ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ...ตอนที่ ๒ ...กลับบ้าน...(๓)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

 

        " ...อ...อือออ "  

 

        " หือ? อ้าว ฟื้นแล้วรึ? ไกร "  สิงห์ที่นั่งพิงแท่นหินเรียบอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยทักขึ้นเบาๆ ทันทีที่เขาเห็นอีกฝ่ายครางออกมา ในขณะที่ไกรแกะผ้าผูกตาออกช้าๆ แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วและหลับตาลงอีกครั้งอย่างไม่ชินกับแสงสว่างที่พุ่งแย่งตาเข้ามา เขาใช้เวลาเล็กน้อยในการรวรวมความคิดที่กระจัดกระจายอยู่ก่อนจะตอบกลับไปเบาๆ

 

        " นี่...นี่ตูถูกทุบจนสลบรวดถึงเช้าเลยเหรอวะเนี่ย? "

 

        " อ้อ...ลำพังแค่ทุบท้ายทอยคงไม่เท่าไหร่หรอก แต่โดนยาสั่งของยัยนาสตี้เข้าไปต่อต่างหากล่ะ...จะว่าไปเจ้าก็อึดใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า...ปกติแล้วยาขนาดนั้นโดนไป 3 วันก็ยังไม่ฟื้นเลยนะเนี่ย "

 

          ไกรลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับลูบคลำต้นคอที่ยังระบมอยู่พร้อมกับซู้ดปากเบาๆ 

 

        " ตรงๆเลยนะ บอกกันดีๆก็ได้...ไม่เห็นต้องทำกันรุนแรงแบบนี้เลยนี่หว่า ถามจริงยัยคนไหนเป็นคนทุบฉัน? มือหนักบรรลัยเลย! สงสัยแม่เจ้าประคุณเส้นลายมือขาดแหงๆ "

 

        " ...ข้านี่แหละเป็นคนทุบเอง...แล้วจับนายกรอกยาด้วยตนเองด้วย มีปัญหาอะไรไหม? "  อนาสตาเซ๊ยที่หอบท่อนฟืนแห้งๆเต็มแขนโผล่ออกมาจากด้านหลังเหมือนเงาผีและพูดเรียบๆ พร้อมกับส่งสายตาไม่พอใจกลับมาวิบวับ ตามมาเงียบๆด้วยศกุนตลาที่หิ้วกระต่ายป่า 3-4 ตัวที่หักคอถอนขนมาเรียบร้อย

 

        " ...คือ ข้าจะเตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้าดันปากไวพูดก่อน เลยไม่ทัน "  สิงห์ได้แต่พูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ ในขณะที่อนาสตาเซียเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ก่อนจะทิ้งฟืนในอ้อมกอดทั้งหมดพรวดลงหัวเขาจนเขาเกือบหลบไม่ทัน

 

        " เช่นนั้นข้าก็ต้องขออภัยเจ้าเป็นอย่างยิ่งที่ข้าใช้วิธีที่เบาที่สุด แทนที่จะปล่อยให้ศกุนตลาควักลูกตากับตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย...แบบนั้นอาจจะถูกอกถูกใจเจ้ามากกว่ากระมัง?! "  หญิงสาวประชดประชันพร้อมทำหน้าเชิดใส่จนไกรได้แต่ยิ้มแห้งๆ ทำหน้ากะเรี่ยกะราด

 

        " ค...คือ เราอยู่ไหนแล้วเนี่ย? "  เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อเอาตัวรอด แต่อนาสตาเซียก็ยังคงส่งเสียง เชอะ!  พร้อมกับค้อนควั่ก  ส่วนคนตอบกลับเป็นศกุนตลาแทน

 

        " เรื่องที่ว่าอยู่ที่ไหนเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เพราะมันจะดีต่อเจ้ามากกว่า...และข้าต้องขออภัยเรื่องที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บด้วย แต่ คนภายนอก อย่างเจ้าจะเข้าหมู่บ้านของพวกเราได้มีอยู่แค่ 2 วิธีเท่านั้น คือเข้าไปแบบจำเส้นทางไม่ได้...รึไม่ก็เป็นศพเข้าไป  สิงห์เขาขอร้องว่าอย่าพึ่งใช้วิธีที่สองตอนนี้ ข้าเลยจำต้องใช้วิธีแรก...ขออภัยจริงๆ "

 

          เป็นคำขอโทษที่สุภาพที่สุดเท่าที่เขาเคยฟัง...แต่ทำไมไม่รู้มันถึงได้ฟังดูน่าขนลุกจนเขาหัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว...ต่างกับสิงห์ที่บัดนี้หัวเราะร่วนอย่างถูกอกถูกใจยิ่งนัก

 

          ศกุนตลาเข้าไปคุ้ยหาอะไรบางอย่างที่สัมภาระที่กองไว้ ก่อนจะหยิบเกลือสมุทรออกมาทาที่เนื้อกระต่ายเหล่านั้น ในขณะที่อนาสตาเซียเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับสิงห์สองสามคำก่อนจะหยิบอุปกรณ์ที่เหมือนกับตะบันหมากโบราณๆ ออกมาและโยนมาให้ไกรซึ่งรับไว้อย่างงงๆ

 

        " อะไรเนี่ย? "

 

        " ก็ ตะบันไฟ  ไงล่ะ ถามอะไรโง่เง่าพรรค์นั่น...เอ้า! ถ้าอยากจะมีอะไรกินก็ช่วยทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย...ก่อกองไฟซะ ประเดี๋ยวจะได้ย่างกระต่ายกินกัน "  อนาสตาเซียหันมาบอกก่อนจะหันกลับไปคุยกับสิงห์ต่อ ปล่อยให้ไกรนั่งเพ่งกสิณใส่อุปกรณ์ที่เคยได้ยินแต่ชื่อว่าตะบันไฟอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหันไปยิ้มแห้งๆ 

 

        " เอ่อ... "

 

        " หือ? อะไรอีกล่ะเจ้าคนมากเรื่อง "

 

        " ล...แล้วมันใช้ทำอะไรล่ะ "

 

          คราวนี้ทุกคนหันควั่บมามองที่เขา ไม่เว้นแม้แต่ศกุนตลาที่นั่งอยู่ไกลๆ เธอถึงกับเดินเข้ามาดูใกล้ๆเลยทีเดียว

 

        " เดี๋ยวนะ ไกร...เจ้ารู้จักตะบันไฟรึเปล่าเนี่ย? "

 

        " ร...รู้จักเซ่!! ทำไมถามเหมือนฉันไม่รู้จักไอ้...ต...ตะบันนี่ล่ะ "

 

        " อ่า...รู้จักก็รู้จัก อย่างนั้นตอบให้ข้าชื่นใจหน่อยซิ...ว่าตะบันในมือเจ้ามันใช้ยังไง "  อนาสตาเซียเท้าเอวพูดเรียบๆ พร้อมกับขมวดคิ้วมองเขาอย่างจับผิดจนสิงห์ถึงกับต้องแอบกลั้นหัวเราะเบาๆ

 

          ไกรกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหยิบตะบันไฟขึ้นมาพร้อมกับนั่งเพ่งกสิณใส่ตะบันตรงหน้าอีกครั้ง นั่นทำให้สิงห์ถึงกับต้องหัวเราะก๊ากออกมาดังลั่น ส่วนศกุนตลาก็ถึงกับต้องแอบหลุดขำออกมาเบาๆเลยทีเดียว

 

          อนาสตาเซียเอามือกุมขมับอย่างปวดหัวพร้อมกับแยกเขี้ยววับ

 

        " ม...ไม่รู้จักตะบันไฟ...นี่เจ้าโตมาเป็นผู้เป็นคนถึงบัดนี้ได้อย่างไรเนี่ย?! แล้วที่บ้านเจ้าเมืองเจ้าเข้าจุดไฟกันอย่างไร ถามจริง?!! "

 

       ...ก็ใช้ไฟแช๊ก ไม่ก็ไม้ขีดไฟยังไงล่ะ...

 

          ไกรได้แต่เถียงในใจดังๆ พร้อมกับทำหน้าอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่ออยู่แล้ว

 

          สิงห์ที่เห็นแน่แล้วว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้คงจะไม่ได้กินกระต่ายย่างแน่ เขาจึงค่อยๆยันกายลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะคว้าตะบันไฟและทรุดนั่งลงข้างๆไกรในขณะที่อนาสตาเซียทรุดลงมาจัดฟืนเตรียมให้พร้อม

 

        " มานี่ ไกร ข้าจะทำให้เจ้าดู "

 

          พูดจบสิงห์ก็กำตัวตะบันไว้ให้มั่น ก่อนจะค่อยๆใช้ลูกตะบันซึ่งเป็นก้านสวมเข้ากระบอกและตบลูกตะบันใส่เข้าไปแรงๆ  ทำให้อากาศที่อยู่ภายในกระบอกถูกอัดแน่นจนเกิดความร้อนสูงที่ปลายกระบอกในชั่วพริบตา เมื่อเขาชักออกมาจึงปรากฏประกายไฟแดงเรื่ือๆที่ปลายลูกตะบัน เขาจัดการแหย่ประกายไฟนั้นใส่ขุยไม้ที่เตรียมไว้ ...เขาเป่าเบาๆเพียงแป๊ปเดียวขุยไม้นั้นก็ลุกเป็นไฟทันที...นี่เป็นอุปกรณ์จุดไฟที่สร้างขึ้นมาจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าทึ่งจริงๆ

 

        ' ท...ทำไมวิชาลูกเสือไม่ได้สอนอะไรพรรค์นี้เลยวะ? ...เอ๊ะ รึว่าเขาสอนแต่ตูไม่จำเองหว่า? '  ไกรถึงกับต้องเอียงคอคิดในใจอย่างทึ่งๆ 

 

          ระหว่างที่พวกสาวๆกำลังลงมือปิ้งกระต่ายกันอยู่ ไกรก็กระเถิบเข้ามาใกล้ๆสิงห์ก่อนจะถามเบาๆ

 

        " นี่หมู่บ้านแกตั้งอยู่ในที่กันดารขนาดไหนกันวะเนี่ย? เดินทางกันมาทั้งคืนยังไม่ถึงอีก "

 

        " อุวะ! ก็บอกอยู่ว่าเป็นหมู่บ้านลับ...ถ้ามันตั้งอยู่ใจกลางเมืองมันจะลับไหมล่ะ ถามอะไรโง่ๆ ...อีกอย่างปกติแล้วป่านนี้ก็คงถึงแล้วล่ะ แต่ยัยพวกนั้นกลัวว่าถ้าเดินทางด้วยความเร็วปกติมันจะสะเทือนแผลของข้า ยัยนั่นเลยสั่งให้เสือของข้าเดินช้าลง เลยมาเช้าที่กลางทางแบบนี้ไง "

 

          ไกรพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหันไปมองบรรยากาศรอบๆ อย่างแปลกใจ...ทั้งๆที่พวกเขาอยู่ในป่าลึกชนิดที่แสงอาทิตย์บังแทบส่องไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำ แต่นอกจากเสียงนกที่ดังแว่วมาจากไกลๆแล้ว เขายังไม่ได้ยินเสียงสัตว์ป่าตัวอื่นเลย

 

        " เฮ้ย! สิงห์ นี่ตกลงเราอยู่ป่าลึกจริงดิ? ไม่ใช่หลอกตูเข้าฉากหนังที่เซ็ตไว้หรอกนะ "

 

        " หา? ฉากหนัง? เซ็ต?? พูดเรื่องอะไรของเจ้าอีกวะ? ...ส่วนเรื่องป่าลึกก็จริงนะสิ เหตุใดถึงถามอะไรโง่ๆเช่นนั้น? "

 

        " ก็ถ้ามันเป็นป่าจริงแล้วไหงมันถึงได้เงียบขนาดนี้ล่ะวะ จริงอยู่เสียงนกยังมีบ้างประปราย แต่เสียงสัตว์ป่าตัวอื่นๆนี่เงียบสนิทเลย "  เชาถามในสิ่งที่เขาสงสัยออกไป ซึ่งเป็นคำถามที่ทำให้สิงห์ถอนหายใจเฮือก

 

        " เจ้านี่มันช่างสังเกตจริงนะ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอก...เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่า สาปพราน  หรือ ตบะพราน ไหม? "

 

          ไกรขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อน 

 

        " ไอ้ข้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกนะ แต่ว่าตัวเข้าสู่เส้นทางสายอวิชชา...มันทำให้ตบะของข้าออกกระสากลิ่นไปทางน่าเกรงกลัวสำหรับสัตว์ทั่วไป ก็ไม่ต่างกับสัตว์ทั่วไปกระสากลิ่นเสือนั่นแหละ "  

 

        " หือ? แล้วทำไมฉันไม่เห็นได้กลิ่นอะไรจากตัวนายเลยล่ะ...พูดกันตามตรงนะ ถ้าพูดถึงกลิ่นอาย ศกุนตลายังมีกลิ่นน่าขนลุกมากกว่าแกเสียอีก "  ประโยคหลังเขาพยายามบีบเสียงให้เล็กที่สุดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นศกุนตลาที่กำลังนั่งย่างกระต่ายอยู่ไกลออกไปยังอุตส่าห์หูผีได้ยินอีก เพราะเธอหันขวับมามองอย่างคาดโทษ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและกลับไปย่างกระต่ายต่ออย่างขี้เกียจเอาความอะไร

 

        " ก็แล้วเจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานรึไง ถึงจะได้กลิ่นข้าน่ะ...ข้าบอกแล้วว่ามีแต่พวกสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นที่ได้กลิ่นสาปตบะของข้า...อันที่จริงมันก็ดีอยู่หรอกที่ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องสัตว์ร้ายเวลาเดินไพร แต่มันลำบากตรงที่เวลาเข้าป่า ข้าแทบจะหาอาหารกินไม่ได้เลยนอกจากขุดเผือกขุดมันมาเผากินเอา...อีกทั้งข้ายังล้มเหลวในฐานะ ผู้ใช้สัตว์สมิง  อีกต่างหาก เพราะนอกจากยัยเสือสมิงสามตัวที่เจ้าเห็นแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าเข้าใกล้ข้าอีกเลย...ทั้งๆที่ข้าเองก็รักสัตว์ไม่แพ้ยัยศกุนตลานั่นแท้ๆ " 

 

          ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะเขาคิดภาพชายหนุ่มหน้าโหดผิวสีแทนกล้ามเป็นมัดๆอย่างสิงห์กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสัตว์โลกน่ารักไม่ออกจริงๆ

 

        " หือ? อะไรของเจ้า อยู่ๆก็หัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติไม่มีผิด "  อนาสตาเซียที่เดินเข้ามาเลิกคิ้วถามขึ้นเบาๆ จนไกรต้องหยุดหัวเราะพร้อมกับรีบแก้ตัว

 

        " เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก...ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ "

 

          หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเชื่ออะไรนัก แต่ก็ปล่อยผ่านไปเสียอย่างไม่อยากจะสนใจอะไรนัก

 

         " กระต่ายปิ้งจะเสร็จแล้ว มากินได้แล้วล่ะ "

 

 

 

 

 

....................................................

 

 

 

 

 

       ...หลังจากมานั่งล้อมวงกัน เรย์ลาลีนก็ถึงกับต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยกับกระต่ายย่างฝีมือของศกุนตลา เพราะเดิมทีเขาก็คิดว่าอาหารที่ทำอย่างฉุกละหุกๆแบบนี้คงจะไม่ได้ดีเด่อะไรนัก แต่ศกุนตลากลับจัดสำรับที่มีกระต่ายย่างกับมันมือเสือเผาออกมาได้อย่างกับอาหารชาววังไม่ผิด กลิ่นหอมที่โชยออกมามันยั่วน้ำลายและน้ำย่อยจนท้องเขาถึงกับร้องอย่างกะทันหันเลยทีเดียว...

 

          ยิ่งเมื่อได้ลิ้มรสครั้งแรก คิ้วที่เลิกอยู่แล้วก็ยิ่งต้องเลิกสูงขึ้นไปอีก เพราะแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้กินเนื้อกระต่าย แต่เนื้อกลับไม่มีกลิ่นสาปอย่างที่เขาคิดเลย...รสชาติของเนื้อเหมือนเนื้อไก่แต่กลับนุ่มลิ้นกว่ามาก แถมรสเกลือและรสเครื่องเทศบางอย่างที่ศกุนตลาทาเคลือบลงไปยิ่งดึงรสอร่อยของเนื้อออกมาได้อย่างเต็มที่ เมื่อรวมกับมันมือเสือที่เอาไว้ตัดเลี่ยนแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวกระต่ายตัวเขื่องๆ 4 ตัวก็เหลือแต่กระดูกทันที...

 

        " อ...อร่อย!... "  หลังจากฟาดเนื้อกระต่ายย่างไปทั้งตัว ไกรถึงกับต้องครางออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทำให้คนอื่นต้องหัวเราะเบาๆ ในขณะที่แม่ครัวอย่างศกุนตลายิ้มเล็กน้อย แม้ว่าดวงตาของเธอก็ยังคงเร้นลับอ่านไม่ออกเหมือนเดิมก็ตามที

 

        " ขอบคุณสำหรับคำชมนะ... "

 

        " เฮ้ย! พูดแบบจริงจังเลยนะ ใช้เวทมนต์อะไรเนี่ย ถึงได้ออกมาอร่อยสุดๆขนาดนี้ เธอสามารถเปิดร้านอาหารได้เลยนะเนี่ย! ก่อนมาอยู่กับพวกนี้เธอทำอาชีพแม่ครัวมาก่อนงั้นใช่ไหมเนี่ย? "

 

          คำถามของไกรทำให้ทุกคนเงียบลงอย่างอึดอัด ในขณะที่รอยยิ้มของศกุนตลาขยับเม้มบางลง ดวงตาหรุบต่ำด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่างที่อัดแน่นเต็มที่

 

        " ก็...แค่...สิ่งที่ยังหลงเหลือมาจากอดีตที่อยากจะลืมเลือนเท่านั้นแหละ "

 

          ไกรฉลาดพอที่จะรับรู้ได้จากบรรยากาศโดยรอบว่าคำพูดของเขาไปกระทบสิ่งที่ไม่ควรกระทบเข้าให้แล้ว เขาจึงรีบเอ่ยปากขอโทษเบาๆอย่างสำนึกผิด

 

        " คือ...ผมขอโทษถ้าคำพูดที่พูดออกมาอย่างไม่คิดของผมมัน... "  แต่เขาพูดยังไม่ทันจบ หญิงสาวก็หลับตาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างช้าๆ

 

        " ...ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด  ไม่จำเป็นต้องขอโทษขอโพยกันหรอก...แต่ครั้งนี้ข้าขอเตือนไว้ก็แล้วกันนะ ...เมื่อถึงหมู่บ้าน อย่าได้เอ่ยคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตกับทุกคนในหมู่บ้านเด็ดขาด...เพราะมันเป็นคำถามที่เสียมารยาทอย่างที่สุด "  ก่อนที่เธอจะเงียบไปโดยไม่อธิบายอะไรต่ออย่างคนไม่ชอบพูดมาก ในขณะที่สิงห์กอดคอไกรพร้อมกับอธิบายต่อเบาๆ 

 

        " ไกร...ก่อนจะมาเป็นมือสังหาร...พวกเรามาจากหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หนีราชอาญา  ทหารแตกทัพ  ไล่ไปจนถึงวนิพกพเนจรไร้หัวนอนปลายเท้า...แต่ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือทุกคนมีอดีตอันเลวร้ายที่อยากจะฝังมันเอาไว้โดยไม่พูดถึงมันอีก...เพราะฉะนั้นหากถามคำถามเช่นนี้กับพวกเขา เจ้าอาจจะไม่โชคดีแค่โดนตักเตือนแบบนี้ก็เป็นได้ "  น้อยครั้งที่สิงห์จะแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์โดยไร้น้ำเสียงล้อเล่นแบบนี้

 

          หลังจากกินกันเสร็จ หญิงสาวทั้งสองคนก็ปิดปากหาวเบาๆ เพราะเธอทั้งคู่เดินทางกันตลอดทั้งคืน  อนาสตาเซียหันไปพยักหน้าให้กับศกุนตลาเบาๆ ก่อนจะหันมาพูดกับเขาและสิงห์อีกครั้ง

 

        " อีกซักครู่พวกข้าสองคนจะไปอาบน้ำกันที่ลำธารด้านหลังโขดหินโน่น...แล้วค่อยกลับมานอน ไม่ได้อาบมาเกือบวัน เหนียวตัวไปหมดแล้ว...ฝากพวกเจ้าเก็บกวาดเศษอาหารกับดับกองไฟเสียหน่อยก็แล้วกันนะ "  เธอบอกก่อนจะหันไปค้นเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ที่กองสัมภาระ และชวนศกุนตลาเดินออกไป แต่เธอก็ยังอุตส่าห์ไม่ลืมหันมากำชับเสียงแข็งพร้อมกับทำตาเขียวใส่ชายหนุ่มทั้งคู่

 

 

        " แล้วก็อย่าตามไปแอบดูล่ะ! "

 

 

        " เฮ้ยๆๆๆ! เห็นข้าเป็นคนเช่นไรกันฟะ?! "  ในขณะที่ไกรกำลังทำหน้าไม่ถูก สิงห์รีบโวยวายขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องรีบหุบปากหงอทันทีเช่นกันเมื่อเห็นสายตาเสียดแทงของศกุนตลาที่ส่งมากดดันด้วยอีกคน

 

        " ก็เห็นว่าเป็นคนช่างแอบดูน่ะสิ...กี่ครั้งแล้วที่ข้าจับได้ว่าเจ้าแอบดูพวกข้าน่ะ "

 

        " อ...เออน่า...ผู้ชายก็แบบนี้แหละ ต...แต่ข้าเลิกแล้วไง ข้ารู้ว่ามันไม่ดีข้าก็เลิกแล้วไง!! "

 

        ' ขนาดนี้แล้วก็ยังอุตส่าห์หาทางเถียงอีกนะ '  ไกรได้แต่คิดในใจขำๆ ในขณะที่สายตาของศกุนตลาทอประกายอำมหิตวูบ!

 

        " ก็ดี...ข้าถือว่าเจ้ารับปากแล้ว...ฉะนั้นเวลาที่พวกข้าอาบน้ำ แล้วถ้าข้าเหลือบไปเห็นตาปริบๆของใครซักคนล่ะก็ ข้าก็จะถือว่ามันเป็นตาของสัตว์ร้ายโรคจิตที่เอาไว้ไม่ได้ก็แล้วกัน...เจ้าก็รู้ฝีมือปามีดสั้นของข้าดีแล้วนี่...ระยะแค่ 5-6 วา รับรองข้าปามีดเข้าเบ้าตาซ้ายทะลุออกเบ้าตาขวาแน่!!  "

 

          หลังจากทิ้งคำขู่ชนิดที่ไม่น่าอาจหาญพอจะกล้าลองเสี่ยง หญิงสาวทั้งสองก็เดินนวยนาดลับหมู่โขดหินอันเป็นที่ตั้งของลำธารนั้นไป ปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งคู่นั่งทำตาปริบๆ พร้อมกับกลืนน้ำลายฝืดๆ 

 

        " เอ้า! เอายังไงล่ะพ่อนักแอบดู...โดนหยามขนาดนี้มันเสียเชิงชายนะ "  ไกรหันไปหยอกสิงห์พลางกลั้วหัวเราะเบาๆ ในขณะที่สิงห์แยกเขี้ยววับ

 

        " เออ ยุดีนัก! แล้วทำไมเจ้าไม่ลองเข้าไปแอบดูเองล่ะ "

 

          ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ก่อนที่เขาจะรีบส่ายหน้าเบาๆ...เพราะต่อให้อีกฝ่ายมีรูปร่างสัดส่วนยั่วต่อการแอบดูแค่ไหน แต่ถ้าต้องเดิมพันด้วยการใช้ลูกตาปลอมไปตลอดชีวิต แบบนี้เขาก็ไม่พร้อมที่จะเสี่ยงเหมือนกัน

 

        " ฮ่าๆๆๆๆ ก็นับว่ายังฉลาด...เอาล่ะ...ในเมื่อเหลือกันแค่เราสองคน เช่นนั้นก็มาพูดเรื่องของเจ้ากันดีกว่า... "

 

        " หือ? เรื่องของฉัน? "

 

        " ใช่...จำได้ไหม เมื่อครั้งที่ข้าพบกับเจ้าครั้งแรก เจ้าใส่ชุดไม่เหมือนกับชาวเมืองใดเลยในสุวรรณภูมินี้...อีกทั้งสำเนียงและคำพูดของเจ้าก็แปลกประหลาดราวกับไม่ใช่คนยุคนี้...จำที่เจ้าตอบเมื่อข้าถามเจาว่าเจ้ามาจากเมืองใดได้เหรือไม่? เจ้าบอกข้าว่าเจ้ามาจาก กรุงเทพ บางกะปิ...ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเมืองเหล่านี้มาก่อนเลยในชีวิต...เอาล่ะ เมื่อพิเคราะห์จากหลักฐานทั้งหมด มันหลีกเลี่ยงมิได้เลยที่ข้าจะต้องขอถามเจ้าอีกครั้ง...  "

 

 

        " เจ้าเป็นใครกันแน่?!! "

 

 

 

 

 

..............................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา