ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
151)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...เวลาเดียวกันนั้นเอง... ณ จวนประจำตำแหน่งของท่านผู้เฒ่า...ใจกลางอโยธยา...
ท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ผู้ที่เวลานี้อยู่ในฉากหน้าของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางมหาดเล็กฝ่ายพลเรือนยืนอย่างเต็มสัดส่วนด้วยลักษณะที่ไม่มีเค้ารอยแห่งความแก่ชราอยู่ตลอดทั้งร่างเลย...ที่แขนขวากึ่งกล้ามเนื้อกึ่งกระดูกของเขาเวลานี้สวมไว้ด้วยถุงมือหนังด้านซึ่งกลายเป็นที่เกาะอย่างดีของเหยี่ยวสีน้ำตาลเข้มตัวมหึมาที่เกาะนิ่งพร้อมกับใช้ดวงตาโตๆมองมาที่เขาอย่างแสนรู้ ท่านผู้เฒ่าเหลือบสบตากับมันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ
" เออ รู้น่า ข้ากำลังเร่งมืออยู่ "
ชายหนุ่มที่น่าจะหนุ่มไปตลอดกาลครางพลางกลั้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนเขาจะใช้มืออีกข้างยัดเศษกระดาษเล็กๆที่ถูกม้วนจนลีบแบนลงใส่กระบอกโลหะจิ๋วที่ติดอยู่ที่ขาของเหยี่ยวนำสารตัวนี้ เมื่อตรวจสอบแน่นอนแล้วว่าปิดกระบอกดีแล้ว เขาก็พยักหน้าช้าๆ ในขณะที่เหยี่ยวแสนรู้เมื่อเห็นอาณัติสัญญาณก็กางปีกออกเต็มสัดส่วนพร้อมกับร้อง แกว๊ก! เบาๆ ...พริบตาเดียวมันก็พุ่งพรวดขึ้นฟ้าและบินลับหายไปอย่างรวดเร็ว
ท่านผู้เฒ่าใช้สายตาคมหรี่มองตามหลังเหยี่ยวตัวนั้นไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจและพูดขึ้นช้าๆ
" ด้วยความเร็วของเหยี่ยวตัวนั้น พวก กองทัพภูติพราย และลูกชายบุญธรรมของท่านจะทราบข่าวในอีกไม่เกินชั่วยาม ข้ารับรองได้ ท่านครุฑ "
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอัครมหาเสนาฝ่ายพลเรือน ออกญาจักรีศรีองครักษ์หรือท่านครุฑ ที่เวลานี้อยู่ในชุดแพรสีอ่อนอย่างสบายๆ แต่กลับไม่ได้มีสีหน้าที่ใคร่จะสบายใจเท่าไหร่นัก...เขานิ่งไปอย่างเข้าสู่ภวังค์ จนกระทั่งท่านผู้เฒ่าพูดซ้ำเบาๆอีกครั้ง ออกญาจักรีครุฑจึงตื่นจากภวังค์พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
" ขอบพระคุณมาก...ติดค้างท่านอีกแล้ว ท่านออกญาจักรี " ด้วยความที่ยังไม่ฟื้นคืนสติสัมปชัญญะดีนัก ทำให้ท่านครุฑเผลอเรียกท่านผู้เฒ่าด้วยตำแหน่งที่เขาเคยรู้จัก ซึ่งเมื่อได้ยิน ท่านผู้เฒ่าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะจุ๊ปากเบาๆ...ถึงมันจะตลกนิดๆที่เห็นออกญาจักรีเรียกคนอื่นว่าออกญาจักรี แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านผู้เฒ่าจะภูมิใจเท่าไหร่นัก เขาจึงโคลงหัวและพูดเรียบๆว่า
" เวลานี้ข้าคือเจ้าพระยาราชมนตรี...อย่ายกตำแหน่งตัวเองให้คนอื่นง่ายๆสิ ท่านออกญาจักรี "
คำเตือนของท่านผู้เฒ่าทำให้ท่านครุฑเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆอย่างกระดาก
" ขออภัย ท่านผูเฒ่า ...ข้าแค่มีเรื่องต้องคิดเยอะไปหน่อยในเวลาเช่นนี้น่ะ "
ท่านผู้เฒ่าเหลือบมามองเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆอย่างพยายามให้อีกฝ่ายผ่อนคลายมากขึ้น
" เด็กนั่นเป็นคนกล้าแกร่ง ทั้งยังฉลาดหลักแหลม ...เขาเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน เชื่อสายตาผู้ผ่านโลกมาก่อนอย่างข้าเถอะ "
ซึ่งคำปลอบของท่านผู้เฒ่าก็ทำให้ออกญาจักรีกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะฝืนหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" พูดตามตรงนะ ท่านผู้เฒ่า...ข้าไม่เคยรู้สึกแก่ชราเท่านี้มาก่อนเลย "
" เราทุกคนล้วนต้องแก่ชรา มัยเป็นสัจธรรม ท่านครุฑ " ท่านผู้เฒ่ารับคำเบาๆ แต่ประโยคของเขาก็ทำให้ท่านครุฑเหล่ตามามองใบหน้าที่ไร้ซึ่งแววของความเหี่ยวย่นใดๆของอีกฝ่าย...ร่องรอยของความชราเดียวของท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตคนนี้คือผมยาวสีขาวที่แทนที่จะดูชรา แต่กลับกลายเป็นทำให้เขาดูมีความหยั่งรู้มากขึ้นไปอีก...มันทำให้ท่านครุฑเผลอลูบหน้าอันเหี่ยวย่นของตัวเองก่อนจะเผลอครางออกมาเบาๆ
" ก็ช่างกล้าพูดนะ ท่านน่ะ " เพราะท่านครุฑอยู่มานานพอจะทันเห็นท่านผู้เฒ่าดำรงตำแหน่งออกญาจักรีในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่ขุนนางระดับกลางของกรมเวียงเท่านั้น ซึ่งแปลว่าอีกฝ่ายแก่พอจะเป็นพ่อของเขาได้เลยด้วยซ้ำ...พอมาเห็นใบหน้าที่เหมือนอีกฝ่ายเป็นลูกของเขามากกว่าแบบนี้มันทำให้ท่านครุฑอดพูดอย่างเคืองๆไม่ได้ จนทำให้ท่านผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆ
" ความชราไม่ได้ดูจากใบหน้าหรือรอยเหี่ยวย่นหรอกนะ " ท่านผู้เฒ่านิ่งไปเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะพูดช้าๆอีกครั้งว่า " ...แค่การได้นั่้งมองเด็กหนุ่มที่เรารู้จักเติบโต...มันก็ทำให้เรารู้สึก...แก่ชราแล้ว "
" ถ้าอย่างนั้นเราก็ตกชะตาเดียวกันแล้ว ท่านผู้เฒ่า "
" ฮ่าๆๆๆ " ท่านผู้เฒ่าหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นจอกเหล้าไปให้ ซึ่งท่านครุฑก็ลังเลเล็กน้อย แต่เขาก็ตัดสินใจรับมันมาดื่มก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
" จงเติบโตขึ้น...เติบโตขึ้นอย่างที่เจ้าต้องการมาตลอดเถอะนะ...สิน "
ท่านผู้เฒ่ายังคงหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ พร้อมกับรินเหล้ารสดีใส่จอกต่อ แต่ในขณะที่สุราสีอำพันใสกำลังถูกรินลงจอก ดาบฟ้าฟื้น...ดาบอาถรรพ์ประจำกายของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะก็กรีดร้องและสั่นสะท้านออกมาอย่างรุนแรงจนกระทั่งทั้งท่านครุฑทั้งท่านผู้เฒ่าสะดุ้งโหยง ...โดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าผู้เป็นเจ้าของดาบที่ถึงกับทำเหล้าราคาแพงตกพื้นจนแตกกระจาย แต่เขากลับไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย...ท่านผู้เฒ่าพุ่งพรวดมาคว้าดาบที่ยังคงกรีดร้องไว้ในมือก่อนจะร้องลั่น
" อ อะไรอีกล่ะวะเนี่ย?! "
.........................................
เปรี้ยงงง!
กี๊ดดด!
ไม่ใช่แค่ดาบฟ้าฟื้นของท่านผู้เฒ่า แต่แม้แต่ดาบสดายุไกรเองก็กรีดร้องออกมา...กรีดร้องเพื่อต้อนรับราชศาสตราเล่มใหม่ที่ปรากฎขึ้นมาบนพื้นพิภพ...อีกครั้ง
...พระแสงดาบคาบค่าย...
จากดวงตาและภูมิความรู้ของสินที่อยู่ใกล้ที่สุด ดาบสีทองอร่ามที่ปักอยู่บนพื้นไม่มีทางเป็นศาสตราชนิดอื่นไปได้ แต่เวลานี้เขาไม่มีเวลามากพอจะคิดว่าราชศาสตราชนิดนี้มาอยู่ที่นี้ได้อย่างไรหรือทำไม เพราะเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา จิตสังหารที่ออกมาจากคู่ต่อสู้ของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นมา และนั่นทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก
หมับ!
เคร้งงง!!
สินคว้าพระแสงดาบคาบค่ายขึ้นและกระชากออกจากพื้น ยกขึ้นเพื่อกันทวนสีเงินวาวจากหัตถ์ของเจ้าชายมังระได้ทันอย่างฉิวเฉียด...ศาสตรามีอันดับทั้งสองกระทบกันจนเกิดเสียงดังบาดหู ภายใต้ประกายไฟที่ราวกับฟ้าแลบ ดวงเนตรของเจ้าชายมังระหรี่ตาลงพร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลาเริ่มบิดเบี้ยวอย่างขัดพระทัยสุดขีด เพราะเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้ทำให้พระองค์พลาดโอกาสที่จะได้ชัยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างน่าเสียดายที่สุด ในขณะที่ผู้ที่พลิกสถานการณ์จากเกือบจะพ่ายแพ้อยู่รอมร่อ กลายเป็นกลับมาไม่มีได้เปรียบเสียเปรียบอีกครั้งหรี่ตาลงพร้อมกับแสยะยิ้มวูบอย่างน่ากลัวและไม่สมกับท่านสินปรกติเลยแม้แต่น้อย
" เจ้า! " เจ้าชายมังระตวาดก้องอย่างเดือดดาลพร้อมกับใช้แรงจากหัตถ์ทั้งสองข้างกดที่ทวนของตนเองเพื่อหมายเผด็จศึก แต่ความพยายามของพระองค์ก็ทำได้แค่ทำให้รอยแสยะยิ้มของสินยิ่งแสยะกว้างขึ้นไปอีกเท่านั้น
" หึๆๆๆ "
" ยอมตายดีๆสิโว้ย! "
" หึๆ ก๊าก! ฮ่าๆๆๆๆ ขนาดเมื่อคราข้าไร้ดาบ เจ้ายังพลาด...แล้วเมื่อเรามีราชศาสตราไว้ในมือ...อย่างเจ้าจะทำอะไรได้ " สินคำรามตอบกลับออกมาด้วยสำเนียงที่แปร่งหูแม้แตสำหรับผู้ที่พึ่งเคยพบหน้ากันอย่างเจ้าชายมังระ ไม่ต้องถามถึงไกรที่รู้จักมักจี่กับท่านสินมานานถึงกับต้องขมวดคิ้ววูบอย่างงุนงงทันที
' แปลกแฮะ ท่านสินไม่ใช่คนที่ชอบยกตนข่มท่านนี่หว่า...ไอ้คำพูดแบบน้นพูดเป็นด้วยเหรอ? ' ไกรเอียงคอคิดอย่างแปลกใจ ในขณะที่อะแซหวุ่นกี้ที่ทั้งๆที่เมื่อครู่เกือบจะชักดาบมาจัดการกับไกรอยู่แล้วแท้ๆ บัดนี้กลับเก็บดาบลงพร้อมกับยืนและลูบคางอย่างครุ่นคิด
" โหย วันนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้ข้าประหลาดใจแฮะ ดาบเล่มนั้น นึกว่าจะมีเพียงแต่ในตำนานเพ้อฝันเสียอีก "
" หา? " ไกรหันกลับไปมองอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่อะแซหวุ่นกี้จะได้ทันอธิบายอะไร เสียงของโลหะกระทบกันดังแหลมยาวก็ดังเข้าหูของไกรจนไกรต้องหันไปมองอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะต้องขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
' เดี๋ยวสิ...ทำไมแนวกระบวนดาบของท่านสินเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ล่ะ สมัยก่อนอาจใช่ แต่เดี๋ยวนี้ดาบของท่านสินรัดกุมไม่สะเปะสะปะแบบนี้นะ...รึว่า? '
" ดาบกำลังครอบงำท่านสิน?! " ไกรตวาดลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าไปหมายจะขวางการต่อสู้นั้นทันที ซึ่งอะแซหวุ่นกี้ที่ไม่เข้าใจเจตนาของไกรก็ขยับวูบเช่นกันเพราะเข้าใจว่าไกรจะฉวยโอกาสซ้ำเจ้าชายมังระที่กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ไกรก็คำนึงถึงข้อนี้ไว้แล้ว เขาจึงตะโกนโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อยว่า
" อเทตยา! "
พรึ่บ! เคร้ง!
พริบตาที่เสียงอันเป็นเสมือนคำประกาศิตของไกรดังขึ้น อเทตยาก็สะบัดธนูวัชระให้กางออกพร้อมกับน้าวสายเล็งและยิงด้วยท่าทีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวส่วนไหนที่สูญเปล่าเลยแม้แต่น้อย ทำให้จิตสังหารของอะแซหวุ่นกี้ต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากไกรกลับมาต้านรับลูกธนูสีดำทมิฬที่พุ่งหมายจุดสำคัญของเขาในระยะประชิดได้อย่างฉิวเฉียด แต่ในทางกลับกัน เมื่ออะแซหวุ่นกี้หันกลับไปหาไกรอีกครั้ง ไกรก็พุ่งนำไปหลายช่วงตัว สุดที่ขุนพลเฒ่าจะสามารถหยุดไว้ได้ทันแล้ว
" จ เจ้า! เจ้าหญิงตองชะเว! "
" คิกๆ ท่านไกรก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าข้ามีนามว่า อเทตยา น่ะ " อเทตยาแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอย่างน่ารัก แต่ทว่าน่าขัดใจและน่าโมโหอย่างยิ่งในสายตาของขุนพลเฒ่าอย่างอะแซหวุ่นกี้ และยิ่งน่าขัดใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเพราะในระหว่างแสยะยิ้ม หญิงสาวชาวมอญตรงหน้าก็กำลังง้างลูกธนูเล็งมาที่เขาอีกโดยไม่ปล่อยให้เขาพักหายใจเลยแม้แต่น้อย
พรึ่บ! เคร้ง!!
" เจ้า! ปัดโธ่โว้ย! "
" คิกๆ อ้อ! บอกไว้ก่อนนะ ท่านอะแซหวุ่นกี้...นี่เป็นคำสั่งของท่านไกร หาใช่แค้นส่วนตัวแต่ประการใด "
' แต่ดูอย่างไรก็แค้นส่วนตัวชัดๆ นังนี่! ' อะแซหวุ่นกี้กัดฟันกรอด ก่อนที่เขาจะตัดสินใจได้ว่าเขาคงถูกพัวพันจนไม่สามารถเข้าไปช่วยเจ้าชายมังระได้แน่ เขาจึงได้แต่ป้องกันตัวพลางตวาดเตือนเจ้าชายให้พระวรกายตัวล่วงหน้าเสียก่อน
" ระยำ! เจ้าชายมังระ ระวัง!! "
" ห หา? " เสียงตะโกนของอะแซหวุ่นกี้ทำให้เจ้าชายหนุ่มแห่งชนชาติพม่าหันขวับ แต่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อรับมือศัตรูที่มีกำลังกล้าแข็งตรงหน้า คำเตือนของอะแซหวุ่นกี้กลับกลายเป็นสิ่งที่แบ่งแยกสมาธิของพระองค์จนทำให้สิน หรืออย่างน้อยก็เป็นสินในช่วงเวลาหนึ่งไม่พลาดที่จะฉวยโอกาสทันที
เคร้งงง!!
เปรี๊ยะ!
" อั่ก! " พระแสงทวนประจำพระวรกายของเจ้าชายมังระที่ผ่านศึกมาด้วยกันกับพระองค์ทั้งเหนือใต้ออกตก พระแสงทวนที่ถูกหลอมตีขึ้นด้วยโลหะมีอันดับที่อยู่ในระดับพอๆกับดาบสดายุของไกรกลับถูกพระแสงดาบสีทองอร่ามในมือของสินฟาดฟันจนหันสะบั้นลงอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ทันให้เจ้าชายมังระได้ตกตะลึง หน้าแข้งที่สวมด้วยสนับหนังดิบของสินก็ตวัดวูบเข้าชายโครงชนิดไม่สนเกราะทองคำของเจ้าชายหนุ่มจนเจ้าชายหนุ่มเสียหลักและถึงกับกระอัก
เสี้ยววินาทีที่เจ้าชายมังระทรุดลงด้วยความจุกเสียด มือสองข้างของสินก็กำดาบมั่นพร้อมกับเงื้อขึ้นจุดสูงสุด ดวงตาที่เปลี่ยนไปของสินจ้องเขม็งไปที่คู่ต่อสู้ตรงหน้าโดยไม่คิดจะให้เจ้าชายหนุ่มได้แก้ตัวอีกต่อไป!
" จบซะทีโว้ยยย! "
เคร้งงง!
แต่แทนที่จะได้ยินเสียงโลหะมีคมกระทบเนื้่อสดๆ เสียงที่ได้ยินกลับกลายเป็นเสียงของดาบปะทะดาบอีกครั้ง เพราะแทนที่ไกรจะเข้ามาเพื่อซ้ำเจ้าชายมังระให้จบๆไป แม่ทัพหนุ่มแห่งกองทัพภูติพรายกลับพุ่งเข้ามาระหว่างกลางและดาบสดายุและดาบสัมพาทีที่ถูกเรียกออกมาขึ้นมากันคมดาบสีทองอร่ามนั้นอย่างฉิวเฉียด แต่ด้วยพลังที่แฝงมากับพระแสงดาบศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้ทั้งๆที่ไกรใช้ดาบระดับสูง ๒ เล่มต้านรับยังถึงกับต้องทรุดลงไปใช้เข่ายันกับพื้นและกัดฟันกรอด เลือดลมในร่างกายปั่นป่วนจนแทบจะกระอักเลือดออกมาไม่มีผิด
" อ อะไรกัน?! "
" เจ้าชาย?! "
" ท ท่านไกร!? " คราวนี้อเทตยากลับต้องร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจ เพราะเธอเองก็เชื่อร้อยทั้งร้อยว่าไกรของเธอคงไม่พลาดโอกาสที่จะเผด็จศึกแน่ แต่ไกรก็ทำในสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง...เขาช่วยชีวิตศัตรู!
ไม่มีใครในที่แห่งนี้เข้าใจเจตนาในกา่รกระทำอันไร้เหตุผลของไกร...ไม่มีใครรู้เลยว่าไกรไม่ได้ทำเพราะอยากจะทำ...เขาทำเพราะจำเป็นต้องทำต่างหาก!
ในฐานะผู้ที่มาจากห้วงอนาคต ไกรรู้จักฐานะของเจ้าชายมังระและสิ่งที่เจ้าชายหรือว่าที่กษัตริย์พม่าหนุ่มผู้นี้จะกระทำกับกรุงศรีอยุธยาดี ซึ่งแม้ว่าจะเตือนตนเองเสมอว่าเขาเป็นผู้เฝ้ามองประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ผู้ตัดสินประวัติศาสตร์ แต่ถึงอย่างนั้นไกรก็ยังไม่อาจจะทำใจให้ชื่นชอบเจ้าชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อลือชาผู้นี้ได้อยู่ดี
เจ้าชาย...ว่าที่จอมกษัตริย์ ผู้เป็นปฐมเหตุ ในฐานะผู้มีราชโองการ...ถล่มกรุงศรีอยุธยาให้เหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน!
แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้ไม่ได้ชอบ แต่ไกรก็ไม่อาจจะปล่อยให้เจ้าชายมังระเป็นอันตรายได้ ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เขาไม่อาจจะปล่อยให้เกิดภยันอันตรายใดๆกับท่านสินได้...เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น...
ประวัติศาสตร์ที่เขารู้จักและพยายามจะสร้างมันขึ้นมา คงไม่อาจจเป็นจริงได้อย่างแน่นอน!
เปรี๊ยะ!
เสียงลั่นอันบาดหูของดาบสัมพาที ดาบลับสีตะกั่วที่ไกรใช้เพื่อเป็นดาบแรกที่ป้องกันพระแสงดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ปลุกไกรให้ตื่นจากห้วงความคิดอีกครั้งพร้อมกับที่เขาต้องเบิกตากว้างวูบอย่างตกใจอย่างที่สุด เพราะเสียง เปรี๊ยะ! ที่ว่านั่นคือเสียงของส่วนคมดาบสัมพาทีตรงส่วนที่เสียดสีอยู่กับพระแสงดาบกลับร้าวอย่างน่ากลัวและไม่อยากจะเชื่อสายตา!
" อ อะไรกัน! " ทั้งๆที่ยังคงอยู่ในสภาพทรุดนั่งอยู่ ไกรก็ยังต้องอุทานออกมาอย่างตกใจ...ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับโลหะมีอันดับอะไรนั่นเท่าไหร่ แต่ สัตตโลหะ ที่ใช้เป็นแกนหลักสำหรับดาบสัมพาทีเล่มนี้ก็เคยปรากฎอยู่ในนิทานปรัมปราหลายเรื่อง และถ้ามันคือสัตตโลหะแบบเดียวกับหอกที่ใช้แทงชาละวันได้ล่ะก็ มันก็ไม่ควรจะเปราะถึงขนาดนี้สิ!
' เจ้าหนุ่ม! อย่าต้านรับตรงๆ เจ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับ พระแสงดาบคาบค่าย อยู่นะ! ' เสียงของหญิงสาวปริศนาที่เคยดังขึ้นภายในหัวของไกรเวลานี้กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทั้งๆที่ได้ยินครั้งแรก แต่ไกรก็เชื่อฟังคำพูดของหญิงสาวที่อยู่ภายในหัวของด้วยการกระแทกดาบสดายุและสัมพาทีอย่างแรงเพื่อบีบให้สินต้องถอยหลังกลับ ซึ่งสินก็ขมวดคิ้ววูบพร้อมกับกัดฟันกรอดอย่างขัดใจทันที
" ชนรุ่นหลังผู้แหกกฏแห่งกาลเวลา! นี่ไม่ใช่กงการของเจ้า ถอยไป! " สินตวาดออกมาอย่างไม่สมกับเป็นท่านสินที่ไกรเคยรู้จัก และยังเรียกไกรด้วยสมญาแปลกๆที่ไกรถึงกับเกือบสะดุ้งโหยง ในขณะที่หญิงสาวที่เคยเอาแต่พูดจากวนประสาทไกรเวลานี้กลับอธิบายเรียบๆโดยไร้แววล้อเล่นโดยสิ้นเชิงว่า
' กะแล้ว...เจ้าหนุ่มนั่นคงจะมีตบะบารมีถึงระดับหนึ่งในฐานะหนึ่งในผู้มีโอกาสครอบครองดาบ แต่ก็ยังมีบุญญาธิการไม่ถึงพอจะสยบดาบไว้ได้โดยสมบูรณ์...แล้วก็ยังมาเจอกับพระแสงดาบที่เสียนิสัยที่สุดเสียอีก...โดนครอบงำเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก '
' เดชะบารมี...บุญญาธิการยังไม่ถึง...ก็พอเข้าใจได้ล่ะนะ '
' เอ๋? หมายความอย่างไรน่ะ? '
' อ๊ะ! ป เปล่าๆ! เวลาแบบนี้ท่านยังอุตส่าห์พูดอย่างใจเย็นอีกนะ...ป ปัดโธ่ ดาบสัมพาที! ' ไกรรีบกลบเกลื่อนพลางเหลือบไปมองดาบสัมพาทีที่ปรากฎรอยร้าวเล็กๆที่ส่วนใบดาบอยู่อย่างเป็นกังวล ซึ่งหญิงสาวภายในหัวของเขาก็ไม่ได้ติดใจซักไซ้อะไรพร้อมกับอธิบายต่อช้าๆว่า
' ดาบเล่มนั้นก็น่าจะเป็นเหมือนสิ่งที่หลับใหลอยู่ในตัวเจ้าในเวลานี้น่ะ ไกร...ดาบปกป้องผู้ใช้ และปกป้องโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม...เมื่อเจ้ามาขวางเช่นนี้ก็คงจะถูกจัดอยู่ในฐานะของศัตรูไปอีกคนแน่...และก็อย่าคิดไปปะทะโดยตรงเด็ดขาด เพราะพระแสงดาบนั่นมีความสามารถในการทำลายศาสตราอื่นๆที่เข้าปะทะ ต่อให้เป็นสดายุหรือสัมพาที ถ้าหากปะทะตรงๆอีกครั้งเดียวคงมีหวังไม่ต่างอะไรจากพระแสงทวนของเจ้าชายหนุ่มที่เจ้าช่วยไว่้แน่ '
' ก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะขอรับ แต่แบบนี้ช่วยให้สถานการณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วแย่ลงไปอีก...ไอ้ดาบความสามารถโกงๆแบบนี้จะสู้ยังไงล่ะฟะ! '
" เจ้า! ทำไม?! " ในที่สุดเจ้าชายมังระก็สร่างจากอาการตกตะลึงและร้องถามไกรที่พึ่งช่วยชีวิตพระองค์ไปอย่างฉิวเฉียดด้วยสุรเสียงอันดังอย่างไม่เข้าพระทัย ซึ่งไกรเองก็ไม่อาจจะอธิบายให้เจ้าชายหนุ่มเข้าใจได้เสียด้วย เขาจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจพร้อมกับพูดตอบกลับไปเรียบๆโดยไม่หันกลับไปมองว่า
" โปรดอย่าเข้าพระทัยผิด เจ้าชายมังระ...ข้าไม่ได้ช่วยพระองค์เพราะอยากจะช่วย แต่เป็นเพราะจำเป็นต้องช่วย...ไม่จำเป็นต้องนับเป็นบุญคุณกันหรอก "
" จ เจ้า! "
' เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ต้องเล่นบทสถานการณ์พาไปแบบนี้อีกกี่รอบถึงจะพอใจฟะ ชีวิตตู! ' ไกรคิดในใจพร้อมกับขยับเท้าเพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวเองลงแย่างเตรียมพร้อมได้ทั้งรับและทั้งถอย และพยายามเจรจาเบาๆว่า
" ท่านสิน! โปรดกลับคืนสติเถอะ นี่ไม่ใช่ท่านสินที่ข้ารู้จักเลยนะ "
" โฮ่...พูดวางก้ามเสียจริงนะ ไม่สำนึกเอาเสียเลยว่าข้าคือผู้ช่วยชีวิตเจ้าหนุ่มนี่นะ ...เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้ที่สินยอมรับนับถือ ...จงถอยไปซะ ข้าจะไม่พูดซ้ำ " สิน หรืออย่างน้อยอะไรบางอย่างที่ครอบงำท่านสินอยู่ตวาดกลับมาอย่างเหี้ยมๆพร้อมกับตวัดพระแสงดาบในมือมาในท่าเตรียมพร้อม แสดงให้เห็นถึงระดับของความเอาจริงในทุกตัวอักษรที่เขาพูด ซึ่งไกรจิตสังหารที่แผ่พุ่งออกมาก็เข้มข้นและกดหนักจนทำให้่ไกรต้องลากเท้าถอยหลังกลับมาครึ่งก้าวพร้อมกับกัดฟันกรอด
' การเจรจาไม่ได้ผลแบบสุดๆเลยวุ้ย แถมยังปะทะไม่ได้เสียอีก '
' เฮ้อ...แบบนี้คงต้องหลับตาลงยอมรับความตายแต่โดยดี แล้วเริ่มคิดว่าจะทำอะไรเป็นอย่างแรกที่โลกหลังความตายดีล่ะนะ '
' เป็นคำพูดที่ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยซักนิด แล้วก็อย่าลืมสิว่าถ้าข้าม่องไป ท่านนั่นแหละที่จะเป็นคนที่เดือดร้อนที่สุดน่ะ! ' ไกรตอบกลับไปอย่างเริ่มเดือดเล็กน้อย แต่ประโยคนั้นก็ทำให้หญิงสาวร้องออกมาอย่างเริ่มคล้อยตามว่า
' จะว่าไปก็จริงด้วยสิ...ข้าเองก็ไม่อยากจะกลับไปติดอยู่ในที่แบบนั้นเร็วๆนี้เสียด้วยสิ '
' ช่างไร้ซึ่งความทุกข์ร้อนจนข้าโกรธไม่ลงเลยเฟ้ย! ปัดโธ่ เอาไงดีฟะเนี่ย?! '
' ช่วยไม่ได้นะ เรียกข้าออกไปสิ ไกร '
' ห หา? ต แต่ว่าแบบนั้นมัน ' ไกรอึกอักอย่างลำบากใจ แต่เสียงนั้นจี้ต่อว่า
' ถ้าหากเจ้ามีทางเลือกอื่นก็เอาเลยสิ '
" ป ปัดโธ่ " ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับหลับตาลงและครางออกมาเบาๆอีกครั้งว่า
" งานนี้มีหวังจบไม่สวยแน่... "
" หืม? เจ้า? "
" จงออกมา...จอมโหงพรายภายใต้อาณัติแห่งข้า! ...เจ้าจอมแมน! "
..................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ