ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
20)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...กำแพงพระบรมมหาราชวังที่เขาเห็นในคลองสายตาเป็นกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นในลักษณะเดียวกับกำแพงเมืองที่ล้อมรอบกรุงอยู่ คือไม่ได้สูงมาก แต่เน้นแน่นและหนาเพื่อป้องกันแรงปะทะของกระสุนปืนใหญ่ แต่กำแพงค่อนข้างจะดูใหม่กว่าเล็กน้อย บวกกับทีเหล่าทหารที่แต่งเครื่องแบบคล้ายกับเหล่าทหารล้อมวังประจำอยู่บนเชิงเทินอย่างหนาแน่นและเป็นระเบียบกว่า ซึ่งก็รีบมาเปิดประตูกำแพงสีแดงรอท่าอยู่แล้วหลังจากที่เห็นกระบวนเสด็จมาแต่ไกล...
...พระมหาราชวัง...วังโบราณที่เหลือเพียงแต่ซากแล้วในยุคสมัยปัจจุบัน...
ไกรมองไปที่ยอดมหาปราสาทและยอดช่อฟ้าวัดพระศรีสรรเพชญ์อันเป็นวัดประจำพระราชวังและต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วในปัจจุบันอย่างเหม่อลอย มาสะดุ้งเล็กน้อยและรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเสียงควบม้าไล่มาจากด้านหลัง และมาหยุดที่ข้างๆเขาที่เป็นผู้อัญเชิญฉัตรของเจ้าฟ้าอุทุมพรช้าๆ
" อ้าว? แย่เสียจริงนะ...ลบรอยสักที่ข้าบรรจงสักให้โดยพลการเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวเป็นจุดสังเกตแล้วหรือ? "
ชายหนุ่มเหล่มองท่านผู้เฒ่าผู้เป็นเหมือนผู้ปกครองจำเป็นของเขา ที่บัดนี้อยู่ในชุดเรื่องแบบนายทหารชั้นผู้ใหญ่เต็มยศ แถมยังชักม้าด้วยท่าทีชำนิชำนาญด้วยแววตาปลาตาย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกเพราะเขาในเวลานี้ถูกอารมณ์ตื่นเต้นกลบจนไม่มีอารมณ์จะเคืองอีกฝ่ายแล้ว ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกขึ้นได้และถามขึ้นเบาๆทันที
" ข้าคิดไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้นะ ท่านผู้เฒ่า...แต่ไอ้เสียงฟ้าร้องครืนใหญ่เมื่อครู่นี้มันเหมือนกับเสียงฟ้าร้องตอนที่ท่านชักดาบของท่านออกจากฝักไม่มีผิดเพี้ยนเลย...มีอะไรผิดปรกติรึเปล่าขอรับ? "
ท่านผู้เฒ่าที่อยู่บนหลังม้าหันไปประนมมือถวายบังคมเจ้าฟ้าอุทุมพรที่อยู่บนสิวิกากาญจน์ ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างนึกนิยมความช่างสังเกตของเด็กหนุ่มเล็กน้อย และตอบกลับมาเบาๆเช่นกันว่า
" อืม...เสียงฟ้าร้องนั่นเกิดจากดาบของข้าเอง แต่ข้าก็ไม่ได้เปลือยดาบออกจากฝักทั้งหมดหรอกนะ ส่วนเรื่องที่ว่าผิดปรกติน่ะ จะว่ามีก็มีอยู่หรอก "
ถึงจะลดเสียงลงแล้วก็ตาม ก็ยังไม่พ้นถึงพระกรรณของเจ้าฟ้าอุทุมพรอยู่ดี จนพระองค์ต้องแหวกม่านสิวิกาขึ้นและตรัสถามขึ้นด้วยพระสุรเสียงฉงนสงสัยว่า
" นี่ท่านเปลือยดาบฟ้าฟื้นกลางพระนครอย่างนั้นรึ?! คิดอะไรของท่านกัน? "
' อดีต...ออกญาฯ ' ท่านผู้เฒ่าอดีตออกญามีชื่อแก้เบาๆในใจ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและบอกความจริงออกไปเพราะไม่คิดจะปิดบังอำพรางอะไรอยู่แล้วว่า
" ข้าพุทธเจ้าจับสัมผัสของการคุกคามได้น่ะพุทธเจ้าข้า เป็นจิตคุกคามที่พุ่งพรวดมาที่กระบวนเสด็จโดยตรง เลยทำให้ร่างกายโต้ตอบไปตามสัญชาติญาณ...แต่ก่อนจะได้ฉะกัน จิตคุกคามนั้นก็สลายหายไปเสียก่อน ด้วยเป็นยามราตรีและไม่อาจจะจับได้ถนัดว่ามาจากที่ใด ข้าจึงไม่ได้ออกติดตามไป "
" จิต...คุกคาม? " เจ้าฟ้าอุทุมพรดำรัสทวนคำอย่างฉงนสงสัย พลางส่งสายพระเนตรมาที่ไกรเหมือนเป็นเชิงถาม ซึ่งไกรก็เรียบเรียงคำพูดอยู่ชั่วครู่หนึง ก่อนจะทูลตอบกลับไป
" เป็นอาการประมาณว่าขนลุก หรือเสียวสันหลังวูบที่เกิดขึ้นชั่วขณะเวลาโดนเพ่งเล็งนะพุทธเจ้าข้า...ใช่ว่าทุกคนจะจับสัมผัสอะไรเช่นนี้ได้เหมือนกัน...และยื่งอยู่ห่างเท่าไหร่ก็ยิ่งจับจิตคุกคามได้ยากขึ้นเท่านั้น...ไอ้เรื่องที่จับจิตคุกคามได้จากบนหลังคาอีกฝากถนนนึงนี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ "
" เฮ้ยๆๆๆ พูดเช่นนี้ก็เหมือนกับว่าข้าโกหก ไม่ก็จิตหลอนไปเองเลยไม่ใช่รึอย่างไร? " ท่านผู้เฒ่ารีบแย้งขึ้นทันทีที่ได้ยิน ทำเอาสมเด็จเจ้าฟ้าสรวลออกมาเบาๆ และไม่ได้ติดพระทัยอะไรกับความหมายของคำว่าจิตคุกคามนัก...เพราะอย่างไรเสียพระองค์ก็ไม่ได้เป็นจอมดาบหรือนักรบอะไรอย่างพระเชษฐาในอดีตหรือออกญาจักรีนอกราชการตรงหน้านี่อยู่แล้ว
" เอาเถอะ พูดกิจธุระของท่านมาได้แล้ว ท่านออกญา "
ท่านผู้เฒ่าละสายตาจากไกร และหันมาที่เจ้าฟ้าอุทุมพรอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและตัดสินใจทูลขึ้นเรียบๆว่า
" พ่ออยู่หัวน่ะพระพุทธเจ้าข้า... "
" พ่ออยู่หัว? เกิดเหตุอะไรกับพระองค์อย่างนั้นหรือ?! " เจ้าฟ้าอุทุมพรแหวกม่านสิวิกาออกมาพร้อมกับตรัสร้องถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงที่ไม่ปกปิดเลยทีเดียว ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆเป็นเชิงให้อีกฝ่ายสบายพระทัยและทูลตอบกลับไปว่า
" เปล่าหรอกพุทธเจ้าข้า...แค่พระองค์มีราชโองการเรียกข้าไปพบที่สิวิกาเป็นการส่วนพระองค์เท่านั้นน่ะ "
เจ้าฟ้าอุทุมพรปัสสาสะเฮือกออกมาทันทีอย่างโล่งพระทัยที่ได้ยินดังนั้น ก่อนจะแย้มพระสรวลมุมโอษฐ์ออกมาบางๆ
" พระวรกายของพระองค์เป็นอย่างไรบ้างหรือ ท่านออกญา? "
" อ่อนเพลีย...ตามประสาผู้ที่ฟื้นจากไข้หนัก...แต่ถ้าหากไม่ได้พระองค์ที่ประจวบเหมาะเคราะห์ดีอยู่ตรงนั้นพร้อมล่วมยาพอดี พระอาการของพ่ออยู่หัวคงหนักกว่านี้อีกอักโขแน่ๆ ...แต่ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็ยังเป็นพ่ออยู่หัว...เพราะพระราชดำรัสแรกของพระองค์ก็คือ ทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง?... "
" ฮ่าๆๆๆ นั่นแหละพระเชษฐาของข้าล่ะ... " พระองค์สรวลออกมาเบาๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่า ยังคงมีเรื่องบางอย่างที่ท่านออกญาตรงหน้ายังไม่ได้พูดออกมา พระองค์จึงทรงกระแอมไอเบาๆหนึ่งครั้ง และตรัสถามขึ้นเรียบๆ
" มีเรื่องอื่นอีกอย่างนั้นสินะ ท่านออกญา? "
" เฮ้อ...จะว่าใช่ก็ไม่ผิดนะพทธเจ้าข้า "
" พูดออกมาเถอะ ...อย่างไรเสียท่านก็เคยเป็นถึงอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้กับข้าและพี่น้องในครั้งยังเป็นกุมาร ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันหรอก " เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าอีกฝ่ายลำบากใจที่จะพูดออกมา พระองค์จึงตรัสเพื่อให้คลายความกังวล ซึงก็ได้ผลไม่มากก็น้อย เพราะออกญาจักรีนอกราชการตรงหน้าถอนหายใจเฮือกเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดจะตัดสินใจพูดออกมาว่า
" เรื่องที่ข้าพุทธเจ้าจะพูด...ข้าพุทธเจ้าเดาว่าท่านน่าจะทราบอยู่แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ข้าพุทธเจ้าจึงขอเตือนพระองค์อีกครั้งเท่านั้น "
" เตือนข้า? "
พระพักตร์ของเจ้าฟ้าอุทุมพรฉายแววสงสัยชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่พระองค์จะเลิกพระขนงพร้อมกับร้อง อ๋อ! เบาๆ และสีพระพักตร์เคร่งลงทันที
" คงจะเข้าใจแล้วสินะพุทธเจ้าข้า...ถึงข้าพุทธเจ้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่เวลาที่พระองค์ถวายราชสมบัติให้แก่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ แต่การที่พระองค์ถวายราชสมบัติและออกผนวชถือเป็นสุดยอดการตัดสินพระทัยที่แม้แต่ข้ายังต้องทึ่งเลย...พระองค์ทำให้ความแตกแยกและแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายของเหล่าขุนนางที่เกือบจะเข้าสู่จุดวิกฤตอยู่แล้วหยุดลง...แต่เวลานี้พระองค์ได้ลาสิกขาบทและคืนสู่อิสสริยศักดิ์เดิมแล้ว "
" แปลว่าเหล่าขุนนางที่สนับสนุนข้า อาจจะก่อการอีกเมื่อไหร่ก็ได้...ใช่ ข้าก็คิดอยู่เหมือนกัน...ท่านมีคำแนะนำอย่างนั้นหรือ? "
" ถูกแล้วพุทธเจ้าข้า "
" ข้าฟังอยู่ "
" ดูเหมือนพ่ออยู่หัวจะทรงดำริเรื่องนี้อยู่ ตลอดเวลาที่กระบวนเสด็จเดินทางมาจนถึงที่นี่เลยล่ะ...ซึ่งต้องขอชมเชยเลยว่าพระองค์มีพระปรีชาสามารถจริงๆ "
" แปลว่าพ่ออยู่หัวดำริออกแล้วสินะว่าข้า...รวมไปถึงทุกคนควรจะแก้ปัญหานี้อย่างไร "
" พุทธเจ้าข้า...แต่ด้วยความเคารพ ว่าก็ว่าเถอะนะ...แผนการนี้เป็นแผนที่สุ่มเสี่ยง...และคาบลูกคาบดอกสิ้นดีเลยล่ะพุทธเจ้าข้า "
" สุ่มเสี่ยง? "
ท่านผู้เฒ่าชักม้ากลับพร้อมกับพนมมือและกราบทูลขึ้นอย่างเสียงดังฟังชัดว่า
" ควรมิควรก็แล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม...แต่การเสด็จนิวัติ กลับพระบรมมหาราชวังในครานี้ของพระองค์ ...พระองค์จะนิวัติกลับมาในฐานะแม่ทัพใหญ่ รับศึกการสงครามระหว่างอโยธยา กับพระเจ้าอลองพญาแห่งพม่า ...มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าที่พระมหากษัตริย์อีกพระองค์ทุกประการ ...นี่เป็นพระบรมราชโองการของพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ พระพุทธเจ้าข้า "
....................................................
...ย้อนกลับมาที่กลุ่มของอนาสตาเซีย...
อนาสตาเซียที่นั่งชันเข่าเอาหลังพิงไม้ใหญ่เหมือนกับกำลังนั่งหลับนกอยู่ ค่อยๆขยับแพขนตาหนาของเธอขึ้น ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าจรัสที่หรี่เล็กอยู่นั้นจะเหลือบมองไปที่ศกุนตลาที่นอนนิ่งอยู่ใกล้ๆ...เสียงลมหายใจที่ลึกและยาวบ่งบอกว่าเธอกำลังอยู่ในห้วงนืทราที่ลึกและสนิท เพราะการใช้พลังไปกับการยิง ศรพลายวาต บวกกับความเหนื่อยล้าจากการอดนอนเดินทาง ในขณะที่สิงห์ที่อยู่ข้างๆก็ใช้พลังไปไม่น้อยในการจัดการกับกลุ่มคนที่รอรับมือสังหารที่ตายไปแล้วบวกกับแผลที่ซี่โครงที่ยังไม่ถึงขั้นหายเป็นกรกตินัก บัดนี้จึงได้แต่นั่งสัปหงกหลับนกอยู่อย่างอ่อนเพลียโดยปล่อยให้เสือสมิงใต้อาณัติของเขาทำหน้าที่เฝ้ายามแทน
เมื่อเห็นว่าสหายทั้งสองคนเข้าหลับสนิทดีแล้ว หญิงสาวค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยไม่เกิดเสียงใดๆทั้งสิ้น แต่การขยับของเธอก็ยังทำให้มายา ที่บัดนี้กลับคืนร่างของเสือโคร่งตัวเท่าลูกม้าแล้ว และกำลังนอนหลับเอาคางเกยเท้าหน้าอยู่ ลืมตาสีเหลืองอร่ามของเธอขึ้นมาอย่างหวาดระแวง พร้อมกับครางขู่ต่ำๆทันที
" ชู่ว! " มือสังหารสาวหันไปมองพร้อมกับเอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก อันเป็นสัญญาณสากลในทุกยุคทุกสมัยว่าให้อีกฝ่ายเงียบไว้ ในขณะที่เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นอนาสตาเซียก็หยุดคราง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งและไม่ได้ถามอะไร...ถึงเธอจะอดสงสัยในท่าทีลับๆล่อๆของหญิงสาวสหายของนายเธอเล็กน้อยไม่ได้ก็เถอะ
เมื่อเห็นว่ามายาหลับตาลงไปแล้ว อนาสตาเซียก็หลับตาลงพร้อมกับลอบถอนหายใจเฮือกออกมาเบาๆ...ก่อนที่เธอจะเดินอย่างเงียบกริบราวกับแมวออกไปจากที่นี่อย่างช้าๆ จนกระทั่งลับสายตาและปลอดจากการรู้เห็นของทุกคน หญิงสาวก็ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง พร้อมกับยกมือข้างที่สวมแหวนอันเป็นของไกรขึ้น และพูดเบาๆกับแหวนวงนี้ว่า
" ออกมาหน่อยสิ...ท่านอรัญญิกา "
...เงียบ...
" ท่านอรัญญิกา...อรัญญิกาเทวี... "
...เงียบ...
" ท่านอรัญญิกา...ข้ารู้ว่าท่านได้ยินข้า...ออกมาหน่อย "
...เงียบเช่นเดิม...นอกจากเสียงจักจั่นที่ร้องจากที่ไกลๆแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวฉายสีเลือดฝาดเล็กน้อย เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอในตอนนี้ก็เหมือนคนสติไม่สมประกอบที่กำลังพูดอยู่กับตัวเองไม่มีผิดเพี้ยนเลย...
...ในที่สุด การรอคอยอย่างอดทนของเธอก็ถึงจุดสิ้นสุดลง...เธอยกนิ้วโป้งข้างที่สวมแหวนโลหะเงินนี้ขึ้นประชิดริมฝีปากพร้อมกับกัดฟันกระซิบเรียบๆใส่แหวนเจ้าหัญหาวงนี้ทันที
" อรัญญิกาเทวี...ถ้าท่านยังคงเงียบอยู่และปล่อยให้ข้าพูดคนเดียวราวกับคนบ้าใบ้เช่นนี้ต่อไป ข้าให้สัตย์สัญญาเลยว่าทันทีที่ข้ากลับถึงหมู่บ้านยุคันตวาต ข้าจะให้ยูกิโอะซังนำแหวนวงนี้ไปแยกธาตุจนไม่เหลือชิ้นดีเลยทีเดียว! "
" ถ้าหากเจ้าคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ เจ้าก็ต้องตัดนิ้วโป้งไปพร้อมกับแหวนนี้ด้วย เพราะถ้าหากข้าไม่ยอม...เจ้าไม่มีวันถอดแหวนศักดิ์สิทธิ์วงนี้ออกได้แน่ๆ " เสียงของหญิงสาวที่เธอเริ่มจะคุ้นเคยแล้ว ดังกังวานขึ้นด้านหลังเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเธอสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับหันกลับมา...เมื่อเห็นหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเสียงนั่นเต็มๆตา เธอก็ต้องทำหน้าเหยเกอย่างลืมเรื่องมารยาทไปเลยทันที
หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเธอเป็นสตรีที่งามหยาดเยิ้มงดงาม...ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกเกล้ามวยสูงและติดที่ติดผมไว้เพื่อให้ทะมัดทะแมง ในขณะที่เสื้อผ้าที่เธอสวมเป็นชุดที่แปลกประหลาดที่สุดในความคิดของอนาสตาเซีย เพราะเธอกำลังอยู่ในชุดสาวออฟฟิศสำนักงานสีน้ำเงินเข้มพร้อมกับกระโปรงรัดรูปสูงเหนือเข่าเล็กน้อยและส้นสูงหนังสีดำสนิท...ดูยังไงก็ไม่ต่างจากสาวที่ทำงานในสำนักงานติดแอร์ไม่มีผิดเพี้ยนเลย...
" ชุด...อะไร...ของท่านเนี่ย? ประหลาดที่สุดเลย "
คำทักของอีกฝ่ายทำเอาเทพสาวนามว่าอรัญญิกากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะร้องอ๋ออย่างนึกขึ้นได้ เธอถอดแว่นตาที่สวมอยู่ออก แล้วหมุนตัววูบหนึ่ง พริบตาเดียวเธอก็เปลี่ยนจากชุดประหลาดๆในความคิดของอนาสตาเซีย เปลี่ยนเป็นชุดผ้าไหมอย่างดีของสตรีผู้สูงศักดิ์ในยุคของเธอทันที
" อ้อ...โทษที แต่คำว่าประหลาดมันเสียมารยาทนะ นั่นเป็นชุดกับรองเท้าแบรนด์เนมเชียวนะยะ "
" แบรน--เนม? " อนาสตาเซียทวนคำพร้อมทำหน้าแปลกๆอีกครั้ง ก่อนจะถามต่อเรียบๆ " เหตุใดถึงได้มาช้านักล่ะ...ปรกติถึงไม่เรียกท่านก็พูดกวนประสาทอยู่ในหัวข้าไม่หยุดเลยแท้ๆ "
" โธ่เอ๊ย...เธอคิดว่าเทพจะสามารถนั่งๆนอนๆอิ่มทิพย์ได้โดยไม่ต้องทำงานทำการรึยังไง ยิ่งพอฉันต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างงี้ยิ่งแล้วใหญ่ ฉันโดนหัวหน้าสั่งสอบและเพ่งเล็งอย่างแรงเลยนะ ให้ตายสิ! "
" เฮ้อ...ทำไมข้าถึงไม่คืนแหวนวงนี้ให้กับไกรไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดนะ " อนาสตาเซียครางออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะรีบพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงานว่า " เอ่อ...จะหาว่าข้าเสียมารยาทอีกครั้งก็ได้ แต่ข้าไม่ได้เรียกท่านมาให้ท่านปรับทุกข์นะ ท่านอรัญญิกา "
" เสียมารยาทจริงๆ แต่เอาเถอะ ข้ากำลังจะเลิกงานพอดี ถือโอกาสชิ่งออกมาเลยก็ดีเหมือนกัน " เทวีอรัญญิกาผู้สิงสถิตย์อยู่ในแหวนประหลาดรับคำเบาๆ ก่อนจะหลับตากอดอกและพยักหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ
อนาสตาเซียถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นเล่าภารกิจของเธอให้เทวีตรงหน้าฟังอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยื่นตราโลหะต้นเหตุให้อีกฝ่ายดู ในขณะที่อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้รับไปดู ก่อนที่ในที่สุดเมือฟังจบ เธอก็ครางด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆเป็นเชิงถามว่า
" แล้ว? "
" ก็ท่านเป็นผู้บอกเองตั้งแต่ราตรีแรกที่เราพบกันว่าท่านคือเทวีผู้ปกปักษ์รักษาชุมนุมมือสังหารของเราน่ะ นี่ก็เป็นตราสัญลักษณ์ของชุมนุมเรา ข้าก็คิดว่าท่านน่าจะพอรู้อะไรมาบ้าง "
" เลยกะจะขี้โกง ประหยัดเวลาสืบสวนด้วยการให้ฉันสปอยล์ตอนจบเนี่ยนะ? เล่นง่ายไปไหมเนี่ย? "
" สปอยล์? ...ข้าไม่รู้หรอกนะว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่เรื่องนี้สำคัญและฉุกละหุกเกินกว่าที่ข้าจะใช้การสืบสวนปกติได้...ยิ่งปล่อยช้านานไปความปลอดภัยของท่านผู้เฒ่าบิดาของข้าและไกรผู้เป็นเจ้าของแหวนนี่ก็ยิ่งเสี่ยงอันตรายมากขึ้น "
" หึๆๆๆ สมเป็นผู้สืบสายเลือดของจอมขุนนางกรีกผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัชสมัยพระนารายณ์ และเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตในยุคสมัยนี้เลยนะ...กล้าใช้ทุกหนทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย โดยไม่สนว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม "
" ข้าไม่รู้จักต้นตระกูลขุนนางอะไรที่ท่านว่า ท่านอรัญญิกา...แม้แต่หน้าของบิดามารดาที่แท้จริงของข้า ข้ายังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ...ท่านผู้เฒ่าและหมู่บ้านเป็นสิ่งเดียวที่ข้ามี... " อนาสตาเซียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกที่สุดในความคิดของอรัญญิกาเทวี เธอเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่ในที่สุดก็จะหลับตาลงและพูดขึ้นเบาๆ
" ฉันไม่รู้... "
" ...ห...ห๊ะ? " อนาสตาเซียกระพริบตาปริบๆ คิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป แต่อีกฝ่ายยืนยันคำเดิมเพื่อให้เธอแน่ใจว่าหูไม่ฝาดอีกครั้ง
" เอ้อ...ฉันไม่รู้ "
" ว่าอย่างไรน๊าาา! "
" ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่าไงยะ? คิดว่าเทพจะเป็นผู้รู้ทุกอย่างเลยรึไง...ถ้าเป็นยังงั้นพวกฉันก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วสิ...อีกอย่างนะ ฉันเองก็ไม่ได้มีหน้าที่แทรกแซงโลกที่กำลังดำเนินไป ขืนฉันพูดอะไรออกไป งานนี้หัวหน้าของฉันมีหวังเฉ่งฉันอานแน่ๆ ทั้งๆที่ฉันก็บอกจนปากเปียกปากแฉะไปแล้วว่าเรื่องของไกรไม่ใช่ความผิดของฉัน ฉันเป็นแค่ผู้เสียประโยชน์อีกคนที่ติดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แท้ๆ "
" แปลว่านอกจากท่านจะส่งเสียงกวนโทสะข้าและเข้าควบคุมร่างข้าทุกครั้งที่มีโอกาสแล้ว ท่านช่วยอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย?! " อนาสตาเซียเกาหัวแกรกๆพร้อมกับส่งเสียงจิ๊กจั๊กอย่างขัดใจ เพราะความหวังเดียวของเธอที่จะลัดเวลาด้วยการถามเอาจากเทวีผู้ปกปักษ์รักษาหมู่บ้านตรงๆพึ่งจะพังทลายไปไม่มีชิ้นดี ทำให้เธอต้องกลับไปสู่สถานการณ์งมเข็มในมหาสมุทรอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
" ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำค่อนขอดน่าโมโหนั่นก็แล้วกันนะ ...ถึงฉันจะบอกอะไรเธอไม่ได้ แต่ฉันสามารถแนะนำเธอได้อย่างนึงนะ ว่าเธอควรจะกลับไปที่หมู่บ้านยุคันตวาตเป็นอย่างแรก "
คำพูดเบาๆของเทพีสาวตรงหน้าทำให้อนาสตาเซียเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงและส่ายหน้าช้าๆ
" ข้าบอกไปแล้วว่าข้าเสียเวลาไม่ได้...เรื่องแจ้งให้คนในหมู่บ้านทราบคงจะเป็นการแจ้งผ่านทางเหยี่ยวสื่อสารของศกุนตลา ท่านที่ทั้งๆที่มีศักดิ์เหนือรุกขเทพ อากาศเทพ แต่ต้องมาสิงสถิตย์เป็นสัมภเวสีไร้ศาลอยู่ในแหวนวงนี้ก็น่าจะรู้ดีนี่ "
" เป็นคำขยายความที่น่าตบให้ดิ้นจริงๆ แบบนี้มันน่าช่วยไหมเนี่ย?! " อรัญญิกาเทวีหันมาส่งสายตาคมปลาบให้อย่างเคืองๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและพูดต่อ
" ที่ฉันบอกให้กลับไปที่หมู่บ้านไม่ใช่ให้ไปแจ้งข่งแจ้งข่าวอะไรหรอก แต่ฉันว่าคนที่หมู่บ้านเธอน่าจะช่วยได้น่ะ "
" หืม? " คราวนี้หญิงสาวหันกลับไปมองพร้อมกับครางออกมาอย่างสนอกสนใจจนต้องถามขึ้นเบาๆ " ใครกันหรือเจ้าคะ? หรือว่าจะเป็นท่านเมือง? "
" ไม่ใช่ซะหน่อย ข้าหมายถึงยูกิโอะ...ช่างตีอาวุธประจำหมู่บ้านของเจ้าต่างหากล่ะ "
" ยูกิโอะซังน่ะเหรอ? แต่เท่าที่ข้าจำได้ นางไม่เคยออกไปนอกหมู่บ้านเลยนะ "
" ใช่แล้วล่ะ...นับตั้งแต่มีหมู่บ้านยุคันตวาตมา เธอไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลย แต่ทุ่มเทให้กับงานตีอาวุธเท่านั้น เพราะสำหรับผู้หญิงคนนี้...เธอเห็นโลกทั้งโลกมาจนโลกใบนี้ไม่เหลือความน่าสนใจใดๆอีกแล้วล่ะ... "
คำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายทำให้อนาสตาเซียต้องขมวดคิ้วอย่างงงๆอีกครั้ง จนต้องถามขึ้นเบาๆ
" หมายความว่าอย่างไรกันหรือเจ้าคะ? "
" หญิงสาวคนนั้น...ยัยนั่นเป็นเหมือนพ่อบุญธรรมของเธอ...ไม่สิ...ต้องพูดว่าเธอเป็นอมตะมาก่อนพ่อบุญธรรมของเธอ...นาน---ชนิดเทียบกันไม่ติดเลยล่ะ "
" อ...อมตะ?? ต...แต่ว่า ได้อย่างไรกัน?! "
" ก็ด้วยหนึ่งในวิธีที่น่าขยะแขยงที่สุด น่ารังเกียจที่สุดในหมู่ความเชื่อเรื่องชีวิตอมตะ ของมนุษย์ผู้โง่งมทั้งหมด " เทวีสาวกล่าวเรียบๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนกลายเป็นเฉยชาอย่างที่สุด " ...เธอกินเนื้อนางเงือกเข้าไปยังไงล่ะ "
...................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ