ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.55K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

52)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
 
================================================
 
 
 
 
     ...ต่อมาไม่นาน...ณ โรงเตี๊ยมที่เป็นเหมือนกับโรงแรมขนาดใหญ่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแยกตะแลงแกงนัก...
 
       " จะเอาอย่างนี้จริงๆหรือ...ท่านไกร "  ในที่สุดหลวงยกกระบัตรเมืองตากที่เวลานี้เป็นเหมือนกับผู้อยู่ในสายบังคับบัญชาโดยตรงอย่างสินถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างทนไม่ไหว...ในขณะที่ไกรที่เวลานี้นั่งจิบน้ำชาในท่าจอมยุทธ์ที่เขาเคยเห็นผ่านๆในโทรทัศน์ก็หลับตาลงพร้อมกับวางถวยชาและถอนหายใจเฮือกทันที
 
       " ก็ช่วยไม่ได้นี่... "
 
       " ช่วยไม่ได้? "
 
       " ก็หลังจากต้องโทษ...ทั้งยศศักดิ์และบ้านเรือนของมัน...รวมถึงข้าทาสบริวารต่างก็ถูกริบเข้าหลวงเสียสิ้นแล้ว...ก็ต้องพักโรงแรม---หมายถึงโรงเตี๊ยมเช่นนี้แหละ "
 
       " เอ้า! ก็ให้ไปพำนักที่เพิงพักของเหล่าทหารมหาดเล็ก หรือไม่ก็กับพวกไพร่หลวงที่มาทำงานในวังก็ได้นี่ขอรับ! "
 
       " เฮ้อ...ถึงจะบอกว่าเขาได้กลายเป็นหนึ่งใน หน่วยคเณศร์เสียงา ของพวกเราแล้วก็เถอะ แต่ก็เพราะราชโองการแบบบังคับหักคอกันของพระเจ้าอุทุมพร...แล้วอีกอย่างเจ้าก็เห็นแล้วนี่...เรื่องเหตุการณ์ก่อกบฏของเจ้านั่นถ้านับกันตามจริงตามที่พระเจ้าอุทุมพรเป็นผู้บอกมันก็พึ่งจะผ่านมาแค่ปีเศษๆเท่านั้น...ถ้านำเข้าวังในเวลานี้มีหวังไม่ขุนนางผู้ใดก็ผู้หนึ่งที่จำได้แน่...ไม่ใช่ว่าข้าเป็นห่วงสวัสดิภาพของมันหรอกนะ แต่มันอาจจะเป็นที่ครหาให้เสื่อมเสียได้ ที่พระเจ้าอุทุมพรทรงอภัยโทษผู้ที่เคยลอบปลงพระเจ้าเอกทัศน์ในเวลาเช่นนี้ ถึงจะบอกว่าได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเอกทัศน์แล้วก็เถอะ...อีกอย่าง เรืองน่ะยังคงไม่ยอมรับในพระราชอำนาจของพระเจ้าเอกทัศน์...ขืนให้เข้าไปในวังแล้วมันเกิดบ้าเลือดทำอะไรโง่ๆขึ้นมา พวกเราเองนี่แหละที่จะพลอยฟ้าพลอยฝนซวยไปด้วย "
 
        สินเหลือบสายตามาสบตาของไกรนิ่งอย่างค้นหาความจริงโดยมีประกายแห่งความนับถือความคิดอ่านของเขาซ่อนอยู่เล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำนนต่อเหตุผลที่ไม่อาจเถียงได้ของอีกฝ่าย...เขาถอดดาบคู่ที่ขัดอยู่กลางหลังวางไว้บนเก้าอี้ข้างๆเป็นเชิงผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนยกชาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นจิบเล็กน้อย
 
       " ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...แต่ว่า เล่นมาพำนักที่โรงเตี๊ยมใหญ่เช่นนี้...มีหวัง "
 
       " ไม่ต้องห่วงหรอกน่า...พระเจ้าอุทุมพรพระราชทานเบี้ยอัฐมามากพอจะให้เขาพำนักอยางหรูหราได้อีกหลายคืน...ถึงเวลานั้นเราค่อยว่ากันใหม่ก็ยังไม่สาย "
 
         สินกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก อดครางส่งที่คิดอยู่ในใจออกมาเบาๆไม่ได้
 
       " เฮ้อ...ที่ข้ากังวลไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้น แต่ท่านพูดถึงเรื่องนี้ก็พอดีเลย...เอาอากรบ่อนเบี้ยที่ขูดรีดจากชาวบ้านตาดำๆมาเลี้ยงดูปูเสื่อโจรเช่นนี้...บ้านนี้เมืองนี้มันชักจะวิปริตขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ "
 
       " โฮ่...สำหรับขุนนางหน้าใสรุ่นใหม่ๆ เจ้าทั้งสองเป็นพวกที่ปากกล้าจนข้าอดประหลาดใจไม่ได้เลยนะ " 
 
         อยู่ๆ เสียงอันเหี้ยมเกรียมอันน่าขนลุกของอดีตพระยาเพชรบุรีผู้มีนามว่าเรืองก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของพวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย...แต่ทั้งไกรและสินดูเหมือนจะระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว เพราะพวกเขาแค่เพียงชะงักและสะดุ้งไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่สินจะหันกลับไปจ้องเขม็ง พร้อมๆกับที่ไกรขยับยิ้มเล็กน้อยและผายมือไปที่เก้าอี้อีกตัวที่ยังว่างอยูพร้อมกับเอ่ยปากชวนเรียบๆ
 
       " นั่งก่อนสิ...ท่านเรือง "
 
         อดีตพระยาผู้ถูกลงทัณฑ์ในข้อหากบฏเลิกคิ้วที่ดกหนาของเขาขึ้นเล็กน้อย เพราะเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้รับการตอบรับที่สุภาพเช่นนี้...ถึงเขาจะพึ่งพ้นสภาพนักโทษขังลืมมาไม่ถึงครึ่งวัน แต่ในอดีตเขาก็ยังเคยเป็นขุนนางระดับผู้ใหญ่มาก่อน ทำให้แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจปฏิเสธความมีน้ำใจของอีกฝ่ายได้ จึงทำให้เขาได้แต่พ่นลมหายใจออกมาทางจมูกและยอมทรุดลงนั่งแต่โดยดี
 
       " เรียกเรืองเฉยๆก็พอขอรับ...เพราะตามศักดิ์แล้วท่านที่อยู่ในระดับเจ้าพระยามีศักดิ์เหนือกว่าข้า... "  ก่อนที่เขาจะเหลือบไปมองสินที่ส่งสายตาแข็งๆมาที่เขาโดยไม่ยอมหลบตาแม้แต่น้อยก่อนจะอดหัวเราะเหยียดๆออกมาไม่ได้ 
 
       " ...อย่างน้อยท่านคนนึงก็ยังมีความอ่อนน้อมต่อวัยวุฒิ...ต่างจากผู้ใต้บัญชาท่านที่ด้อยกว่าข้าทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ...แต่ก็ยังไร้ซึ่งสัมมาคารวะสิ้นดี! "
 
       " ถ้าหากนับกันตามจริง เจ้ามันก็เป็นแค่ อดีตนักโทษ ที่สมควรจะตายไปแล้วตามโทษานุโทษที่เจ้าได้กระทำ...หาได้มีศักดิ์และสิทธิแห่งตำแหน่งพระยาเพชรบุรีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป...ขอให้เข้าใจตรงกันนะ...ขอรับ...ท่านเรือง "  สินเชิดคอขึ้นพร้อมกับเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงมะนาวหน้าแล้งทันที...แถมทั้งๆที่มีทั้งคำว่า ขอรับ  และคำว่า ท่าน  พร้อมสรรพแท้ๆ แต่แม้แต่ไกรเองที่เป็นคนกลางยังไม่รับรู้ถึงความเคารพนับถือเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความประชดประชันล้วนๆ ซึ่งนั้นทำให้ริมฝีปากที่บัดนี้ไร้ซึ่งหนวดเคราแล้วของเรืองขยับเป็นการแยกเขี้ยวแสยะยิ้มทันที
 
       " ปากกล้าดีนี่หว่า...ไอ้เด็ก...เวร ! "
 
       " ถึงข้าจะไม่รู้จักเจ้าเป็นการส่วนตัวก็จริง แต่วีรเวรวีรกรรมของเจ้าก็กระฉ่อนไปทั่ว...ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะเจ้าน่ะ...เพราะคนที่ชังท่านมีมากกว่าผืนเสื่อหลายเท่าตัวแน่นอน! "
 
       ' เฮ้อ...ทั้งๆที่ในประวัติศาสตร์พวกเขาจะต้องร่วมกันต่อต้านศึกพม่าและว่ากันว่าเป็นสหายกันด้วยซ้ำแท้ๆ แต่ความประทับใจแรกที่ได้พบกันก็ดันปีนเกลียวกันชนิดแทบจะกินเลือดกินเนื้อกันซะแล้ว...แบบนี้จะไปกันรอดแน่เร้อ '
 
         ไกรคิดในใจอย่างเหนื่อยหน่ายและเริ่มชินกับการที่เขาได้เจอกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์แบบตัวเป็นๆเช่นนี้แล้ว...เขายกชาขึ้นจิบอีกครั้งพร้อมกับเพ่งมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจและประหลาดใจไปพร้อมๆกัน...เพราะเท่าที่เขาจำได้จากความทรงจำอันเลือนรางเกี่ยวกับพระยาเพชรบุรีผู้นี้ (เนื่องจากโผล่มาในพงศาวดารเล่มหนาปึ้กเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดเท่านั้น) คือเขาเป็นข้าราชการเดิมที่รับราชการมาตั้งแต่ยุคของพระเจ้าบรมโกศ...โดยปรกติแล้วผู้ที่จะไต่ระดับยศถึงระดับพระยาผู้ครองหัวเมืองได้ อย่างเร็วสุดก็คงต้องมีอายุราชการและอายุจริงๆไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี...แต่ชายหนุ่มนามว่าเรืองผู้นี้ ต่อให้คะเนจากหน้าตาให้แก่ขนาดไหนก็คงจะแก่กว่าเขาและสินไม่เกิน ๕-๖ ปีด้วยซ้ำแน่ๆ
 
         หลังจากไร้ซึ่งหนวดเคราและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงปิดบังใบหน้าที่แท้จริงแล้ว ทำให้ไกรได้เห็นว่านอกจากเส้นผมและดวงตาของเรืองที่เป็นสีทองแดงแก่ๆแล้ว เรืองก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย...ทั้งๆที่ส่วนลำตัว แขนขา ลามมาจนถึงลูกกระเดือกเต็มไปด้วยรอยสักอักขระอยู่เต็มไปหมด แต่ใบหน้าของเขากลับดูเกลี้ยงเกลาและผ่องใสสมเป็นขุนน้ำขุนนางจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วชายคนนี้ยังอยู่ในคุกนรกอยู่เลยด้วยซ้ำ...และที่แน่นอนที่สุด คือกระแสแห่งความอาถรรพ์บางอย่างที่แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่องๆโดยที่แม้แต่เรืองเองยังไม่อาจจะควบคุมได้...ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้อาจจะต่างจากความแข็งแกร่งของไกรและสิน...แต่เท่าที่เขาบอกได้ก็คือ...อดีตพระยาเพชรบุรี เรืองผู้นี้เป็นของจริงแน่นอน...
 
         ระหว่างที่ไกรกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น เรืองก็ถือวิสาสะคว้าจอกเปล่าที่คว่ำอยู่และกาน้ำชาไปรินและยกดื่มพรวด ก่อนจะทำหน้าปิติสุขและร้องออกมาเสียงดังลั่น
 
       " อ้าาาา...ให้มันได้อย่างนี้สิเจ้าประคุณเอ้ยยย! "
 
       " ก็แค่น้ำชาไม่ใช่เหรอ? "  สินอดจะเอ่ยติงเบาๆออกมาไม่ได้ แต่คำติงของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายหันขวับมาอย่างเอาเรื่องทันที
 
       " เจ้าลองไปติดอยู่ในนรกนั่นปีกว่าโดยที่ไม่มีอะไรให้กินนอกจากข้าวต้มเละๆผักเปื่อยๆวันละรอบ โดยมีอาหารพิเศษเป็นเนื้อหนูสดๆเท่าที่จะหาได้แถวนั้นบ้างไหมเล่า...แล้วเจ้าจะรู้ว่าเวลานี้แม้แต่น้ำชาระดับดาดๆก็อร่อยระดับอาหารชาววังได้เลย! "
 
       " ถ้าร้องไห้ไม่ออก ให้ข้าช่วยร้องแทนไหม? "  สินครางออกมาเบาๆด้วยสีหน้าว่างเปล่าทันที ในขณะที่ไกรหลุดขำพรืดพร้อมกับรีบเรียกเด็กรับใช้ที่ดูแลในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เพื่อสั่งอาหารทันที
 
       " เออๆ...อย่างไรเสียพระเจ้าอุทุมพรก็พระราชทานอัฐมาให้มากพอสมควรอยู่แล้ว...ท่านจะกินอะไรก็สั่งเสียเลย ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกัน...ถือซะว่านี่เป็นการเลี้ยงอำลาคุกและต้อนรับโอกาสครั้งที่ ๒ เพื่อกลับตัวกลับใจก็แล้วกัน "
 
         เรืองเหลือบกลับมามองไกรผู้เวลานี้กลายมาเป็นหัวหน้าอย่างไม่เป็นทางการของเขาเล็กน้อยด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนที่เขาจะหันไปมองที่ส่วนของชั้นลอยที่คนค่อนข้างจะบางตากว่าชั้นล่างที่เขากำลังนั่งอยู่ ที่เต็มไปด้วยเหล่าพ่อค้าวาณิชทั้งชาวจีนและชาวตะวันตกอีกเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือก...และพูดขึ้นเรียบๆว่า
 
       " ไปนั่งที่ชั้นลอยกันดีกว่า "
 
       " หือ?...เหตุใดล่ะ กลัวโจทก์เก่าผ่านมาเห็นแล้วจำหน้าได้รึอย่างไร? "  ไกรอดเอ่ยแซวออกมาอย่างขำๆไม่ได้ แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปโดยไม่รอคำอนุญาตจากไกรเลย ทำให้ไกรกับสินได้แต่หันไปมองหน้ากันเองพร้อมกับยักไหล่และเดินตามขึ้นไปนั่งบนชั้นลอยติดกับระเบียงที่มีคนเบาบางกว่า เมื่อเขามาถึง เรืองก็สั่งอาหารกับเด็กรับใช้ของทางโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย...แต่เมื่อทั้งไกรและสินได้ยินรายการอาหารที่ยาวเป็นหางว่าวที่เรืองสั่งไว้ พวกเขาก็ต้องถึงกับทำหน้าไม่ถูกทันที
 
       " เรือง...ท่านสั่งแค่ในส่วนของท่านก็พอ ไม่ต้องเผื่อแผ่พวกข้าหรอก...พวกข้ากินกันมาก่อนเข้าไปในคุกแล้ว เวลานี้ก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ด้วย "  ไกรพูดขึ้นเบาๆทันที เพราะถึงเขาจะไม่รู้จักอาหารบางอย่างที่อีกฝ่ายสั่ง แต่เท่าที่เขากะประมาณมันพอให้คนปกติกินได้ ๓ ชุดพอดี   ทำให้เด็กรับใช้ผู้นั้นรีรอเล็กน้อย แต่เรืองกลับหันไปพยักหน้าให้เด็กรับใช้ผู้นั้นพร้อมกับยืนยันรายการอาหารเรียบๆโดยทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของไกรว่า
 
       " เอาตามนี้แหละ...แล้วขอเร่งๆด้วยนะ ข้าในเวลานี้หิวไส้กิ่วเลย "
 
       " เฮ้ย!...นี่เจ้าจะหาเรื่องพวกข้ารึอย่างไร?! "  สินถามอย่างเอาเรื่องทันที ในขณะที่ไกรได้แต่กระพริบปริบๆ เพราะเขาน่าจะเป็นคนที่ควรจะเคืองมากกว่าสินด้วยซ้ำ ค่าที่เหมือนกับอีกฝ่ายจะกวนโมโหเขาโดยตรง...แต่เรืองหันกลับมาและพูดเรียบๆว่า
 
       " ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ...นั่นเป็นส่วนของข้าทั้งหมด...ส่วนเจ้า หลวงยกกระบัตร...มันกงการเรื่องอะไรที่ข้าจะต้องเป็นธุระสั่งให้เจ้าด้วยล่ะ...ญาติโยมรึก็ไม่ใช่ "
 
       ' เออ...แบบนี้ค่อยน่าเคืองหน่อย '  ไกรคิดในใจพร้อมกับถอนหายใจเฮือกทันที ก่อนจะเข้าไปห้ามทัพก่อนที่จะมีรายการฟาดปากกันขึ้นมาจริงๆ
 
         อันที่จริงแล้วถ้าหากมองกันอย่างปราศจากอคติก็คงต้องพูดว่าไม่น่าแปลกใจที่สินรู้สึกขัดหูขัดตาและเขม่นอดีตพระยาเพชรบุรีถึงเพียงนี้ เพราะสำหรับสินและขุนนางทุกคนถือว่าตนเป็นข้าของพระเจ้าแผ่นดิน และต่างก็ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา สาบานว่าจะปกป้องพ่ออยู่หัวจนกว่าชีวิตจะหาไม่...สำหรับอดีตพระยาเพชรบุรีที่มีข้อหาเคยพยายามลอบปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดินที่พวกเขาให้ความจงรักภักดี มันทำให้สินเกิดอคติกับเรืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...แค่ยังพูดคุยกันอยู่ได้โดยไม่วางมวยกันก็ถือว่าสินใจเย็นสุดๆแล้ว...ซึ่งต่างจากไกรที่ทราบถึงประวัติและวีรกรรมของพระยาเพชรบุรีผู้นี้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และถือว่าเวลานี้เป็นเพียงอดีตสำหรับเขา ทำให้เขาไม่ได้เขม่นขี้หน้าอะไรอีกฝ่ายนัก...ตรงกันข้าม จากวีรกรรมในอนาคตทำให้เขาออกจะนับถือชายผู้นี้ด้วยซ้ำ
 
         หลังจากห้ามทัพเสร็จสิ้น ทั้งไกรและสินต่างก็นั่งลงบ้าง ในขณะที่เรืองนั่งเสมองไปที่ทิวทัศน์ตลาดที่อยู่ด้านล่างอย่างเงียบๆ โดยแทบไม่ได้หันมาสนใจทั้งเขาและสินเลยด้วยซ้ำ ทำให้ไกรต้องเอ่ยปากออกไปก่อนว่า
 
       " เป็นไง---เป็นอย่างไรบ้างล่ะ? บ้านเมืองภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์นะ "
 
         เรืองเหลือบหันสายตามามองที่ไกรอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปเพ่งมองเด็กๆหลายคนที่จับกลุ่มวิ่งเล่นกันอยู่เบื้องล่างพร้อมกับที่ปากที่ขยับเป็นรอยยิ้มบางๆจะตอบกลับมาอย่างช้าๆว่า
 
       " พระเจ้าเอกทัศน์แค่โชคดีเท่านั้นแหละ...ที่พ่ออยู่หัวบรมโกศและพ่ออยู่หัวอุทุมพรยอมทำใจยักษ์ เป็นผู้ที่หัตถ์เปื้อนเลือด แผ้วถางขวากหนามรายทางไว้ให้อย่างเรียบร้อยแล้วต่างหาก...หาได้เกี่ยวกับพระปรีชาสามารถของพระองค์ไม่ "
 
       ' อืม...ก็จริงอย่างที่หมอนี่พูดแฮะ...เพราะเหตุที่พระเจ้าบรมโกศชิงราชสมบัติจากโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ่ออยู่หัวรัชกาลก่อนหน้า และสำเร็จโทษเจ้าฟ้าผู้เป็นหลานแท้ๆของพระองค์เองกับเหล่าขุนนางที่ฝักใฝ่ฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด...กับพระเจ้าอุทุมพรที่มีราชโองการสำเร็จโทษ เจ้าสามกรม (๑) ที่ก่อเหตุพยายามสร้างความวุ่นวายจนหมดสิ้น...จนทำให้พอมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์มันเลยไม่เหลือใครที่กล้าพอจะก่อเหตุไม่สงบนั่นเอง '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยโดยปราศจากอคติ ผิดกับสินที่หันขวับไปจ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์โดยเห็นแก่หน้าของไกร จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกอย่างถอนฉิวโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
 
      ...พวกเขานั่งมองวิวทิวทัศน์ที่ผ่านระเบียงที่พวกเขานั่งกันอยู่โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ในที่สุดอาหารต่างๆจะทยอยยกขึ้นมาที่โต๊ะของเขา ซึ่งก็ต้องใช้เด็กเสิร์ฟนำมาเสิร์ฟถึง ๔ คนแถมปริมาณของกับข้าวก็เข้าขั้นล้นโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่เลยทีเดียว...
 
       " เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อนๆ งานนี้คุยกันก่อนเลย เรือง...ไอ้เรื่องสั่งเยอะสั่งไม่เยอะข้าไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ แต่ท่านเล่นสั่งมาเหมือนกัน ๓ ชุดเช่นนี้เพื่ออะไรล่ะวะเฮ้ย? "  ไกรที่เงียบมาตลอดถึงกับโวยขึ้นทันทีที่เห็นรายการอาหารระดับเหลาของอีกฝ่ายที่เล่นสั่งมาเหมือนกันถึง ๓ ชุด โดยไม่เว้นแม้แต่ข้าว ๑ ถ้วยใหญ่ที่วางตรงหน้าพวกเขาทั้ง ๓ คน ในขณะที่เรืองรีบขัดขึ้นพร้อมกับยกมือห้ามทันที
 
       " เฮ้ย ท่านไกร สิน อย่าแตะต้องข้าวปลาอาหารเหล่านี้เป็นอันขาดนะ! "
 
         คำห้ามด้วยน้ำเสียงเกือบจะตวาดของอีกฝ่ายทำให้สินที่กำลังหยิบตะเกียบขึ้นมาถึงกับชะงักกึก ในขณะที่ไกรขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจทันที
 
       " เฮ่ยๆ นี่ท่านเป็นคนหวงกินรึอย่างไร เอาไว้ถ้ากินให้หมดนี่แล้วยังไม่อิ่มก็ค่อยสั่งใหม่ก็ได้นี่...ไม่เห็นต้องทำเสียงดังขนาดนี้เลย "
 
       " ใช่ซะที่ไหนล่ะขอรับ! "  อดีตพระยาเพชรบุรีหันมาทำเสียงขุ่นๆใส่เหมือนกับเคืองที่โดนดูถูก ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกและหันไปหาผู้ที่นำอาหารเข้ามาพร้อมกับพูดเรียบๆทันที
 
       " นี่...เจ้าน่ะ "
 
       " ข...ขอรับ? "
 
       " ที่นี่มีธูปไหม? ขอให้ข้าซัก ๒ ดอกนะ "
 
       " หา? "  ไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มผู้นำอาหารมาวาง...คราวนี้แม้แต่ไกรกับสินก็ยังครางออกมาเบาๆพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายทันที
 
 
      ...หลังจากได้ธูป ๒ ดอกตามคำขอประหลาดๆนั้นแล้ว เรืองก็จัดแจงจุดธูปขึ้นจนแดงวาบและยกขึ้นพนมบริกรรมอักขระคาถาบางอย่างที่พวกเขาฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ครู่หนึง ก่อนจะยกขึ้นจบและเดินเอาธูปมาปักที่ชามข้าวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าไกรและสินชามละดอกพร้อมกับประกาศเสียงดังฟังชัดว่า
 
       " เอ้า...พวกเจ้าน่ะ...พ่อขอโทษจริงๆที่ปล่อยให้หิวโหยอยู่เป็นเวลานาน กินให้เต็มที่เลย...เพราะพ่อต้องพึ่งความสามารถของพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ "  ก่อนที่เขาจะลงมือกินอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่สนใจทั้งไกรและสินที่นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่ตรงหน้าชามข้าวสวยที่มีธูปปักอยู่เลย
 
       " เออ...ดอกนี้สิถึงเรียกว่ากวน-ีนกันของจริง "  ไกรได้แต่ครางออกมาเบาๆ พร้อมกับฝืนหัวเราะอย่างถอนฉิว ในขณะที่สินมองธูปตรงหน้านิ่ง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะครางออกมาเบาๆทันที
 
       " กุมาร...อย่างนั้นหรือ? "
 
       " กุมาร? "  ไกรหันไปทวนคำเบาๆอย่างสงสัย ในขณะที่เรืองที่พุ้ยข้าวอยู่เต็มปากอดหันมาเลิกคิ้วใส่อย่างประหลาดใจไม่ได้
 
       " โอ้...รู้สึกด้วยอย่างนั้นหรือ? "
 
       " เปล่าหรอก...แค่จำนวนธูปและจากคำพูดที่เจ้าใช้เรียกเท่านั้น...ข้าเป็นสายนักรบ ถึงจะมีอาคมครอบหัวอยู่แต่ก็ไม่ได้แก่กล้าขนาดจอมขมังเวทย์เช่นเจ้าซึ่งเป็นคนละสายกัน "
 
       " ก็ว่าอยู่หรอก...อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นคนละสายกับข้าเลย...แม้แต่ไอ้พวกผู้ใช้อาคมที่ว่าเก่งๆหลายๆคนยังไม่อาจรับรู้ถึงลูกของข้าได้เลยหากว่าเจ้าพวกนั้นไม่ยินยอม...ระดับของกุมารของข้ามันแก่กล้าต่างจากกุมารทั่วไปเยอะ...ถึงเวลานี้จะหิวโหยจนแทบคลั่งเพราะข้าไม่ได้ถวายอะไรให้ แต่เรื่องความภักดีล่ะก็เจ้าเด็กสองคนนี่ไม่มีใครเกินเลยทีเดียวล่ะ "  เรืองที่ยังคงพุ้ยข้าวเข้าปากอยู่ยังอุตส่าห์ยิ้มแฉ่งคุยโวกลับมาอย่างภาคภูมิใจ แต่ก็ต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อสินสวนเข้ามาเรียบๆว่า
 
       " ทั้งๆที่พ่อของพวกมันไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความภักดีอยู่ในตัวเลยแท้ๆ "
 
       " พวกสำเภาจีนเขาถึงได้ว่าไว้ งาช้างไม่งอกออกมาจากปากหมา เจ้านี่มันกวนโทสะเวลากินของข้ากับสูกสิ้นดีเลย ไปนั่งให้ไกลหูไกลตายตรงนู้นไป๊! "
 
         ทั้งไกรและสินหันไปมองหน้ากันเองพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะข้างๆแทน ชนิดที่ต่อให้ไม่ไล่พวกเขาก็คิดจะลุกย้ายที่กันอยู่แล้ว เพราะต่อให้อยากเด่นแค่ไหนแต่พวกเขาคงไม่อาจทำใจนั่งอยู่ตรงหน้าชามข้าวที่มีธูปปักอยู่ พร้อมกับไอ้คนเล่นของเช่นนี้แน่ๆ
 
       " ว่าแต่ว่า...ข้าว่าจะถามตั้งแต่เมือครู่แล้ว ท่านไกร ...ไอ้เรื่องตำแหน่งเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีอันเป็นตำแหน่งพิเศษที่มีราชโองการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่น่ะข้าพอเข้าใจจากที่ท่านอุทุมพรเล่าให้ฟังแล้ว แต่ที่ข้ายังสงสัยเรื่องหน่วยคเณศร์เสียงาของท่าน...ไม่สิ...หน่วยคเณศร์เสียงาที่ทั้งข้าและไอ้เด็กเวรนั่นสังกัดอยู่กับท่านน่ะ "
 
       " ไอ้เด็กเวรนั่นน่ะหมายถึงข้าใช่ไหมเนี่ย?! " 
 
       " เฮ้อ...แบบนี้ก็ดีนะ สินจะได้เปลี่ยนเป้าไปมีเรื่องกับท่านแทนที่จะเป็นข้า...แต่เอาเถอะ มีอะไรอย่างนั้นรึ? "
 
       " นอกจากชื่อหน่วยคเณศร์เสียงาแล้ว ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าไอ้หน่วยของพวกเรามันทำหน้าที่อะไร...คงจะไม่ได้เป็นแค่หน่วยโง่ๆที่ตั้งขึ้นเพื่อกินบำนาญเงินหลวงเช่นเสือนอนกินหรอกนะ "
 
       " เฮ้อ...บางครั้งปากท่านมันก็เสียอย่างที่สินว่าจริงๆนั่นแหละนะ...ส่วนเรื่องหน่วยของพวกเรานั้น... "  ไกรชะงักไปเล็กน้อย เพราะถ้าหากว่ากันตามจริงทั้งตำแหน่งและหน่วยของเขาก็ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาด้วยเหตุผลเดียว นั่นก็คือเป็นจุดเบนความสนใจให้ท่านผู้เฒ่าทำงานสืบหาต้นตอของมือสังหารที่ปองร้ายต่อพระเจ้าเอกทัศน์และพระเจ้าอุทุมพรได้ง่ายขึ้น แต่ขืนบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไป ความลับเรื่องของเขาและท่านผู้เฒ่ามีหวังได้แตกโพล๊ะกันพอดีแน่ๆ เขาจึงได้แต่ปั้นเรื่องขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ทันที
 
       " ...หน่วยของพวกเราเป็นหน่วยพิเศษ ที่จะว่ามีหน้าที่ทำทุกอย่างแบบจับฉ่ายก็ว่าได้ล่ะมั้ง "
 
       " จับฉ่าย? "
 
       " เอ้อ...หมายถึงทำทุกอย่างโดยไม่เป็นระบบมากนักน่ะ จุดประสงค์เดียวของหน่วยตามที่พ่ออยู่หัวได้มีราชโองการไว้ก็เพื่อปกป้องคุ้มครองและอารักขาพ่ออยู่หัวทุกวิถีทางโดยไม่เลือกวิธีการ และไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใดเลย เว้นแต่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น "
 
         คำพูดของไกรทำให้พระยาเพชรบุรีหยุดมือลงและนั่งนิ่งไปเล็กน้อย ถึงแม้ปากจะยังเคี้ยวข้าวอยู่ก็ตาม...ก่อนที่ในที่สุด โดยไม่หันหลังกลับมา เรืองก็พูดเบาๆราวกับรำพึงออกมาว่า
 
       " เฮ้อ...แล้วให้ข้ามาเป็นหน่วยอารักขาเนี่ยนะ...งี่เง่าสิ้นดี...คิดว่าข้าจะอารักขาผู้ที่ลงโทษประหารข้ากับสหาย...อารกัขาผู้ที่ข้าคิดจะปลงพระชนม์จริงๆอย่างนั้นหรือ?...ข้าขอบอกแก่ท่านไว้เลยนะ ว่าถึงเวลานี้ความคิดนั่นก็คงยังวนเวียนอยู่ในหัวของข้าไม่เสื่อมคลาย...รอแค่เพียงเวลาเหมาะๆเท่านั้นเอง "
 
         กริ๊ก! 
 
         ดาบที่สวมอยู่ในฝักของสินขยับเผยให้เห็นตัวดาบออกมาเล็กน้อย พร้อมกับจิตคุกคามของเจ้าของดาบที่ขยับพุ่งขึนทันทีที่เรืองพูดจบ แต่ไกรแตะไหล่เป็นเชิงห้ามไว้ก่อนจะหัวเราะอย่างเหนื่อยๆ และพูดขึ้นเบาๆว่า
 
       " จากที่ฟังมา...ท่านหมดศรัทธาในระบอบกษัตริย์แล้วสินะ? เรือง "
 
       " ถ้าหากข้าพูดว่าใช่...ท่านจะสั่งให้สินชักดาบออกมากระซวกข้าเลยอย่างนั้นหรือ...ท่านไกร? "  เรืองพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยุและท้าทายพร้อมกับแผ่จิตคุกคามแปลกๆอันน่าขนลุกขึ้นมาเพื่อต่อต้านจิตคุกคามของสินช้าๆ ในขณะที่เมื่อพูดจบ สินก็ตาลุกวาวขึ้นพร้อมกับกัดฟันกรอดทันที
 
       " ท่านไกร! "  
 
       " เฮ้อ...ไปเดินเตร่ให้อารมณ์เย็นข้างล่างโน่นไป๊...สิน...ข้าจะคุยกับเรืองเอง "  ไกรรีบแยกทั้งคู่ออกทันที เพราะความคิดเห็นที่ต่างกันแบบสุดขั้วแถมอีกผ่ายยังพูดยั่วเพื่อหาเรื่องกันถึงขนาดนี้ ถ้าปล่อยไปนานแม้แต่เขาก็คงไม่อาจจะห้ามทัพอยู่แน่ๆ เขาจึงได้แต่ต้องให้สินออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นชาตินี้ก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องแน่
 
        " ท่านไกร!! "
 
        " นี่เป็นคำสั่ง ในฐานะของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "
 
         สินทำตาลุกวาวใส่อีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะใช้สายตานั้นหันกลับมาที่ไกรเหมือนกับโทษเขาว่าให้ท้ายอีกฝ่ายเกินไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าดาบ ๒ เล่มของเขาและจ้ำพรวดออกไปจากวงสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ตาม คำสั่ง ของไกรทันที
 
       " เฮ้อ...ท่านไม่น่าไปหยอกสินแรงขนาดนั้น "  ไกรถอนหายใจเฮือกและครางออกมาเบาๆ ทันที่เห็นสินเดินลงบันไดไป ในขณะที่เรืองยักไหล่พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆทันที
 
       " อันที่จริงข้าตั้งใจจะหยอกท่านต่างหาก แต่คนที่เคืองกลับกลายเป็นไอ้เด็กนั่นแทนซะอย่างนั้น...แต่ท่านทำให้ข้าประหลาดใจนะ...ทั้งๆที่ท่านมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าพระยาที่ควรจะจงรักภักดีและเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพระเจ้าเอกทัศน์อย่างที่สุดแท้ๆ...ท่านมันใจเย็นผิดคาดนะ...หรือว่าต้องพูดว่าเลือดเย็นดี "
 
       " ข้าเพียงแค่ได้เปรียบกว่าสินที่รู้อะไรที่เขาไม่รู้หลายๆอย่างๆ และคิดอ่านโดยไม่ใช้อารมณ์มาช่วยตัดสินเท่านั้น...ฟังจากน้ำเสียงของท่านมันก็บ่งบอกในตัวมันเองอยู่แล้วว่าท่านเองก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังหรือโกรธแค้นอะไรพระเจ้าเอกทัศน์แล้ว...ไม่สิ...ต้องพูดว่าท่านไม่ได้โกรธแค้นพระเจ้าเอกทัศน์มาตั้งแต่ต้นแล้ว...เพียงแค่ท่านเห็นว่าพระเจ้าเอกทัศน์ไม่เหมาะสมสำหรับบัลลังก์อโยธยาเท่านั้น...ติดแต่เรื่องที่ท่านพูดว่าท่านไม่ศรัทธาในกษัตริย์ ข้าไม่รู้สึกว่าท่านพูดเล่นเลยนะ...เรือง "
 
       " หึ...ก็จริงอย่างที่ท่านว่า...ข้าขาดศรัทธาในบัลลังก์อโยธยามานานแล้ว ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงทุกประการ "  เรืองพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับเขม้นมองมาที่ไกรโดยหวังจะเห็นอารมณ์โกรธหรืออากรชักสีหน้าซักเพียงเล็กน้อยก็ยังดี แต่เขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกด้วยความผิดหวังอีกครั้ง
 
       " เฮ้อ...ท่านมันเลือดเย็นด้านชาราวกับหินแช่น้ำเสียจริงนะขอรับ "
 
       " ก็บอกแล้วว่าข้าไม่เอาอารมณ์มาช่วยตัดสิน...แล้วอีกอย่าง ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง ป่านนี้พระเจ้าอุทุมพรก็คงจะปล่อยให้เจ้าเน่าตายอยู่ในคุกโดยไม่เสียเวลาช่วยออกมาแล้วล่ะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยไขข้อสงสัยให้ข้าทีเถอะนะ... "
 
       " หืม? "
 
         ไกรลุกขึ้นและมายืนตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาสีทองแดงของเรืองนิ่ง...ก่อนที่เขาจะถามขึ้นเบาๆทันที
 
       " ถ้าหากท่านไม่ได้สู้เพื่อกษัตริย์...แล้วเวลานี้ท่านต่อสู้เพื่ออะไรกันล่ะ? "
 
         เรืองจ้องหน้าผู้ที่กลายเป็นผู้บังคับบัญชาของเขานิ่ง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆด้วยอารมณ์ปนเปกันไป...อย่างน้อยๆเขาก็รู้สึกนับถือชายหนุ่มตรงหน้าที่มีหัวก้าวหน้า สุภาพทว่ารู้เท่าทัน และที่แน่นอนที่สุด คือใจเย็นจนเขาประหลาดใจเลยทีเดียว
 
       " ข้าไม่ได้หวังให้ท่านมาเข้าใจข้าหรอกนะ...ท่านไกร... "
 
       " หืม? "
 
         เรืองมองธูปที่ปักอยู่บนชามข้าวที่เวลานี้กำลังไหม้ลามไปเกือบค่อนดอกแล้วนิ่ง...ก่อนจะหันไปมองเด็กตัวเล็กๆที่จับกลุ่มเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่เขาจะมีดวงตาที่อ่อนแสงลงในขณะที่ริมฝีปากขยับยิ้มบางๆให้กับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอันบริสุทธ์และไร้พิษภัยของเด็กๆเหล่านั้น
 
       " ในเวลานี้...ที่ข้าดำรงอยู่ได้ และจับดาบต่อสู้ได้...ก็เพียงเพื่อความผาสุกของประชา และรอยยิ้มของเด็กๆเหล่านี้แหละ... "
 
       " ...ท่านเรือง... "
 
         โครม!! 
 
       " สิน?! "  ไกรร้องขึ้นเสียงดังทันที เพราะเสียงโครมที่ดังสนั่นจนชั้นลอยสะเทือนนี้คงจะมาจากสินโดยที่แทบไม่ต้องเดาแน่ๆ แต่เมื่อเขาพุ่งไปมองดูที่ชั้นล่างเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงอีกครั้ง เพราะผู้ที่กองอยู่ท่ามกลางเศษไม้ที่อดีตน่าจะเคยเป็นโต๊ะและเก้าอี้หลายๆตัวมาก่อนกลับเป็นหลวงยกกระบัตรสิน ทั้งๆที่ในมือของเขาถือไว้ด้วยดาบทั้งคู่ ซึ่งทำให้ไม่น่าจะมีใครคว่ำเขาได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้แน่ 
 
       " ท...ท่านไกร...ระวังตัวด้วย! ...มียอดฝีมือแฝงตัวมาเพื่อจับตาดูพวกเรา!! "
 
       " ว่าไงนะ! อย่าบอกนะว่า...ไอ้มือสังหารกลุ่มนั้น!! "
 
         ระหว่างที่ไกรยังคงยืนนิ่งอย่างตกตะลึงอยู่นั้น พระยาเพชรบุรีเรืองหันกลับไปมองเหล่าเด็กๆที่จับกลุ่มเล่นกันอยู่ด้านล่าง ที่บัดนี้วิ่งแตกหนีกันไปคนละทิศละทางพร้อมกับร้องไห้จ้ากันอย่างขวัญเสียเพราะเสียงอันดังสนั่นเมื่อครู่ ก่อนที่ดวงตาสีทองแดงของเขาจะเปล่งประกายวูบพร้อมกับกัดฟันกรอดทันที
 
       " ท่านไกร...โปรดหลบไป...ไว้เป็นธุระของข้าเอง! "
 
       ...แค่รบกวนการกินอย่างหรูและเป็นจริงเป็นจังที่สุดครั้งแรกในรอบปีกว่าก็สุดจะทนอยู่แล้ว...แต่นี่ถึงกับทำให้เด็กๆเหล่านั้นต้องตกใจกลัว...ทำให้รอยยิ้มที่เขาปกป้องและต่อสู้เพื่อรักษามันไว้มาตลอดหายไป...สำหรับใครก็ตามที่ทำเรื่องเช่นนี้...พวกมันได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของมันแล้ว!
 
       " ...ลูกแก้ว...ลูกขวัญ...พ่อคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว!! "
 
      
 
 
 
...................................................
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา