพูดประหลาดๆของอีกฝ่าย แต่เธอก็ยักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไรนักเพราะเริ่มชินเสียแล้ว ก่อนจะตอบคำถามของไกรเบาๆว่า
" อยากฟังเรื่องไหนก่อนดีล่ะ...เอาเป็นเรื่องของสมเด็จเจ้าฟ้าที่เจ้าเทิดทูนบูชาก่อนดีไหม? "
" ฮ่ะๆ ข้าเป็นคนตามใจคนอยู่แล้ว...เอาเรื่องที่เจ้าอยากเล่าก่อนเลย "
" ...อืม...หลังจากเรื่อง บุตรีแห่งสุรีย์แสง ที่อยู่ในร่างของสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรเกิดอาละวาดขึ้นมา...ทำให้พระสวัสดิภาพของพระองค์อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง...แต่จะให้เจ้าไปเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์ก็ติดตรงที่เจ้าเป็นชายพายเรือ จะให้รับใช้ใกล้ชิดก็คงจะไม่เหมาะสมด้วยเกรงจะเป็นที่ครหา ข้าจึงได้รับบัญชาจากสมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีให้กลายเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ของสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร โดยมีศักดิ์เป็นรองเพียงแค่คุณท้าวศรีสัจจาผู้เป็นหัวหน้ากองจ่าโขลนทั้งหมดทั้งมวลเท่านั้น "
" หา?! เอาจริงดิ? "
" อืม...ไม่เห็นต้องทำเสียงตกใจหรือทำหน้าไม่เชื่อถือขนาดนั้นเลยนี่ "
" ไม่ๆ เพียงแต่ว่า แบบนี้มันก็เท่ากับว่าหมู่บ้านยุคันตวาตของเธอเข้ามามีอำนาจในราชสำนักอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจเลยไม่ใช่รึอย่างไร? "
" หมู่บ้าน ของเรา...ไกร...แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เพราะหมู่บ้านของเราไม่ได้มีจุดประสงค์มาเกี่ยวข้องกับการชิงความเป็นใหญ่ในอโยธยาหรือราชอาณาจักรต่างๆในสุวรรณภูมิอยู่แล้ว...หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องยุ่งยากนี่พวกเราทั้งหมดก็จะถอนตัวกลับไปอย่างเงียบๆเองนั่นแหละ " หญิงสาวพูดเพื่อแก้ความเข้าใจของไกรเสียใหม่เบาๆ ในขณะที่ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกและส่ายหน้าเบาๆอย่างไม่อยากจะคิดอะไรมากและถามขึ้นเบาๆอีกครั้ง
" แล้วท่านหญิง---หมายถึงสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรว่าอย่างไรบ้างล่ะ? "
หญิงสาวเหลือบมองมาที่ไกรพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับมาว่า
" ...พระองค์ทรงไม่ขัดข้องบัญชาของพระพี่นาง...และไม่ถือพระองค์เลยแม้แต่น้อย เฮ้อ...ขนาดข้าเป็นสตรีเช่นเดียวกันแท้ๆยังรู้สึกเคารพและชอบพอเลย...นับประสาอะไรกับ...ว่าไหม? "
" เฮ้อ...ถ้าเรื่องนี้ข้าต้องตกนรก ข้าก็คงอุ่นใจที่มีเจ้าตามหลังมาติดๆล่ะนะ...เอาเถอะ แล้วเรื่องอื่นล่ะ "
หญิงสาวทำหน้าคิดเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะร้องอ๋อเบาๆ อย่างนึกขึ้นได้พร้อมกับพูดต่อทันทีว่า
" เมื่อวานพวกเรา...ในที่นี้ข้าหมายถึงกลุ่มของอุษา ศกุนตลา และสิงห์ปะทะกับกลุ่มมือสังหารลึกลับที่ใช้ตราสัญลักษณ์เช่นเดียวกับของเราแล้วล่ะ น่าจะเวลาเดียวกับที่เจ้าไปมีเรื่องกับไอ้ลูกใครหว่านั่นแหละ "
คำพูดของอนาสตาเซียทำให้ไกรถึงกับชะงักกึก ก่อนจะเก็บดาบที่เวลานี้รวมเป็นเล่มเดียวแล้วเข้าสู่ฝักทันที
" แล้วเป็นอย่างไรบ้าง? "
" ท่านพ่อซึ่งเป็นผู้พูดกับพวกอุษาโดยตรงเล่าว่าพวกเขาไม่ได้ปะทะกันอย่างเต็มที่หรอก เพียงแค่ลองเชิงด้วยการปล่อยกระแสจิตสังหารเพื่อวัดพลังกันเท่านั้น...แต่อุษาบอกว่าทางเราแพ้ชนิดหมดรูปเลยทีเดียว "
" ห...หา?...แพ้หมดรูป...ไอ้สิงห์ที่มีจุตคุกคามน่ากลัวราวกับปิศาจนั่นน่ะนะ?!! "
" อืม...ไอ้ปิศาจนั่นแหละ...แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ทุกอย่างมัมีชั้นมีอันดับของมัน "
" ถ้าอย่างนั้นไอ้ระดับที่สูงกว่าสิงห์ก็ไม่น่าจะเรียกว่า มนุษย์ ได้แล้วล่ะ " ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับโคลงหัว ในขณะที่หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับตรวจดูตรงหัวไหล่ของไกรที่ถูกพันไว้ด้วยแถบผ้าขาวโดยถือวิสาสะแกะแถบผ้าออกดูรอยแผลซึ่งไกรเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เขาขยับถอยห่างเล็กน้อยเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะได้กลิ่นเหงื่อของเขา
" เฮ้อ...แผลปิดสนิทเรียบร้อยดี...เจ้าก็แค่ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำมากก็แล้วกันนะ...โดยเฉพาะคนประหลาดที่จำต้องอาบน้ำเช้าเย็นๆ ทำตนราวกับดรุณีน้อยในกรงทองเช่นเจ้านั่นแหละ...ว่าแต่ข้าจะถามตั้งแต่แรกแล้วนะ...ว่าตกลงเมื่อวานเจ้าไปเจอะเจอกับอะไรมา ถึงได้กลับมาก่อน ทั้งยังไม่คิดจะพูดจะจาอะไรกับใครซักคำ... "
คำถามที่ถามอย่างเรื่อยๆของหญิงสาวกลับทำให้ไกรหน้าเคร่งลงเล็กน้อยอย่างประหลาดพร้อมกับนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลา...ที่เป็นแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า เขาได้พบเจอและพูดคุยกับคนที่เป็นหนึ่งในนักรบสำคัญที่หลบเร้นอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อย่าง...ขุนรองปลัดชู...
...ต่อให้ใจอยากจะบอกแค่ไหน...แต่เขาก็ไม่อาจจะฝืนดวงชะตาและประวัติศาสตร์ที่เขียนไว้ เพื่อช่วยเหลือวีรชนแห่งกองทหารอาทมาทผู้นั้นได้...เขาทำได้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น ตามครรลองของเวลาเท่านั้น...
" ไม่มีอะไรสลักสำคัญหรอก...เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้...ข้าแค่ฝืนสังขารและง่วงนอนเกินไปเท่านั้นแหละ "
" หืม? " หญิงสาวครางออกมาอย่างใคร่จะเชื่อถือในคำตอบแบบขอไปทีที่ดูก็รู้ว่าปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆของไกรนัก แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ว่าอะไรต่อไป...อดีตออกญาจักรีผู้เวลานี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาตและเป็นบิดาบุญธรรมของอนาสตาเซียก็ควบม้าพุ่งมาด้วยท่าทีเร่งรีบ โดยเจตนามาหาพวกเขาโดยตรงจนทั้งไกรและอนาสตาเซียต้องเลิกคิ้วมองอย่างงงวยทันที
" ท่านพ่อ?/ท่านผู้เฒ่า? "
" ไกร...ดีจริงที่เจ้าตื่นแต่เช้ามืดเช่นนี้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาปลุกและอธิบายเรื่องราวให้ยุ่งยาก...มากับข้าประเดี๋ยวนี้เลย...มีการสำคัญที่ต้องพึ่งเจ้าแล้ว " ท่านผู้เฒ่าที่มีท่าทีเร่งรีบพูดเรียบๆพร้อมกับชักม้าเพื่อหยุดอย่างกระทันหันจนม้ายกขาหน้าขึ้นเตะอากาศพร้อมับร้องออกมาเบาๆทันที ในขณะที่ไกรยังคงยังงงงวยกับคำสั่งแบบปัจจุบันทันด่วนของอีกฝ่าย อนาสตาเซียก็ถามผู้เป็นพ่อบุญธรรมของเธอเบาๆทันที
" เกิดอะไรเร่งด่วนหรือร้ายแรงขึ้นอย่างนั้นหรือ? ท่านพ่อ "
" ก็...ไม่เชิงเร่งด่วนหรือร้ายแรงอะไรนักหรอก...แต่ว่า... "
" แต่ว่า? "
" มือฉมังธนูที่เมื่อคืนวานพยายามจะลอบปลงพระชนม์สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร และเวลานี้อยู่ภายใต้การควบคุมและสอบสวนของพวกเราชาวหมู่บ้านยุคันตวาตปฏิเสธที่จะสารภาพความจริงและบอกข้อมูลใดๆทั้งสิ้น...ทั้งที่เราทั้งใช้ไม้อ่อนก็แล้ว ไม้แข็งก็แล้ว...จนถึงวิธีที่ข้าไม่อยากใช้ที่สุดอย่างการลงทัณฑ์ทรมานก็แล้วทั้งคืน นางก็ยังคงเย็บปากไว้อย่างสนิท...นางยังคงยืนยันเงื่อนไขเดียวของนางที่จะทำให้นางยอมเปิดปาก...คือนางจะขอสารภาพและพูดความจริงกับเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี หรือกับเจ้าเท่านั้น ไกร... "
.....................................................
...เวลาต่อมา ณ บ้านที่มีลักษณะและสถาปัตยกรรมคล้ายบ้านของพ่อค้าวาณิชย์ชาวจีนเล็กๆ ที่ถูกปลูกอย่างกลมกลืนไม่สะดุดตา อยู่ท่ามกลางแถบชุมชนธรรมดาๆ ไม่ไกลจากย่านตะแลงแกงและตลาดหน้าคุกมากนัก...
หลังจากสิ้นเสียงคำสั่งที่ไม่เหลือช่องทางให้ปฏิเสธได้ของท่านผู้เฒ่า ในที่สุด ไกรก็ถูกบังคับให้ขึ้นซ้อนท้ายบังเหียนม้าของท่านผู้เฒ่า โดยที่คำขอร้องว่าขอล้างเนื้อล้างตัวก่อนถูกปล่อยผ่านให้ลอยไปในสายลมโดยที่ท่านผู้เฒ่าไม่แม้กระทั่งเสียเวลามาปฏิเสธด้วยซ้ำ! ...ก่อนที่ท่านจะฟาดแส้เพื่อกระตุ้นม้าให้วิ่งลิ่วออกนอกเขตกำแพงราชฐานออกมาโดยที่มีอนาสตาเซียที่ควบม้าอีกตัวตามมาติดๆ ...หลังจากที่เขาหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัวการขี่ม้าชนิดเสียภาพพจน์เจ้าพระยาพานทองเพียงวูบเดียว...ในที่สุด ม้าของเขาก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังนี้ทันที
" ท...ที่นี่มัน? "
" อ้อ...ไกร...เจ้าพึ่งมาที่นี่ครั้งแรกสินะ...ยินดีต้อนรับสู่สถานที่กบดานหลักของพวกมือสังหาร ที่ๆเรามารวมตัวกันอยู่ก่อนจะทำภารกิจลอบสังหารใดๆในอโยธยานี้...แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลามาแนะนำสถานที่...เจ้าเร่งตามข้ามาก่อนเถอะ " ท่านผู้เฒ่าแนะนำอย่างลวกๆ ก่อนจะกระตุ้นเร่งให้ชายหนุ่มและอนาสตาเซียเดินตามเขาเข้าไปในบ้านติดๆ
" โอ้โหเฮะ! "
...ทั้งที่เมื่อเข้ามาในบ้านชั้นแรก ไกรเห็นว่าที่นี่เป็นเหมือนกับพ่อค้าชาวจีนที่มีความเป็นอยู่พอปานกลาง ทั้งของตกแต่งที่ดูเรียบง่ายและกลมกลืนราวกับมีคนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ แต่พอก้าวขึ้นไปบนชั้นที่สองอันเป็นชั้นที่ต้องขึ้นด้วยบันไดกลที่ถูกซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนเท่านั้น ไกรก็ถึงกับต้องอุทานออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ทันที
ภายในตึกที่เป็นส่วนชั้นที่สองของตัวบ้านมีบรรยากาศที่ต่างจากบรรยากาศบ้านๆของชั้นล่างชนิดพลิกฝ่ามือ เพราะส่วนด้านบนนี้ถูกสร้างให้เป็นเหมือนเซฟเฮาส์ที่มีทุกอย่างที่เหล่าจารชนจำเป็นต้องมีอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นที่พักที่นอน...เสื้อผ้าหยูกยา อาวุธยุทธภัณฑ์ ไปจนถึงเสบียงกรังอันเป็นข้าวสารอาหารแห้งที่ถูกเตรียมไว้อย่างบริบูรณ์ชนิดอยู่อย่างสุขสบายได้เป็นเดือนๆ จนไกรถึงกับต้องทำตาโตเท่าไข่ห่านอย่างห้ามไม่อยู่
ในขณะที่ไกรยังคงตกตะลึงอยู่นั้น ท่านผู้เฒ่าจะเดินไปที่มุมนึงของชั้นที่สองและก้มลงทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงแกร๊ก! เบาๆ พร้อมๆกับที่ผนังค่อยๆถูกเปิดออก เผยให้เห็นบันไดลับที่ถูกซ่อนไว้อีกครั้ง
" ห...ห้องลับในห้องลับอีกทีเนี่ยนะ?! " ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆทันที ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นเรียบๆว่า
" ขึ้นมาเถอะ...พวกนั้นคงจะร้อนใจอยากจะพบเจ้าเช่นกันล่ะกระมั้ง "
" พวกนั้น? " ไกรทวนคำอย่างงงๆ แต่เมือ่เขาแทรกตัวขึ้นบันไดลับเล็กๆแคบๆขึ้นมาสู่อีกชั้นหนึ่ง คำตอบของคำถามที่อยู่ในหัวก็ถูกตอบให้โดยทันที
" อ้าว? เฮ้ย...สิงห์ แล้วก็ศกุนตลา อุษา? นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก " ไกรเดินเข้ามาทักสิงห์ที่ยืนกอดอกอยู่อย่างยินดีราวกับเจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ทันที ในขณะที่สิงห์ที่ยืนกอดอกอยู่ยิ้มยิงฟันใส่เหมือนเป็นการทักทายตอบกลับมาทันที
" เออ...ตูเอง ท่านเจ้าพระยา...ก็ยังดีวะที่ยังจำกันได้ นึกว่าได้ดีแล้วลืมสหายเก่าๆอย่างพวกข้าไปแล้วซะอีก "
ระหว่างที่ไกรและอนาสตาเซียกำลังเข้ามาทักทายกับสิงห์และอุษาอยู่นั้น ท่านผู้เฒ่าก็เดินเข้าไปใกล้ลูกกรงเหล็กที่มีลักษณะคล้ายคุกหรือกรงขังสัตว์ตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยถามศกุนตลาที่ยืนกอดอกมองไปในกรงเหล็กนี้อย่างไม่วางตาทันที
" เป็นอย่างไรบ้าง? "
" เหมือนเดิมนั่นแหละเจ้าค่ะ...นางยังคงยืนยันว่าจะไม่พูดอะไรนอกจากผู้ที่ถามนางจะเป็นไกรเท่านั้น...และการทรมานดูเหมือนจะได้ผลน้อยเหลือเกิน ราวกับว่านางถูกฝึกเพื่อรับมือกับการทรมานเช่นนี้อยู่แล้ว " หญิงสาวพูดเรียบๆโดยสรุปใจความที่สำคัญทั้งหมดอย่างรวบรัดและพูดน้อยตามแบบฉบับของเธอ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็ครางออกมาเบาๆทันที
" เฮ้อ...กูเอ๋ยกู อยากจะบ้า...เอาเถอะ อย่างไรเสียผู้เดียวที่นางต้องการจะพูดด้วยก็มาอยู่ที่นี่แล้ว...คราวนี้ลองดูรึว่านางจะเล่นลวดลายอะไรอีก " ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะเรียกไกรให้เข้าไปในกรงนั้น โดยมีศกุนตลาตามเข้ามาด้วยด้านหลัง เผื่อว่าอีกฝ่ายจะเล่นลวดลายอะไรอย่างที่ท่านผู้เฒ่าว่า โดยปล่อยให้ที่เหลือเฝ้าสังเกตการอย่างปลอดภัยอยู่ด้านนอกเท่านั้น
ไกรขยับดาบสดายุในฝักอีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเองกรณีที่เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น ถึงแม้ว่ามองด้วยตาเปล่ามันจะไม่จำเป็นใดๆเลยก็ตาม เพราะหญิงสาวผู้เป็นมือฉมังธนูตรงหน้าเวลานี้กึ่งนั่งกึ่งนอนคอพับลงและสลบไปอย่างเหนื่อยล่ส ในขณะที่แขนและขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่สีดติดกับซี่ลูกกรงเหล็กอย่างหนาแน่น ชนิดที่ต่อให้เป็นวัวเป็นควายก็ยังไม่อาจจะสะบัดให้หลุดหรือขาดได้...นับประสาอะไรกับหญิงสาวตัวเล็กๆเช่นนี้
" นี่พวกเจ้าทำอะไรกับนางกันบ้างเนี่ย? " ไกรที่สังเกตเห็นรอยแผลและรอยคราบโลหิตจำนวนไม่น้อยตามเนื้อตัวของหญิงสาวมือฉมังธนูตรงหน้าจึงอดเหลือบมาถามศกุนตลาที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ ในขณะที่เธอหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกทันทีเหมือนกับรู้ตัวว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามนี้อยู่แล้ว และตอบกลับมาเบาๆทันที
" การสอบสวนจากเบาไปหาหนักอย่างไรล่ะ "
" คราวหลังเรียกข้ามาก่อนที่จะถึงการสอบสวนสถานหนักก็ได้นะ ท่านผู้เฒ่า " ชายหนุ่มหันไปพูดกับท่านผู้เฒ่าเบาๆ แต่ก็แทบไม่มีใครสนใจในคำพูดที่เหมือนกับจะเป็นการเห็นใจอีกฝ่ายของเขาเลย ในขณะที่ศกุนตลาไม่รอฟังอะไรทั้งสิ้น...หญิงสาวหยิบขันโลหะที่ใส่น้ำสีตุ่นๆขึ้นมาพร้อมกับสาดไปที่หญิงสาวมือฉมังธนูที่เวลานี้ถูกจับเป็นเชลยและสิ้นสมประดีอย่ทันที
โครม!
แต่หลังจากที่มือฉมังธนูสาวผู้นั้นถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างไม่เต็มใจด้วยน้ำอันเย็นยะเยือกจนเธอถึงกับสำลักและต้องสะบัดหน้าเริ่ดขึ้นจนเส้มผมยาวที่ลงมาปิดบังหน้าตาจนทีแรกมองรูปพรรณสัญฐานไม่ค่อยชัดขึ้น ผู้ที่ตกตะลึงจนต้องก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้สึกตัว ดวงตาเบิกโพลงราวกับถูกผีหลอกกลับกลายเป็นตัวเจ้าพระยาพิทักษ์ฯเอง...ไกรอ้าปากค้างอย่างห้ามไม่อยู่พร้อมกับก้าวถอยหลังไปอีกสองก้าว ก่อนที่ในที่สุดเขาจะต้องครางออกมาราวกับละเมอรำพึงเบาๆว่า
" พ...เพียงออ?!! "
......................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ