ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
152)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
=============================================
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...ณ ชายป่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองเพชรบุรี ที่ตั้งของทัพหลักแห่งพระเจ้าอลองพญาไม่มากนัก...
เปรี๊ยะ!
" หืม? " ชั่วขณะหนึ่ง สิงห์...มือสังหารหนุ่มระดับสูงแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต อีกทั้งยังเป็นจอมขมังเวทย์ระดับเอกอุที่เวลานี้อยู่ในชุดทหารพม่าระดับชั้นทหารเลวที่เขาชิงมาได้ขมวดคิ้ววูบ...เขาเหลือบมองไปยังหนึ่งในลูกประคำสีกระดำกระด่างซึ่งเป็นหนึ่งในลูกประคำที่เขาใช้เพื่อร้อยติดกับเขี้ยวงาของสัตว์สมิงต่างๆที่พึ่งจะลั่นและแตกออกอย่างไม่ปรกติแต่ทว่ามีสาเหตุบางอย่าง...ก่อนที่ชายหนุ่มจะเหลือบทอดสายตาออกไปไกล ณ ทางด้านทิศเหนือซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของเมืองราชบุรีซึ่งเวลานี้ไกรและกองทัพภูติพรายกำลังรับศึกหนักอยู่พร้อมกับเอียงคอครางออกมาเบาๆ
" ผนึกถูกทำลายแล้ว...ไม่สิ มันทำลายผนึกเพื่อเรียกออกมาเองเลยเหรอ? ...อะไรของมันวะ?...ก็ย้ำนักย้ำหนาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปช่วยกัน ผนึก ที่ พระตำหนักปลายทอง แล้วนี่หว่า? "
...ซึ่งอากัปกริยาของเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังไม่อาจจะรอดพ้นสายตาอันคมกริบของเหล่าเสือสมิงภายใต้อาณัติของเขาซึ่งยังคงอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ไปได้ ซึ่งพี่ใหญ่ของเสือสมิงทั้ง ๓ อย่างมายาก็เลิกคิ้วและถามเบาๆว่า
" นายท่านสิงห์ มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ? "
" อืม...เปล่าหรอก " สิงห์โบกมือพร้อมปฏิเสธ แต่ทว่าในใจกลับเริ่มคิดอย่างเป็นห่วง เพราะหลังจากที่ค้านแบบหัวชนฝาแต่ก็ยังแพ้ลูกตื้อของไกรจนต้องไปจัดการเรื่องที่พระตำหนักปลายทองให้ และเมื่อได้สัมผัสกับวิญญาณตายโหงของเจ้าจอมแมน เขาก็เป็นคนเตือนจนปากเปียกปากแฉะว่าไอ้สาย นักดาบ อย่างไกรน่ะไม่มีทาง ครอบ วิญญาณอาถรรพ์ระดับนั้นได้หรอก แต่เขาก็ยังแพ้ลูกอ้อนไกรจนต้องจัดการให้จนเสร็จสรรพอยู่ดี
' จะว่าไปก็แปลกวุ้ย ...มันก็ไม่ได้มีสาลิกาลิ้นทองนี่หว่า...ไหงเราถึงได้เชื่อมันไปได้วะเนี่ย? ไอ้คำขอร้องบ้าๆเช่นนั้น ' ถึงตอนนี้สิงห์ก็ยังต้องกอดอกเอียงคออย่างไม่เข้าใจตัวเองอยู่ดี ซึ่งอากัปกริยาของเขาก็ยิ่งทำให้ทั้ง ๓ สาวงงหนักเข้าไปใหญ่
" เอ๋? "
" ก็แค่...รู้สึกได้ว่าไอ้บ้าตัวนึงที่กำลังก่อปัญหาให้กับตัวเองอยู่น่ะ "
" เอ๋?? " คำพูดที่กำกวมของสิงห์ยิ่งทำให้สามเสือสมิงสาวยิ่งเอียงคออย่างไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ซึ่งสิงห์ก็ไม่ได้ขยายความต่อไปมากกว่านี้ เขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆเพื่อเป็นอาณัติสัญญาณ ซึ่งถึงแม้ว่าจะยังงงๆอยู่ แต่ทั้งชีวา มายา และราตรีก็พยักหน้ารับตามแผนการที่นัดหมายไว้ล่วงหน้า ก่อนที่พวกเธอทั้งสามจะทรุดลงยืน ๔ ขา พริบตาเดียวร่างอันอวบอัดและสมบูรณ์แบบของหญิงสาวรูปงามทั้ง ๓ ตนก็ปริแตกและขยายออกอย่างน่ากลัว...เสี้ยววินาทีต่อมาพวกเธอก็กลับกลายจากร่างของมนุษย์ กลายเป็นพยัคฆ์สมิงตัวมหึมา พร้อมกับพุ่งเข้าพงไปคนละทิศละทาง
ในขณะที่สิงห์บิดต้นแขนตัวเองจนเกิดเสียงกนะดูกลั่นดัง กร๊อบ! พร้อมกับปลดปล่อยจิตคุกคามและกระแสของความอาถรรพ์ที่ปกติก็แทบจะปิดไม่มิดอยู่แล้วออกมาอย่างเต็มที่จนกระทั่งเหล่าสกุณาที่ทำรังอยู่บนยอดไม้ในละแวกใกล้เคียงถึงกับต้องแตกกระเจิงอย่างขวัญเสีย ชายหนุ่มขยับสร้อยประคำเขี้ยวสัตว์อาถรรพ์ของตนเองเล็กน้อยก่อนจะอดครางออกมาเบาๆไม่ได้ว่า
" เฮ้อ...คงต้องบอกว่าเป็นความซวยของมันแท้ๆ เสือกมาเรียกเอาตอนข้าไม่ได้อยู่ด้วยเช่นนี้...คงต้องหวังว่ามันคงจะรู้นะว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ขืนคนอื่นๆโดยเฉพาะยัยอเทตยาของมันรู้เข้ามีหวังหายนะแน่ "
โฮกกก!
อ๊ากกก!
เสียงคำรามของเสือสมิงที่ไม่แน่ใจว่าเป็นมายา ชีวา หรือราตรี ที่ดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวนของทหารลาดตระเวนพม่า ปลุกสิงห์ให้ตื่นจากภวังค์ความคิดพร้อมกับที่เขาโคลงหัวช้าๆอีกครั้ง
" เฮ้อ เกือบลืมไปเลย เราเองก็ได้รับมอบหมายภารกิจจากมันนี่หว่า...ว่ะ! ทำงานๆๆๆ ...หัวใจพยัคฆ์ ! "
โฮกกกกก!
..........................................
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...ย้อนกลับมาที่ไกรและสถานการณ์ที่พลิกผันจนไม่อาจจะจับต้นชนปลายได้อีกครั้ง...
" จงออกมา...จอมโหงพรายภายใต้อาณัติแห่งข้า! เจ้าจอมแมน! "
ซู่วววววว!
พริบตาที่เกิดเสียงอันประหลาดหู สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของไกรที่อยู่ในสภาพอิดโรยลงอย่างเห็นได้ชัดคือร่างกึ่งโปร่งกึ่งทึบของสตรีผู้ทรงซึ่งอำนาจแห่งไสยเวทย์คนหนึ่ง สตรีผู้เคยทำให้ไกรและคนอื่นๆถึงกับย่ำแย่ถึงขนาดเกือบดับอนาถมาแล้วแบบเส้นยาแดงผ่าแปด...และที่สำคัญที่สุด...สตรีนางนี้ ได้สิ้นชีพจากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว!
หนึ่งในสองเจ้าจอมมารดาผู้นำกบฏ ท่านหญิงคนน้องคนสำคัญแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ สตรีผู้ถูกสังหารอนาถ ณ ตำหนักปลายทอง!
เจ้าจอมมารดาแมน!
ร่างอันเป็นร่างกึ่งโปร่งใสของเจ้าจอมแมนอยู่ในชุดท้ายในค่ำคืนที่นางถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยกระแสกลิ่นอายของความตาย แต่ก็ยังไม่อาจจะปิดบังความงดงามสูงส่งอันเป็นเอกลักษณ์ของนางไม่มิด ผมยาวสยายสีดำราวกับขนกาน้ำพลิ้วสยายราวกับอยู่ในสายนที รับกับดวงตาที่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจลี้ลับและจมูกกับริมฝีปากบาง ไล่มาถึงไหล่ขาวผ่องข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถูกปิดบังด้วยสไบสีมืดๆที่พลิ้วไหว...ตำหนิเดียวที่น่าขัดตาที่สุดบนร่างของเธอก็คือรอยแผลขนาดใหญ่น่าหวาดเสียวที่กลางเนินอกและมือเรียวยาวข้างหนึ่งที่ขาดด้วนหายไปอย่างน่าขนพองสยองเกล้า!
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของภูติผีซึ่งอยู่ภายใต้อาณัติของไกร แถมยังมีพลังแก่กล้าชนิดปรากฏเป็นรูปเป็นร่างกลางวันแสกๆ ไม่ได้หยุดแค่สินที่ถูกครอบงำ แต่หยุดกระทั่งการต่อสู้ระหว่างจอมขุนพลขาวพม่าอะแซหวุ่นกี้และมือฉมังธนูสาวชาวมอญอย่างอเทตยา ...แม้ว่าอะแซหวุ่นกี้จะยังไม่ยอมลดดาบลงในท่าระวังตัวแต่เขาก็ยังต้องหันกลับมามองไกรและวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังพร้อมกับเลิกคิ้วดกขาว ปากถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาว่า
" วิญญาณตายโหง...เหรอ? "
" เป็นไป...ไม่ได้! " ในขณะที่ผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังดีกว่า หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังดีที่สุดกว่าทุกๆคนอย่างอเทตยาย่ำแย่กว่า เพราะเธอถึงกับเบิกตากว้างจนแทบถลน ทั้งปากคอทั้งมือไม้สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่จนทำธนูคู่กายตกลงพื้น...ถ้าหากไม่ใช่ความรู้สึกที่ยังคงเฉียบแหลมเต็มบริบูรณ์ เธอก็อยากจะเชื่อเหลือเกินว่าเธอยังคงหลับไหลอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
เป็นฝันร้ายที่น่าหวาดหวั่นที่สุดชนิดที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจจะคาดฝันถึงได้!
ที่ร้ายที่สุด...คือเธอรู้ดี...รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเธอไม่ได้ฝัน!
" อ้าาาา...ไม่ได้ออกมาเสียนาน เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดเลยน้าาา " เมื่อปรากฏร่างออกมาโดยสมบูรณ์ วิญญาณอันแก่กล้าของเจ้าจอมแมนก็บิดตัวไปมาพร้อมกับร้องออกมาเบาๆ ถึงแม้ว่าเสียงของเธอจะไม่ใช่เสียงดังอย่างปกติ แต่เป็นเสียงที่กังวานคล้ายกับส่งตรงมาถึงหูของพวกเขาทุกคน ในขณะที่ไกรที่เริ่มผ่อนคลายจากการหายใจหนักๆเพราะใช้พลังในการอัญเชิญไปมากโคลงหัวดิกๆพร้อมกับครางกลับไปเบาๆว่า
" นี่ ท่านหญิง ...เตือนความจำหน่อยนะว่าข้าไม่ได้เรียกท่านมาเพื่อให้ท่านยืดเส้นยืดสายนะ "
" เฮ้อ...ทั้งๆที่พึ่งเรียกออกมาเป็นครั้งแรกก็พูดเช่นนี้เสียแล้ว เจ้าทำข้าปวดใจนะ พูดเช่นนี้กับ จอมโหงพรายผู้ภักดี เช่นข้าได้อย่างไรกัน "
" ภักดีเหมือนลูกเสือลูกตะเข้เลยน่ะสิ "
" คิกๆๆๆ "
" ไร้สาระสิ้นดี! คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ?! กับอีแค่ผีตายโหงตนเดียว!! " สินผู้ถูกครอบงำไม่อาจจะทนนิ่งเงียบต่อไปได้อีกต่อไป เขากระชากดาบสีทองอร่ามในมือพร้อมกับตวาดลั่น...ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้อยู่แก่ใจดีว่าเขากำลังถูกกดดันดัวย โหงพราย ตนเดียว นั่นทำให้เขารู้สึกยอมรับไม่ได้และหมายจะสยบทั้งไกรทั้งโหงพรายของเขา
แต่เพียงแค่สินขยับตัว ร่างเงาของเจ้าจอมแมนที่พูดคุยหยอกล้ออยู่ด้านหลังไกรก็เปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน จิตคุกคามอันอาถรรพ์ที่แหลมคมและเย็นเยียบเข้ากระดูกแผ่พุ่งราวกับเข็มนับพันๆเล่มแผ่พุ่งเข้าใส่สินจนทำให้แม้แต่สินที่ถูกพระแสงดาบครอบงำจนอยู่ในลักษณะที่บ้าคลั่งยังถึงกับต้องชะงักและไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม...จิตสังหารที่เกินความจำเป็นชนิดกะเอาให้ตายของเจ้าจอมโหงพรายทำให้ไกรต้องเหลือบกลับไปมองพร้อมกับรีบร้องห้ามเบาๆว่า
" นี่ๆ ท่านหญิง ข้าเพียงต้องการให้สินหลุดพ้นจากสภาพถูกครอบงำนะ...ไอ้จิตสังหารนี่มันคิดฆ่าแล้ว "
" เอ๋? ฆ่าไม่ได้เหรอ? " ดวงตาแป๋วแหววราวลูกอีแร้งที่มาพร้อมกับคำถามด้วยท่าทีเอียงคออย่างน่ารักน่าชังของเจ้าจอมผู้น้องคนสำคัญทำให้ไกรถึงกับขนลุกวูบก่อนจะรีบส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธทันที
" เฮ้อ...ท่านนี้น้าาา "
วูบบบบ
เคร้งงงง!
พริบตาที่ไกรหันไปโต้ตอบกับโหงพรายใต้อาณัติของเขา สินไม่ละโอกาสที่จะเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนทันที ชายหนุ่มพุ่งวูบด้วยความเร็วที่น่าตกใจ พุ่งเข้าที่ด้านขวาของไกรซึ่งเป็นด้านที่ไกรไม่ถนัดพร้อมกับตวัดดาบฟันวูบด้วยความเร็วที่ปลายดาบที่เกือบจะเทียบเท่าวิชาดาบ อิไอ โดยหมายจะจัดการกับไกรเพื่อจบปัญหาในดาบเดียว!
โดยปกติแล้วเมื่อผู้เป็นนายตกอยู่ในอันตราย วิญญาณที่ถูก เลี้ยง อยู่ใต้อาณัติมักจะออกมาเพื่อปกป้องทันที ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกลแต่ดูจากลูกแก้ว-ลูกขวัญที่จะปรากฏตัวออกมาปกป้องไกรทันทีที่สัมผัสได้ถึงอันตรายโดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งจากไกร...แต่เสี้ยววินาทีที่ดาบจะถึงคอของไกรอยู่รอมร่อ เจ้าจอมแมนกลับยังคงนิ่งเฉย อีกทั้งยังแสยะยิ้มเล็กน้อยราวกับกำลังหวังอะไรบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีกับไกรแบบโคตรๆอยู่ จนกระทั่งถึงเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก็ต้องลำบากไกรที่ร่างกายไม่พร้อมอยู่แล้วต้องยกดาบสดายุขึ้นกันพร้อมกับกระโดดถอยหลังเผื่อผ่อนแรงและลดภาระที่จะเกิดขึ้นกับตัวดาบไม่ให้เกิดรอยร้าวไปอีกเล่มเหมือนกับดาบสัมพาที...เมื่อหลบได้อย่างทุลักทุเลและทุเรศทุรังเต็มที่ ชายหนุ่มก็หันกลับไปสบถสาบานใส่วิญญาณโหงพรายของตนเองลั่น
" ท่านหญิง! "
" ว้าาา ...รอด "
" ถ้ากำลังคิดอยู่ท่านก็คิดดังเกินไปแล้วเฟ้ย! "
" อ้าว? ได้ยินด้วยเหรอ? "
" อย่ามัวเล่นสิ! ลืมไปแล้วเหรอว่าท่านเป็นวิญญาณอาฆาตติดที่นะ ขืนข้าเป็นอะไรไปท่านก็ต้องระเห็จกลับไปอยู่ตำหนักปลายทองเหมือนเดิม อยากกลับไปนักรึไง! "
" มากไปแล้ว! พวกเจ้า! " หลังจากพลาดเป้า แถมยังต้องมาทนฟังการหยอกเอินกันอย่างสนิทสนม(?)ระหว่างไกรกับวิญญาณอาถรรพ์ใต้อาณัติของเขาอีก มันทำให้สินและพระแสงดาบในมือของเขาถึงกับเลือดขึ้นหน้าพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างเหลืออด แต่แล้วเขาก็ต้องขนลุกวูบ สัญชาตญาณที่ถูกเคี่ยวกรำมาจากประสบการณ์ทำให้สินรู้ตัวได้ทันทีว่าเขากำลังถูกจับจ้องอยู่ด้วยดวงตาของผู้ล่า...ผู้ล่า ที่ไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่ถึงสอง!
" ก็ได้ ไกร...ถึงแม้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ข้าจะคาดหวังได้คือการได้เห็นเจ้ากับเด็กสินนี่ตกตายไปตามกันทั้งคู่...แต่ก็จริงของเจ้าที่หากเจ้าตายข้าก็คงลำบาก ฉะนั้นครานี้ข้าจะช่วยเจ้าเอาบุญซักครั้ง " เจ้าจอมแมนใช้ดวงตาคมปลาบจับจ้องไปที่สินราวกับดวงตาของอสรพิษที่จับจ้องเหยื่อ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยจิตฆ่าฟันที่ดูเหมือนจะเพิ่มระดับมากกว่าครั้งที่เธอยังมีอำนาจอยู่เสียอีก ...ในขณะที่เมื่อได้ยิน ถึงแม้ว่าไกรจะกำลังแผ่พุ่งจิตคุกคามไปที่สิน เขาก็ยังต้องกลอกตาพร้อมกับครางออกมาเบาๆว่า
" เหมือนท่านจะพูดเอาดีเข้าตัวเก่งกว่าเดิมเยอะเลยนะ "
วิญญาณของเจ้าจอมแมนที่อยู่เบื้องหลังไกรไม่สนคำค่อนขอดของผู้ที่ต้องนับว่า มีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา กับเธอ ...หญิงสาวพูดต่ออย่างเป็นการเป็นงานโดยไม่ได้ลดจิตฆ่าฟันลงเลยแม้แต่น้อยว่า
" อันที่จริงต้องยอมรับว่าข้าทึ่งนะ ไกร...เด็กสินเวลานี้ก็เป็นตามที่เจ้าเข้าใจนั่นแหละไกร เขามีบารมีพอจะสามารถครอบครองพระแสงดาบอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ...แต่การครอบครองกับการใช้มันต่างกัน ด้วยความเยาว์ ทำให้บารมีที่สั่งสมไม่มากพอจะทำให้เขาสยบพระแสงดาบได้อย่างสมบูรณ์จนทำให้ดาบสบช่องครอบงำและช่วงใช้ร่างกายของสินแทน "
" พอจะมีทางแก้ไขได้ไหมขอรับ? " เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลิกล้อเล่น ไกรก็ไม่มีเหตุผลที่จะต่อความยาวสาวความยืด และด้วยความเป็นห่วงสินทำให้เขาถามกลับไปเรียบๆ ซึ่งอดีตท่านหญิงระดับชั้นบัญชาการแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ก็แสยะยิ้มวูบพร้อมตอบกลับมาทันทีว่า
" สังหารมันซะ "
" เจ้าจอมแมน! "
" หรือไม่...ก็แค่ทำให้พระแสงดาบเล่มนี้หลุดออกจากมือ แค่นั้นเด็กสินนั่นกับดาบก็หมดพิษสงแล้ว "
" ท ท่านนี่มัน--- "
" แต่มันก็ยังเกินกำลังเจ้าที่เดินในสาย นักดาบ อยู่ดี เพราะความสามารถพิเศษของพระแสงดาบคาบค่ายที่ข้าได้บอกไปตอนต้น ทำให้ดาบในมือเจ้าเป็นได้แค่เพียงเศษเหล็กที่พร้อมจะหักได้ทุกเมื่อนั่นแหละ...ในฐานะโหงพรายของเจ้า ข้าก็ไม่ได้โกหกเจ้าว่าข้าเป็นคนเดียวที่ช่วยเจ้าได้ "
ไกรชักเริ่มชินกับการพูดกลับกลอกเดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จโดยหวังหยอกเล่นของเจ้าจอมโหงพรายของเขาและไม่อยากจะตบมุกอะไรในสถานการณ์ที่คาบลูกคาบดอกเช่นนี้อีกแล้ว ...เขาหันกลับไปมองเจ้าชายมังระราชบุตรที่เขาเป็นผู้ช่วยชีวิตไว้ซึ่งเวลานี้ฟื้นคืนกำลังแล้วไม่มากก็น้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ว่า
" ที่นี่อันตรายเกินไป เชิญพระองค์ถอยไปเถอะ ปล่อยที่นี่เป็นธุระของข้าเอง "
เจ้าชายหนุ่มผู้เป็นราชบุตรองค์ที่ ๒ แห่งพระเจ้าอลองพญาผู้เกรียงไกรลุกขึ้นยืนยืดพระวรกายเต็มสัดส่วนด้วยขัตติยะมานะแห่งเชื้อสายกษัตริย์พร้อมกับเชิดพักตร์ขึ้นและตรัสเรียบๆว่า
" ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเจ้าคือศัตรูคนสำคัญของกองทัพแห่งพระบิดาเราได้อยู่ดี...ไกร " พระองค์ตรัสอย่างไว้เชิงทั้งยังเอ่ยนามของไกรได้อย่างถูกต้อง เพราะได้ยินจากปากของวิญญาณโหงพรายที่อยู่ด้านหลังซึ่งเจ้าจอมแมนก็ไม่คิดจะปิดบังจนพูดชื่อไกรออกมาตรงๆเลย ซึ่งไกรก็ขมวดคิ้ววูบอย่างพึ่งรู้สึกตัวก่อนจะได้แต่ถอนหายใจเฮือก
" ข้าก็ไม่ได้หวังให้พระองค์มองข้าเป็นมิตรอยู่แล้ว...และจะดีมากถ้าท่านมองว่าข้ายังคงเป็นศัตรูของท่านอยู่ เพราะมันคือความจริง...ที่ข้าทำเป็นเพราะตกกระไดพลอยโจนและต้องได้แต่เลยตามเลยเท่านั้น "
" ถึงจะไม่เข้าใจความคิดของเจ้าว่าเจ้าโง่หรือแค่บ้าก็เถอะ แต่ข้าไม่ถือว่านี่นับเป็นบุญคุณหรอกนะ "
ดำรัสของเจ้าชายหนุ่มทำให้ไกรหลุดหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้ากลับไปจ้องมองสินเช่นเดิมโดยไม่ตอบโต้อะไรอีก อีกทั้งเขายังก้าวขึ้นมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อบังไม่ให้สินได้มีโอกาสทำอะไรเจ้าชายหนุ่มที่กำลังขึ้นม้าควบออกห่างไปอีก
" ฮี้! "
" ฮ่ะๆ แล้วเจ้าก็ด้วย...สีหมอก เวลานี้เจ้าช่ว
าก็ด้วย...สีหมอก เวลานี้เจ้าช่ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ