ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.24K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

104)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

     ...ณ ค่ายพักทัพพม่าอันตั้งอยู่ ณ ปราณบุรี...เมืองล่าสุดที่ทัพพระเจ้าอลองพญายึดครองได้...

 

     ...ที่กระโจมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ ซึ่งรองลงมาจากกระโจมของสมเด็จพระเจ้าอลองพญาและเจ้าชายมังระไม่มากเท่านั้น...กระโจมสีเทาที่ถูกล้อมรอบด้วยเหล่าทหารเวรยามอย่างหนาแน่น...

 

     ...กระโจมที่พำนักของมังฆ้องนรธา...แม่ทัพผู้ชาญการนรงค์ และพระสหายของพระเจ้าอลองพญา...

 

        พรึ่บ!

 

        เสียงสะบัดปีกของนกพิราบสีหม่นๆที่ดูไม่สะดุดตาที่พุ่งลงลอดช่องหน้าต่างกระโจมลงมายังไหล่ของชายผู้มีอายุล่วงเลยวัยกลางคนมาเล็กน้อย ทำให้เขาเบิกตาสีเข้มกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ...เขามีหน้าผากกว้างอย่างคนช่างคิดที่รับกับริ้วรอยแห่งประสบการณ์และผมสีดอกเลาที่ปรกติจะม้วนรวบเป็นมวยไว้อยู่ตลอดเวลา บวกกับรอบแผลคมดาบอันน่ากลัวจากการผผ่านศึกสงครามที่พาดผ่านโหนกแก้ม ทำให้เขาดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก ...แม่ทัพขมวดคิ้วหนาที่มีสีเดียวกับสีผมเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะกองม้วนเอกสารและใช้มืออันหยาบกร้านของตนคว้านกพิราบที่ผูกไว้ด้วยสารเล็กๆคัวนี้ไว้ทันที

 

      " นกตัวนี้มัน...ของพวกบรรลัยกัลป์อย่างนั้นรึ? "  เขาพูดครางออกมากับตัวเองเบาๆราวกับรู้จักกับกลุ่มมือสังหารเถื่อนนั้นดีอยู่แล้ว ก่อนจะแกะม้วนสารเล็กๆที่ถูกใส่มาในกระบอกผูกขานกตัวนี้ออก และขยับเข้าใกล้แสงจากตะเกียงที่อยู่ที่โต๊ะกองเอกสารของเขาเพื่ออาศัยแสงสว่างในการอ่านสารเล็กๆนี้

 

      " เอ๋? สารจากดารา...ไม่ใช่ของผู้เฒ่าหัวหน้ากลุ่มอย่างนั้นรึ? ฮ...เฮ้ย "  คราวนี้เขาถึงกับอุทานออกมาเบาๆ เพราะไอ้ม้วนสารเล็กๆที่ว่านี่ดันถูกพับเป็นทบๆมาซะแน่นจนเขากางออกเป็นแผ่นขนาดใหญ่ไม่ใช่น้อยๆได้เลย

 

      " ...น...นี่มัน...ข่าวความเคลื่อนไหวของทั้งอโยธยาในอาทิตย์นี้ รวมถึงการคาดคะเนและสายสนกลในทั้งหมด ยัดเข้าไปในกระบอกเล็กๆแบบนี้ได้อย่างไรกันเนี่ย? "  มังฆ้องนรธาครางออกมาเบาๆพลางหันไปมองนกพิราบตัวเล็กๆพร้อมกับรู้สึกสงสารที่ต้องแบกม้วนสารหนาขนาดนี้มาตั้งไกล...เขาจึงหยิบเมล็ดผลไม้แห้งเล็กๆบนโต๊ะมาโปรยให้เป็นรางวัล ก่อนจะก้มลงเริ่มอ่านม้วนสารตรงหน้าทันที

 

      ' ...เรื่องที่สำคัญๆก็คงจะเป็นการเริ่มระดมพลและการถอยทัพกลับมาของทัพหลักที่ไปพลาดตั้งอยู่ที่ด่านเจดีย์สามองค์และด่านแม่ละเมาของอโยธยา...ซึ่งก็ยังช้าอยู่มากจนไม่น่าต้องกังวลอะไร...กับ...หืม? ราชโองการแต่งตั้ง...ออกญาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพ...เรือง... '  เขาครางออกมาเบาๆพร้อมกับขมวดคิ้ววูบทันที เพราะในฐานะแม่ทัพคนหนึ่งเขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับแม่ทัพหลักๆของอโยธยาเป็นอย่างดี แถมไอ้ท่านออกญาเพชรบุรีทีว่านี่มันก็เป็นหนึ่งในรายชื่อขุนทหารที่เขาจะเป็นต้องจับตามองเป็นระดับต้นๆเลย

 

      " ปรกติแล้วผู้ที่ถือดาบอาญาสิทธิ์ควรจะเป็นผู้ที่ยศสูงสุดในทัพนั้นๆ...ตามที่ทั้งเราและทั้งพระเจ้าอลองพญาทรงคาดการณ์ไว้ก็ควรจะเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมราชที่ล่าถอยไปอยู่ที่เพชรบุรีนี่ แล้วไฉน...ถึงเป็นไอ้---หืม? "  ระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นดอกจันเล็กๆที่กาลงมาด้านล่างข้อมูลนี้ ดอกจันที่เขียนข้อมูลเสริมไว้อย่างหวัดๆว่า

 

     ...เหตุที่ดลพระทัยให้พ่ออยู่หัวแต่งตั้งเรืองผู้นั้น เพราะเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีเป็นผู้ทูลแนะนำนั่นแหละ...

 

      " ...เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ?...อ้อ...เด็กหนุ่มไกรที่เป็นหนึ่งในกลุ่มยุคันตวาตที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มของยัยดารานี่น่ะหรือ? แต่ว่า...เอาเถอะ...ที่เราต้องห่วงในเวลานี้ควรจะเป็นการทัพที่รวมกันอยู่ที่เพชรบุรีนี่ต่างหาก เพราะถ้าเป็นคนอื่นนำทัพเรายังคงพอจะเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่...เจ้านี่มัน ระดับความสามารถและความเจนจัดในสงครามของมันจะต้องทำให้ทัพของพ่ออยู่หัวล่าช้าลงจนไม่อาจจะประเมินได้เป็นแน่...รึว่า...เราควรจะ--- "

 

      " หืม? ท่านจะแจ้งเรื่องนี้แก่พ่ออยู่หัวให้ทรงทราบอย่างนั้นหรือ? ท่านแม่ทัพ "

 

        วูบ!

 

        พริบตาที่เสียงที่ไม่คาดคิดดังขึ้น แม่ทัพมังฆ้องนรธากลับไม่ยอมเสียเวลามาตกใจเลย เสี้ยววินาทีเดียว มีดที่มีลักษณะคล้ายกับมีดที่ใช้เลาะครั่งบนซองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะก็ถูกปาพรึ่บใส่ต้นเสียงด้วยความเร็วราวกับลูกธนู ทั้งเขายังไม่เสียเวลามองดูว่ามีดนั่นเข้าเป้ารึเปล่า เพราะเสี้ยววินาทีต่อมาตัวเขาก็พุ่งวูบไปยังดาบประจำกายที่ถูกแขวนอยู่ที่เสากระโจมทันที

 

        เคร้ง!

 

        ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ในเงามืดและเป็นเจ้าของเสียงนั่นสะบัดดาบที่ยังคงอยู่ในฝักเพื่อปัดมีดเล็กๆที่ถูกปามาเล่มนั้นทิ้ง ก่อนที่เขาจะพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆทันที

 

      " เย็นไว้ก่อน ท่านแมทัพ นี่ข้าเอง...ท่านคงไม่อยากจะปลดปล่อยจิตคุกคามทั้งหมดของท่านในเวลานี้จนแตกตื่นไปทั้งทัพหรอกกระมัง "

 

      " จ...เจ้า! อะแซหวุ่นกี้! " 

 

      " ขอร้าบๆ กระผมเอง อะแซหวุ่นกี้ คนไม่สำคัญคนเดิมขอรับ "

 

         เสียงขานรับแบบทีเล่นทีจริงของขุนทหารอีกคนที่ตามมาในทัพด้วย ทำให้มังฆ้องนรธาที่พึ่งเห็นหน้าของอีกฝ่ายชัดๆก็ถึงกับกัดฟันพร้อมกับตวาดออกมาเบาๆทันที แต่ถึงอย่างนั้น การรีบแสดงตัวของอะแซหวุ่นกี้ก็ทำให้เขาลดจิตคุกคามที่ควรจะระเบิดออกมาตั้งแต่แรกค่อยๆลดลงอย่างช้าๆจนลงสู่ระดับปรกติ ก่อนที่เขาจะกัดฟันพูดเรียบๆอีกครั้ง

 

      " อะแซหวุ่นกี้...เจ้าอาศัยอะไรเข้ามาในกระโจมข้าในยามวิกาลเช่นนี้กัน?! "

 

      " ก็ในฐานะของสหายอย่างไรล่ะ? "  ขุนทหารที่มีอายุไล่เลี่ยกันและมียศตำแหน่งอะแซหวุ่นกี้ยิ้มยิงฟันพร้อมกับค้อมหัวคำนับอย่างช้าๆ แถมยังไม่ได้รับรู้ถึงความเคารพที่ควรมีเลยอีกต่างหาก ทำให้มังฆ้องนรธาถึงกับคิ้วกระตุกทันที

 

      " สหาย...อย่างนั้นหรือ?! อย่ามาพูดให้ข้าขำเสียหน่อยดีกว่า อะแซหวุ่นกี้...เจ้ามันเป็นเพียงคนขลาดที่ไม่ยอมใช้พลังของตนเอง...เป็นเพียงคนที่ฉลาดแกมโกงที่สุดเท่าที่ข้ารู้จักมาเท่านั้น...แม้แต่ชื่อจริงๆของเจ้ายังมีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น "

 

      " ไอ้ไม่กี่คนทีว่ามันก็รวมท่านไปคนนึงแล้วอย่างไรล่ะ ท่านแม่ทัพ แล้วอีกอย่างนะ...คนฉลาดเขาไม่ทำอะไรให้ใครเปล่าๆหรอกนะ "  อะแซหวุ่นกี้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แถมคำพูดก็ยังทำให้มังฆ้องนรธาถึงกับคิ้วกระตุกอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับเลือกที่จะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่แทน

 

      " เจ้าน่ะ...รู้มากแค่ไหนกัน? "

 

      " หืม? ก็...รู้สิ่งละอันพันละน้อย มันทำให้การดำรงชีพในยุคสมัยสงครามเช่นนี้ง่ายขึ้นนี่ "  อะแซหวุ่นกี้เลิกคิ้วพร้อมกับพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ แม่ทัพมังฆ้องนรธากลับไม่มีอารมณ์เล่นด้วยเลยแม้แต่น้อย...เขาใช้มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยอย่างทหารผ่านศึกขยุ้มเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมกับกระซิบเรียบๆอีกครั้ง

 

      " ข้าไม่ตลกชวนหัวในเวลาเช่นนี้ อะแซหวุ่นกี้...เจ้า...รู้มากแค่ไหนกัน?! "

 

        เสียงกระซิบอันราบเรียบและแฝงแววจิตคุกคามบางอย่างมันมากเกินกว่าที่บุรุษผู้มียศอะแซหวุ่นกี้ไม่อาจใช้ลวดลายหรือเล่ห์เหลี่ยมบิดพลิ้วใดๆได้อีก เขาจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับยิ้มแสยะออกมาบางๆ

 

      " ที่ถามว่ารู้มากแค่ไหนเนี่ย เจ้าหมายถึงรู้อะไรล่ะ...รู้ว่าเจ้าลักลอบใช้สายสืบอื่นนอกจากอุปนิกขิตของเราโดยพลการ?...หรือว่า...รู้ว่าไอ้สายสืบที่ว่านั่น...คือกลุ่มมือสังหารลับที่ไม่น่าไว้วางใจที่สุดกันล่ะ? "

 

        กริ๊ก!

 

        ดาบเล่มงามที่อยู่ในมือของมังฆ้องนรธาลั่นเบาๆพร้อมกับที่เจ้าของดาบทำตาลุกวาวและปลดปล่อยกระแสพลังอะไรบางอย่างออกมาอย่างน่าขนลุก ทว่ากระแสพลังนั้นกลับทำให้อะแซหวุ่นกี้แสยะยิ้มสยายกว้างออกมาทันที

 

      " หึๆ ไอ้กระแสนี้ แปลว่าคิดจะฆ่าปิดปากข้าเลยสินะ ท่าน...แม่...ทัพ "

 

        วูบ...

 

        แต่เสี้ยววินาทีต่อมา กระแสจิตคุกคามนั้นกลับค่อยๆลดลงจนสู่ระดับปรกติพร้อมกับที่มังฆ้องนรธาจะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะโคลงหัวและแขวนดาบประจำกายไว้ที่เสากระโจมเช่นเดิม พร้อมกับที่เขาจะพูดเรียบๆว่า

 

      " อย่าพยายามเสียให้ยากเลย...ข้าคบหากับเจ้ามานานพอจะรู้ดีว่าโกรธเคืองเจ้าไปก็รังแต่จะเข้าทางเจ้าเสียเปล่าๆ เพราะฉะนั้น มีธุระอะไรก็เร่งว่ามาเลย " 

 

        คำพูดอย่างผู้ที่รู้จักกันดีของแม่ทัพมังฆ้องนรธาทำให้สหายผู้เข้ามาอย่างไร้ซึ่งกาลเทศะอย่างอะแซหวุ่นกี้ถึงกับโคลงหัวออกมาเล็กน้อยพร้อมกับทำหน้าขัดใจ ก่อนที่เขาจะถือวิสาสะเดินเข้ามายังแผ่นกระดาษสารที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับก้มลงอ่านรายละเอียดบ้าง ในขณะที่มังฆ้องนรธาเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและพูดออกตัวเบาๆว่า

 

      " บอกไว้ให้เข้าใจตรงกันเสียก่อนเลยนะ ว่าข้าไม่ได้เป็นผู้ร้องขอกลุ่มมือสังหารบรรลัยกัลป์นี่ แต่เป็นพวกมันที่เสนอจะเป็นอุปนิกขิตให้แก่ข้าเองต่างหาก "

 

      " หืม? โห! "  เสียงอุทานที่ออกมาจากปากของอะแซหวุ่นกี้ทำให้มังฆ้องนรธาที่มายืนอยู่ข้างๆได้แต่พยักหน้าเบาๆอย่างยอมรับ

 

      " อืม...ข้ารู้...เป็นข้อมูลที่ละเอียดที่สุดจนทำให้พวกสุดยอดอุปนิกขิตที่เราเลี้ยงไว้ถึงกับกลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย...กลุ่มบรรลัยกัลป์นี่มีเส้นสายและหูตาไปทั่วทุกหัวระแหง...ดีไม่ดีก็คงจะมีหูตาอยู่ที่มณีปุระของพวกเราด้วยซ้ำ "

 

      " โห...ลายมือสวยพริ้งเลยนี่ สตรีที่เขียนสารนี่คงจะงามใช่ย่อยทีเดียวเลยสินะ? "  คำพูดของอะแซหวุ่นกี้ทำให้มังฆ้องนรธาถึงกับคิ้วกระตุกอีกครั้ง ก่อนจะพับกระดาษสารและยกมือชี้ไปที่ประตูทางออกกระโจมทันที 

 

      " ไปไหนก็ไปไป๊! "

 

      " เฟ้ย! ไหงอยู่ๆก็มาไล่กันอย่างนี้ล่ะฟะ! "

 

      " ก็มันน่าไล่ไหมล่ะ! ถ้าเจ้าคิดแค่จะมากวนโทสะข้าก็ออกไปเลย ข้าในเวลานี้ไม่ได้เป็นแค่นักรบเดนตายอย่างสมัยที่เราไปตีแคว้นมณีปุระแล้วนะ แต่เป็นหนึ่งในแม่ทัพสำคัญที่การตัดสินใจแต่ละครั้งมีผลทั้งกองทัพ  ...ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง หวุ่นยีมหาสีหสุระ ที่คอยเก็บภาษีอากรที่ดินเช่นเจ้า "  แม่ทัพมังฆ้องนรธาพูดอย่างรำคาญ ในขณะที่อะแซหวุ่นกี้ที่แม้บรรดาศักดิ์น้อยกว่า แต่ก็เหมือนจะสนิทกันมากกว่าที่คาดส่งเสียงจิ๊กจั๊กอย่างขัดใจอีกครั้ง

 

      " เออๆ ไม่เล่นก็ได้ฟะ...ที่จริงข้าก็กะจะฟังอยู่อย่างเงียบๆอยู่หรอก แต่ข้าแค่ต้องขัดขึ้นเพราะมันจำเป็นเท่านั้น "  อะแซหวุ่นกี้โคลงหัวพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น ก่อนจะวางดาบลงและถือวิสาสะคว้ากระดาษสารในมือของมังฆ้องนรธาไปพินิจดูอย่างตั้งใจมากขึ้นอีกครั้ง โดยที่แม่ทัพวัยกลางคนเองก็ไม่ได้ขัดขืนหรือค้านอะไร เพียงแต่ขมวดคิ้วและก้มลงดูด้วยช้าๆ

 

      " ประเดี๋ยวนะ...เมื่อครู่เจ้าพูดว่า จำเป็น อย่างนั้นหรือ? "

 

      " อืม...ก็จำเป็นจริงๆนั่นแหละ "

 

      " ช่วยอธิบายให้มันกระจ่างซักหน่อยได้ไหม? "  แม่ทัพมังฆ้องนรธาขมวดคิ้วพร้อมกับถามขึ้นอย่างสงสัย ในขณะที่อะแซหวุ่นกี้โคลงหัวอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

      " ฮ่ะๆ กะไว้แล้วเชียว "

 

      " กะไว้แล้ว? "

 

      " ก็ข้อมูลพวกนี้น่ะสิ...มีแม้กระทั่งความเคลื่อนไหวภายในราชสำนักอโยธยาเลยหรือนี่ ระดับของข้อมูลมันลึกเกินกว่าอุปนิกขิตที่ไหนมันจะหาได้ ต่อให้อยู่ในระดับไส้ศึกที่แฝงอยู่ในกองทัพเลยก็ตามที... แล้วเจ้าคิดว่าพ่ออยู่หัวของเราจะทรงแค่รับฟังเฉยๆอย่างนั้นหรือ? ถ้าหากเจ้าคิดจะบอกทุกอย่างแก่พ่ออยู่หัว แล้วถ้าเกิดพ่ออยู่หัวทรงตรัสถามถึงแหล่งข้อมูลขึ้นมา ลำพังเจ้าจะทูลตอบพระองค์ว่าอะไรล่ะ "

 

      " อ...เอ่อ "  คำถามที่หลักแหลมของอีกฝ่ายทำให้มังฆ้องนรธาถึงกับอึ้งไปอย่างอับจนถ้อยคำไปทันที

 

     ...ไม่ใช่เพราะมังฆ้องนรธาไม่ทันคิดหรือโง่เขลาเกินไป เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขาเป็นคนที่มองภาพรวมขนาดใหญ่ได้อย่างเก่งกาจ แต่เพราะมองภาพขนาดใหญ่อยู่ตลอด ทำให้เขาพลาดในเรื่องที่เล็กๆน้อยๆไป...ในขณะที่ชายหนุ่มผู้เป็นสหายผู้นี้กลับสามารถมองได้ทั้งภาพรวมขนาดใหญ่และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ราวกับมองลายมือตัวเอง ทั้งยังละเอียดรอบคอบผิดรูปลักษณ์จนแม้แต่เขายังต้องยอมรับ...ผิดอย่างเดียวที่อะแซหวุ่นกี้ผู้นี้เป็นพวกลับลมคมในเยอะและไม่ชอบเสนอหน้า ทั้งชอบอยู่แบบคมในฝัก ทำให้เขาไม่ได้ก้าวหน้าในทางราชการมากเท่าที่ควร...เพราะจากฝีมือที่แท้จริงแล้ว อะแซหวุ่นกี้ผู้นี้สามารถขึ้นถึงระดับของเขา หรือสูงกว่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็นเลยด้วยซ้ำ...

 

      " แล้วเจ้าจะบอกว่าเราไม่ควรจะแจ้งเรื่องที่พระยาเพชรบุรีขึ้นเป็นแม่ทัพที่เมืองเพชรบุรีให้พระองค์ทรงทราบอย่างนั้นหรือ? ...แต่เพชรบุรีเป็นเมืองต่อไปที่เราจำต้องผ่านนะ "

 

      " เฮ้ยๆ นี่ข้าพูดเพื่อช่วยเจ้านะ  อีกอย่าง ไม่แจ้งแล้วอย่างไรล่ะ? ...โธ่เอ้ยท่านแม่ทัพ ถึงจะบอกว่าเราสาบานว่าจะเป็นข้ารองบาทพ่ออยู่หัว แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องทูลบอกทุกอย่างแก่พระองค์ให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาทเสียหน่อยนะ...พระองค์ควรจะรู้เท่าที่พระองค์ควรรู้ก็เพียงพอแล้ว...เรื่องบางเรื่อง การไม่รู้อะไรเลยก็มีประโยชน์เสียกว่านะ ส่วนแค่เมืองเพชรบุรีเมืองเดียว ต่อให้เปลี่ยนแม่ทัพไปกี่คนก็ไม่ใช่สาระสำคัญใดๆหรอก...พวกเราผ่านไปได้แน่น่า "  อะแซหวุ่นกี้พูดพลางตบไหล่แข็งๆของมังฆ้องนรธาเบาๆ ก่อนจะหัวเราะอย่างง่ายๆ ในขณะที่แม่ทัพมังฆ้องนรธาขมวดคิ้ววูบทันที

 

      " ที่เจ้าพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล...แต่ว่า... "

 

      " หืม? อะไรของเจ้ากันเจ้าคนมากเรื่อง อุตส่าห์แนะนำดีๆแท้ๆ "

 

      " คือ ก็อยากจะขอบใจหรอก...แต่ขอพูดตรงๆในฐานะสหายเลยนะ ข้าไม่เชื่อใจเจ้าว่ะ "

 

      " เฮ้ย...ที่พูดนี่หาเรื่องกันรึอย่างไรฟะ?! "  อะแซหวุ่นกี้หันกลับมาแยกเขี้ยววับอย่างเอาเรื่องทันที แต่มังฆ้องนรธาเพียงแค่ถอนหายใจเฮือกใส่เท่านั้น

 

      " นี่...อะแซหวุ่นกี้...ถามจริงๆเถอะนะ แน่ใจรึเปล่าว่าที่เจ้าแนะนำมานี่เป็นคำแนะนำจากใจจริงโดยไม่มีเจคนาแอบแฝงอื่นใดน่ะ "

 

      " ตกลงเจ้าจะกวนโทสะข้าจริงๆใช่ไหมเนี่ย?! เราทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนตายทั้งสหายศึกกันตั้งแต่หนุ่มหัวดำยันหัวหงอกเช่นนี้แล้วนะ ใจคอเจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกหรือ "  อะแซหวุ่นกี้แยกเขี้ยววับใส่อย่างเอาเรื่อง แต่มังฆ้องนรธากลับเพียงแค่แสยะยิ้มใส่อย่างเท่าทันกันเท่านั้น

 

      " เพราะข้ารู้จักเจ้ามาตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอกนี่สิ ข้าถึงได้ถามน่ะ...และอีกอย่าง นั่นไม่ใช่คำพูดเพื่อปฏิเสธสิ่งที่ข้าสงสัยนะ "

 

      " ฮ่าๆ เจ้านี่มันน่าเบื่อเช่นที่ข้าคาดไว้จริงๆ "  อะแซหวุ่นกี้พูดพร้อมกับตบเบาๆเข้าที่ไหล่ของมังฆ้องนรธาเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจมากขึ้น ...แต่มังฆ้องนรธากลับมองไปที่สหายเก่าแก่ตรงหน้าพร้อมกับที่เขาจะตัดสินใจพูดขึ้นเรียบๆช้าๆว่า

 

      " อะแซหวุ่นกี้...พวกเราผ่านทั้งศึกปลดแอกพม่าจากมอญที่หงสาวดี...ขับไล่พวกชาววิลาศ(อังกฤษ) และโปรตุเกสที่สนับสนุนมอญพ้นไปจากแผ่นดิน รวมไปถึงศึกสำคัญที่มณีปุระ พวกเราก็ผ่านมาหมดแล้ว...แต่ว่านะ...เราไม่หนุ่มอย่างแต่ก่อนแล้วนะ "

 

      " เฮ้ยๆ ก็อยากจะพูดว่าช่างคิดมากสมเป็นเจ้าจริงๆหรอกนะ แต่ว่าเช่นนี้มันแปลกเกินไปจริงๆแล้วนะ...แล้วอีกอย่างน่ะ ข้าในเวลานี้รวดเร็วและเก่งกาจกว่าสมัยหนุ่มๆชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลยเชียวนะ "

 

      " เฮ้อ...ศึกครั้งนี้น่ะ อะแซหวุ่นกี้...มันไม่เหมือนกับศึกที่ผ่านๆมาเลยนะ...อโยธยาไม่เคยถูกรุกรานเลยมากว่า ๒๐๐ ขวบปี ความแข็งกล้าของราชอาณาจักรอโยธยาไม่ใช่เรื่องเล่น...ข้า...หวั่นใจนัก "  แม่ทัพผู้ชาญการนรงค์พูดพลางทรุดลงนั่ง ก่อนจะพูดต่อช้าๆ

 

      " ...ข้าเกรงเหลือเกิน...ว่านี่จะเป็นศึกสุดท้ายของข้า "

 

      " พูดอะไรของเจ้ากัน ตุง (นามจริงของมังฆ้องนรธา) เจ้าเป็นผู้ที่เถรตรงและเชื่อโชคลางมากกว่าใคร เจ้าไม่ควรพูดอะไรเป็นลางไม่ดีต่อตัวเองเช่นนี้นะ "  อะแซหวุ่นกี้ติงเบาๆอย่างพยายามไม่จริงจังอะไรนัก แต่แม่ทัพมังฆ้องนรธาเพียงแค่ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆเท่านั้น

 

      " เอาเถอะ...ช่วงนี้สถานการณ์ศึกมันติดพัน ข้าคงจะเครียดมากไปเท่านั้น...ขอบใจเจ้ามากนะ อะแซหวุ่นกี้ สำหรับคำแนะนำของเจ้า...แต่ว่านะ "

 

      " หืม? "

 

        มังฆ้องนรธาผ่อนลมหายใจพร้อมกับหันกลับมามองอะแซหวุ่นกี้อีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นแววตาที่วาววับอย่างจับผิด พร้อมกับที่เขาจะพูดออกมาอย่างช้าๆอีกครั้ง

 

      " โชคร้ายที่ข้ายังไม่ลืมว่าเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย...ว่าตกลงเจ้ามีจุดประสงค์แอบแฝงอันน่าสงสัยอื่นหรือไม่?! ...และคราวนี้ข้าปรารถนาคำตอบจากปากเจ้า...ตอบมา อะแซหวุ่นกี้! "

 

        คำถามอย่างคาดคั้นพร้อมกับจิตคุกคามระดับไม่ใช่เล่นๆของมังฆ้องนรธากลับไม่ได้ทำให้อะแซหวุ่นกี้สั่นสะท้านหรือหวาดเกรงใดๆเลย...ขุนพลผู้อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันผู้นี้เพียงแค่ยิ้มพรายพร้อมกับค่อยๆถอยเข้าไปสู่เงามืดริมกระโจมนี้อย่างช้าๆ

 

      " ก็อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อคราแรกนั่นแหละ... "

 

      " ? "

 

      " เรื่องบางเรื่องน่ะ...ไม่รู้เสียเลยจะเป็นกุศลเสียกว่านะ ท่านแม่ทัพ... "

 

      " เจ้า! "

 

      " ลาล่ะขอรับ "

 

        โดยไม่ยอมรั้งรอให้แม่ทัพมังฆ้องนรธาพูดสิ่งใดต่อไป อะแซหวุ่นกี้ก็ถอยหลังกลับจนกระทั่งร่างของเขากลืนหายไปในความมืด และเสี้ยววินาทีต่อมา มังฆ้องนรธาก็ไม่อาจจะจับกลิ่นอายและการคงอยู่ของผู้เป็นสหายเก่าแก่ผู้นี้อีกต่อไป...อะแซหวุ่นกี้หายไปอย่างลึกลับ...ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจซักเท่าไหร่ เพราะเขารู้จักกับชายผู้นั้นมานานจนเกินจะแปลกใจแล้ว...

 

      " เฮ้อ...ต่อให้เราเป็นสหายกันมาตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอก แต่จนแล้วจนรอด ข้าก็ยังเดาใจเจ้าไม่ออกอยู่ดี...เจ้าหมายใจจะทำอะไรกันแน่นะ...อะแซหวุ่นกี้! "

 

 

 

 

............................................

 

 

 

 

     ...ณ ศาลาชายน้ำ...ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือนอันเป็นจวนประจำตำแหน่งของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ หรือไกรมากนัก...

 

      " พ...พี่ ข้าขอถามจริงๆเลยนะ เราจะบุกจวนของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯจริงๆหรือ "  เสียงอันไม่แน่ใจของชายคนหนึ่ง ทำให้ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าและมีหน้าตาถมึงทึงหันมาตลุกวาวใส่พร้อมกับตวาดเบาๆทันที

 

      " เออสิวะ เรารับอัฐของนายจ้างมาแล้ว ทั้งไอ้เบี้ยอัฐไม่ใช่น้อยๆที่ว่านั่น พวกเจ้าก็เอาไปละลายกับเหล้าและวงพนันหมดไปแล้วด้วย "

 

      " ต...แต่ว่า นี่ไม่เหมือนงานที่แล้วๆมานะพี่ ไอ้นั่นมันเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว ทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักดาบที่เก่งกาจเป็นลำดับต้นๆของอาณาจักร ล...แล้ว...หน่วยคเณศร์เสียงาของมันก็เป็นหน่วยที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหน่วยที่เก่งกาจที่สุด--- "  ชายหนุ่มหนึ่งในหลายๆคนที่นั่งอยู่พยายามพูดยกเหตุผลขึ้น แต่ผู้ที่ท่าทางเป็นหัวหน้าคนเดิมแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับพูดดังๆทันที

 

      " ไอ้โง่!...เพราะโง่อย่างนี้พวกึงถึงไม่เจริญเสียที เจ้าดูไม่ออกจริงๆหรือว่าไอ้ฉายานักดาบอันดับต้นๆนั่นพวกมันก็แค่ยกขึ้นมาอ้างเอาเอง ไอ้การประลองเมื่อครั้งรับตำแหน่งที่เล่าลือกันก็คงล้วนแล้วแต่นัดแนะกันไว้ล่วงหน้าเพื่อสร้างสถานภาพของมันอยู่แล้ว เจ้าคิดดูสิว่าหลังจากเรื่องคราวนั้น ไอ้เจ้าพระยาพิทักษ์ฯมันได้ไปสร้างผลงานอื่นใดไว้ให้สมฐานะนักดาบบ้างรึเปล่า?...ก็ไม่มี...อีกทั้งไอ้คนที่มีฝีมือจริงๆอย่างหลวงยกกระบัตรเมืองตากหรือพระยาเพชรบุรีก็ล้วนแล้วแต่ออกจากหน่วยคเณศร์เสียงาที่ว่าไปเสียสิ้นแล้ว "

 

      " ต...แต่ว่า "

 

      " เจ้าพวกโง่เง่า เราไม่ได้ทำงานนี้งานแรกนะ อีกอย่าง ลองคิดดูสิ ว่าถ้าหากเราสังหารไอ้เจ้าพระยาพิทักษ์ฯผู้นี้ได้ นอกจากเบี้ยหวัดค่าจ้างที่เหลือที่เราจะได้แล้ว...ชื่อเสียงของพวกเราจะขจรขจายไปเพียงใด...ทีนี้ละมึงเอ๋ย เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนเชียวล่ะ "  คำพูดของผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่หันไปมองหน้ากันด้วยแววตาเป็นประกายทันที

 

      " หืม? นี่...พวกเจ้าจะบุกเข้าไปที่จวนเจ้าพระยาพิทักษ์ฯจริงหรือนี่? "

 

      " ก็เออสิวะ อย่าฝ่อไปเลยน่า พวกเรามีกันตั้งสิบกว่าคน ในขณะที่จวนของมันอย่างเต็มที่ก็มีแค่มันกับคนรับใช้ไม่กี่คนเท่านั้น เพราะพวกสตรีที่เป็นจ่าโขลนที่อยู่ในหน่วยของมันก็ต้องอยู่ในฝ่ายใน ข้าสืบเรื่องนี้มาหมดแล้ว เวลานี้แหละโอกาสเหมาะที่สุด! "

 

      " หืม? จะจริงเร้อ...เท่าที่ข้ารู้มา นอกจากเจ้าเด็กไกรนั่นแล้ว ที่จวนก็ยังมีคนของหน่วยคเณศร์เสียงาที่ชื่อว่าสิงห์นั่นอีก "

 

      " ฮ่าๆ ไอ้คนที่ชื่อสิงห์นั่นข้าก็สืบมาหมดแล้ว นอกจากที่มันมีเมียสวยๆถึง ๓ คนแล้ว ข้ายังไม่เห็นว่ามันจะมีดีอะไรอย่างอื่นเลย คอยดูให้ดีเถอะนะ หลังจากฆ่าพวกมันทั้งหมดเสร็จ ไอ้เมียๆของมันทั้งสามนางนั่น ข้าจะรับช่วงต่อเอง! "

 

      " เมียๆ? อ๋อ...ยัยพวกมายาสินะ ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ถ้าหากมองจากสายตาของคนนอก ยัยพวกนั้นก็เป็นเหมือนเมียๆของเจ้าสิงห์จริงๆนั่นแหละ "

 

      " พูดมากก็เสียเวลา นี่ก็ดึกมากแล้ว ถึงเวลาที่เราลงมือแล้ว! "  ชายผู้เป็นหัวหน้าพูดออกมาดังๆเพื่อปลุกปลอบใจเหล่าลูกน้องที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะทุกคนอยู่ในสภาพที่ฮึกเหิมพร้อมกับโห่ร้องออกมาเสียงดังลั่น 

      " โอ้! "

 

      " โอ้! สุดยอด! ฆ่ามันเลยๆ "  เสียงของหญิงสาวคนเดิมที่เป็นผู้ถามเมื่อครู่นี้ เวลานี้โห่ร้องร่วมด้วย แถมยังผ่าเข้ามานั่งกลางวงของพวกเขาอีกต่างหาก ทำให้พวกเขาทั้งหมดหันขวับมามองอย่างตกใจทันที

 

      " ฮ...เฮ้ย! น...นังนี่! เจ้าเป็นใครกัน?! "

 

      " เอ๋? เมื่อครู่ยังตอบคำถามข้าอยู่เลย ลืมกันเสียแล้วหรือนี่? "  หญิงสาวร่างเล็กผู้นี้เลิกคิ้วพูดเบาๆ พร้อมกับยิ้มยิงฟันใส่แทนคำตอบทันที

 

      " โอ้...ข้าชื่อผิงนะ เรียกว่าท่านผิงก็ได้ แต่คนที่หมู่บ้านส่วนใหญ่เรียกข้าว่าท่านอาจารย์หญิงน่ะ "

 

      " ค...ใครสนวะ! ฆ...ฆ่ามันเลย! "  หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ตัวาดลั่นพร้อมกับตัดสินใจที่จะฆ่าปิดปากสตรีน้อยนางนี้ทันที แต่ระหว่างที่ทุกคนกำลังเงอะงะหยิบมีดสั้นหรือดาบเล็กๆขึ้นมาอย่างยังไม่สร่างตะลึง หญิงสาวร่างน้อยผู้นี้กลับก้มลงและหยิบอาวุธที่มีลักษณะคล้ายกับทวนหรือง้าวยาวขนาดหนักที่สูงท่วมหัวที่ยังคงหุ้มส่วนปลายง้าวไว้ด้วยถุงหนังสีน้ำตาลแก่ขึ้นมาพาดบนไหล่พร้อมกับยิ้มยิงฟันใส่อีกครั้ง

 

      " ฮ่าๆ ไม่ได้เจอคนหาเรื่องใส่แบบนี้มากี่ร้อยปีกันแล้วนะเนี่ย...อืม ก็ไม่อยากจะขัดอารมณ์พลุ่งพล่านของพวกเจ้าหรอกนะ แต่ข้ามีเรื่องต้องคุยกับสิงห์ของข้าและเจ้าเด็กใหม่ของไอ้ท่านผู้เฒ่าอย่างเร่งด่วน เพราะฉะนั้น...คงให้พวกเจ้ามาขวางไม่ได้หรอก "

 

      " ฮ...เฮ้ย! ป...ประเดี๋ยว "

 

        โครม!  เป๊าะ!

 

        ยังไม่ทันสิ้นเสียงห้ามของชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ง้าวที่ยังคงคลุมส่วนปลายง้าวไว้ด้วยถุงหนังก็ฟาดวูบเข้าที่กลางตัวของลูกน้องเขา ๒ คน ด้วยความรุนแรงที่ส่งผลให้ชายฉกรรจ์ที่สูงท่วมหัวหญิงสาวร่างน้อยนางนี้ถึงกับลอยเป็นวาวป่านขาดจนตกจากศาลาลงไปนอนแน่นิ่งทันที

 

      " ฮ...เฮ้ย! "

 

      " อย่าห่วงไปเลยน่า ข้าฟาดด้วยสันง้าว ไม่ถึงตายหรอก...แต่เอ...เมื่อครู่กะแรงผิดไปนิด เหมือนจะได้ยินเสียกระดูกซี่โครงหักเลยแฮะ "

 

      " ม...มึง! "

 

        โครม!

 

      " อย่าห่วงไปเลย...ไอ้เรื่องบุกจวนเจ้าเด็กนั่น...ประเดี๋ยวข้าจะสานต่อเจตนารมณ์ของพวกเจ้าเอง "  หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงหวานใสพร้อมกับรอยยิ้มยิงฟันแสนน่ารัก แต่รอยยิ้มนี้กลับมาในช่วงเสี้ยววินาทีเดียวกับที่เธอกำลังเงื้อง้าวขนาดหนักขึ้นสุดเหยียด และเตรียมฟาดลงมาอีกครั้ง นั่นทำให้พวกชายฉกรรจ์ที่เหลือถึงกับหน้าซีดเผือดทันที

 

      " ฮ...เฮ้ย! ย...อย่าพึ่ง! "

 

        โครม!!

 

 

 

 .................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา