ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) ...ตอนที่ ๑๐...ราชโองการแต่งตั้ง...(๒)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

         

         ท่านผู้เฒ่าเหลือบไปมองสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเล็กน้อย ก่อนที่เลือกที่จะไม่สนใจคำค่อนขอดของอีกฝ่ายโดยเห็นแก่สถานการณ์ตรงหน้าเป็นสำคัญ...ชายหนุ่มก้มลงถวายบังคมองค์หญิงที่อยู่ตรงหน้าไกรเล็กน้อย ก่อนจะรีบทูลขึ้นเพื่อแก้สถานการณ์ให้กับไกรเบาๆ

 

        " สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร...พระองค์--- "  

 

        " ข้ามาตามราชโองการของพ่ออยู่หัวพระราชบิดาน่ะ...ท่านออกญา...เดาว่าราชโองการนี้รวมถึงพระปิตุลา และพระปิตุจฉา(ป้า) และท่านออกญาด้วยเช่นกันสินะ? "  

 

        " อืม... "  ผู้ที่ตอบกลับไปคือเจ้าฟ้าอุทุมพรผู้เป็นพระปิตุลาหรืออาของเธอ  " ก็แปลว่าพ่ออยู่หัวเจาะจงเรียกทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์คอขาดบาดตายเมื่อวานสินะ? "

 

          พระพี่นางของเจ้าฟ้าอุทุมพรยักอังสะเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ในขณะที่พระนางยังคงใช้พัดจีนในพระหัตถ์ยกขึ้นปิดโอษฐ์อยู่เช่นเดิม ทำให้เจ้าฟ้าอุทุมพรแย้มพระสรวลออกมาเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดีขึ้น แต่อารมณ์ของพระองค์ก็ดิ่งลงเหวทันทีเมื่อเจ้าหญิง ซึ่งเป็นพระนัดดาสาวของพระองค์เบิกเนตรกว้างเมื่อเห็นเครื่องทรงของพระองค์ชัดๆ และตรัสด้วยสุรเสียงสูงขึ้นทันที

 

        " ชุดอะไรของพระองค์เนี่ยเจ้าคะ?! "

 

          เจ้าฟ้าอุทุมพรเหลือบพระเนตรวาววับมามองที่แพะรับบาปอย่างท่านผู้เฒ่าอดีตออกญาจักรีเล็กน้อย ก่อนจะปัสสาสะเฮือกอย่างถอนฉุน

 

        " ด้วยความช่วยเหลือจากท่านออกญามีชื่อตรงนี้อย่างไรล่ะ "

 

          ถึงจะไม่ใช่เวลา แต่ไกรก็ยังอดขำในสภาพน้ำท่วมปากของแพะรับบาปจำเป็นอย่างท่านผู้เฒ่าไม่ได้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าทำได้แต่ยิ้มแค่นๆ ก่อนจะรีบกราบทูลขึ้นเบาๆ

 

        " เวลาเริ่มงวดขึ้นทุกทีแล้วนะพุทธเจ้าข้า...อีกประเดี๋ยวก็จะใกล้เวลาที่พ่ออยู่หัวจะต้องออกว่าราชการแล้ว...ทูลเชิญทั้ง ๓ พระองค์เข้าสู่พระที่นั่งเถิด...หากยังขืนเสียเวลาสนทนากันเช่นนี้อยู่ เกรงว่าจะเสียการสำคัญเอาได้ "

 

        " เฮ้อ...ครานี้ข้าเห็นจริงเช่นท่านว่า...ท่านออกญา...เอ้า...ไปกันเถอะ "  เจ้าฟ้าอุทุมพรปัสสาสะเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะดำเนินนำออกไป ซึ่งเหมือนกับเป็นสัญญาณให้คนอื่นขยับตามไป ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรหันสายพระเนตรกลับมาหาไกรที่กำลังลุกขึ้นยืนอีกครั้งราวกับมีอีกหลายเรื่องที่จะพูดคุยด้วย แต่ก็ต้องตัดใจเพราะราชโองการโปรดให้เข้าเฝ้าของพระเจ้าเอกทัศน์ พระราชบิดาของเธอสำคัญกว่า เธอจึงแย้มพระสรวลพร้อมกับค้อมเศียรให้กับไกรเล็กน้อย ในขณะที่ไกรเองก็ค้อมหัวพร้อมกับยิ้มตอบกลับมา....ซึ่งอากัปกริยาของทั้งสองถึงแม้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเดียว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายพระเนตรอันแหลมคมของพระพี่นางพินทวดีไปได้...พระพี่นางเลิกขนงเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบเบาๆกับอดีตออกญาหนุ่มที่ทำท่าจะเดินตามเสด็จไปว่า

 

        " นี่...อย่าบอกนะว่า? "

 

          ท่านผู้เฒ่าเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ แต่พอมองตามสายพระเนตรไปเขาก็ร้อง อ๋อ! เบาๆอย่างเข้าใจความหมายของคำถามที่ฟังแล้วกำกวมนั้นทันที ท่านผู้เฒ่าได้แต่หันกลับมามองหญิงสาวผู้อยู่ในฐานะเชษฐภคินีของสองจอมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอยุธยาอย่างทึ่งๆปนชื่นชม พร้อมกับคิดในใจทันที

 

        ' ฉลาดจริงๆแฮะ...ไม่สิ ต้องพูดว่าฉลาดไม่เปลี่ยนเลยมากกว่า...แค่มองเพียงชั่วแว้บเดียวก็สามารถเข้าใจอะไรๆเกือบทุกอย่าง...สมเป็นเจ้าฟ้าพินทวดีของเขาจริงๆ '  ก่อนจะรีบปั้นหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับกระซิบทูลตอบกลับไปเบาๆเช่นกันว่า

 

        " เฮ้อ...อย่าถามข้าพุทธเจ้าเลย " 

 

        " ข้าประหลาดใจนะ...ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่เด็กนี่ไม่เคยติดใครเช่นนี้มาก่อนเลยนะ...หะแรกข้าก็คิดว่าจะเป็นแค่--- "  

 

        " ก็ทูลไปแล้วว่าอย่าถามข้าฯเลย...พูดไปข้าก็จะเสียผู้ใหญ่เสียเปล่าๆ ...ทูลเชิญพระองค์เถอะ "  ท่านผู้เฒ่าผายมือเป็นเชิงเร่งให้หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่ยังคงเลิกขนงอย่างงงงวยตรงหน้ารีบเขาไปในพระที่นั่ง ในขณะที่ตัวเองก็เดินตามไปติดๆ...แต่ก่อนที่จะเสด็จข้ามธรณีประตูเข้าไปในพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ พระพี่นางพินทวดีก็ปิดโอษฐ์สรวลขึ้นเบาๆจนท่านผู้เฒ่าที่ตามมาเบื้องหลังถึงกับต้องขมวดคิ้วทันที

 

        " สมเด็จพระพี่นางพินทวดี? "

 

        " คิกๆๆๆ น่าสนใจจริงๆ "

 

        " พุทธเจ้าข้า? "

 

        " เรื่องนี้น่ะ...นาสนใจจริงๆ ท่านไม่คิดเช่นข้าหรือ...ท่านออกญา...ความสัมพันธ์ของเด็กสองคนนั้นออกจะคล้ายกับเราทั้งคู่ในอดีตอยู่ไม่น้อยเลยไม่ใช่รึอย่างไร? "

 

        " ก็ไม่เชิงคล้ายนักหรอกนะพุทธเจ้าข้า...ไกรน่ะเป็นแค่สามัญชนธรรมดา ต่างจากข้าที่เวลานั้นคือเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ หัวหน้าข้าราชการฝ่ายพลเรือน...ผู้รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง...ถึงจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนักก็เถอะ...และพระองค์ในเวลานั้นก็เป็นธิดาเจ้าวังหน้าที่ยังไม่ได้สังกัดเป็นเจ้าทรงกรมด้วยซ้ำ หาเหมือนกับเจ้าฟ้าสิริจันทรที่เป็นราชธิดาของพ่ออยู่หัวที่ประสูติแต่พระอัครมเหสีไม่... "  ท่านผู้เฒ่าอดีตออกญาจักรีตอบกลับไปตามความจริง แต่เสียงสรวลเบาๆที่ยังไม่หยุดลงของพระพี่นางตรงหน้าทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง

 

        " ถ้าพระองค์จะลงพระอาญาไกร หรือเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรด้วยความผิดอุกฉกรรจ์นี้ ข้าพุทธเจ้าก็คงจะต้องทูลขออภัยโทษไว้ล่วงหน้าเลยนะพุทธเจ้าข้า...เพราะอย่างไรเสียพวกเขาทั้งคู่ก็ยังคงมีความสำคัญมากเพียงพอให้ข้าออกปากขอได้ "

 

        " คิกๆๆๆๆ ข้าจะลงโทษทั้งคู่ไปด้วยเหตุอันใดกันเล่า...ในเมื่อการเฝ้ามองอยู่ห่างๆเป็นสิ่งที่ข้าโปรดปรานที่สุด "

 

        ' อ่า...ถ้าแค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆอย่างเดียวก็คงดีหรอก...แต่คนเจ้าแผนการอย่างเจ้าฟ้าพินทวดี มีหรือจะแค่เฝ้ามองห่างๆอย่างเดียว '  ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วพร้อมกับคิดในใจ ในขณะที่พระพี่นางพินทวดียกพัดจีนขึ้นปิดโอษฐ์อีกครั้งพร้อมกับเหลือบหางพระเนตรมองไปที่ไกรที่ยืนอยู่ไกลๆ ก่อนจะตรัสเบาๆว่า

 

        " ใครจะรู้ล่ะ...ท่านออกญา...ใครจะรู้...เด็กสองคนนี้อาจจะทำในสิ่งที่ข้า...และท่านในอดีต ไม่อาจทำได้สำเร็จก็เป็นได้...คิกๆๆๆ ใครจะรู้... "

 

 

 

 

  

................................................ 

 

 

 

 

 

       ...ที่มุก(ศาลา) หน้าพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ที่เดิม ประมาณ ๑๐ หรือไม่ก็ไม่เกิน ๑๕นาทีต่อมา...

 

        ' ล...เลวร้ายที่สุด... '  ไกรที่เวลานี้นั่งห้อยขาอยู่บนพื้นไม้ที่ยกสูงขึ้นมาค่อยๆใช้มือยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่าเป็นนั่งขัดสมาธิอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งสายตาไม่แน่ใจไปมองรอบๆ ...นี่เป็นการเปลี่ยนท่านั่งรอบที่ ๑๐ หรือจะให้พูดก็คือเปลี่ยนทุกๆ ๑ นาทีเลยก็ว่าได้ เพราะสายตาทุกคู่ของทั้งเหล่านางกำนัล เหล่าทหารราชองครักษ์ ทหารมหาดเล็ก...พวกโขลน...ไปจนถึงชายหญิงในชุดเครื่องทรงของราชนิกูลชั้นกลางไปจนถึงชั้นสูงหลายต่อหลายคน ที่เดินผ่านหน้ามุกหน้าพระที่นั่ง ต่างก็จับจ้องมองมาที่เขาด้วยความสงสัยใคร่รู้กันเป็นตาเดียว...เพียงแค่ยังไม่มีใตรกล้าก้าวเข้ามาถามอะไรเท่านั้น ซึ่งถ้าให้นับจริงๆก็อาจจะปาเข้าไปเกือบครึ่งร้อยได้แล้วมั้ง...ด้วยสายตาเล่นนี้ ต่อให้มีความมั่นใจในตัวเองแค่ไหน ก็ยังต้องตกอยู่ในสภาพวางท่าทางวางอากัปกริยาตัวเองไม่ถูกอยู่ดี

 

        ' บ...แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆเลยไม่ใช่รึไงฟะเนี่ย?!...เรียกเรามาด้วย แต่ดันไม่ให้เราเข้าไป แบบนี้มันหมายความว่าไงกัน '  ไกรคิดในใจอย่างหงุดหงิดพร้อมกับขยับสาปเสื้อเล็กน้อย...การอยู่คนเดียวในขณะที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมด นับตั้งแต่เขามาถึงเมืองหลวงแบบนี้สร้างความหงุดหงิดใจแก้เขาไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผลที่น่ารับฟังมารองรับอยู่แล้วก็ตามที ก่อนที่ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาจะเบิกกว้างวูบอย่างนึกอะไรบางอย่างได้

 

        ' ร...รึว่า...ที่เข้าไปนี่เป็นการประชุมตัดสินบทลงโทษของเรา?! '  เป็นผู้ที่มีชนักปักหลัง มันทำให้ไกรอดคิดในแง่ที่ร้ายที่สุดไม่ได้...เพราะถึงจะบอกว่าเขามากับผู้ที่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์เกรงพระทัยอย่างท่านผู้เฒ่า แต่ดำรัสของเจ้าฟ้าอุทุมพรที่กล่าวถึงโทษประหารที่สะสมอยู่ของเขาก็ยังดังก้องอยู่ในหัวไม่สร่าง แถมข้อหาล่าสุดนี่ ถ้าหากทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าเอกทัศน์ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าฟ้าสิริจันทรเข้าล่ะก็...งานนี้ต่อให้เป็นคำขอของท่านผู้เฒ่า ก็อาจจะไม่ช่วยให้หัวเขายังอยู่ติดกับตัวอย่างปลอดภัยก็เป็นได้

 

        " ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ ไกร...คิดอะไรของเจ้าอยู่กัน...หือ? "  เสียงของท่านผู้เฒ่า ปลุกไกรให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด เมื่อเขาหันกลับไป ก็พบกับท่านผู้เฒ่าและทุกคน รวมถึงพระเจ้าเอกทัศน์ประทับยืนกันอยู่พร้อมแล้ว ไกรจึงลุกขึ้นถวายบังคมทำความเคารพทันที แต่พระเจ้าเอกทัศน์ก็โบกพระหัตถ์เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ก่อนจะพยักพระพักตร์เพื่อเรียกให้ชายหนุ่มลุกขึ้น ซึ่งไกรก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินมาหาท่านผู้เฒ่าทันทีเช่นกัน

 

        " ท่านผู้เฒ่า "

 

        " หืม? "

 

        " นี่ไม่เกี่ยวกับการตัดสินโทษอะไรของข้าใช่หรือไม่ขอรับ? ...คือ แค่ถามเผื่อไว้น่ะ "  คำถามที่ไกรกระซิบถามข้างหูเขาทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

        " ฮ่ะๆๆๆ ทำไม? หลังจากเรื่องต่างๆที่เจ้าทำไป เจ้าพึ่งมากลัวราชอาญาในเวลาเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ...เฮ้อ...เอาเถอะ ถ้าทำให้เจ้าสบายใจมากขึ้น เรื่องที่ข้ากับทุกพระองค์ประชุมกันหาใช่เรื่องโทษทัณฑ์ที่เจ้าสมควรได้รับไม่ "  

 

          เมื่อได้ยินคำรับรองของท่านผู้เฒ่า ไกรก็ทำท่าจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่สีหน้าที่ฉายแววความไม่สบายใจของท่านผู้เฒ่าก็สะกิดใจชายหนุ่มจนเขาค้องถามขึ้นอีกครั้ง

 

        " มี...อะไรรึเปล่าขอรับ? "

 

        " ให้ข้าเป็นผู้ตอบเองก็ได้นะ ท่านออกญา...  "

 

        " สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร? "

 

        " อืม... "  เจ้าฟ้าอุทุมพรที่บัดนี้เปลี่ยนฉลองพระองค์จากชุดเกราะทองที่ดูขัดตา เปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์ผ้าไหมสีขาวยาวราวกับนักปราชญ์ที่เหมาะกับพระองค์อย่างที่สุด แต่ก็ยังแสดงถึงโลหิตขัตติยาด้วยการทรงทับทรวงทองประดับทับทิมเม็ดโตและถือพระแสงดาบฝักทองอยู่เช่นเดิม พระองค์พยักพระพักตร์มาที่ไกรเล็กน้อยก่อนจะดำรัสต่อเบาๆ

 

        " ไกร...ก่อนอื่นข้าต้องขออภัยเจ้านะที่ปล่อยให้เจ้ารอเช่นนี้ แต่เจ้าก็น่าจะทราบสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงของพ่ออยู่หัวและข้าดี...เวลานี้พวกเราไม่อาจจะไว้ใจใครได้อีกแล้ว... "

 

        ' พ...พวกเรา? '  ไกรที่ยืนฟังอยู่เงียบๆถึงกับต้องเลิกคิ้วพร้อมกับคิดในใจทันที...เกิดมาในชีวิตหนึ่ง เขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่จอมกษัตริย์ในอดีตสองพระองค์เรียกรวมกันว่าเป็น พวกเรา เช่นนี้...

 

        " ถึงท่านออกญาจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กินยศถึงเจ้าพระยาจักรศรีองครักษ์ แต่นั่นก็เป็นในรัชสมัยของพ่ออยู่หัวท้ายสระ...ข้าราชการที่รู้จักเขาและรอดจากทัณฑ์ประหารสมัยพ่ออยู่หัวในพระบรมโกศก็มีเพียงแค่ไม่กี่นายเท่านั้น...แต่นั่นกลับทำให้เราได้เปรียบอย่างคาดไม่ถึง เพราะท่านออกญาสามารถอยู่ที่นี่ ในฐานะที่ไม่เป็นที่สะดุดตาใครเลย อย่างเช่นทหารล้อมวังหรือทหารมหาดเล็กนายหนึ่งก็ได้...ซึ่งแบบนั้นจะสามารถปกป้องพ่ออยู่หัวได้ดีกว่า...หรืออาจจะสามารถแฝงตัวเพื่อสืบเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับผู้ที่คิดร้ายต่อพ่ออยู่หัวได้อย่างสะดวกดาย "

 

         ' หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านผู้เฒ่าสามารถแฝงตัวเพื่อสืบหาร่องรอยของกลุ่มมือสังหารที่มีตราสัญญลักษณ์แบบเดียวกับมือสังหารของหมู่บ้านยุคันตวาตได้อย่างง่ายดดายเช่นกัน... '

 

        " ...ก็...เป็นแผนการที่ดีนี่ขอรับ... "  ไกรคิดในใจพร้อมกับทูลกลับเบาๆ และเลิกคิ้วเล็กน้อย...ท่านผู้เฒ่าไม่น่าจะมีปัญหากับการเป็นทหารที่ไม่กินยศใดๆอยู่แล้ว เพราะไม่ได้หวังเอาดีด้านการไต่เต้าเป็นข้าราชการอยู่แล้ว...ท่านผู้เฒ่าก็ไม่น่าจะทำหน้าลำบากใจอย่างนี้...ในขณะที่พระพี่นางพินทวดีที่ทอดพระเนตรดูอากกัปกริยาของทุกคนอยู่อย่างเงียบๆก็ถึงกับสรวลออกมาเบาๆ จนไกรต้องหันไปมองเล็กน้อยอย่างผิดสังเกต ก่อนที่พระพี่นางผู้นี้จะยกพัดจีนปิดโอษฐ์พร้อมกับดำรัสต่อเบาๆ

 

        " ...แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าพ่ออยู่หัวกับเจ้าฟ้าอุทุมพรยังคงเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ไม่หวังดี....ที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นผู้ใด และมีกำลังพลแสนยานุภาพมากมายเพียงใด...และท่านออกญาที่อาจจะต้องสืบเรื่องนี้อยู่ในฐานะที่เสี่ยงจะถูกจับได้ และคงไม่อาจจะอยู่ปกป้องพ่ออยู่หัวและเจ้าฟ้าได้ตลอดเวลา... "

 

        " ...เราจำเป็นต้องมีตัวล่อเพื่อเบนความสนใจ...แบบเดียวกับที่พระนเรศโปรดให้พระเอกาทศรถเป็นทัพลวงเบนความสนใจในขณะที่พระองค์ตลบหลังตีเมืองคัง...ข้าก็คิดเรื่องนี้เช่นกันพุทธเจ้าข้า "  ไกรทูลต่อประโยคเบาๆ อย่างเข้าใจ ในขณะที่คำพูดของเขาทำให้ทุกพระองค์หันไปมองกันเองอย่างทึ่งๆความรู้ที่เกินตัวของเด็กหนุ่มตรงหน้า ...ก่อนที่พระเจ้าเอกทัศน์ที่อยู่ในฉลองพระองค์ยาวของกษัตริย์เต็มยศจะสรวลออกมาเบาๆ พลางส่งสายพระเนตรที่อยู่ภายใต้หน้าหน้ากากสีขาวมองมาที่เด็กหนุ่มผู้นี้อย่างถูกพระทัย

 

        " ใช่แล้ว...ไกรเอ๋ย...เจ้าเป็นคนฉลาดล้ำอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ...ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะรู้แล้วสินะว่าจะต้องทำอะไรต่อไป "  พ่ออยู่หัวแห่งราชอาณาจักรอยุธยาตรัสพร้อมกับหยิบพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ของพระองค์ขึ้นมาอย่างช้าๆ ในขณะที่ไกรลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดทูลตอบกลับไปเบาๆว่า

 

        " เราก็ต้องหาใครซักคนมาเบนความสนใจ ด้วยความเคารพนะพุทธเจ้าข้า แต่ด้วยราชอำนาจของพระองค์ พระองค์ก็อาจจะสามารถอวยยศผู้ใดผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างปัจจุบัน...แบบนั้นก็สามารถเบนความสนใจให้กับพระองค์และท่านผู้เฒ่า---ท่านออกญาได้แล้ว...ปัญหาก็คือผู้ที่พระองค์จะอวยยศขึ้นมาจะต้องเป็นผู้ที่ไว้ใจได้ และมีฝีมือมากพอจะเอาตัวรอด--- "  ถึงตอนนี้ไกรก็ถึงกับชะงักกีก เพราะสัญชาตญาณของเขาเริ่มเตือนเขาถึงสิ่งผิดปรกติของสีหน้าไม่สบายใจของท่านผู้เฒ่า และการท้าวความของทุกคนแล้ว...ยิ่งสายพระเนตรของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์มองมาที่เขาตาเดียวยิ่งยืนยันสัญชาตญาณของเขาได้เป็นอย่างดีที่สุด

 

        " ...เดี๋ยวนะ...เฮ้ย! ...ป...ประเดี๋ยวก่อน--- "

 

        " ไกร...คุกเข่าลง รับราชโองการแต่งตั้ง...นับแต่นี้สืบไป เจ้าจะได้รับการอวยยศขึ้นเป็น เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...ผู้เป็นหัวหน้าสูงสุด...เหนือหัวหน้าทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ทั้งสิ้นทั้งปวง...ผู้ถือกำลังพลหน่วยพิเศษที่คอยพิทักษ์ปกป้องข้าและเจ้าอุทมพร...หน่วยคเณศร์เสียงา!  "  

 

        " !!! "

 

 

 

 

 

 

.................................................

 

 

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับมาที่หมู่บ้านยุคันตวาต...

 

        " น...ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าของข้า...ข...ข้าไม่อยากจะพูดอะไรมากหรอกนะ...นาสตี้...แต่...แต่แบบนี้มัน---ท่านคิดจะฆ่าพวกเรารึอย่างไรกันเนี่ย?! "  สิงห์ที่หลังจากเข้ามาถึงหมู่บ้านได้ ก็ล้มตัวลงนอนบนสนามหญ้าเล็กๆที่ปลูกอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน และพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักพร้อมกับหอบซี่โครงบานทันที...ในขณะที่ศกุนตลาเหลือบตาหันมามองเล็กน้อย...ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้หอบเป็นหมาหอบแดดอย่างสิงห์ แต่ก็เหน็ดเหนื่อยจนใบหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งซีดเผือดเข้าไปใหญ่จนเหมือนเป็นกระดาษไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยความเหนื่อยอ่อนทำให้คนที่พูดน้อยอยู่แล้วอย่างเธอยิ่งพูดน้อยเข้าไปใหญ่ ผู้ใช้สัตว์สมิงสาวจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือก และหันไปมองอนาสตาเซียที่ยืนนิ่งอยู่ช้าๆ เหมือนกับปรารถนาคำตอบเช่นกัน ว่าทำไมพวกเธอต้องเดินทางกลับหมู่บ้านกันแบบหามรุ่งหามค่ำจนเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดเช่นนี้

 

        " ...อย่าทำเป็นสำออยมากนักน่า สิงห์...เพราะเจ้าเกียจคร้านอยู่เรื่อยและไม่ยอมฝึกฝน เจ้าเลยอ่อนแอเช่นนี้อย่างไร "  อนาสตาเซียหันกลับมาบ่นเบาๆ...แต่ทั้งๆที่เธอเองก็โหมเดินทางบุกป่าฝ่าดงมาแบบหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ เธอกลับไม่ได้มีอาการเหนื่อยอ่อนอย่างทั้งสองคนนั้นเลย...ทั้งๆที่เธอเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่ใช่ผู้ใช้สัตว์สมิงอยางทั้งสิงห์และศกุนตลาด้วยซ้ำ

 

        ' อย่าบอกนะว่า... '

 

         หญิงสาวคิดในใจพร้อมกับยกแหวนอาถรรพ์ที่เธอสวมไว้ที่นิ้วโป้งขึ้นมาดู พร้อมกับที่แหวนวงนั้นส่องประกายวาววับเหมือนกับตอบกลับมาเช่นกัน...ถึงเธอจะเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่การเสริมพลังกายให้แบบไม่มีเงื่อนไขใดๆเลยแบบนี้มันไม่สะดวกไปหน่อยอย่างนั้นหรือ?...

 

          อยาสตาเซียเหม่อมองแหวนทองคำขาวประดับมรกตอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือก พร้อมกับก้าวออกไป...ในขณะที่เมื่อศกุนตลาเห็นเข้าก็ขยับเตรียเดินตามไป แต่หญิงสาวยกมือห้ามไว้พร้อมกับพูดโดยไม่หันกลับมามองว่า

 

        " ไม่ต้องตามมาหรอก...พวกเจ้าจะรอท่าอยู่ที่นี่แหละ ข้ามีเรื่องจะต้องสนทนากับยูกิโอะซังตามลำพัง...ไว้พวกเจ้าตามมาสมทบพร้อมๆกับพวกท่านเมืองเถอะ "

 

          ศกุนตลาหันไปมองหน้าสิงห์ในขณะที่สิงห์ยักไหล่ตอบกลับมาเป็นเชิงว่าไม่ต้องตามไปก็ได้...ถึงจะบอกว่าท่าทางของอนาสตาเซียจะดูแปลกไปจนน่าผิดสังเกต แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นหมู่บ้านยุคันตวาต...เป็นถิ่นของพวกเขาเอง...คงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก...มั้งนะ?

 

          เมื่อบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องตามมาเสร็จสิ้น หญิงสาวก็ขยับสาวเท้าอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเพียงครู่เดียวก็มาถึงหน้ากระท่อมเล็กๆที่มีควันลอยออกมาจากปล่องอยู่ตลอดเวลา...กระท่อมตีศาสตราที่เป็นทั้งบ้านและทั้งที่ทำงานของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นประหลาดๆที่มีนามว่ายูกิโอะในที่สุด

 

        " ยูกิโอะซัง... "  มือสังหารสาวร้องเรียกเจ้าของกระท่อมเบาๆ พร้อมกับขยับร่างกายเพื่อให้ผ่อนคลายเต็มที่ ในขณะที่หูเธอก็ได้ยินเสียงของใครซักคนในกระท่อมเดินย่ำเท้ามาที่หน้าประตูที่เธอยืนอยู่ช้าๆ ก่อนที่ยูกิโอะที่ยังคงอยู่ในชุดเปลือยท่อนบนโดยใช้แถบผ้าสีขาวพันหน้าอกไว้เช่นเดิม แต่แถมด้วยเขม่าสีดำและเหงื่อใสๆเพิ่มเต็มใบหน้ากับร่างกำยำท่อนบน จะเปิดประตูออก พร้อมกับครางออกมาเบาๆทันทีที่เห็นแขกที่ไม่คาดคิดที่มายืนรออยู่ตรงหน้าประตูทันที

 

        " อ้าวๆ? นึกว่าใครที่ไหนมารบกวนข้าแต่เช้าเช่นนี้...ที่แท้ก็คุณหนูอนาสตาเซียผู้สูงศักดิ์นั่นเอง ...อดีต ลูกรักของท่านผู้เฒ่านั่นเอง...คิกๆๆ มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ...ท่านหญิง? "

 

          อนาสตาเซียแทบจะไม่สนคำทักทายเชิงเสียดสีของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ...ดวงตาสีฟ้าจรัสของเธอกวาดมองไปทั่วทั้งร่างกายของหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับอดคิดในใจไม่ได้

 

        ' สตรีนางนี้น่ะเหรอ...ที่เป็นแบบเดียวกับท่านพ่อบุญธรรมของเธอ...ไม่สิ ถ้าหากที่ท่านอรัญญิกาเทวีพูดเป็นความจริง ยูกิโอะผู้นี้ก็อาจจะแก่กว่าพ่อของเธอแบบไม่อาจเทียบกันติดเลยก็ว่าได้...แต่...ดูจากภายนอกเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เป็นอมตะเลยแม้แต่น้อยนี่ ' 

 

          ในขณะที่ยูกิโอะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปโดยไม่โต้ตอบอะไรก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างผิดสังเกต ก่อนจะเหลือบไปมองดาบเล่มเรียวยาวที่อนาสตาเซียพกติดเอวอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับถามขึ้นเบาๆว่า

 

        " เจ้าดูแปลกๆนะ อนาสตาเซีย...รึว่า...เกิดอะไรขึ้นกับ นาคราช  อาวุธของเจ้าที่ข้าตีให้อย่างนั้นหรือ? "

 

          คำถามของอีกฝ่ายทำให้อนาสตาเซียขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะค่อยๆดึงดาบออกมาจากฝักช้าๆ...ดาบที่มีนามว่า นาคราช ซึ่งเป็นศาสตราประจำตัวของเธอเป็นดาบสีเงินตลอดตั้งแต่ด้ามดาบไปจนถึงใบดาบที่เรียวยาวที่แคบและบางเกินกว่าจะเป็นดาบที่สามารถฟาดฟันได้ โกร่งดาบที่มีลักษณะคล้ายกับโกร่งดาบแบบตะวันตกถูกฉลุลวดลายไว้จนแทบจะโปร่งแสง ทำให้นอกจากสวยงามจนเกินบรรยายแล้ว ยังช่วยทำให้ดาบเบาลงจนถึงขีดสุด...ทำให้ดาบเล่มนี้เป็นเหมือนดาบที่ใช้ประดับฝาบ้านมากกว่าจะเป็นดาบเพื่อใช้งานจริง...แต่พอดาบเล่มนี้มาอยู่ในมือของมือสังหารสาวนามว่าอนาสตาเซีย ใบดาบกลับเปล่งประกายถึงกระแสของความแหลมคมออกมาได้อย่างน่าตกใจ!

 

        " ก่อนจะเข้าเรื่องกัน...ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะต้องขอพิสูจน์ซะหน่อยน่ะ...อาจจะต้องขอเสียมารยาทกับท่านแล้ว...ท่านหญิงยูกิโอะ "

 

        " ท่านหญิงยูกิโอะ...อย่างนั้นรึ? "  ในที่สุดยูกิโอะก็ต้องขมวดคิ้วอย่างจับสังเกตถึงความผิดปรกติของสถานการณ์ได้ ...เธอทวนคำเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่ดาบที่เธอเป็นคนตีขึ้นมาเอง ที่บัดนี้เหมือนกับกำลังแผ่กระแสไม่น่าไว้วางใจมาที่ผู้ให้กำเนิดมันเองซะอย่างนั้นไม่วางตา ในขณะที่อนาสตาเซียโยนฝักดาบที่ติดอยู่ข้างกายทิ้งเพื่อให้คล่องตัวเต็มที่ พร้อมกับถามขึ้นเรียบๆทันที

 

        " ท่านหญิงยูกิโอะ...คนที่มีอำนาจของความเป็นผู้ไม่แก่ไม่ตายอยู่ในกำมืออย่างท่าน...เหตุใดถึงได้ยอมอยู่ใต้เงาของท่านพ่อ...โดยมีตำแหน่งเป็นเพียงแค่ผู้สร้างศาสตราเท่านั้นล่ะ...จริงๆแล้ว...ท่านมีจุดประสงค์อะไรกับหมู่บ้านนี้กันแน่? "  คำถามที่ไม่คาดคิดของอนาสตาเซียทำให้ช่างตีอาวุธสาวอย่างยูกิโอะถึงกับตะลึงพรึงเพริด ถึงกับก้าวถอยหลังกลับไปอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่อนาสตาเซียก็ขยับดาบ นาคราช ในมือพร้อมกับสาวเท้าตามเข้ามาติดๆโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทิ้งระยะห่างได้เลย

 

        " จ...เจ้า...เจ้าไปได้ยินเรื่องนี้...เรื่องที่ข้าเป็น ผู้เป็นอมตะ มาจากที่ไหนกัน?! อนาสตาเซีย! "

 

        " เรื่องที่ข้าไปรู้มาจากไหนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ...ยิ่งกว่านั้น ท่าทีของท่านก็บอกชัดแจ้งแล้วว่าเป็นอย่างที่ข้าพูดจริงๆ...ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอถามอีกครั้ง...ว่าคนที่มีอำนาจที่ผู้มีอำนาจทุกคนใฝ่ฝันถึงอย่างท่าน...เหตุใดถึงต้องมาแอบอยู่ภายในหมู่บ้านของเราเชนนี้ด้วย?... "  หญิงสาวพูดขึ้นเรียบๆเป็นเชิงข่มขู่เพื่อให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมา แต่พูดได้เพียงเท่านั้นเธอก็ต้องชะงักกึกพร้อมกับเสียวสันหลังวูบจนขนลุกซู่ทันที กับจิตสังหารอันแหลมคมและหนาวเหน็บที่พุ่งพรวดขึ้นมาจากจิตของช่างตีดาบสาวตรงหน้า

 

        " ...ช่วยไม่ได้ "

 

        " ช่วย...ไม่ได้...อย่างนั้นหรือ? "  อนาสตาเซียทวนคำเบาๆ ก่อนจะขยับเปี่ยนจากท่าทีสบายๆเป็นกางขาออกเพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวเองพร้อมกับกำดาบในมือแน่น ซึ่งเป็นท่าพร้อมต่อสู้เต็มที่ของเธอ

 

        " โดยแท้จริงแล้วข้าค่อนข้างจะชอบนิสยใจคอของเจ้ามากกว่ามือสังหารทุกคน...และทุกรุ่นที่ข้ารู้จักมานะ...แต่เอาเถอะ...ในเมื่อเหตุการณ์มันออกมาเป็นเช่นนี้...ในเมื่อเจ้ารู้ความลับที่ข้าอุตส่าห์ปิดไว้มาโดยตลอดเช่นนี้ มันก็คงจะช่วยไม่ได้...ไว้ค่อยขอโทษไอ้เจ้าท่านผู้เฒ่านั่นทีหลังก็แล้วกัน...จูชิโยซามุ! (หมื่นราตรีอันหนาวเหน็บ) "  

 

          ประโยคหลังยูกิโอะคำรามออกมาเบาๆ ...พริบตาเดียวดาบคาตานะที่ลายสีดำของดาบส่งกระแสของความมืดมนและอาถรรพ์ออกมาอย่างเห็นได้ชัดก็พุ่งจากหลังคาลงมาปักอยู่ที่เบื้องหน้าของเธอ...ยิ่งเมื่อถูกมืออันเรียวบางทว่าแข็งแกร่งอย่างช่างตีดาบของยูกิโอะจับขึ้นมา ก็ยิ่งเปล่งประกายของแววอาถรรพ์นั้นออกมาจนกระทั่งอนาสตาเซียถึงกับต้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างทันที

 

        " ท่านหญิงยูกิโอะ...ประเดี๋ยว...โปรดฟังข้าก่อน "  มือสังหารสาวรีบร้องเพื่อพยายามให้สถานการณ์ที่กลับตาลปัตรตรงหน้าดีขึ้น แต่คำพูดของเธอกลับแทบจะไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย เพราะยูกิโอะตวัดดาบวูบอย่างช่ำชอง...ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายวาววับราวกับสัตว์ร้ายทันที...

 

 

      ...และที่แย่ที่สุดก็คือ...สัตว์ร้ายตนนี้ ไม่มีวันตายอีกด้วย!...

 

 

        " เฮ้อ...ถึงจะอานุภาพด้อยกว่า ฟ้าฟื้น ที่ข้าหมายตาไว้อย่างเทียบกันไม่ได้ก็เถอะ...แต่ระดับเจ้าแค่นี้ก็คงจะเพียงพอแล้วล่ะกระมั้ง...ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปรู้เรื่องของข้ามาจากไหน...แต่ก็ไม่สำคัญหรอก...อนาสตาเซีย...เวลานี้เป็นเวลาตายของเจ้าแล้ว!! "

 

 

 

 

 

....................................................

 

 

 

 

        

        ' กี๊ดดด! '  

 

          เสียงคำรามเบาๆของดาบอาถรรพ์ที่ถูกคอนอยู่ในมือของท่านผู้เฒ่า ทำให้ท่านผู้เฒ่าอดีตออกญาจักรีขมวดคิ้ววูบทันที พร้อมกับยกสุดยอดดาบในตำนานที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพียงแค่ดาบเก่าๆมอๆธรรมดาๆ ขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจ เพราะปรกติแล้วถึงจะเป็นดาบอาถรรพ์ที่มีพลังสูงล้ำ แต่ดาบฟ้าฟื้นก็เป็นดาบที่มีมารยาทที่สุด...การที่ดาบมาคำรามในที่สาธารณะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติวิสัยของดาบเล่มนี้แน่ๆ

 

        ' หรือว่า...คงจะ ไม่หรอกกระมั้ง? '  ท่านผู้เฒ่าปลอบใจตัวเองเล็กน้อยพร้อมกับหวังว่าตัวเองคงจะแค่คิดมากไปเอง ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับคู่สนทนาที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

 

        " เมื่อครู่นี้...เราพูดกันถึงไหนแล้วนะขอรับ?...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี "

 

          คำทักทายเชิงหยอกล้อของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรถึงกับต้องแยกเขี้ยววับ พยายามข่มใจนับ ๑ ถึง ๑๐๐ เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของชั่วโมงนี้ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกยาวและตอบกลับมาเบาๆว่า

 

        " แหม...ขอเวลากระผมนึกก่อนนะขอรับ...อาจจะเป็นตอนที่ผมกำลังพูดว่า...เฮ้ย! คุณทำให้เรื่องมันเลยเถิดถึงขั้นนี้ได้ยังไงกันวะครับเนี่ย?!! ไอ้คุณท่านผู้เฒ่า! "  

 

        " อืม... "  ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆ พร้อมกับลูบคางอย่างครุ่นคิด...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกและตัดสินใจพูดตอบไปตามตรงว่า

 

        " เรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของข้า...ไม่สิ...ข้าต้องพูดว่าข้าพยายามทัดทานอย่างที่สุดแล้ว โดยเสนอว่าให้เจ้าเป็นผู้สืบความในขณะที่ข้าจะเป็นตัวล่อเบนความสนใจเอง แต่เสียงส่วนใหญ่และเหตุผลของทางเลือกนี้หนักแน่นมากจนข้าไม่อาจจะปฎิเสธได้...เหตุผลแรกคือข้าอยู่ในวังนี้มามากพอจะสามารถหลับตาเดินได้ รู้จักทุกสถานที่ในพระบรมมหาราชวังทุกที่ราวกับรู้ลายมือตัวเอง...การเคลื่อนไหวเพื่อสืบหาเบาะแสของมือสังหารในวังนี้จะเป็นไปได้โดยง่ายกว่าให้เจ้าทำ ในขณะที่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง ความหนุ่มและบุคลิกภาพที่ตรึงตาของเจ้าเมื่อแรกพบจะทำให้เจ้าเป็นที่น่าสังเกตและเบนความสนใจของเหล่าผู้ไม่หวังดีต่อพ่ออยู่หัวและเจ้าฟ้าอุทุมพรได้มากกว่าข้าที่ทำตัวกลมกลืนไม่สะดุดตาจนเป็นนิสัย...ถึงจะบอกว่าจุดประสงค์หลักของเราสองในการเข้ามาในวังคือการสืบหาความจริงเกี่ยวกับมือสังหารนั่น แต่ฉากหน้าของเราคือการเข้ามาเพื่อปกป้องพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ และข้าเองยังไม่อยากจะทำอะไรให้เป็นที่ผิดพระทัยแก่พระพี่นางพินทวดีนัก เพื่อสวัวดิภาพของข้าเองด้วย...เพราะฉะนั้น--- "

 

        " ผมเลยต้องตกกระไดพลอยโจน ต้องมาซวยกลายเป็นตัวล่อเท้าอย่างนี้เนี่ยนะ "

 

        " จะบอกว่าข้ากวนโทสะไหม ถ้าหากข้าบอกเจ้าว่า...ถูกต้องแล้ว ตัวล่อเท้าที่ดีที่สุดของข้า "  ท่านผู้เฒ่าพูดพลางฝืนยิ้มแค่นๆ ในขณะที่ไกรได้แต่แยกเขี้ยววับ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันว่าอะไรต่อ ท่านผู้เฒ่าก็ยกมือเป็นเชิงห้ามและให้ไกรหยุดพูดก่อน ซึ่งที่แรกไกรก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่เขาก็เข้าใจทันทีเมื่อเจ้าหญิงสิริจันทรโผล่ออกมาจากเหลี่ยมมุมอับสายตาของที่ๆเขายืนคุยกันอยู่ด้วยพระพักตร์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักจนกระทั่งไกรถึงกับต้องขมวดคิ้วพร้อมกับทูลถามขึ้นเบาๆ

 

        " มี...อะไรรึเปล่า ขอรับ? องค์หญิง "

 

        " ท่านไกร... "

 

        ' ...ขอรับ...องค์หญิง....กับ ท่านไกร...เนี่ยนะ? '  ท่านผู้เฒ่าคิดทวนคำพูดของไกรและสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงในใจเล็กน้อย เพราะถึงจะยังคงแสดงถึงระยะห่าง แต่มันก็เป็นคำพูดที่ดูสนิทสนมกันมากกว่าเดิมจนน่าผิดสังเกต แต่ในช่วงเวลาแบบนี้เขาก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไป ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฝืนแย้มพระสรวลพร้อมกับตรัสขึ้นเบาๆว่า

 

        " เป็นไปอย่างที่ท่านออกญากับสมเด็จพระพี่นางผู้เป็นพระปิตุจฉา(ป้า) คาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเลย...หลังจากที่พระราชบิดาและพระปิตุลาประกาศโปรดเกล้าอวยยศท่านไกรอย่างเป็นทางการ ข้าราชการระดับสูงเกือบทุกคนต่างก็สงสัยในความสามารถและความภักดีของท่าน...เวลานี้ทุกคนรอท่านอยู่ ณ สนามประลองหน้าพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์แล้ว... "

 

          ดำรัสของเจ้าฟ้าราชธิดาสาวทำให้ไกรหันกลับไปจ้องมองท่านผู้เฒ่าเขม็ง พร้อมกับพูดขึ้นทันที

 

        " นี่มันแปลว่าอะไรอย่างนั้นหรือ?! ท่านผู้เฒ่า! "

 

          ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาบางๆอย่างสมคะเนทันที

 

        " ก็แปลว่าถึงเวลาที่เจ้าจะต้องแสดงฝีมือให้สมกับเป็นเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์พิเศษ หน่วยคเณศวร์เสียงา...และตัวล่อชั้นดีที่สุดของพวกเราแล้วอย่างไรล่ะ...ไกรเอ้ย! "

 

 

 

 

 

 

...................................................... 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา