ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) ...ตอนที่ ๔...เลือกข้าง...(๒)...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
======================================================
" นี่ ตื่นได้แล้ว! ไกร ตะวันจะส่องก้นอยู่แล้วนะ!! ตื่นๆๆๆๆ! " เสียงที่ดังแปดหลอดของเด็กหนุ่มที่เขาจำได้ว่าถ้าไม่ใช่โคลัมบัสก็เป็นออเรลลาน่าที่ตะโกนขึ้นข้างๆหูของเขาทำให้ไกรที่ยังคงหลับตาอยู่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ก่อนจะพลิกตัวและดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง แต่เขาก็ถูกอีกฝ่ายดึงพรวดจนตัวแทบพลิกตกเตียง ทำให้เขาต้องลืมตาตื่นออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
" ป...ปัดโธ่! ทั้งๆที่ขอท่านผู้เฒ่าว่าไม่เอาห้องด้านทิศตะวันออกเพราะไม่อยากโดนแดดเช้าแท้ๆ พ...พวกแก พวกเจ้านี่มันมารผจญชัดๆ! โคลบี้ ออลลี่! " ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับบ่นดังๆ แต่แล้วเขาก็พึ่งสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มนักประดิษฐ์ทั้งสองคนบัดนี้ขอบตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้าราวกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน ผมเผ้าที่ทีแรกก็ยุ่งเหยิงอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งฟูฟ่องไปใหญ่ เมื่อบวกกับสิ่งที่อยู่ในมือของทั้งสองคนมันทำให้เขายิ่งแปลกใจไปใหญ่
" นั่นมัน? "
" สุดยอดนวัตกรรมไงเล่า!!! "
" ไอ้กล้องเก็บเสียงที่ระเบิดเกือบหน้าแหกกันไปเมื่อวานก็เห็นพูดอย่างงี้... "
" ข้อผิดพลาดคือเส้นทางที่โคตรอัจฉริยะต้องเดินผ่านไง! แต่นี่ต่างหาก สุดยอดความสำเร็จของสองโคตรอัจฉริยะที่แท้จริง!! "
" อือฮือ...สุดยอดไปเลย วาว! " คำชื่นชมด้วยน้ำเสียงโมโนโทนแบบราบเรียบสุดๆของไกรทำให้คู่แฝดนักประดิษฐ์ทั้งสองหันไปส่งเสียงจิ๊กจั๊กกันอย่างขัดใจ ก่อนจะชูสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ให้เขาดูชัดๆ
" นี่คือกล้องเก็บเสียง รุ่น ๒.๐ ไงล่าาาา "
" แหม่ะ ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย "
" จะปากดีได้ก็แค่ตอนนี้แหละน่า...ปะ! เราไปลองสุดยอดสิ่งประดิษฐ์นี่กันเถอะ!! "
" แล้วสิ่งประดิษฐ์ของพวกเจ้ามันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า! "
" ก็ให้เกียรติเจ้าในฐานะที่ปรึกษาเฉพาะกิจของสุดยอดนักประดิษฐ์โคตรอัจฉริยะทั้งสองคนไงเล่า! " คำตอบของทั้งคู่ทำเอาไกรที่ยังงัวเงียๆอยู่ถึงกับต้องเอามือกุมขมับพร้อมกับถอนหายใจเฮือกอย่างหงุดหงิด...นี่ตูกลายเป็นเบ๊ที่ปรึกษาไปแล้วเหรอฟะเนี่ย?
" นี่รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมาเนี่ย...ข้าว่าท่านผู้เฒ่าน่าจะประกาศไปแล้วนะว่าข้าเป็นมือสังหารคนใหม่แห่งหมู่บ้านน่ะ "
" ก็แล้วไงล่ะ ข้าบอกไว้ก่อนเพื่อให้เข้าใจตรงกันเลยนะว่าพวกมือสังหารน่ะ ถ้าไม่มีข้าที่คอยประดิษฐ์สุดยอดนวัตกรรมเหล่านี้เข้าช่วยป่านนี้โดนกรมการตำรวจจับเข้าคุกขี้ไก่ ไม่ก็ประหารชีวิตไปหมดแล้ว...คอยดูให้ดีเถอะ พวกที่ไม่สำนึกบุญคุณพวกข้าอย่างยัยพี่ศกุนตลา กับพี่นาสตี้น่ะ ซักวันข้าจะแกล้งเอาอุปกรณ์ที่บกพร่องให้ใช้ให้ระเบิดใส่หน้าซะให้เข็ด "
" โอ้!...อย่างนั้นก็แสดงว่าข้าสองคนสมควรจะต้องจัดการพวกเจ้าซะตรงนี้ ก่อนที่เจ้าสองคนจะแว้งกัดข้างั้้นสินะ! เจ้าพวกอสรพิษ!! "
" กรี๊ดดดด!!! " เด็กหนุ่มนักประดิษฐ์ชาวตะวันตกทั้งสองกรี๊ดออกมาจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น พวกเขาหันกลับไปมองสองสาวอนาสตาเซียกับศกุนตลาชั่วเสี้ยววินาทีนึงก่อนจะรีบพุ่งพรวดมาหลบอยู่ด้านหลังไกรทันที
" ย...อย่าเข้ามาใกล้เชียวนะ ข้ามีพระนะเออ! "
" พวกข้าไม่ใช่ภูติผีปิศาจนะ! อีกทั้งพวกเจ้านับถือศาสนาคริสต์ แล้วจะห้อยพระไปเพื่ออะไรเนี่ย?! " อนาสตาเซียแหวเบาๆอย่างไม่จริงจังอะไรนัก ก่อนจะวางกองเสื้อผ้ากองใหญ่ไว้บนโต๊ะพร้อมกับถอนหายใจเฮือก
" ท่านพ่อสั่งให้ข้าหาชุดมาให้เจ้าซัก ๔-๕ ชุด...แทนชุดขอทานกะรุ่งกะริ่งที่เจ้าใส่อยู่...ข้าว่าขนาดที่ข้าเอามานี่น่าจะพอดีกับเจ้านะ "
" เห?...แล้วเธอรู้ ขนาด ของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? " รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไกรทำให้อนาสตาเซียหน้าแดงวูบ ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่มาเขวั้ยงใส่หน้าเขาทันที
" ร...ไร้ยางอายที่สุด! "
ศกุนตลาถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นสถานการณ์ที่เริ่มจะไร้สาระขึ้น...ก่อนจะไร้สาระไปมากกว่านี้เธอก็รีบชิงพูดก่อนอย่างเป็นการเป็นงานว่า
" ที่ข้ามานี่ตอนแรกก็กะว่าจะมาชวนเจ้าไปดูการทดสอบไอ้...กล้องเก็บเสียงที่เจ้าออกความคิดนั่นแหละ...แต่คราวนี้ข้าคงต้องขอไปดูด้วย เผื่อไอ้กระบอกกล้องเก็บเสียงอะไรนี่ทำให้ ศรพลายวาต ของข้าแตกจนใช้การไม่ได้ ข้าจะได้จัดการฝังพ่อนักประดิษฐ์ตัวดีทั้งสองคนไปพร้อมกับปืนของข้าเลย...ส่วนเจ้าในฐานะผู้เสนอความคิดค่อยว่ากันอีกทีว่าจะจัดการอย่างไร "
ไกรเกาหัวแกรกๆกับคำข่มขู่กลายๆของอีกฝ่าย ก่อนจะเหลือบไปมองแสงสว่างจากหน้าต่างซึ่งส่องพาดผ่านปราการออกมาเพียงรำไรเท่านั้นซึ่งแปลได้ว่านี่ยังเช้าอยู่เลย...ดีไม่ดีอาจจะเลยตีห้ามาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นก็ได้
...คนยุคนี้ตื่นเช้ากันเป็นปกติหรือว่าคนยุคเขาตื่นสายเป็นปกติกันแน่หว่าเนี่ย?...
ไกรเลี่ยงด้วยการหยิบกระบอกกล้องเก็บเสียงรุ่นที่ ๒.๐ ที่โคลบี้กับออลลี่ว่าขึ้นมาดู ถึงภายนอกตัวกล้องจะสร้างขึ้นมาเหมือนกับกล้องเก็บเสียงตัวแรกที่พึ่งระเบิดไปเมื่อวาน แต่เส้นผ่านศูนย์กลางของกล้องป้อมใหญ่กว่าเดิมเกือบ ๓ เท่า เพราะภายในบัดนี้ถูกบุไว้ด้วยกระดาษแข็งที่มีลักษณะซ้อนกันตามที่เขาบอกไว้จนดูเหมือนกับไส้กรองรถยนไม่มีผิด
" เป็นอย่างไร? คิดว่าพอจะใช้ได้ไหม? ไกร " โคลัมบัสที่รอดูปฏิกริยาของเขาอยู่แล้วร้องถามขึ้นเบาๆ ในขณะที่ไกรก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มบางๆ
" อืม...น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ " ...ถ้าคลิปวีดิโอเกี่ยวกับการประดิษฐ์กล้องเก็บเสียงปืนจากไส้กรองรถยนต์ที่เขาเคยเห็นผ่านตาทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่คลิปลวงโลกล่ะก็นะ...
" น่าจะ...เนี่ยนะ?! " ศกุนตลาที่ตอนแรกยืนคุยกับออเรลลาน่าอยู่หันขวับกลับมาพร้อมกับตวาดเบาๆจนไกรอดขมวดคิ้วไม่ได้...นี่ตกลงยัยนี่ห่วงปืนของตัวเองมากกว่าชีวิตของใครหลายๆคนอีกนะ...
" ใช่ น่าจะ...ถ้าพูดตามหลักความน่าจะเป็นอ่ะนะ "
" หลักความน่าจะเป็น?...เอาเถอะ คงจะเป็นศัพท์ภาษาเจ้าที่แปลมาเป็นภาษาไทยเหมือนเช่นเดิมอีกล่ะสิ " คำพูดของอนาสตาเซียทำเอาไกรต้องหันไปมองอย่างทึ่งๆ
' เฮ้ย! นี่ตกลงคำแก้ตัวที่ไอ้คุณท่านผู้เฒ่าแก้ให้มันน่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยหรอฟะเนี่ย? '
เมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ ไกรจึงได้แต่ขอเวลาให้เขาล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าซักครู่นึงก่อน แล้วเมื่อเขาออกมาจากห้องและเห็นทั้งสี่คนยืนรออยู่เขาจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกอีกครั้งพร้อมกับปิดปากหาวเบาๆ
" เอ้า...ไปก็ไป แล้วตกลงจะไปทดลองกันที่ไหนล่ะ? "
" ป่าท้ายหมู่บ้านน่ะ " คำตอบเสียงอ่อยๆของโคลัมบัสทำให้ไกรต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ
" อ้าว? แล้วกระท่อมกลางป้อมปรา---เอ่อ หมายถึงกระท่อมกลางหมู่บ้านของพวกเจ้าล่ะ "
" ท่านพ่อฯมีคำสั่งห้ามทำการทดลองใดๆที่ก่อให้เกิดเสียงดังในกระท่อมนั้นเด็ดขาด...ว่ากันตามสัตย์จริงข้าว่านี่เป็นการลงโทษที่ออกจะเบาไปด้วยซ้ำนะ " อนาสตาเซียตอบคำถามของเขาเบาๆ แถมยังถือโอกาสหันไปแขวะสองนักประดิษฐ์ตัวดีด้วยไปในตัว
" เป็นพี่ก็พูดได้นี่ พี่ลองเดินไปเดินกลับจากกระท่อมไปป่าท้ายหมู่บ้านทั้งวันดูบ้างไหมเล่า?! "
" พวกข้าสองคนเดินทางกันมาแล้วตั้งแต่นครพิงค์เชียงใหม่ถึงนครศรีธรรมราช...กะอีกแค่เดินไปกลับท้ายหมู่บ้านแค่นี้อย่าบ่นให้มันเป็นวรรคเป็นเวรนักเลย " ศกุนตลาตอบแทนเรียบๆก่อนจะหันไปหยิบปืนคาบศิลาที่ยาวกว่า ๒ เมตรอันเป็นอาวุธประจำกายของเธอขึ้นและเดินนำไป เป็นสัญญาณให้ทุกคนออกเดินกันได้แล้ว...ซึ่งเมื่อหาเหตุผลมาเถียงต่อไม่ได้ คุณนักประดิษฐ์ ทั้งสองคนก็ได้แต่เดินตามไปอย่างหงอยๆโดยทิ้งระยะให้ไกรและอนาสตาเซียที่เดินคู่กันตามมาอยู่ห่างๆ
...เมื่อเห็นว่าทิ้งระยะห่างไกลพอที่จะไม่ให้คนที่เดินนำอยู่ได้ยินอะไรได้ อนาสตาเซียก็เริ่มต้นพูดขึ้นเบาๆทันที...
" ข้าได้ยินที่ท่านพ่อว่าท่านจะให้เจ้าไปอโยธยาด้วยแล้ว... "
ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำเปรยของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะลองหยั่งเชิงไปว่า
" แล้วเธอคิดว่าอย่างไรล่ะ? "
อนาสตาเซียยักไหล่เล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อ
" จะให้ข้าพูดว่าอย่างไรได้ล่ะ...ถึงข้าจะไม่ได้ไว้ใจอะไรเจ้ามากไปจากเดิมนัก แต่ข้าก็เข้าใจเหตุผลของท่านพ่อดี "
" เหตุผล? "
" ถ้านับแต่พวกมือสังหารที่มีฝีมือสูงพอจะเป็นผู้คุ้มกันให้ท่านพ่อได้......หลังจากเหตุการณ์กบฏพระเพทราชา ตัวข้าซึ่งเป็นสายเลือดฝรั่งอังหม้อไม่อยู่ในตัวเลือกที่จะไปเป็นผู้คุ้มกันท่านพ่ออยู่แล้ว...ศกุนตลาเองที่ยืนยันชัดแจ้งแล้วว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นที่สังเกตเห็นได้ชัดของเธอก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเช่นกัน...ส่วนสิงห์... " เมื่อเอ่ยถึงสิงห์ หญิงสาวก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกออกมายาวเหยียดอย่างเหนื่อยหน่ายใจจนไกรถึงกับอดหลุดขำออกมาไม่ได้
" สิงห์ทำไมรึ? "
" เจ้าก็เห็นความนึกคิดอันบ้าๆบวมๆของสิงห์แล้วไม่ใช่รึไง...งานสังหารมังจากะเลงานก่อนถ้าไม่ได้เจ้าช่วย สิงห์คงได้ฝ่าทั้งกองทัพเข้าไปขย้ำคอมังจากะเลเหมือนงานชิ้นก่อนๆของเขาแล้ว...ที่ข้าจะบอกก็คือมีงานหนึ่งที่อโยธยา ครานั้นสิงห์แทบจะพังเมืองไปเกือบแถบ เล่นซะกรมพระตำรวจและกรมเวียงทั้งหมดหัวหมุนไปทั้งวันเลย...เจ้าก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่ารางวัลนำจับของสิงห์ในปัจจุบันจะเป็นเท่าไหร่ " คำตอบของอนาสตาเซียทำเอาไกรหัวเราะออกมาไม่ออกซะอย่างนั้น
" ต...ตกลงไอ้หมอนั่นเป็นปิศาจรึยังไงกัน ถึงได้สามารถพังเมืองหลวงไปได้เป็นแถบๆแบบนั้น?!! " เขาอุทานออกมาดังๆ ในขณะที่อนาสตาเซียก็ได้แต่ยักไหล่
" สิงห์น่ะเป็นผู้ใช้สัตว์สมิงมาแต่กำเนิดโดยไม่จำเป็นต้องฝึกฝน อีกทั้งยังเติบโตมาท่ามกลางเดรัจฉานวิชา ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ท่านเจอกับสิงห์ครั้งแรก หมอนั่นพูดภาษาคนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสัตว์ร้ายมากกว่าคน...เมื่อรวมกับสุดยอดเสือสมิงอีก ๓ ตน เจ้านั่นทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่ว่างานคราวนั้นก็ถือเป็นงานช้างที่ต้องใช้มือสังหารทุกคนที่มีในการทำภารกิจ สิงห์เองงานนั้นก็บาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนแซ่วไปเกือบ ๔ เดือนทีเดียว "
" โห...ขนาดต้องใช้มือสังหารทุกคนในงานเดียว งานนั้นมันงานอะไรกันแน่น่ะ? "
อนาสตาเซียอ้าปากเตรียมจะตอบคำถามแต่แล้วก็หุบลงพร้อมกับยิ้มแค่นๆ
" เจ้านี่มีพรสวรรค์ในด้านการชวนสนทนาให้เผลอตัวเสียจริงนะ เอาเป็นว่างานนั้นหากเจ้าอยากรู้จริงๆก็ไปถามสิงห์เอาเองก็แล้วกัน "
" อ้าว? ปัดโธ่! มาเล่าให้อยากแล้วจากไปอย่างงี้เนี่ยนะ! ประเดี๋ยวบีบคอซะเลยผับเผื่อย! " ไกรแยกเขี้ยววับ
" หยาบคายเสียจริง! อย่าคิดว่าข้ากลัวนะ ...ณ ที่นี้บุรุษและสตรีต่างเท่าเทียมกัน ลองบีบคอข้าดูสิ ข้าแทงไส้ไหลจริงๆด้วย " คำขู่กลับพร้อมกับมีดสั้นวาววับที่ชักออกมาจากชายพกของหญิงสาวทำเอาไกรต้องรีบยกมือยอมแพ้ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
" เธอนี่มันไม่รู้จักคำว่าล้อเล่นเลยนะ...พูดถึงเรื่องที่ข้าต้องไปอโยธยากับท่านผู้เฒ่าต่อเถอะ...ถ้าหากข้าต้องไปจริงๆ ข้าต้องระวังเรื่องอะไรบ้างล่ะ "
คำถามของไกรทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกคำตอบ ก่อนที่เธอจะถือวิสาสะจับข้อมือทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาดู พร้อมกับถอนหายใจเฮือก
" กะแล้ว... "
" กะอะไร? "
" ก็ที่ข้อมือหรือหัวไหล่ของเจ้าไม่มีลายสักเลกอย่างที่ข้าคิดจริงๆด้วยน่ะสิ "
" ลาย...สักเลก?? คืออะไรกันล่ะนั่น? "
" เจ้าที่เกิดในประเทศของพวกฝรั่งอังหม้อไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก แต่สำหรับอโยธยาและแว่นแคว้นในดินแดนสุวรรณภูมินี้ชายเมื่ออายุถึงกำหนดและไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ ชายทุกคนต้องไปขึ้นสักเลกเป็นไพร่กับกรมสุรัสวดี...ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นไพร่หลวงหรือไพร่สม...การที่เจ้าไม่มีการสักเลกอย่างที่ข้าว่าอาจจะเป็นจุดสนใจได้ โดยเฉพาะในยามศึกสงครามที่ทางการกำลังเกณฑ์ไพร่เข้าราชการทหารแบบนี้ "
" จ...จริงด้วยแฮะ แล้วข้าต้องทำอย่างไรล่ะ? "
" ก็ง่ายๆ แค่ให้ท่านพ่อหรือใครก็ได้สักเลกให้ก็เรียบร้อยแล้ว...หรือ...ถ้าเจ้า... " คราวนี้อนาสตาเซียเลิกเสื้อเขาขึ้นทั้งหมดจนไกรเองต้องร้องออกมาด้วยความตกใจปนกระดากอาย ในขณะที่หญิงสาวเมื่อเห็นร่างท่อนบนของเขาชัดๆก็หัวเราะคิกคักออกมาเบาๆทันทีพร้อมกับพูดต่อ
" ...หรือถ้าเจ้าไม่อยากให้ผิวสวยๆที่ไร้ซึ่งรอยสักใดๆของเจ้าเป็นมลทิน เจ้าก็ขอให้ท่านพ่อของข้าเขียนเลกสักให้เป็นคราวๆก็ได้...แต่แหม...ถ้าไม่นับมัดกล้ามของเจ้า ผิวพรรณเจ้านี่มันเนียนยิงกว่าเจ้าจอมหม่อมห้ามเสียอีกนะ คิกๆๆๆ "
" ธ...เธอนี่มัน... " ไกรครางออกมาพร้อมกับจัดเสื้อที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่
...ถึงจะบอกว่าถูกเลี้ยงให้อยู่ในกรอบวัฒนธรรมของชาวตะวันออก แต่สายเลือดโลดโผนของชาวตะวันตกก็ไม่มีวันจางหายไปสินะ...
พวกเขาเดินคุยเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินออกมาป่าด้านหลังที่ไกรจากป้อมปราการพอสมควร...ถึงแม้ในความคิดของไกรมันจะรู้สึกเหมือนไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อตามมาพบโคลัมบัสกับออเรลลาน่านอนแผ่สองสลึงหอบหายใจเป็นหมาหอบแดดอยู่ ทั้งที่ทั้งคู่ถือกันแค่กล้องเก็บเสียงเล็กๆเท่านั้น ในขณะที่ศกุนตลาที่ทั้งๆถือปืนคาบศิลายาวกว่า ๒ เมตรหนักเป็น ๑๐ กิโลกรัมยังไม่ออกอาการเลยซักนิดแท้ๆ
" นี่ตกลงพวกเราแกร่งเกินคนทั่วไป หรือสองคนนี่อ่อนแอกว่าคนทั่วไปกันแน่นะ? " ชายหนุ่มหันไปถามอนาสตาเซีย ในขณะที่ผู้ถูกถามได้แต่หลับตานวดขมับตัวเองเบาๆ
" นี่แน่ะ พวกเจ้าสองคน! พวกเจ้าออกกำลังกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันเนี่ย?! "
" ก...ก็...อ...ออกกำลัง ม มันเป็นการผลาญเวลาโดยใช่เหตุนี่ " ....ขนาดหายใจอย่างเดียวยังแทบไม่ทันแล้ว คู่แฝดนักประดิษฐ์ทั้งสองคนยังอุตส่าห์หาจังหวะเถียงได้อีกนะ
หลังจากปล่อยให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนได้พักหายใจกันพอสมควร ในที่สุดศกุนตลาก็กระตุ้นอีกฝ่ายด้วยการหยิบถุงหนังใส่ดินดำขึ้นมากรอกใส่ปากกระบอกปืนของเธอ ซึ่งจากที่ไกรลอบสังเกต เธอใส่ดินดำลงไปไม่ยั้งชนิดที่เกือบๆจะเท่ากับใส่ในปืนใหญ่น้อยบนหลังช้างเลยทีเดียว ก่อนที่เธอจะใช้กระดาษเล็กๆยัดปิดเข้าไปโดยไม่ใส่ลูกกระสุน ก่อนที่เธอจะยื่นให้คู่แฝดทั้งสองทันที
" เอ้า! ข้าใส่ดินดำไว้ในปริมาณเท่าที่ข้าใช้ปรกติแล้ว...จัดการเลย "
โคลัมบัสและออเรลลาน่าเมื่อเห็นปืนที่ศกุนตลายื่นมาให้ก็หันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะหันลงมามองกระบอกเก็บเสียงในมือและหันไปมองหน้ากันพร้อมกับกลืนน้ำลายฝืดๆอีกครั้ง จนศกุนตลาที่มองมาอยู่ก่อนแล้วต้องขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดพร้อมกับตวาดออกมาเบาๆ
" เอ้า! มัวรอท่าอะไรอยู่เล่า! จัดการให้มันรู้เช่นเห็นชาติไปให้จบๆเสียทีสิ!! "
คู่แฝดทั้งสองหันไปพยักหน้าใส่กันเหมือนจะเกี่ยงว่าใครจะเป็นคนพูด ก่อนที่โคลัมบัสซึ่งเป็นแฝดคนพี่จะจำใจครางออกมาเบาๆ
" นี่...อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ พี่ศกุนตลา...ข้าว่าเราค่อยทดลองกันวันอื่นดีไหม? "
ไกรกับอนาสตาเซียที่ยืนกอดอกดูอยู่ห่างๆถึงกับหลุดหัวเราะพรืด! น่าเสียดายที่ศกุนตลาไม่อยู่ในอารมณ์ร่วมด้วยเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอแยกเขี้ยววับคำรามออกมาดังลั่น
" ไม่ได้!...ผีมาถึงป่าช้าแล้ว ไม่เผาก็ต้องฝังเท่านั้น!! อย่าให้ข้าต้องหงุดหงิดไปมากกว่านี้เลยน่า! พวกเจ้าออกจะมั่นอกมั่นใจในไอ้...สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ของพวกเจ้าไม่ใช่รึไง?! "
" ไอ้พวกข้าน่ะไว้ใจฝีมือตัวเองอยู่แล้ว! แต่ที่ข้าไม่ไว้ใจคือนี่เป็นความคิดของไกรนี่สิ!! " ออเรลลาน่าเถียงออกมาอ่อยๆ ในขณะที่ไกรผู้ถูกพาดพิงต้องรีบร้องออกมาเบาๆทันที
" อ้าวๆ เฮ้ยๆ! อย่าโยนเผือกร้อนมาให้ข้าแบบนี้สิ ข้าแค่แนะนำออกมาเฉยๆ แต่พวกเจ้าสองคนเป็นผู้สร้างมัันขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ เอาน่าๆ ยืดอกให้สมภาคภูมิสิ นี่เป็นฝีมือของเจ้าสองคนล้วนๆโดยที่เข้าไม่มีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อยนะ "
" เฟ้ย!! คำแก้ตัวแบบนี้มันแปลว่าจะทิ้งกันหน้าด้านๆเลยไม่ใช่รึไง!! "
" เลิกหยอกล้อเล่นหัวกันเสียที! เจ้าเด็กไม่รู้จักโตพวกนี้!! ข้าไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันนะ...ไกร ข้าบอกไว้ก่อนให้เข้าใจตรงกันเลยนะว่าถ้าหากไอ้กระบอกโลหะนั่นทำปืนของข้าแตกจนใช้การไม่ได้ล่ะก็...หลังจากข้าจัดการฝังโคลบี้กับออลลี่ไว้ที่นี่แล้ว รายต่อไปก็คือเจ้าแน่ๆ ค่าที่เป็นผู้ออกความคิดบ้าๆนี่ "
" แปลว่าถ้างานนี้วืด ตูได้ไปนอนเฝ้ารากมะม่วงแน่ๆใช่ไหมเนี่ย? " ระดับความจริงจังในน้ำเสียงของศกุนตลาทำเอาไกรต้องถอนหายใจเฮือกพร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆ ...เขาคว้าปืนคาบศิลาขนาดใหญ่ของศกุนตลามาดูก่อนจะแปลกใจเล็กน้อยที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างศกุนตลาสามารถยกปืนที่เขาต้องใช้แรงทั้งหมดยกด้วยมือข้างเดียวได้ยังไงกัน
" เอ้า! ลองดูกันเถอะ โคลบี้ ออลลี่...เอาเป็นว่างานนี้ข้ารับผิดชอบร่วมด้วยเต็มที่ อย่าได้กลัวไปเลยน่า งานนี้กินหมูเห็นๆ ดีไม่ดีพวกนายอาจจะได้รับคำขอโทษแบบคาดไม่ถึงจากศกุนตลาก็ได้ "
" ภาวนาให้เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน " ศกุนตลาแทรกขึ้นเรียบๆ ก่อนจะกระชากปืนไปจากมือของเขาพร้อมกับบ่นเบาๆ
" เอ้า! เสียเวลามามากแล้ว จัดการให้มันจบๆเสียที!! "
เมื่อได้รับคำยืนยันมาจากไกร ทำให้คู่แฝดทั้งสองมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น พวกเจ้ารับปืนมาจากศกุนตลาพร้อมกับประกอบกล้องเก็บเสียงเข้ากับปากกระบอกปืนนั้น ระหว่างนั้นไกรก็มายืนข้างศกุนตลาพร้อมกับชวนคุยเบาๆ
" นี่ ขอถามหน่อยเถอะนะ ข้ายังติดใจเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าบอก ว่าเธอสามารถยิงไอ้ปืนนี่ได้แค่ครั้งเดียวก่อนจะหมดเรี่ยวแรงไปเลย...เพราะอะไรกัน? "
ศกุนตลาปรายสายตาที่เรียบเฉยราวกับตาปลาตายมามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
" เจ้านี่มันช่างสอดรู้เสียจริงนะ "
" เธอนี่ก็ช่างปากหนักเสียจริงนะ ...ฮ่ะๆๆๆ...เอาน่า ไม่ต้องทำตาเขียวใส่หรอก...อย่างไรเสียข้าก็เป็นหนึ่งในพวกเจ้าแล้ว แค่บอกนิดบอกหน่อยแค่นี้ดอกพิกุลไม่ร่วงออกมาจากปากหรอกน่า "
ศกุนตลาถอนหายใจเฮือกอีกครั้งกับคำตื๊อแบบกวนโมโหของอีกฝ่าย ก่อนที่เธอจะเริ่มพูดเบาๆ
" อันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรหรอก...เพียงแต่นอกจากมือสังหารด้วยกันแล้วก็ไม่ค่อยมีใครรู้เท่านั้น ข้าน่ะ--- "
ก่อนที่ศกุนตลาจะได้เฉลยความสามารถของเธอเกี่ยวกับ ศรพลายวาต โคลัมบัสก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อนด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน เกือบๆจะเป็นแววเสียงตำหนิด้วยซ้ำ
" ประเดี๋ยวๆๆๆๆ อย่าพึ่งสนทนากันตอนนี้สิ...นี่เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติสาสตร์เชียวนะ!! "
" อ่าฮะ ใช่แล้ว...ถ้างานนี้มีเรื่องผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ประวัติของหมู่บ้านคงได้บันทึกว่าข้าฝังคนหมู่บ้านเดียวกัน ๓ คนไว้ตรงนี้แน่ๆ "
" นี่ตกลงยัยศกุนตลารวมข้าไว้ในบัญชีคนตายเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเนี่ย? " ไกรอดหันไปถามอนาสตาเซียที่ยืนกลั้นหัวเราะอยู่เบาๆไม่ได้
" เอาน่า ก็เจ้ามั่นใจนักมั่นใจหนาไม่ใช่หรือ? "
" ก็โดนเซาะความมั่นใจรูดจากคำขู่ของยัยศกุนตลานี่แหละ...เอาเถอะ...โคลบี้...ถ้าภาวนาต่อพระเจ้าเสร็จแล้วก็จัดการกดไกเลย "
" เฮ้อ...อวยพรให้ข้าด้วยล่ะกัน ไกร...พร้อมยิงใน ๓...๒...๑...!! "
ปุ้งงงง!!!!
................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ