ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
132)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
...เสียงตวาดที่ดังก้องไปทั่วของสิงห์ทำให้ไกรสะดุ้งตื่นจากอาการตกใจ ทำให้เขาออกตัวช้าไป ๑ จังหวะ แต่ถึงอย่างนั้นสีหมอกก็พาเขาตามหลังสินและนิลผยองซึ่งเป็นม้าประจำกายของสิงห์ไปติดๆ โดยไม่เสียเวลาเลยแม้แต่น้อย
ปัง!
เสียงปืนคำรบ ๒ ดังขึ้นเป็นตับจนหูแทบไหม้อีกครั้งจากรอบทิศทางทำให้ไกรหันขวับไปมองเล็กน้อยทันที เพราะเสียงปืนรอบที่สองนี้ดังขึ้นต่อกับรอบแรกชนิดแทบจะติดๆกัน ทั้งๆที่หน่วยแม่นปืนภายใต้การนำของศกุนตลาและอเทตยามีเพียงแค่ ๓๐ คนแท้ๆ ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าศกุนตลางัดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดของเหล่าคู่แฝดอย่าง กระสุนปืน ที่มีประสิทธิภาพในการรีโหลดหรือบรรจุใหม่อย่างรวดเร็วที่สุดมาใช้ แถมแจกยังให้ทุกคนใช้แบบไม่หวงเลยแน่ๆ
กระสุนปืน ๒ คำรบที่ดังมาจากปืนยาวกว่า ๓๐ กระบอก รวมถึงลูกธนูจากมือฉมังธนูอย่างอเทตยา ทำให้เหล่าทหารพม่าที่ล้อมอยู่ในวงนอกสุดร่วงพลิกตกจากหลังม้าราวกับถูกเป่ามนตร์ทันที และลดจำนวนทหารพม่าลงไปกว่าครึ่ง ก่อนที่อีกกว่าครึ่งที่เหลือจะถูกล้อมจู่โจมแบบถึงตัวในพริบตาราวกับสายฟ้าแล่บชนิดอีกเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็จะเข้าถึงตัวแล้ว จนไม่ใช่แค่เหล่าทหารพม่าที่ตกตะลึงตัวแข็ง...เพราะแม้แต่ชาวบ้านที่ถูกล้อมและอยู่ภายใต้การนำของนายจันหนวดเขี้ยวก็ยังถึงกับชะงักไปอย่างตกใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว!
" สิงห์! อย่าพรวดพราดเข้าไป ระวังปืน! " ไกรตะโกนแข่งกับเสียงโห่ร้องที่ดังก้องไปทั่วจนแทบฟังอะไรไม่รู้เรื่องด้วยความเป็นห่วง เพราะสิงห์ควบม้าฮ่อเต็มฝีเท้าจนนำพวกเขาไปหลายช่วงตัวแล้ว แต่สิงห์ดูเหมือนจะถูกสัญชาตญาณดิบเข้าครอบงำจนหูอื้อไม่ฟังใครเสียแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสิงห์กับศกุนตลาจะทำงานร่วมกันมานานจนรู้ใจกันเสียแล้ว เพราะทันทีที่สิงห์รวมถึงทหารแห่งกองทัพภูติพรายนายอื่นๆเข้าแนวปะทะ เสียงปืนก็หยุดลงโดยไม่มีคำรบที่ ๓ อีก เพราะการศึกแบบตะลุมบอนเสี่ยงต่อการยิงถูกพวกเดียวกันเองสูงมาก ทำให้หน่วยแม่นปืนเกือบทุกคนเปลี่ยนอาวุธจากปืนเป็นอาวุธยาวหรือดาบและขึ้นหลังม้าเข้ามาเพื่อเป็นกองหนุนล้อมอีกรอบแทน ทำให้แนวหลังเหลือเพียงอเทตยากับศกุนตลาที่แม่นธนูและฉมังปืนยาวราวกับเป่ามนต์ และนายทหารที่มั่นใจในฝีมือแม่นปืนของตัวเองไม่กี่กระบอกเท่านั้นที่ยังลั่นเป็นกำลังเสริมจากแนวหลังอยู่ และปล่อยให้สิงห์พุ่งเข้าใส่กองทหารพม่าที่เหลืออยู่บนหลังม้าประมาณ ๓๐ นายด้วยท่าทีราวกับพยัคฆ์ที่กระโจนเข้าใส่ฝูงเนื้อไม่มีผิด!
โฮก!
และที่เปรียบเทียบว่าเป็นพยัคฆ์ที่พุ่งใส่ฝูงเนื้อนั้นไม่ใช่การเปรียบเทียบที่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะทันทีที่เข้าถึงระยะ สิงห์ก็กระโดดพรวดจากอานม้าด้วยพลังอันล้นเหลือพร้อมกับชักกริชเงินลงอาคมของตัวเอง กระโจนแทงพรวดเข้าซอกคอของทหารม้าพม่าผู้โชคร้ายที่สุดด้วยความเร็วและพลังจนทหารพม่าคนนั้นคอหักตายแทนที่จะถูกแทงตายด้วยซ้ำ พร้อมๆกับที่ นิลผยอง ม้าประจำกายของสิงห์ก็ไม่ยอมแพ้นายของมัน เพราะมันกระโดดพรวดและใช้กีบเท้าหลังที่แข็งแรงของมันถีบพรวดเข้าเต็มๆอกของทหารพม่าที่ตกจากหลังม้าอยู่อีกคนหนึ่งด้วยความแรงชนิดทั้งเกราะอ่อนทั้งหน้าอกของหม่องโชคร้ายคนนั้นยุบลงไปเป็นรอยกีบเท้าชัดเจน แน่นิ่งไปโดยที่ัยังไม่ทันได้ร้องซักแอะเลย!
" ว เหวอ!! "
จิตสังหารอันบ้าคลั่งเกินกว่าจะเป็นจิตของมนุษย์ของสิงห์ทำให้นายทหารลาดตระเวนเชื้อชาติพม่าทุกคนถึงกับขวัญหนีดีฝ่อจนแทบไม่เป็นอันต่อสู้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ใช่ว่าจะสิ้นไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ เพราะวินาทีต่อมานายกองชาวพม่าที่รอดจากห่ากระสุนสังหารแบบหวุดหวิดจะประกาศก้องเป็นภาษาถิ่นของตนเพื่อจัดกระบวนทหารม้าที่เหลือเป็นรูปหอกหรือลิ่มโดยหวังจะตีฝ่าออกไปทันที
" มันจะฝ่าไปทางท่านไกร! รีบไล่ตาม อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว! " เสียงตะโกนจนคอแทบแตกของทานสินที่ลอยเข้าหูของไกรทำให้ไกรชะงักกึก และก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ เพราะเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น คมหอกอันแหลมคมที่สุดของทหารพม่าที่อยู่แถวหน้าสุดของกระบวนม้ารูปลิ่มนี้ก็พุ่งเสือกมาถึงหน้าของไกร บังคับให้ไกรต้องลงมือแล้ว!
เคร้ง!
ถึงเขาจะอยู่บนหลังม้าซึ่งยังไม่ถึงกับชินดีเหมือนกับอยู่บนพื้นดิน แต่คมหอกที่แทงมาตรงๆของผู้ที่กำลังตกอยู่ในอาการขวัญบินไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำร้ายนักดาบระดับสูงอย่างไกรได้...ดาบสดายุในมือข้างซ้ายซึ่งเป็นข้างที่ถนัดของเขาวาดปัดคมหอกวูบจนเฉออกไปและงัดจนหอกด้ามนั้นหลุดออกจากมือ ก่อนที่พริบตาเดียวเขาจะกดปุ่มกลไกและเรียกดาบสัมพาทีออกมาสู่มืออีกข้างหนึ่งเพื่อเผด็จศึกในพริบตาเดียว!
" ว เหวอ! อย่า! "
แต่ทว่าเสียงร้องอย่างกะท่อนกะแทนของนายทหารพม่าเจ้าของหอกคนนั้นพร้อมกับดวงจิตที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวความตายที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำให้ดาบสัมพาทีในมือขวาของไกรชะงักกึก ไม่อาจจะลงมือได้...เพราะเขาคือนักดาบ...แต่ไหนแต่ไรคู่ต่อสู้ของเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประลองที่มีสายตาอยากเอาชนะตลอด และเขาก็จะหยุดดาบกันทันทีที่รู้ผลแพ้ชนะ...แต่ไม่ใช่กับในสถานการณ์นี้...สถานการณ์ที่ไกรกำลังจะลงดาบเพื่อสังหารคนที่เต็มไปด้วยแววตาแห่งความหวาดกลัวที่ไร้ทางต่อกรได้โดยสิ้นเชิงเช่นนี้
แต่แล้วเพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่ไกรชะงักไปนั้น นายทหารพม่าผู้เผชิญหน้ากับไกรก็ร้องออกมาด้วยความรักตัวกลัวตายสุดขีดและพยายามทำทุกวีถีทางเพื่อจะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด พริบตาที่ไกรตะลึงงันนั้น มันก็ชักปืนสับนกที่คาดอยู่ที่สายหนังตรงหน้าอกและเล็งมาที่ไกรพร้อมกับตาลีตะเหลือกลั่นไกทันที
ปัง!
กระสุนปืนสับนกนั้นพุ่งระเบิดออกมาจากปากกระบอกปืนเสียงดังลั่น ปลุกสติสัมปชัญญะของชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นอย่างตกตะลึง...ในช่วงเวลาที่วิกฤติสุดขีด อะดรินาลีนหลังทะลักออกมาทั่วร่างจนเขาเห็นภาพทุกอยางสโลว์โมชั่นลงจนแทบจะหยุดนิ่ง แต่วินาทีนั้นเขาไม่อาจจะขยับเขยื้อนตัวเพื่อหลบกระสุนสังหารนั้นได้เลยแม้แต่น้อย!
เฉี๊ยะ!
แต่จะเป็นเพราะคนยิงไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตใจที่พร้อมจะยิงคน หรือเพราะโชคช่วย หรือเพราะกรรมบันดาลก็แล้วแต่ แต่กระสุนที่ควรจะเป็นกระสุนสังหารนัดนั้นกลับพุ่งเลยหน้าผากของไกร พุ่งผ่านไปเฉียดขมับด้านขวาของชายหนุ่มไปชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ด้วยฤทธิ์อะดรินาลีนที่ไหลเวียนในร่างกายตอนแรกทำให้โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาจากบาดแผลที่กระสุนพุ่งผ่านนั้นทันที จนเลือดอาบใบหน้าซีกขวาของเขาทันตาเห็น
เฟี้ยวววว! ฉึก!
ปัง!
ก่อนที่ทั้งไกรทั้งทหารม้าชาวพม่าคนนั้นจะได้ทันทำอะไรต่อไป ลูกธนูสีดำสนิท กับกระสุนปืนจากปืนยาวกระบอกหนึ่งก็พุ่งจากเบื้องหลังของไกรชนิดเฉียดเส้นผมและสีข้างของไกรไปอย่างฉิวเฉียด พุ่งปักและฝังเข้าเต็มๆหน้าอกที่สวมเกราะอ่อนของนายทหารพม่าโชคร้ายผู้นั้นจนเขาถึงกับตาเหลือกทะลึ่งพรวดและม้วนตกจากหลังม้าทันทีโดยที่ไกรไม่ได้ลงมือเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องสงสัยเลย...ลูกธนูสีดำสนิทและลูกปืนที่ถูกยิงอย่างแม่นยำราวกับจับวาง และเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตไกรนี้คงเป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากมือฉมังธนูระดับสุดยอดผู้ปิดกั้นจิตสังหารได้อย่างหมดจดอย่างอเทตยา และมือแม่นปืนที่น่ากลัวที่สุดอย่างศกุนตลานั่นเอง
" ฮ เฮ้ย เดี๋ยวก่อน " แต่พอหายจากอาการตกตะลึง ไกรกลับรีบลงจากหลังของสีหมอกพร้อมกับพุ่งลงไปหานายทหารพม่าที่ถูกทั้งลูกปืนทั้งลูกธนูเต็มๆจนล้มกลิ้งลงกับพื้นและเลือดพุ่งกบเต็มปากและบาดแผลอันฉกรรจ์อย่างยิ่ง...มือที่สั่นเทาที่สุดโบกไปมากลางอากาศราวกับกำลังไขว่คว้าอะไรบางอย่างอยู่ จนกระทั่งไกรที่พุ่งลงมาคุกเข่าอยู่ข้างๆมาถึงจึงคว้ามือของนายทหารหนุ่มคนนั้นไว้ทันที
" อ...อั่ก! "
เมื่อไกรลงมาถึง ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่อาจจะพูดภาษามนุษย์รู้เรื่องแล้ว เพราะลิ่มเลือดที่แตกกระจายเป็นฝอยอยู่เต็มปาก และบาดแผลที่ฉกรรจ์จนเกินกว่าจะรักษาพยาบาลได้อย่างแน่นอน...มีเพียงมือที่เกาะกุมมือของไกรเท่านั้นที่ยังคงเต็มไปด้วยแรงอย่างคนที่อยู่ในวาระและพลังเฮือกสุดท้ายของชีวิต
" จ ใจเย็นๆนะ ห หายใจลึกๆก่อน " ไกรที่เวลานี้หน้าครึ่งซีกยังคงเปื้อนเลือดจากบาดแผลของตัวเอง ในขณะที่มือของเขาเวลานี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีคล้ำของนายทหารพม่าที่กำลังจะสิ้นชีพตรงหน้าค่อยๆพูดตะกุกตะกักอย่างไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสงบใจลงได้ เพราะหากพูดตรงๆ นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เขาอยู่ต่อหน้าคน...คนๆหนึ่งที่กำลังจะตายในไม่ช้า...
...ในชั่วเสี้ยววินาทีที่วิญญาณของนายทหารพม่าผู้นั้นกำลังจะโบยบินออกจากร่าง...ดวงตาที่หม่นแสงของชายผู้นั้นที่จ้องสบสายตาของไกรอยู่ ณ ขณะนี้ไม่ได้ฉายแววของความเคียดแค้น ความชิงชัง หรือความกราดเกรี้ยวที่ศัตรูคู่อาฆาตควรจะใช้จ้องใส่กัน หรือแววตาของผู้ที่เสียดายที่ไม่อาจจะปลิดชีวิตของไกรได้...แต่เป็นแววตาที่รื้นเต็มไปด้วยน้ำตาใสๆที่ล้นทะลักออกมาอย่างสำนึกเสียใจในความอายุสั้นของตัวเอง...แววตาของผู้ที่ยังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงคนที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ที่เขาไม่อาจจะกลับไปเจอได้อีกต่อไป...และสุดท้าย...แววตาของคำขอบคุณ...ขอบคุณไกรที่เป็นคนไม่รู้จักกันแท้ๆ แต่ในวาระสุดท้ายกลับยังคงอยู่ข้างๆเขาโดยไม่ทอดทิ้งไป...
...ไม่ปลอยให้เขา...ตาย...ตามลำพัง...
...ก่อนที่ดวงตานั้นจะสิ้นแววลง พร้อมๆกับดวงวิญญาณที่ค่อยๆหลุดลอยออกจากร่างไป...เหลือไว้เพียงแต่ร่างอันไร้วิญญาณที่ยังกุมมือของเขาไว้แน่นเท่านั้น...
...ชีวิตคน...มีเกียรติและศักดิ์ศรีอันจอมปลอมที่หนักแน่นราวกับหินผา แต่มีชีวิตอันเป็นดวงปราณที่บางเบาราวกับปุยนุ่น...คนๆหนึ่งที่ตลอดชีวิตผ่านอะไรมามากมาย ยึดถือทุกอย่างไว้มากมาย กลับสิ้นชีวิตเปลี่ยนภพไปได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือขนาดนี้เชียวหรือ?...
ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เสียงครวญครางและเสียงโลหะกระทบโลหะ โลหะกระทบเนื้ออ่อนที่ดังไปโดยรอบอย่างสับสนปนเปจนไม่อาจจะจำแนกได้ถูก ...ไกรค่อยๆแกะมือออกจากมืออันเย็นชืดของนายทหารผู้นั้นช้าๆ ก่อนจะยืนนิ่งไปโดยไม่สนสถานการณ์อันชุลมุนที่เกิดขึ้นโดยรอบ...ชายหนุ่มค่อยๆประกอบดาบสดายุและดาบสัมพาทีกลับเป็นเล่มเดียวก่อนจะเก็บดาบเข้าสู่ฝักช้าๆ...โดยไม่มีผู้ใดมามีเวลาสนใจเขา ...เว้นแต่สีหมอก...ม้าประจำกายของเขาเท่านั้นที่เหมือนจะเข้าใจจิตใจของไกรในเวลานี้และวนอยู่รอบๆไกรที่ไม่อยู่ในสภาพที่สามารถป้องกันตัวเองได้เพื่อปกป้องไกรจากลูกหลงที่อาจจะหลงเข้ามาได้เท่านั้น
" นี่...ไม่ใช่ที่ข้านึกไว้เลยนะ สีหมอก " ไกรครางออกมาเบาๆอย่างเหม่อลอยและมึนงงที่สุด จากทั้งฤทธิ์บาดแผลและทั้งสถานการณ์ที่ถาโถมเข้ามา...ทั้งกลิ่นของโลหะ ดินปืน และกลิ่นคาวโลหิตที่คลุ้งไปทั่วจนทำให้เขาวิงเวียนจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว
...เขาไม่ได้กำลังมองดูสงครามที่เต็มไปด้วยเกียรติหรือศักดิ์ศรีอย่างที่เขาคิดหรือวาดฝันไว้ในตอนแรกเลยแม้แต่น้อย...แต่กำลังมองดูการสังหารหมู่ที่ทหารพม่ากว่า ๕๐ ชีวิตกำลังถูกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าทั้งปริมาณและคุณภาพละลายหายไปทีละชีวิตๆอย่างรวดเร็วที่สุด...
" เป็นอะไรรึเปล่า ไกร! " สิงห์ที่เวลานี้เปราะเปื้อนโลหิตของเหยื่อของเขาเต็มตัวจนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ววิ่งมาดูไกรทันที เพราะเห็นว่าไกรไม่ได้อยู่บนหลังม้าสีหมอกเลยเป็นห่วงและย้อนกลับมาดู แต่พอเห็นไกรไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายไปกว่าแผลที่โดนกระสุนถากที่ขมับด้านขวา ทำให้สิงห์ลอบถอนหายใจเฮือกออกมาเล็กน้อยอย่างโล่งอก ก่อนจะมองไปรอบๆและเห็นว่าสถานการณ์อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้แน่นอนแล้ว เขาจึงแยกเขี้ยวยิ้มพลางตบไหล่ไกรอย่างหนักหน่วงพร้อมกับพูดดังๆว่า
" เย็นไว้ไกร อย่าพึ่งสติแตก แรกๆก็เป็นเช่นนี้ ประเดี๋ยวก็ชินไปเองนั่นแหละ "
" นี่ไม่ใช่ที่ข้าคิดไว้ สิงห์...ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย "
" ก็บอกแล้ว ประเดี๋ยวก็ชิน "
" ข้าไม่อยากจะชินกับเรื่องนี้...ไม่อยากจะชินชากับการฆ่าคนราวกับเป็นผักปลาโดยตาไม่กระพริบเช่นนี้...ไม่อยากเด็ดขาดเลย! " ไกรตาลุกวาวพร้อมกับตวาดกลับไปด้วยอารมณ์ แต่สิงห์ก็ฉีกยิ้มกว้างจนแทบถึงใบหูพร้อมกับดวงตาที่ลุกวาวไม่แพ้กันพร้อมกับพูดพลางกลั้วหัวเราะดังลั่นว่า
" ฮ่าๆๆๆ ทำข้าฮาแตกอีกจนได้ ดูทำพูดเข้า ทำอย่างกับว่าเจ้าไม่เคยเป็นต้นเหตุให้ใครตายอย่างนั้นแหละ ตอนคดีเจ้าจอมเพ็งเจ้าจอมแมน ไอ้พวกมหาดเล็กกบฏที่โดนสังหารไปเป็นร้อยๆคน รวมถึงเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนก็ตายเพราะมีเจ้าเป็นต้นเหตุและผู้รับความดีความชอบทั้งนั้นแหละเฟ้ย! ...ปัดโธ่ ทำเป็นพูดดี "
" ก แก! " ไกรหันไปพร้อมกับกระชากคอเสื้อสิงห์และกัดฟันทำตาลุกวาวด้วยอารมณ์โมโหสุดขีด แต่สิงห์ขยุ้มคอมือไกรพร้อมกับพลิกเพื่อให้เขาปล่อยมือออกจากคอเสื้อของตน ก่อนจะเป็นฝ่ายกระชากคอของไกรเข้ามาจนหน้าแทบจะติดกันก่อนจะตวาดใส่หน้าเขาดังลั่น
" ไอ้โง่! เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้โดยไม่ต้องฆ่าใครอย่างนั้นเหรอ?! จะปัญญาอ่อนก็ให้มันบันยะบันยังบ้างเสียเถอะโว้ย! นี่คือยุคสมัยแห่งสงครามนะ! ต่อให้เจ้าไม่ฆ่า คนอื่นก็ต้องฆ่า...ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหละ ตื่นเสียทีสิโว้ย! "
คำพูดที่ล้วนแต่เป็นเรื่องจริงของผ้ที่ผ่านโลกอันดำมืดมาแล้วอย่างสิงห์กระแทกเข้าไปใยจิตใจของไกรจนไกรชะงักกึกจนทำให้เขาได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองจนแทบห้อเลือดอย่างไม่อาจจะเถียงอะไรออกมาได้
...เขารู้...อย่างที่สิงห์พูดมามันถูกต้องหมดทุกประการ...นี่คือยุคสมัยของสงคราม...มีคนตายเป็นเบือในทุกๆวันอยู่แล้ว...ต่อให้เขาไม่ฆ่าใครจำนวนคนตายก็ไม่ได้ลดลงอยู่ดี...
" แก...ทำใจได้ยังไงวะ! แกฆ่าคนเป็นผักปลาโดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้ยังไงกัน?! " ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถามกลับไปอย่างไม่อาจจะยอมรับได้อยู่ดี แต่คำถามของเขากลับทำให้สิงห์หัวเราะลั่นอีกครั้ง...แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วช่างขมขื่นที่สุด...
" ฮ่าๆๆๆ พูดอะไรไม่คิด...ก็เพราะข้าเป็นมือสังหาร ข้าฆ่าคนถึงได้มีกิน ข้าถูกฝึกมาตั้งแต่เยาว์วัย...หากข้าไม่ทำเช่นนี้ หากข้าไม่คิดปลงอะไรอย่างง่ายๆเช่นนี้ข้าก็เป็นบ้าพอดีนะสิเฟ้ย! ฮ่่าๆๆๆ "
..................................................
...เพียงไม่ถึง ๕ นาทีหลังจากที่พลุสัญญาณและกระสุนปืนนัดแรกถูกยิงออกมา เหตุการณ์ก็กลับสู่ความสงบลงอย่างรวดเร็ว...กองทหารม้าพม่ากว่า ๕๐ นายที่เชื่อกันว่าเป็นกองลาดตระเวนกองหน้าของทัพพระเจ้าอลองพญาไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว จากผลของแผนการจู่โจมสายฟ้าแลบของไกรและสินทำให้การจู่โจมมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านประมาณ ๒๐ คนที่ตกอยู่ในวงล้อมได้อย่างงดงามโดยที่พวกของไกรไม่มีผู้ใดเสียชีวิตในการรบเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงแค่บางคนที่ถูกสวนจนบาดเจ็บกัไปคนละเล็กละน้อยเท่านั้นโดยไม่มีใครถึงกับบาดเจ็บสาหัส และทั้งหมดก็ได้รับการปฐมพยาบาลเบิ้องต้นกันไปแล้ว โดยจะรักษาบาดแผลกันอย่างจริงจังอีกทีเมื่อพวกเขาพบกับกองสัมภาระที่ล่วงหน้ามาก่อนซึ่งจะพบกันในราวค่ำๆนี้นั่นเอง...
...หลังจากที่ทุกอย่างจบลง สินและหลวงพรหมเสนาก็ขี่ม้ามาสมทบกับไกรและสิน ซึงเวลานี้ไกรขึ้นม้าสีหมอกและยืนม้าอยู่ข้างๆกับม้านิลผยองของสิงห์แล้ว...ถึงจะยังคงค้างคาใจกับตำตอบและทัศนคติของสิงห์ แต่เขาก็ยังอยู่ในฐานะของนายทัพ...เขาไมอาจจะแสดงความอ่อนแอหรือความขัดแย้งกันในหมู่ผู้บังคับบัญชาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นได้อย่างเด็ดขาด...เพื่อขวัญกำลังใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของทัพในเวลานี้...
" ปลอดภัยนะขอรับ ทานไกร "
" อืม แล้วทางท่านล่ะ ท่านสิน? "
" ทางฝ่ายของข้าปะทะกับพวกมันก่อน ทำให้พวกมันแตกหนีมาทางท่าน ทีแรกข้าล่ะตกใจแทบตายนึกว่าทำให้ท่านลำบากเสียแล้ว " สินพูดอย่างวิตก เพราะถึงจะเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบแต่เอาเข้าจริงทางปฏิบัติก็ไม่ได้แปรผันตรงกับทฤษฎีที่วางแผนกันเอาไว้ ทำให้ทางเขาไม่ได้จู่โจมพร้อมกับไกรและทำให้พวกมหารพม่าสามารถตั้งกระบวนทัพตอบโต้ได้ จนเกือบทำให้นายทัพอย่างไกรต้องเดือดร้อนแล้ว
" เอาน่าๆ ไม่ต้องทำหน้าเช่นนั้นหรอก ท่านสิน...ไอ้ไกรมันก็หาเรื่องโง่ๆเจ็บตัวประจำแหละ ของแบบนี้ไม่มีทางทำให้มันตายง่ายๆแน่นอน " สิงห์ที่เนื้อตัวยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเหยื่อของเขายิ้มร่าพลางพูดแบบขวานผ่าซากจนหลวงยกกระบัติสินขมวดคิ้ววูบอย่างไม่ชอบใจ แต่เขาก็รู้ว่าไกรและสิงห์เป็นมากกว่าเจ้านายและลูกน้องมาตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่คิดจะพูดอะไรออกมา และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาช้าๆว่า
" งานนี้ต้องขอบคุณพลแม่นปืนทั้งหมด การยิง ๒ ระลอกในเวลาอันรวดเร็วทำให้พวกมันประเมินกำลังของเราพลาดและทำให้ขวัญกำลังใจของพวกมันไม่มีเหลือ ไม่เช่นนั้นก็คงจะมีเสียเลือดเสียเนื้อกันมากกว่านี้แน่ๆ " สินมองในฐานะของนายทหารระดับเสนาธิการและอ่านสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมกับเหลือบไปมองศกุนตลาและอเทตยาที่กำลังควบม้าตามมาสมทบอย่างชื่นชมในความสามารถที่เกินตัวของหญิงสาวทั้งสองคน แต่ทั้งสองสาวไม่ใช่ผู้ที่สนความชื่นชมนั้นอยู่แล้ว...เพราะอเทตยารีบขี่ม้ามาเทียบกับสีหมอกของไกรพร้อมกับโน้มคอมามองบาดแผลยาวที่บริเวณขมับด้านขวาที่ยังคงมีเลือดไหลซิบๆออกมาอยู่เล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยความเป็นห่วงทันที
" โดนจริงๆด้วยสินะเจ้าคะ? ...ข...ขออภัยจริงๆนะเจ้าคะ ถ ถ้าหากตอนนั้นข้าน้าวสายเร็วกว่านี้ ท่านไกรคง--- "
" ไม่เป็นไรหรอก ช่างเถอะนะ แผลแค่นี้ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ค้องขอบคุณเธอกับศกุนตลาด้วยซ้ำที่ช่วยข้าได้ทันเวลาพอดี ขอบคุณนะ " ไกรหันไปขอบคุณมือฉมังธนูสาวชาวมอญจากใจจริง ก่อนจะหันไปค้อมหัวขอบคุณเจ้าของกระสุนปืนอีกลูกที่ช่วยเหลือไกรอย่างศกุนตลาเล็กน้อย แต่ศกุนตลาแทบไม่ได้สนใจเขาเลย เพราะมือสังหารสาวหันไปหาสิงห์ที่โชกเลือดอยู่พร้อมกับถามห้วนๆว่า
" เท่าไหร่? "
" ๗ ...ไม่ขาดไม่เกิน...ความจริงข้าควรจะฆ่าได้มากกว่านี้อีกซัก ๒ คนด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่ไอ้ท่านไกรนี่เกิดจิตแตกจนต้องมาโอ๋เสียก่อน แต่ ๗ ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ " สิงห์ฉีกยิ้มอย่างโอ้อวดและออกจะภาคภูมิใจหน่อยๆ ก่อนจะหันไปหาศกุนตลาพร้อมกับถามกลับเบาๆ
" เหอะๆ แล้วทางเจ้าล่ะ? "
" ๑๒ "
" ห หา? "
" สิบ...สอง...ศพ " ศกุนตลาย้ำช้าๆทีละพยางค์เพื่อให้สิงห์ได้ยินชัดๆจนสิงห์ถึงกับเอียงวูบ ในขณะที่ทั้งไกร สิน และหลวงพรหมเสนาที่ไม่ได้เดินสายเดียวกับสิงห์และศกุนตลาถึงกับหน้าซีดเผือด
" น...นี่อำเล่นรึเปล่าเนี่ย? "
" นับกระสุนที่ข้าใช้ดูสิ อย่างไรข้าก็ยิงนัดละคนอยู่แล้วนี่...แต่แหม ต้องขอบใจ กระสุนปืน ของโคลบี้กับออลลี่ที่เจ้าบอกให้สร้างขึ้นมาจริงๆนะ ไกร...เพราะทำให้ข้ายิงปืนต่อรอบได้เร็วกว่าเดิมชนิดไม่อาจเทียบได้เลยทีเดียว " ศกุนตลาเดาะกระสุนซึ่งก็คือหัวลูกกระสุนพร้อมดินปืนที่หุ้มด้วยกระดาษเล่นไปมาพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาราวกับจะเย้ยไอ้คนที่หมายแข่งกับเธอจนสิงห์ถึงกับหันขวับมามองไกรอย่างเคืองๆทันที
" ทำไมแกไม่เอาหัวไปคิดพวกสิ่งประดิษฐ์ที่เสริมพลังให้พวกข้าบ้างฟะ! ทั้งกล้องเก็บเสียงทั้งกระสุนปืน มีแต่ของศกุนตลาทั้งนั้น แบบนี้มันเลือกที่รักมักที่ชังชัดๆ! " สิงห์ด่าไกรจนไกรรีบเถียงกลับดังลั่น
" ก็ที่บ้านเมืองข้ามันคุ้นกับปืนและส่วนประกอบปืนมากกว่านี่หว่า! ช่วยไม่ได้เฟ้ย! "
" เป็นนักดาบแท้ๆ แต่เสือกรู้จักปืนมากกว่า นักดาบประเภทไหนกันฟะ! "
' จะบอกว่าแค่ ๒ คนเท่านั้นก็เก็บทหารพม่าไปได้กว่า ๑๙ นาย...เกือบจะครึ่งนึงของทหารพม่าทั้งหมด...นี่ไม่ใช่คนแล้ว...ปิศาจชัดๆ! ' สินและคนอื่นที่ผ่านมาได้ยินถึงกับหน้าซีดเผือด เพราะพวกเขาบางคนยังไปไม่ถึงเหล่าทหารพม่าและยังไม่ทันได้ประอาวุธกันเลยด้วยซ้ำไป
' ข ขอโทษนะเจ้าคะ ท่านพ่อ พวกเราไม่มีกำลังพอจะออกไปปกป้องพ่อได้ ' ระหว่างที่ไกรกำลังนั่งฟังสิงห์กับศกุนตลาเถียงกันอยู่เพลินๆ ในหัวของเขาก็ปรากฏเสียงของกุมารีทั้งสองอย่างลูกแก้วและลูกขวัญที่ดังก้องขึ้นอย่างหงอยๆเพราะสำนึกผิดเต็มที่ จนไกรพึ่งนึกได้ว่าเขามีกุมารีทั้งสองตนอยู่อีก ซึ่งก็แปลกมากที่ทั้งสองคนไม่ออกมาช่วยเขา เพราะถ้าเป็นท่านเรืองล่ะก็เด็กสองคนนี่คงจะออกมาฉีกไอ้ทหารพม่าที่ยิงปืนใส่ไกรเละเป็นชิ้นๆไปแล้วแน่ๆ
' ม ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ ท่านพ่อ ' ลูกขวัญร้องออกมาเบาๆอย่างรับรู้ถึงความคิดของไกรได้ ในขณะที่ลูกแก้วรีบพูดต่อเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของไกรทันที
' ใช่เจ้าค่ะ เพราะท่านพ่อไม่ได้มีพลังสำรองมากมายอย่างท่านพ่อเรือง ทำให้พวกเราจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อท่านพ่อสั่งหรือตอนที่ท่านพ่อนอนหลับเท่านั้น พวกข้ารู้เห็นทุกอย่างแต่ออกมาช่วยอยางปัจจุบันทันด่วนไม่ได้เท่านั้น '
' แปลว่าข้ากากเกินไปสินะ ' ไกรคิดในใจพลางคอตกเพราะเขายังคงอยู่ในภาวะจิตตกมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว พอยัยพวกนี้พูดกระทบเข้าเลยยิ่งสะเทือนใจไปใหญ่ แต่ดูเหมือนลูกแก้วจะไม่เคยได้ยินไอ้คำๆนี้ เธอจึงหัวเราะลั่นอย่างเด็กๆทันที
' ฮ่ะๆๆ กากกกก...แอ๊ก! ' ก่อนที่จะมีเสียงเหมือนลูกแก้วโดนฟาดด้วยอะไรซักอย่างในขณะที่ลูกขวัญรีบพูดขึ้นทันที
' ม ไม่ใช่นะเจ้าคะ! พวกเราเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านพ่อเป็นสายนักดาบจึงมีพลังวิญญาณสำรองไม่ได้มากถึงขนาดนั้น ถึงปรกติแล้วแค่พลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยก็พอจะทำให้เราปรากฏตัวได้แล้วแท้ๆก็เถอะนะเจ้าคะ ' ลูกขวัญพยายามอธิบายให้ไกรเข้าใจ แต่รูปแบบประโยคมันดันกระแทกเข้าเต็มๆหน้าของไกรจนไกรได้รับความเสียหายทางด้านจิตใจจนแทบจะทรุดอยู่รอมร่อแล้ว
" พ พอเถอะ พวกเจ้าสองคน...ถ้าขืนยังอธิบายมากกว่านี้ข้ามีหวังหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปแน่ "
" หืม? งึมงำอะไรของเจ้ากัน? " สิงห์หันมาถามเบาๆอย่างสงสัยจนไกรรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
" เปล่าเฟ้ย! "
" เฮ้อ ช่างเถอะ แล้วจะให้เอาอย่างไรกับไอ้พวกชาวบ้านที่เจ้าบิณฑบาตรไว้ได้ทั้งหมดนี่ล่ะ " สิงห์หันกลับไปมองกลุ่มชาวบ้านที่นำโดยนายจันหนวดเขี้ยวซึ่งไกรเคยพบกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เวลานี้พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในสถาการณ์ที่สลับกันโดยสิ้นเชิง...
ไกรลงจากหลังม้าพร้อมกับเดินเข้าไปหากลุ่มชาวบ้านที่ยังคงแอบอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มผู้มีนามว่า จันหนวดเขี้ยว ช้าๆ โดนที่เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนก็ลงจากหลังม้าและตามลงมาติดๆเพราะไม่ได้ไว้ใจอะไรกลุ่มชาวบ้านนัก พวกเขาจึงตามลงมาด้วยเพื่ออารักขาไกร ในขณะที่ไกรไม่ได้กังวลเรื่องนั้นมากมายเท่าไหร่นัก เขายิ้มพลางพูดกับชายหนุ่มหนวดโง้งงามตรงหน้าช้าๆ
" จำข้าได้หรือไม่ขอรับ? ท่านจันหนวดเขี้ยว "
" ท่านไกร ท่านสิงห์ " นายจันหนวดเขี้ยวเองก็มีความจำที่ดีใช้ได้เลยเหมือนกัน เพราะแค่พบกันเพียงไม่กี่นาที ในสภาพที่โคตรจะอเนจอนาถมากกว่านี้เป็นสิบๆเท่าแท้ๆ แต่เขายังอุตส่าห์จำทั้งไกรทั้งสิงห์ได้อีก จนกระทั่งไกรหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" ขอรับ ดีใจจริงๆที่ได้พบกันอีก...ว่าแต่ท่านมาทำอะไรแถวนี้หรือขอรับ? "
" เหอะ...ก็กำลังหลบหนีการเกณฑ์ไพร่พลอยู่น่ะสิขอรับ ท่านไกร เดาได้ง่ายๆเลย! "
ก่อนที่นายจันหนวดเขี้ยวจะได้ทันตอบอะไร ชายหนุ่มที่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยผู้มีฝีไม้ลายมือคนหนึ่ง และเป็นหนึ่งในคนของทัพแห่งภูติพรายของไกรที่ยังคงชักม้าวนอยู่รอบนอกตะโกนตอบคำถามของไกรดังๆ ทำให้ไกรหันไปเลิกคิ้วมองชายหนุ่มผู้สอดการสนทนาผู้นั้น ในขณะที่เมื่อได้ยิน นายจันหนวดเขี้ยวก็ขมวดคิ้วอันดกหนาวูบอย่างไม่พอใจเพราะรู้สึกเหมือนกับโดนดูถูกทันที
" หนีเกณฑ์เหรอ? "
" ก็ใช่น่ะสิขอรับ! เพราะถ้าหากเป็นไพร่ในเวลาเช่นนี้ก็ต้องถูกเกณฑ์เข้าสังกัดมูลนายเพื่อเตรียมฝึกเป็นทหาร หรือไม่ก็ถูกเกณฑ์โดยกรมพระสุรัสวดีที่พวกมันสักเลกขึ้นตรงอยู่เพื่อเตรียมขึ้นระวางเป็นทหารเพื่อรับศึกใหญ่ ไม่ใช่มาเดินทอดน่องอยู่ที่นี่แน่ๆ! "
" ก็จริงอย่างที่เขาพูดนะขอรับ ท่านไกร ถ้าดูกันตามเหตุผลก็เข้าเค้าจนนึกเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย " สินที่รู้เรื่องกฎหมายบ้านเมืองดีกระซิบข้างหูไกรเบาๆอย่างเริ่มคล้อยตามคำพูดของนายทหารผู้นั้น ซึ่งอันที่จริงถ้าหากไม่ใช่ว่าไกรรู้จักชื่อเสียงของ นายจันหนวดเขี้ยว ดีอยู่แล้วเขาก็คงอดที่จะคล้อยตามที่อีกฝ่ายพูดไม่ได้เช่นกัน
" ใจเย็นน่า ทุกคน ท่านจันคงไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าหรอก " ไกรพยายามไกล่เกลี่ยอย่างใจเย็น แต่เขาก็นึกหาทางออกเพื่อแก้ตัวให้กับชายหนุ่มหนวดงามตรงหน้าไม่ได้ เขาจึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆจนความน่าเชื่อถือของชาวบ้านกลุ่มนี้ลดต่ำลงไปอีก ท่ามกลางสายตาดูถูกเหยียดหยามของเหล่าทหารที่เข้าสังกัดกรมกองอยู่แล้วทุกคน เพราะที่อีกฝ่ายทำเข้าขั้นไม่รักชาติเลยด้วยซ้ำ
" อืม ก็อย่างที่ไกรบอกนั่นแหละ ชาวบ้านพวกนี้ไม่ได้หนีทหารหรอก เพราะพวกเขาเองก็หนีภัยสงครามมาเหมือนกัน แถมมูลนายที่พวกนี้สังกัดก็ตัดช่องน้อยหนีหายไปตั้งแต่แรกแล้ว พวกนี้เลยเคว้งคว้างราวกับนกที่ไร้หลัก ไม่อาจหาที่ยึดเหนี่ยวได้อย่างไรล่ะ " เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดังขึ้นมากลางกลุ่มชาวบ้านนั้นทำให้กลุ่มชาวบ้านทุกคนไม่เว้นแม้แต่ท่านจันหนวดเขี้ยวต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นดีด้วยในคำอธิบายที่รวบรัดและหมดจดของหญิงสาวที่แก้ต่างให้แทนผู้นั้น ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัวพร้อมกับร้องออกมาอย่างงุนงงว่า
" เฮ้ย! ว่าแต่เจ้าเป็นใครกัน? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน "
" อ อ้าว? ก็หลานเจ้าไม่ใช่เหรอ? "
" จะบ้าเหรอ! ตูมีหลานสาวที่ไหนกันล่ะ? แล้วนางไม่ใช่น้องเมียของเจ้าหรอกเหรอ? "
" บ้าเรอะ! เมียตูมีแต่น้องชาย ไม่มีน้องสาวเฟ้ย! ว่าแต่ไม่ใช่เมียน้อยเจ้าหรอกเหรอ แอ๊ก! "
ระหว่างที่กลุ่มชาวบ้านยังคงงุนงงในตัวตนของหญิงสาวปริศนาที่โผล่มาเป็นเงาผีโดยไม่เกี่ยวข้องกับทุกคนเลย กลุ่มของไกรก็ขมวดคิ้วพร้อมกับมองที่หญิงสาวปริศนาคนนี้เช่นกัน แต่พอหญิงสาวคนนั้นเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับรวบผมจนเห็นหน้าชัดๆ ทั้งไกรและสิงห์ก็ชี้หน้าหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับร้องออกมาพร้อมกันทันที
" ฮ เฮ้ย! อุษา?! "
" อ อ๋อ! สตรีคนที่มาลาท่านไกรบอกว่าจะกลับหมู่บ้านอะไรนั่นคราวนั้นนี่? " สินก็เป็นอีกคนที่นึกขึ้นได้ เพราะเขาจำได้เลาๆว่าผู้หญิงคนนี้เคยมาลาไกรในวันเดียวกับที่สืนมาลาไกรเพื่อกลับตากในคราวนั้นเช่นกัน ในขณะที่อุษาที่ไม่รู้ว่าโผล่อยู่อย่างผิดที่ผิดทางตรงนั้นได้อย่างไรยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะพูดช้าๆว่า
" ข้าแค่แทรกซึมมาดูต้นทางและสืบข่าวล่วงหน้าตามคำสั่งของท่านผู้เฒ่าน่ะ มาก่อนที่พวกเจ้าจะออกเดินทางในวันนี้ประมาณ ๒ วันแล้ว "
' ๒ วัน? ผู้หญิงตัวคนเดียว มาสืบข่าวตามลำพัง ใกล้กับเขตสงรามแบบสุดๆ ตั้ง ๒ วันแล้วเนี่ยนะ?! ' ทั้งสินและหลวงพรหมเสนา รวมถึงทหารหนุ่มทุกๆคนที่ได้ยินชัดๆถึงกับกระพริบตาปริบๆ ไม่รู้จะอึ้งท่าไหนดีแล้ว
" แล้วไปไงมาไงถึงได้จับพลัดจับผลูมาอยู่กลุ่มท่านจันหนวดเขี้ยวนี้ได้ล่ะ? " ไกรถามอย่างเป็นการเป็นงาน ขณะที่อุษาเหมือนจะเว้นระยะห่างจากไกรเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่อีกครั้งและตอบกลับมาว่า
" ก็เห็นว่ากลุ่มเล็กๆนี่เดินทางกันแปลกๆอย่างกับคนตาบอด แถมยังทำท่าจะเดินหลงไปเข้าพงเข้ารกเสียอีก เลยคิดว่าช้าเร็วคงจะถูกกองลาดตระเวนพม่าจับแน่ๆ เลยกะจะอยู่ในกลุ่มและยอมให้ถูกจับเพื่อจะเข้าไปสืบข่าวในทัพพม่าเสียหน่อย จนพวกเจ้ามาทำเสียเรื่องนี่แหละ เฮ้อ...เสียแผนหมด "
คำตอบของหญิงสาวทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับอ้าปากพะงาบๆในแผนการที่โคตรอันตรายของหญิงสาวราวกับปลาขาดอากาศหายใจ ในขณะที่กลุ่มชาวบ้านที่เหมือนกับโดนด่าอย่างอ้อมๆว่าเดินโง่ๆจนมีหวังถูกพม่าจับได้อย่างแน่นอนถึงกับหน้าแหกเป็นริ้วๆราวกับปลาตากแห้งอย่างทั้งเคืองทั้งอายทันที
" แล้วหลังจากถูกจับได้แล้วเจ้าจะสืบข่าวยังไงกัน? " ไกรถามเบาๆอย่างสงสัย ก่อนที่เขาจะคิดได้อีกครั้งว่าเขาไม่น่าถามเลย
" เอ๋? ถามโง่ๆ ก็หนีออกจากที่คุมขัง ลักลอบปลอมเป็นแม่ครัวของพวกทหารพม่าแล้วสืบข่าวน่ะสิ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าทำมา ๒-๓ ครั้งแล้วน่ะ "
" เฮ้อ เธอนี่ใช้ชีวิตได้สิ้นเปลืองจริงๆเลยวุ้ย " ไกรถอนหายใจเฮือก ในขณะที่ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหน้าซีดเผือดไปเลย
" แหม ก็สมัยก่อนอุษาก็เล่นแผนนี้ในการประชิดตัวเป้าหมายเพื่อปลิดชีพประจำอยู่แล้ว แถมยังแฝงตัวได้เนียนจนกระทั่งกว่าเป้าหมายจะรู้ตัวก็ตอนโดนยัยนี่เชือดแล้วล่ะ พูดตรงๆถ้าเอาแค่การแฝงตัวอย่างเดียวยัยอุษาน่ะเก่งกว่ายัยดาราหลายขุมเชียว เพราะไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเด็กเล่นนั่นเลยแม้แต่น้อยอย่างไรล่ะ "
" เฮ้อ ช่างเถอะ ไหนๆก็เสียแผนแล้ว ค่อยคิดแผนใหม่ก็ได้ ตอนนี้ก็คงจะต้องติดตามทัพเจ้าไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน " อุษาเดินแยกออกจากกลุ่มชาวบ้านที่ยังหน้าแหกเป็นริ้วๆอยู่พร้อมกับมาสมทบกับไกรช้าๆ ...แต่อเทตยายิ้มร่าพลางโบกมือให้กับมือสังหารสาวผู้เก่งกาจในด้านการแฝงตัวร่าพร้อมกับร้องออกมาเบาๆทันที
" ท่านอุษา ถ้าท่านไม่มีม้าจะมาใช้ม้าร่วมกับข้าก็ได้นะเจ้าค้าาา "
" ถ้าให้อยู่กับเจ้า ให้ข้าวิ่งตามไปยังดีกว่าเลยย่ะ! " แต่อุษาร้องลั่นพร้อมกับรีบวิ่งหนีไปขึ้นม้าของพวกพม่าที่เจ้าของไม่มีโอกาสได้ใช้แล้วและชักม้าไปหาศกุนตลาที่เป็นหญิงสาวอีกคนที่มีม้าทันที จนไกรหันไปมองพร้อมกับโคลงหัวและเปรยออกมาเบาๆ
" สนิทกันจังเลยแฮะยัยพวกนี้...เอาเถอะ แค่นี้ก็สามารถแก้ข้อกล่าวหาให้กับพวกกลุ่มชาวบ้านได้แล้วสินะ ท่านสิน แล้วก็พวกเจ้าด้วย " ไกรอาศัยเหตุผลของอุษาอธิบายแก้ต่างให้กับพวกชาวบ้านที่นำโดยนายจันหนวดเขี้ยวให้พ้นมลทิน ซึ่งสินก็พยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจ ในขณะที่คนอื่นๆแม้ว่าจะยังมีท่าทีไม่พอใจเพราะว่ายังนึกว่าชาวบ้านพวกนี้หนีทหารอยู่บ้าง แต่ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของชาวบ้านพวกนี้เป็นอย่างดี และทุกคนก็แสดงสินน้ำใจด้วยการมอบอาวุธสำรองหรือของสิ่งละอันพันละน้อยให้กลุ่มชาวบ้านกลุ่มนี้เพื่อเป็นการขอโทษด้วย ในขณะที่นายจันหนวดเขี้ยวก้มหัวให้กับไกรเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณจนไกรต้องรีบค้อมหัวตอบกลับไปทันที
" อย่างไรข้าก็ต้องขอบพระคุณท่านไกรมากนะ ถ้าหากไม่ได้คนของท่านพวกเราก็คงจะต้องถูกจับเป็นเชลยอย่างที่สตรีนางนั้นว่าไปแล้ว...ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ข้าคงขอตายดีกว่าแน่ๆ "
" อย่าพูดเรื่องตายง่ายๆสิขอรับ ท่านจันหนวดเขี้ยว ท่านยังมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อชาติอีกเยอะนะขอรับ "
" เอ๋? "
" เอ้ย! เปล่าขอรับๆ ข้าแค่พูดเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่องเท่านันแหละ ฮ่าๆๆๆ " ไกรรีบพูดกลบเกลื่อน ก่อนจะถามชายหนุ่มตรงหน้าต่อทันที
" ...แล้ว...จากนี้ไปท่านจะไปไหนต่อล่ะขอรับ ท่านจัน? "
คำถามของไกรทำให้ชายหนุ่มผิวคล้ำหนวดงามตรงหน้าอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะฝืนหัวเราะออกมาเบาๆอย่างอับจนหนทางที่สุด
" ฮ่ะๆ อาจจะฟังดูน่าสมเพชนะขอรับ แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจากนี้ไปพวกข้าจะไปตั้งถิ่นฐานกันที่ไหนดีเช่นกัน "
" อืม...ถ้าเช่นนั้นขอให้ข้าบังอาจแนะนำหน่อยนะขอรับ " ไกรลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ จนทั้งนายจันหนวดเขี้ยวและคนที่อยู่เบื้องหลังไกรเลิกคิ้วอย่างสนใจทันที
" ขอรับ? "
" ทำไมไม่ลองขึ้นเหนือไปอีกซักหน่อย ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แถบเมืองสิงห์บุรี...หมายถึงเมืองสิงห์ดูละขอรับ? "
" เมืองสิงห์? หมายถึงหัวเมืองเล็กๆชั้นตรีที่อยู่ไม่ไกลจากอโยธยาเท่าไหร่นักน่ะหรือขอรับ? "
" ขอรับ...ไม่แน่นะ ท่านอาจจะชอบที่นั่นก็ได้นะเอ้อ " ไกรยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แสนกลจนจันหนวดเขี้ยวกระพริบตาปริบๆ ก่อนที่เขาจะยิ้มตอบกลับมาจนหนวดกระตุกพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ
" ถ้าเป็นคำแนะนำของท่าน ข้าจะลองเอาไปคิดดูนะขอรับ "
" ถ้าเช่นนั้นก็โชคดีนะขอรับ...ส่วนอาวุธกับม้าของพวกทหารพม่าที่เหลืออยู่นี่พวกท่านเก็บไว้เพื่อใช้สอยขนสัมภาระเถอะ พวกเราไม่ได้ใช้อะไรหรอก " ไกรพูดพลางก้มหัวให้อีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหันกลับมาและขึ้นม้าสีหมอก ในขณะที่คนอื่นๆก็ขึ้นม้าและเตรียมออกเดินทางต่อโดยไม่เสียเวลามาสนใจกองซากศพของทหารลาดตระเวนของทัพพม่าที่เป็นเพียงแค่การประเดิมที่ค่อนข้างจะง่ายดายมากเท่านั้น เพราะศึกที่พวกเขาจะเจอจากนี้ไปน่าจะลำบากกว่านี้อีกมากมายนัก...ในขณะที่เมื่อเห็นว่าไกรกำลังจะพาทัพของเขาที่ช่วยชีวิตเหล่าชาวบ้านจากไปแล้ว เหล่าชาวบ้านก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณไกรและกองทัพใต้บัญชาที่เหมือนกับมาช่วยชีวิตพวกเขาไว้ทันที ส่วนนายจันหนวดเขี้ยวที่กำลังลูบคางอย่างครุ่นคิดในคำแนะนำของไกรอยู่เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินมาหาไกรที่อยู่บนหลังม้าแก่ตัวพ่วงพีสีขาวหม่นพร้อมกับถามเบาๆว่า
" นี่...พวกท่านกำลังจะไปไหนกันหรือขอรับ? "
คำถามของชายหนุ่มทำให้ไกรหันไปมองสินเล็กน้อย ซึ่งสินก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปรามช้าๆ ทำให้ไกรหัวเราะเบาๆพร้อมกับตอบกลับไปว่า
" เรื่องนั้นข้าว่าท่านไม่รู้จะเป็นสุขมากกว่านะขอรับ เชื่อข้าเถอะ "
" อ...เอ่อ เข้าใจแล้วขอรับ " นายจันพยักหน้ารับเบาๆ อย่างว่าง่าย ก่อนที่เขาจะถามเบาๆอีกครั้ง
" แล้ว...พวกเราจะได้เจอกันอีกรึเปล่า? ท่านไกร "
" ฮ่าๆๆๆ " คำถามของชายหนุ่มทำให้ไกรหัวเราะลั่น ก่อนจะหันกลับมาและตอบกลับไปอย่างจริงจังสุดชีวิตว่า
" ฮ่ะๆ...ต้องได้เจอสิขอรับ ต้องได้เจอแน่...เชื่อข้าเถอะ เราต้องได้เจอกันอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน! "
หลังจากที่พวกเขาเสร็จจากการตะลุมบอนที่สิงห์เรียกว่าเป็นแค่ การออกกำลังเล็กน้อยๆ ...พวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อโดยไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป โดยที่คราวนี้สิงห์และหลวงพรหมเสนาชาวจีนเป็นฝ่ายนำกองทัพไปเพื่อให้ไปทันกันกับกองเกวียนสัมภาระที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ในขณะที่ไกรและสิน รวมถึงสามสาวอย่างศกุนตลา อุษา และอเทตยาอยู่กลางขบวนและผ่อนฝีเท้าม้าลงโดยที่สินควักแผนที่หนังขึ้นมาเปรียบเทียบพร้อมกับร่วมกับไกรสอบถามข้อมูลที่อุษาได้มาระหว่างล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลมาคร่าวๆ สินก็ถึงกัหน้าเคร่งลงทันที
" เอ่อ ท่านอุษา แน่ใจเรื่องจำนวนนะ? " สินหันไปถามย้ำกับหญิงสาวปริศนาที่เขาทราบเพียงแค่ว่าเป็นคนของไกรเบาๆเพื่อความแน่ใจ ในขณะที่อุษาที่กำลังดื่มน้ำจากถุงหนังเพื่อดับกระหายเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าสำทับช้าๆโดยไม่พูดอะไรออกมา ทำให้สินหน้าเคร่งลงไปอีก
" ถ้าหากได้ทัพเสริมด้วยจำนวนถึงขนาดนี้ อีกไม่เกินวันสองวันนี้พระเจ้าอลองพญาคงจะมีแผนการถล่มราชบุรีให้ราบเป็นหน้ากลองแน่ๆ ...แย่จริง "
...ในขณะที่ไกรแม้ว่าจะสนใจเรื่องที่สินคาดคะเนอยู่บ้าง แต่เขากลับติดใจเรื่องชายหนุ่มที่ตะโกนกล่าวหาท่านจันหนวดเขี้ยวนั้นมากกว่า เพราะไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ารู้จักกับชายหนุ่มที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเลยซักครั้งผู้นั้นแบบแปลกๆ จนกระทั่งเขาอดรนทนไม่ไหวและหันไปถามศกุนตลาที่ขี่ม้าตามมาเงียบๆเบาๆว่า
" นี่ๆ ศกุนตลา...เจ้าคนที่ตะโกนบอกว่าพวกชาวบ้านเป็นพวกหนีทัพน่ะ ข้าจำได้ว่าอยู่ในกลุ่มนักแม่นปืนของเจ้าใช่ไหม? "
" หืม? " ศกุนตลาเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามที่เขาไม่ทันตั้งตัวนี้ หญิงสาวทำหน้านึกเล็กน้อยก่อนจะร้อง อ้อ! และพยักหน้าเบาๆตอบรับมา
" อืม ใช่...คนในกลุ่มแม่นปืนของข้าเอง...ทั้งเจ้านั่นยังมีฝีมือในเชิงปืนเข้าขั้นทีเดียว เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถยิงปืนในระลอกที่ ๓ และ ๔ พร้อมๆกับข้าได้ ในขณะที่คนอื่นๆไม่กล้าพอจะยิงเพราะกลัวจะยิงไปถูกพวกเดียวกันแท้ๆ ...เรียกได้ว่าแม่นยำและกล้าได้กล้าเสียทีเดียวล่ะ " ศกุนตลาพูดเรียบๆ ในขณะที่ไกรพยักหน้าช้าๆอย่างอดเลื่อมใสฝีมือไม่ได้ ก่อนที่เขาจะถามหญิงสาวอีกครั้ง
" แล้วเธอจำได้ไหมว่าไอ้หมอนั่นมันชื่ออะไร? "
" คิดว่าข้านิิยมชมชอบไต่ถามหรือจดจำชื่อคนนักรึอย่างไร? " ศกุนตลาพูดด้วยแววตาปลาตายจนไกรได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ
" ฮ่ะๆ เออ ช่างเถอะ "
" อืม...แต่เท่าที่ข้าจำได้เลาๆ ดูเหมือนคนในหน่วยแม่นปืนจะเรียกมันว่า สรรค์...หรือ ขุนสรรค์...นายบ้านแห่งเมืองสวรรคโลกอะไรนี่แหละ "
" ห หา?! ขุนสรรค์?! "
อาจจะเป็นคนๆเดียวกัน หรืออาจจะไม่ใช่ก็แล้วแต่...แต่คนๆเดียวที่ไกรจำได้ นั่นคือขุนสรรค์ผู้เป็น ๑ ใน ๑๑ ผู้นำแห่งบ้านบางระจัน...ผู้เป็นนักแม่นปืน...มือสไนเปอร์แห่งหมู่บ้าน...สหายรักของนายจันหนวดเขี้ยวผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านรุ่นที่ ๒ ...ชาย ผู้ใช้ปืนยาวในมือปลิดชีพอากาปันญี...แม่ทัพพม่าในศึกค่ายบางระจันครั้งที่ ๗ นั่นเอง!...
....................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ