เจ้าชายกระจก yaoi
-
เขียนโดย แฟนรอน
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.45 น.
8 บท
0 วิจารณ์
11.24K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559 06.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ" ยินดีที่ได้พบกัน เจ้าหญิงแอนดันเต้ " พระราชาบิซซาร์ตรัส
แอนดันเต้ถอนสายบัวเบื้องพระพักตร์ประมุขแห่งบิซซาร์ พระโอรสของพระองค์ เจ้าชายบิซซาร์ว่าที่เจ้าบ่าว... เอิ่ม แม่ครับ บอกว่าหล่อกว่าผม ผมหล่อกว่าเยอะคร้าบ เจ้าชายตัวสั้น คางเหลี่ยม มองแอนดันเต้อย่างสนอกสนใจครู่แรก แล้วยืนเหม่อลอย ท่าทางก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเช่นกัน คงถูกพ่อแม่บังคับมา มื้ออาหารเลี้ยงจัดขึ้นต้อนรับการมาของราชวงศ์มิราฌ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยสนทนาด้วยไมตรีและคุ้นเคย เจ้าหญิงมิราฌกับเจ้าชายบิซซาร์ หมากการเมืองตัวสำคัญเสวยอาหารอย่างสงบเสงี่ยม แอนดันเต้เพิ่งรู้จากที่ได้ยินว่ามิราฌเคยขอไว้ว่าไม่ต้องการให้พิธีหมั้นเอิกเกริก วันนี้บิซซาร์ยืนยันว่าจะมีเฉพาะพระญาติทางฝ่ายบิซซาร์ ขุนนาง และพระสหายสนิทจากเมืองอื่นมาร่วมพิธีเท่านั้น ราชินีบิซซาร์คอยทักถามว่าที่ลูกสะไภ้อยู่เรื่อยๆ เจ้าหญิงแอนดันเต้แย้มสรวล ถ้อยความตอบโต้นิ่มนวลเรียบร้อยไม่ขัดเขิน มารยาทสำหรับเจ้าหญิงที่พระราชินีแนะในขบวนเสด็จทรงปฎิบัติไม่ได้ขาดตกบกพร่อง พระบิดาแอบส่งยิ้มชม
แอนดันเต้ต้องอยู่ที่นี่อีกคืนเพื่อรอฤกษ์ประกอบพิธีหมั้น ทุกหนทุกแห่งในวังวุ่นวายอยู่ในช่วงจัดเตรียมพิธี ระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ พ่อแม่ของแอนดันเต้ก็อยู่ช่วยเตรียมงาน แอนดันเต้เดินเล่นเรื่อยเปื่อยรอบพระราชวัง จนผู้ใหญ่บอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ อย่าเดินเพ่นพ่าน ทางบิซซาร์จัดสถานที่ให้ว่าที่พระคู่หมั้นอยู่รอพิธีโดยเฉพาะ แอนดันเต้ว่ามันเผด็จการชะมัด กับการกักเขาไว้ในหอคอย หอคอยตะวันตกค่อนข้างเก่าถูกบูรณะรักษาอย่างดี หอคอยนี้อาจมีความหมายในประวัติศาสตร์บิซซาร์ ห้องของแอนดันเต้อยู่บนสุด จัดตบแต่งเรียบง่ายไม่หรูหรา เจ้าหญิงถูกห้ามลงมาจนกว่าจะถึงพิธี มีนางคอยรับใช้หากขาดเหลือสิ่งใด นางเหล่านี้มักไม่อยู่ร่วมห้อง นานๆจะปรากฏกายสักที ทำนู่นทำนี่ให้เขาแล้วจากไป แอนดันเต้รอคอยด้วยความเบื่อหน่าย เดินสำรวจข้าวของรอบห้อง มีห้องเล็กๆสำหรับอาบ มีโต๊ะเครื่องแป้งที่มีดาบเก่าๆวางไว้ ท่าจะวางมาทั้งชาติ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าชายโรคจิตชอบลักพาผู้หญิงมาขังไว้บนหอคอยเพื่อรอวันอภิเษก ดาบดุจจะเป็นตัวเลือก... ทางที่เจ้าจะออกจากหอนี้ได้คืออภิเษกกับเจ้าชาย รึว่าเจ้าจะโดดจากหอคอย หรือไม่ก็จงใช้ดาบเล่มนี้ปลิดชิพตนเสีย สุดท้าย กี่นางต่อกี่นางก็เลือกความตาย ด้วยเหตุนี้หอคอยนี้จึงเป็นที่เล่าลือว่าผีดุ หอคอยที่ทั้งเก่าทั้งเฮี้ยน และนิทานเรื่องนี้ก็จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง
" กรี๊ดดดดด " สาวใช้ถือสำรับเข้ามา เห็นเจ้าหญิงยืนกางแขนกางขาบนขอบหน้าต่าง หลับตาพริ้ม เรือนผมสีแดงของเธอและชายกระโปรงยาวๆพัดพลิ้วสะบัด
" เจ้าหญิงทำอะไรเพคะ ลงมานะเพคะ "
" ดูนั่นสิ " เธอชี้ออกไปที่ปุยเมฆขาวพร่าง " เธอ เห็นนั่นใหม " สาวใช้มองตามดรรชนีเจ้าหญิง ไม่เห็นอะไรสักอย่างผิดไปจากฟากฟ้าธรรมดาๆ
" อะไรเพคะ "
" อิสระภาพ "
" ......... "
" กลิ่นสายลมหอมจัง กลิ่นดอกไม้จากสรวงสวรรค์ " สายตาสีฟ้าหยาดเยิ้มเบือนหันมา ดวงหน้าหวานลำ้ที่คนจะจดจำไปตลอดกาล " เรากำลังจะบินบินไปหาปุยเมฆขาวนั่น "
" กรี๊ดดดด อย่านะเพคะ เจ้าหญิงบินไม่ได้นะเพคะ มันอันตรายนะเพคะ "
" บินได้สิ เราบินได้นะ ประเดี๋ยวเราจะบินให้ดู "
" อย่านะเพคะ " สาวใช้หวีดร้อง ถาดสำรับเอียงกระเท่เร่ ถ้วยชามบรรจุอาหารกำลังเทเอียงไปในทิศทางเดียวกัน แอนดันเต้กระโดดลงมารับถาดก่อนมันจะหกควำ่ อูย เสียดายอาหาร โห เนื้อย่างหอมจัง เจ้าหญิงยกถาดจากอ้อมอกสาวใช้มาตรงที่ประทับ เปิดฉากโซ้ยเอร็ดอร่อย สาวใช้สองคนยืนงง เดินเลียบเคียงเข้ามาถามยำ้ให้แน่ใจ
" เจ้าหญิง ไม่บินแล้วใช่ใหมเพคะ "
" ฮื่ิอ เราหิวแล้ว "
" ไม่บินอีกแล้วนะเพคะ "
" ฮื่อ เราเบื่อแล้ว " ทั้งสองถอนใจอย่างโล่งอก มองเจ้าหญิงทานอย่างเจริญอาหาร สาวใช้คนนึง น่าสงสารเจ้าหญิงมิราฌถูกกักพื้นที่จนเครียดเพี้ยนไปแล้วสาวใช้อีกคนหนึ่ง น่าสงสารเจ้าชายบิซซาร์์ ได้เจ้าสาวไม่เต็มบาท!!แล้วนิทานเรื่องนี้ก็จบอย่างแฮปปี้ เจ้าหญิงและสาวใช้ทั้งสองก็มีความสุขตลอดไป
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน แอนดันเต้ผู้สำรวจห้องจนเบื่อทำได้แต่นั่งๆนอนๆและเกาะหน้าต่างชมทิวทัศน์ท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีใช้ดูต่างนาฬิกา ท้องฟ้าสีชมพูอมส้มก่อนรัตติเทวามาครอง มังกรอีวองมาไวกว่า มันบินมาเทียบหน้าต่าง ขยับปีกพยุงตัว พัดลมอัดเข้ามาในห้องทึบจนผมสีแดงของแอนดันเต้ลู่ไปข้างหลัง
" เลอเซลบอกข้าได้รึยัง นางต้องการของแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งใด ถ้าเกิดจะเอาอวัยวะจำพวก อย่างตา เอ่อ.. อย่างไต.. "
" เลอเซลไม่ต้องการของพรรค์นั้นหรอก "
" นางต้องการอะไร ข้ายังสามารถกลับเป็นผู้ชายอยู่ใช่ใหม "
" แน่นอน นี่คือภาพลวงตาหาใช่ร่างจริงไม่ ภาพลวงตาจะสิ้นสลายภายในระยะประมาณสามเดือน เมื่อจบพิธีหมั้น นางจะให้ท่านออกไปเอาคัมภีร์เล่มหนึ่งมาให้นาง ส่วนข้อมูลรายละเอียดนางจะบอกท่านเมื่อเวลาที่ท่านพร้อมมาถึง " แอนดันเต้ถามว่าคัมภีร์อยู่ที่ใด คำตอบจากอีวองคืออยู่ในที่ๆมนุษย์ธรรมดาเข้าได้ แต่ปิศาจไม่อาจผ่าน " นางจึงต้องยืมมือเจ้าชาย "
อีวองคายขวดจิ๋วลงกับพื้น มันกลิ้งขลุกเปื้อนนำ้ลายบนพื้นเป็นทางยาว แอนดันเต้ตามไปฉวยขึ้นมา เช็ดกับกระโปรง อีวองหัวเราะเขินๆ แล้วกระแอม
" นั่นเป็นยาแก้ เมื่อท่านต้องการให้ร่างลวงตาหายไป ซึ่งมันจะมีฤทธิ์อยู่ได้ครึ่งวันต่อหยด ถ้าเจ้าชายเสวยเยอะฤทธิ์จะสำแดงคงอยู่ตามปริมาณไปด้วย จนครบสามเดือน ร่างภาพลวงจะสิ้นประสิทธิภาพหายไปเองท่านต้องเสวยนำ้ยาต่อมนต์จากเลอเซล หากท่านจำเป็นต้องใช้งานภาพลวง เเล้วเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสามคน " เจ้ามังกรเนียนนับรวมตัวเองเป็นคน เสียงกำไลกระทบกัน เสียหยอกกันคิกคัก เสียงของหนักลากครูดพื้น เสียงเอ็ด ดังมาจากบันได อีวองบอกลา แอนดันเต้บ๊ายบาย มันบินจากไปจนกระทั่งร่างย่อเล็กลงเป็นขีดเท่าอีกากลางผืนฟ้าสนธยากาล
แอนดันเต้ถูกเชิญเข้าห้องสรง ขัดถูอบด้วยสมุนไพร เป็นเจ้าหญิงอบสมุนไพรทรงเครื่องพร้อมเสิร์ฟ เสร็จแล้วนางกำนัลผู้จีบปากจีบคอยกยอความงาม ไม่รวมนางรับใช้ที่ยืนอยู่ห่างๆคอยส่งอุปกรณ์เสริมสวยและเครื่องประดับจากหีบใบเล็กใบใหญ่ที่พากันขนขึ้นมา ต่างพากันรุมกลุ้มแต่งตัวทำราวเขาเป็นตุ๊กตา ดีจริงๆที่ไม่ต้องเป็นผู้หญิงตลอดชีวิต ทรมานชะมัด น่าเบื่ออีกต่างหากแต่ต้องกัดฟันทนให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเสียที นางบอกว่าอีกสองชั่วโมงได้ฤกษ์ ให้เจ้าหญิงสวมผ้าคลุมตามธรรมเนียมบิซซาร์รอเจ้าชายกับพระญาติขึ้นมารับลงไปเข้าพิธี เมื่อนางประโคมเขาจนเครื่องประดับพร่องลงเกือบหมดหีบ ก็พากันลงไปทิ้งเขาอยู่ตามลำพังกับบรรดาหีบ เสียงงานเลี้ยงครึกครื้นตั้งแต่เมื่อเย็น เริ่มซาลงและเงียบไปตั้งแต่เมื่อไรกันนะ แอนดันเต้ปลดเครื่องประดับหยุมหยิมออกไปบ้าง เฮ้อ รู้สึกตัวเบาสบายขึึ้นหน่อย พวกเครื่องประดับชิ้นเล็กน้อยก็จริง พอมารวมกันหลากชิ้นมันก็หนักเอาการ
ประตูเลื่อนเปิดออก ผู้ที่ก้าวเข้ามาอย่างผึ่งผายคือบุรุษผู้หนึ่งปิดกายและอำพรางใบหน้า เขามาเพียงลำพัง
" ข้ามารับเจ้าสาวของข้า ท่านคือเจ้าหญิงแอนดันเต้ใช่หรือไม่ "
แอนดันเต้เพ่งมองผ่านผ้าคลุมศีรษะบางเบาเนื้อละเอียดให้แน่ชัดกับสายตา เรือนกายสูงบึกบึนสมสง่านั้นผิดจากเจ้าชายบิซซาร์อย่างสิ้นเชิง แอนดันเต้เผลอหลุดปากออกไปว่าใช่แล้วต้องกลั้นใจยาวเมื่อ ชายผู้นั้นชักดาบออกจากฝัก คมดาบเปลือยเปล่าสะท้อนแสงจันทร์วาววับ แอนดันเต้กำขวดจิ๋วในกระเป๋ากระโปรงแน่น พริบตาดาบนั้นวาดมาจ่อที่คอไวพอๆกับร่างเจ้าของก้าวประชิด มือนึงเลิกผ้าคลุมหน้าโยนเหวี่ยงออกไป ตาสีฟ้าเบิกกว้างเมื่อโฉมเจ้าหญิงกระจ่างประจักษ์ต่อสายตา
" บอกมา... เจ้าหญิงแอนดันเต้อยู่ที่ใด ทำไมแกมานั่งตรงนี้ " หืมม์ บอกไปก็โง่ เขาดูไม่เหมือนผู้หญิงขนาดนั้นเทียวรึ
" ฉันให้โอกาสแกอีกครั้ง ฉันไม่มีเวลามาก "
" นางหนีไปแล้ว นางไม่อยากหมั้น "
" นานรึยัง "
" เมื่ิอตะกี้ ถ้าท่านตามไปอาจยังทัน " สายตาบุรุษปริศนามองไปทางบานหน้าต่างโดยอัติโนมัติ ดาบยังจ่อคอ
" แล้วแกเป็นใคร สะเออะมานั่งแทนหล่อน เป็นผู้ชายจะสวมรอยเป็นเจ้าสาวได้ไง "
" นางหาใครไม่ได้จึงใช้ฉันถ่วงเวลาไปพรางๆ " ดาบเลื่อนห่างจากคอไปมากเหมือนเจ้าของตายใจ แอนนูร่าถีบร่างนั้นออกวิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่มีดาบเก่าๆวางอยุู่ ผ่านกระจกแว่บหนึ่ง เห็็นตนเป็นชายโดยสมบูรณ์ ดึงดาบจากฝัก จ่อรอเตรียมต่อสู้ เพราะปล่อยไปโดยไม่รู้สาเหตุไม่ได้แล้ว ตัวเท่ากัน อายุคะเนคงไล่เลี่ยกันดันมาฆ่าเด็กผู้หญิง เด็กคนนั้นคืิอเขาเสียด้วย ขอได้รู้ความจริงหน่อยเถอะ
" แล้วแกเป็นใคร มีความแค้นอะไรกับเจ้าหญิงแอนดันเต้ "
" แท้จริงแล้วเเกเป็นอะไรกับเจ้าหญิงองค์นั้นกันแน่ เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง รึว่าคนแอบรัก หึ หึ จึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนขนาดเอาดาบเก่าเส็งเคร็งมาสู้กับชั้น "
" ฉันคือองครักษ์ของนาง แล้ว ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครจะปองร้ายนางไปทำไมเพื่ออะไร "
" องครักษ์ หึ หึ " เพียงแค่งัดดาบไม่กี่ทีดาบที่รวดเร็วเฉียบขาดนั่นก็ทำให้ดาบผอมเก่าต้านไม่อยู่และหักสะบั้นหล่นเคร้งในที่สุด แต่ถึงมีดาบที่เสมอภาคฝีดาบชายผู้นี้ก็ทำให้เจ้าชายรู้ว่าไม่อาจต้านทานได้ทั้งชั้นเชิงและพลัง ดาบนั้นหวนมาจ่อแอนนูร่าอีกครั้ง แอนนูร่าตะแคงแก้มที่มีคมดาบเย็นเฉียบแนบขึ้นมอง ชายผู้นั้นยิ้ม
" นี่หรือ องครักษ์ส่วนตัวเจ้าหญิง ฉไนฝีมือจึงปวกเปียกปานผู้ไม่เคยต้องดาบ วันๆคงจะไม่ฝึกเอาแต่เดินตามก้นนางต้อยๆ นี่นางคงจะทิ้งแกไว้กับผ้าคลุมเจ้าสาว เอาองครักษ์คนอื่นๆไปคุ้มกันเป็นขโยงสินะ " ไม่ใช่เฟ้ย แอนนูร่าและแอนดันเต้คนนี้ขอยืนยัน ถึงจะอายเหมือนกันที่ถูกสบประมาทซึ่งหน้าแต่ปล่อยให้มันคิดไปเป็นตุเป็นตะแบบนี้ดีแล้ว ดีกว่ามันรู้ความจริง นายคนนี้เก็บดาบลงฝัก
" เปล่าประโยชน์ที่จะจ่อดาบกับคนไร้ทางสู้แบบแก ลุกขึ้นแล้วไปกับชั้น พาชั้นไปหานาง ว่านางหนีไปที่ใด "
" ชั้นไม่รู้ "
" ไป " ชายตานำ้เงินขึ้นเสียงหงุดหงิด แอนนูร่าวิ่งเข้าชาร์จหวังจะล้มชายผู้นี้ด้วยมือเปล่า แต่ถูกซ้อมและดัดแขนไว้ข้างหลัง หัวเราะเย้ย " อย่างี่เง่า ไอ้คนอ่อนปวกเปียก ไป ก่อนที่มือสังหารคนอื่นๆจะขึ้นมาชั้นขี้เกียจสู้ เสียเวลา " แอนนูร่าตกใจ
" ยังมีคนอื่นๆอีกรึมาฆ่าเจ้าหญิง "
" หึ หึ นี่คือทายาทมิราฌเชียวนะ กว่าจะออกจากมิราฌมาได้ ต้องชิงลงมือ "
บรรยากาศเงียบเชียบผิดปกติ ไร้ซึ่งเสียงงานรื่นเริงแว่วให้ได้ยิน ป่านฉะนี้แล้ว เจ้าชายบิซซาร์และพระญาติยังไม่ขึ้นมา..ชายตาสีนำ้เงินเป่านกหวีด มังกรตัวย่อมเข้าเทียบหน้าต่าง
" ขึ้นไป " ชายตานำ้เงินกระตุ้น
แอนนูร่าปีนหน้าต่าง นั่งคร่อมบนหลังมัน ชายตานำ้เงินขึ้นซ้อนด้านหลัง นักฆ่าสองคนเปิดประตูบุกเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ เค้าให้เจ้าบ่าวบิซซาร์ขึ้นมาคนแรกหลังจากเจ้าสาวคลุมหน้ารอเฟ้ย นี่อะไรกัน นึกจะเข้ามาก็เข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า บุกเข้ามาเป็นฝูง
" งี่เง่า " แอนนูร่าได้ยินเสียงสบถด้านหลัง มังกรออกตัวทยานบิน มันบินตัดวัง ด้วยระยะความสูงแอนนูร่ามองลงไปเห็นร่างนอนเกลื่อนกลาดของทหารและคนอื่นๆ!!
" ทุกคนตายกันหมดแล้วหรือ... " เจ้าชายครางหวิว
" เปล่า แค่สลบเพราะถูกรมยา ขี้เกียจฆ่า คนตั้งเยอะ เก็บไว้ฆ่าเจ้าหญิงเพียงดาบเดียว "
" ผมไม่รู้จริงๆนางอยู่ใหน ถึงเอาผมมาก็เปล่าประโยชน์ "
" เจ้าหญิงมีแนวโน้มจะไปที่ใหนมากที่สุด " ถ้าตูเป็นองครักษ์จริงคงบอกหรอก แต่แอนนูร่าก็บอกตามจริง
" นางหนีไปกับชายชู้แล้ว "
" เอ๋ "
" ท่านคิดว่าเจ้าหญิงแอนดันเต้จะเรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมนั่งเอ๋อรอจนมือสังหารเข้ามาปลิดชีพนางตามอำเภอใจรึไง หนีไปกับชู้รักไม่ดีกว่าหรือ "
" เเกพูดอย่างกับเจ้าหญิงรู้ล่วงหน้าว่ามีคนมาฆ่านาง "
" นางรู้ไม่รู้ไม่เกี่ยวกับผม เพราะเรามันคนละคน เจ้าหญิงอยู่ส่วนเจ้าหญิง องครักษ์อยู่ส่วนองครักษ์ "
" แกนี่พูดจาวกวนนะ "
" คือผมจะบอกว่า เจ้าหญิงอยู่ส่วนเจ้าหญิง องครักษ์อยู่ส่วนองครักษ์ ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้นปล่อยผมดีกว่า เรามันคนละคน " ชายตานำ้เงินหัวเราะคึคึ
" ได้แน่นอน ถ้าแกให้ความร่วมมือดีๆ จนชั้นสังหารเจ้าหญิงแอนดันเต้ได้ด้วยตัวชั้นเอง "
" คำก็ฆ่าเจ้าหญิงสองคำก็สังหารเจ้าหญิง ท่านไม่เบื่อรึไง ผมฟังจนเอียนแล้ว " ายตานำ้เงินชกหัวแอนนูร่าทีนึง เงียบกันไป
" ท่านบอกว่ากว่าจะสังหารเจ้าหญิงได้มีแค่โอกาสนี้เพราะนางไม่เคยออกจากมิราฌเลย ก็เพราะนางไม่เคยไปที่อื่นใด ไปที่มิราฌท่านอาจพบนาง นางมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น อาจไปขอหลบซ่อน "
" เป็นไปไม่ได้ คนหนีงานหมั้นไม่กลับไปหลบซ่อนที่เมืองตนเองหรอก ชู้นางต้องพาหลบออกไปเมืองอื่น วังมิราฌ... สองเดือนมานี้ ใครสืบเอาจากชาวเมืองก็บอกกันว่านางป่วยอยู่แต่ในวัง มือสังหารหรือหน่วยเซียนหน้าใหนเข้าไป ไม่ว่าจะพยายามมาตลอดกี่คนต่อกี่คน คนเก่งๆประสบการณ์สูง เข้าไปหาเจ้าหญิงที่วังก็ไม่เคยพบ ชาวบ้านบางคนก็หลอกให้อยู่ฟังนิทานเพี้ยนๆ " แกจะหาเจ้าหญิงเจอได้ไง เพราะนางนอนแต่วังบน ไม่ชอบนอนวังล่าง ถึงจะหาเจอก็เจอแต่เจ้าชายเฟ้ยไม่มีเจ้าหญิงหรอก แอนนูร่านึกขอบคุณพระราชินีในใจ
" ท่านจะเอาชีวิตนางไปทำไมกัน "
" มันเป็นงาน ชั้นรับคำสั่งมา "
" เอาแค่เหตุผลเดียวกับที่มือสังหารทั้งหลายมาก็พอ คงเป็นเหตุผลเดียวกับเจ้านายท่าน "
" ปิศาจที่ถูกหน่วยเซียนจับไปทรมานบอกว่าทายาทมิราฌเก็บอาวุธรึมนต์ร้ายแรงไว้ให้ราชาปิศาจคืนชีพ ฉะนั้นเราจึงต้องกำจัดนางทิ้งเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ที่แห่มากันก็คงลักพาเจ้าหญิงแอนดันเต้ไปหวังได้อาวุธไปสร้างอำนาจ จากผู้นำแคว้นใดก็ตามที่ข่าวเล็ดลอดไปถึง " เลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว พวกแกนี่ไม่ใช้วิจารณญาณในการรับฟังเลย ผมคือคู่ครองของเค้าตะหาก ถ้าเจ้าชายเป็นอาวุธร้ายแรงของจริงป่านนี้ไอ้บ้านี่ล่วงไปจากหลังมังกรแล้ว
" ข่าวใหม่แฮะ ผมก็แค่องครักษ์ปลายแถว ถ้าท่านสังหารเจ้าหญิงไม่สำเร็จ... " บรรยากาศเครียดเขม็ง แอนนูร่าเหลียวกลับไปมอง สีหน้ามือสังหารดุดัน ย้อนถามกลับ
" หากเป็นแกทำงานที่รับมอบหมายไม่สำเร็จจะถูกลงโทษอย่างไร " อืมม์ แอนนูร่าคิดหนัก บทลงโทษที่ผู้ใหญ่ในเมืองมิราฌใช้
" ก็ถูกไล่ให้กลับบ้าน ตัดค่าแรง อดอาหารสักมื้อ ตัดฟืนเพิ่ม หาบนำ้ "
" เฮ้อ เกิดเป็นเเกนี่ช่างสบายเสียจริง "
" อย่างเช่นตอนนี้... ผมต้องกลับไปให้เค้าเห็นหน้า จะได้ไม่ถูกสงสัยในการหายตัวไปอย่างลึกลับของเจ้าหญิง ให้ผมกลับไปทำเป็นนอนสลบรอตื่นพร้อมพวกเค้า เอ่อ ถ้าจะให้ดีรบกวนไปส่งผมที ผมสัญญาจะไม่ปากโป้งเรื่องท่านหรอก " รีบเสริม
" ชีวิตมันไม่กระจอกขนาดนั้นหรอกนะ ในเมื่อไม่ได้เจ้าหญิง ชั้นจะไม่กลับไปมือเปล่าจะเอาแกไปให้เจ้านายเค้นความจริง "
" .....รุนแรงใหม "
" หุบปาก อย่าพูดมาก " เงียบไปพักใหญ่กับลมหวีดหวิว แอนนูร่าถาม
" ผมชื่อแอนนูร่า ท่านชื่ออะไร "
" จะรู้ไปทำไม "
" เวลาผมจะถามอะไรท่าน จะได้เรียกถูก จะเรียกว่าไอ้เบื๊อกแบบเพื่อนผมเรียกกัน ท่านคงจะไม่ชอบ ใช่ใหม ไอ้เบื๊อก " หน้าใสซื่อหันมาถามชายตานำ้เงินอยากต่อยหัวแดงๆอีกที แต่ก็กัดฟันบอก
" ชั้นชื่อเกลน "
" เกลนครับ ! สถานที่ที่ใช้เค้นความจริงยังอยู่อีกใกลใหม "
" เดินทางหนึ่งคืน พรุ่งนี้ถึง "
" อยู่เมืองอะไรเหรอ... "
" ชั้นไม่ได้พาแกไปเที่ยว แกจะช่วยสลดแล้วหุบปากอาลัยกับชีวิตที่ผ่านมาเถอะ "
" สีหน้าผมบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักท่านรึไง " แอนนูร่าหันไป ชี้หน้าตัวเองประกอบ
" สีหน้าแกมันทองไม่รู้ร้อนชัดๆ จะบอกให้นะ คนที่ถูกรีดความลับน่ะ ปางตายก่อนแล้วค่อยตาย "
บินจนรุ่ง เกลนพาแอนนูร่าแวะเมืองนึงระหว่างทางเพื่อหาอาหารสำหรับคนสองคนและมังกรหนึ่งตัวกิน เกลนพามังกรไปฝากที่คอกบริการรับฝากมังกร ใส่กุญแจมือเหล็กสีม่วงเลื่อมวาวลากแอนนูร่าเดินไป ระหว่างเดินผ่านโรงแรม แอนนูร่าหยุดเท้าใช้สายตาอ่อนเพลียมองอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่ได้หลับทั้งคืนจะหลับก็กลัวตกมังกร
" แวะหน่อยเหอะ นอนซักงีบ "
" ไม่ จะนอนไปใย เดี๋ยวเเกก็ได้หลับตลอดกาลแล้ว "
เกลนเลือกร้านข้างทาง เดินดุ่มเข้าไป มือสังหารกับเชลยนั่งทานอาหารมื้อเช้าไปเรื่อยๆ
" ท่านไม่ง่วงเลยเหรอ "
" เหอะ แค่คืนเดียวเล็กน้อย ชั้นเคยดักเฝ้าเหยื่อสามคืนติดกันโดยไม่งีบซักนิด และชั้นก็ทำภารกิจสำเร็จด้วย "
" ท่านผูกกุญแจมือร่วมกับชั้นตลอดเวลา ไม่กลัวชั้นอัดท่านชิงลูกกุญแจแล้วหนีไปเหรอ "
" ฮ่าฮ่า นำ้หน้าอย่างเเกเนี่ยนะจะอัดชั้น " นำ้หน้าอย่างแก.... เกลียดคำนี้จัง....
เกลนจ่ายทองค่าอาหารกับพ่อค้าที่มองกุญแจมือกับแอนนูร่าอย่างสนอกสนใจ พ่อค้ารู้จักกุญแจมือนี้ดี เกลนพาแอนนูร่าลากเดินกลับคอกมังกร ผ่านตรอกแคบๆที่แอนนูร่าหมายตาไว้ตั้งแต่เดินผ่านหนแรก จนเกือบสุดตรอกซึ่งทะลุออกถนน เขาชักดาบออกจากฝักสีข้างข้างซ้ายเกลน เอาดาบจ่อคอ ดันเซียนปราบจนหลังกระแทกกำแพง คมแหลมของมันกดผิวชายตาน้เงินจนเลือดซึมออกมา
" ชั้นไม่เคยเที่ยวฆ่าใครแบบแกตั้งแต่เกิดมา แต่แกจะเป็นรายแรกที่ชั้นจะฆ่าเพื่อความอยู่รอดของตัวเองถ้าแกไม่ส่งลูกกุญแจมาให้ชั้นเดี๋ยวนี้ " เกลนสบตาเอาจริงของแอนนูร่า คมดาบบาดลึกเป็นการเตือนจนแสบไปหมด เขาล้วงกุญแจจากกระเป๋าที่เล็กและลึกที่สุด ส่งให้
" ไขให้ที มือชั้นไม่ว่าง ถือดาบและจ่อคอแกอยู่ "
เกลนไขกุญแจช้าๆ ทั้งคู่มองตากันตลอดเวลา กุญแจคลายออกแอนนูร่าก็รวบแขนเซียนปราบทั้งที่ดาบจ่อคอ ล็อคมือสองข้างของเกลน ขบวนรถม้าคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านสวนไปมา แอนนูร่าผลักร่างเกลนไปอีกฝั่งก่อนที่รถม้าขบวนยาวจะวิ่งมาถึงเส้นยาแดงผ่าแปด เเอนนูร่าหันหลังเดินย้อนจากตรอกออกมา เสียงกรี๊ดจากข้างหลัง แอนนูร่าหันไปก็พบภาพที่ชวนตะลึง เกลนกระโดดลอยข้ามขบวนรถม้าลงมายืนกลางตรอก เพ่งสมาธิหน้าตาแดงกำ่บิดเบี้ยวพักหนึ่ง แอนนูร่าหยุดรอดูอย่างสงสัย กุญแจสีม่วงกลายเป็นเหล็กดำใหม้เกรียมล่วงจากข้อมือโจโจ้ มืออิสระดึงดาบออกจากปาก... เป็นดาบที่ส่องแสงสว่างมีรัศมีสีนำ้เงินลุกโชน เรียวปากบิดยิ้มร้าย เล่นมีดาบวิเศษอย่างงี้... ฝีดาบอย่างงี้... กระโดดทีใกลเป็นโยชน์... หลอมเหล็กใหม้ด้วยมือเปล่า... แอนนูร่าโยนดาบธรรมดาที่ทั้งหนักและเกะกะทิ้งข้างทาง โจนวิ่งเบียดกายปะปนเข้าไปในฝูงชนคลาคลำ่
แอนดันเต้ถอนสายบัวเบื้องพระพักตร์ประมุขแห่งบิซซาร์ พระโอรสของพระองค์ เจ้าชายบิซซาร์ว่าที่เจ้าบ่าว... เอิ่ม แม่ครับ บอกว่าหล่อกว่าผม ผมหล่อกว่าเยอะคร้าบ เจ้าชายตัวสั้น คางเหลี่ยม มองแอนดันเต้อย่างสนอกสนใจครู่แรก แล้วยืนเหม่อลอย ท่าทางก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเช่นกัน คงถูกพ่อแม่บังคับมา มื้ออาหารเลี้ยงจัดขึ้นต้อนรับการมาของราชวงศ์มิราฌ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยสนทนาด้วยไมตรีและคุ้นเคย เจ้าหญิงมิราฌกับเจ้าชายบิซซาร์ หมากการเมืองตัวสำคัญเสวยอาหารอย่างสงบเสงี่ยม แอนดันเต้เพิ่งรู้จากที่ได้ยินว่ามิราฌเคยขอไว้ว่าไม่ต้องการให้พิธีหมั้นเอิกเกริก วันนี้บิซซาร์ยืนยันว่าจะมีเฉพาะพระญาติทางฝ่ายบิซซาร์ ขุนนาง และพระสหายสนิทจากเมืองอื่นมาร่วมพิธีเท่านั้น ราชินีบิซซาร์คอยทักถามว่าที่ลูกสะไภ้อยู่เรื่อยๆ เจ้าหญิงแอนดันเต้แย้มสรวล ถ้อยความตอบโต้นิ่มนวลเรียบร้อยไม่ขัดเขิน มารยาทสำหรับเจ้าหญิงที่พระราชินีแนะในขบวนเสด็จทรงปฎิบัติไม่ได้ขาดตกบกพร่อง พระบิดาแอบส่งยิ้มชม
แอนดันเต้ต้องอยู่ที่นี่อีกคืนเพื่อรอฤกษ์ประกอบพิธีหมั้น ทุกหนทุกแห่งในวังวุ่นวายอยู่ในช่วงจัดเตรียมพิธี ระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ พ่อแม่ของแอนดันเต้ก็อยู่ช่วยเตรียมงาน แอนดันเต้เดินเล่นเรื่อยเปื่อยรอบพระราชวัง จนผู้ใหญ่บอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ อย่าเดินเพ่นพ่าน ทางบิซซาร์จัดสถานที่ให้ว่าที่พระคู่หมั้นอยู่รอพิธีโดยเฉพาะ แอนดันเต้ว่ามันเผด็จการชะมัด กับการกักเขาไว้ในหอคอย หอคอยตะวันตกค่อนข้างเก่าถูกบูรณะรักษาอย่างดี หอคอยนี้อาจมีความหมายในประวัติศาสตร์บิซซาร์ ห้องของแอนดันเต้อยู่บนสุด จัดตบแต่งเรียบง่ายไม่หรูหรา เจ้าหญิงถูกห้ามลงมาจนกว่าจะถึงพิธี มีนางคอยรับใช้หากขาดเหลือสิ่งใด นางเหล่านี้มักไม่อยู่ร่วมห้อง นานๆจะปรากฏกายสักที ทำนู่นทำนี่ให้เขาแล้วจากไป แอนดันเต้รอคอยด้วยความเบื่อหน่าย เดินสำรวจข้าวของรอบห้อง มีห้องเล็กๆสำหรับอาบ มีโต๊ะเครื่องแป้งที่มีดาบเก่าๆวางไว้ ท่าจะวางมาทั้งชาติ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าชายโรคจิตชอบลักพาผู้หญิงมาขังไว้บนหอคอยเพื่อรอวันอภิเษก ดาบดุจจะเป็นตัวเลือก... ทางที่เจ้าจะออกจากหอนี้ได้คืออภิเษกกับเจ้าชาย รึว่าเจ้าจะโดดจากหอคอย หรือไม่ก็จงใช้ดาบเล่มนี้ปลิดชิพตนเสีย สุดท้าย กี่นางต่อกี่นางก็เลือกความตาย ด้วยเหตุนี้หอคอยนี้จึงเป็นที่เล่าลือว่าผีดุ หอคอยที่ทั้งเก่าทั้งเฮี้ยน และนิทานเรื่องนี้ก็จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง
" กรี๊ดดดดด " สาวใช้ถือสำรับเข้ามา เห็นเจ้าหญิงยืนกางแขนกางขาบนขอบหน้าต่าง หลับตาพริ้ม เรือนผมสีแดงของเธอและชายกระโปรงยาวๆพัดพลิ้วสะบัด
" เจ้าหญิงทำอะไรเพคะ ลงมานะเพคะ "
" ดูนั่นสิ " เธอชี้ออกไปที่ปุยเมฆขาวพร่าง " เธอ เห็นนั่นใหม " สาวใช้มองตามดรรชนีเจ้าหญิง ไม่เห็นอะไรสักอย่างผิดไปจากฟากฟ้าธรรมดาๆ
" อะไรเพคะ "
" อิสระภาพ "
" ......... "
" กลิ่นสายลมหอมจัง กลิ่นดอกไม้จากสรวงสวรรค์ " สายตาสีฟ้าหยาดเยิ้มเบือนหันมา ดวงหน้าหวานลำ้ที่คนจะจดจำไปตลอดกาล " เรากำลังจะบินบินไปหาปุยเมฆขาวนั่น "
" กรี๊ดดดด อย่านะเพคะ เจ้าหญิงบินไม่ได้นะเพคะ มันอันตรายนะเพคะ "
" บินได้สิ เราบินได้นะ ประเดี๋ยวเราจะบินให้ดู "
" อย่านะเพคะ " สาวใช้หวีดร้อง ถาดสำรับเอียงกระเท่เร่ ถ้วยชามบรรจุอาหารกำลังเทเอียงไปในทิศทางเดียวกัน แอนดันเต้กระโดดลงมารับถาดก่อนมันจะหกควำ่ อูย เสียดายอาหาร โห เนื้อย่างหอมจัง เจ้าหญิงยกถาดจากอ้อมอกสาวใช้มาตรงที่ประทับ เปิดฉากโซ้ยเอร็ดอร่อย สาวใช้สองคนยืนงง เดินเลียบเคียงเข้ามาถามยำ้ให้แน่ใจ
" เจ้าหญิง ไม่บินแล้วใช่ใหมเพคะ "
" ฮื่ิอ เราหิวแล้ว "
" ไม่บินอีกแล้วนะเพคะ "
" ฮื่อ เราเบื่อแล้ว " ทั้งสองถอนใจอย่างโล่งอก มองเจ้าหญิงทานอย่างเจริญอาหาร สาวใช้คนนึง น่าสงสารเจ้าหญิงมิราฌถูกกักพื้นที่จนเครียดเพี้ยนไปแล้วสาวใช้อีกคนหนึ่ง น่าสงสารเจ้าชายบิซซาร์์ ได้เจ้าสาวไม่เต็มบาท!!แล้วนิทานเรื่องนี้ก็จบอย่างแฮปปี้ เจ้าหญิงและสาวใช้ทั้งสองก็มีความสุขตลอดไป
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน แอนดันเต้ผู้สำรวจห้องจนเบื่อทำได้แต่นั่งๆนอนๆและเกาะหน้าต่างชมทิวทัศน์ท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีใช้ดูต่างนาฬิกา ท้องฟ้าสีชมพูอมส้มก่อนรัตติเทวามาครอง มังกรอีวองมาไวกว่า มันบินมาเทียบหน้าต่าง ขยับปีกพยุงตัว พัดลมอัดเข้ามาในห้องทึบจนผมสีแดงของแอนดันเต้ลู่ไปข้างหลัง
" เลอเซลบอกข้าได้รึยัง นางต้องการของแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งใด ถ้าเกิดจะเอาอวัยวะจำพวก อย่างตา เอ่อ.. อย่างไต.. "
" เลอเซลไม่ต้องการของพรรค์นั้นหรอก "
" นางต้องการอะไร ข้ายังสามารถกลับเป็นผู้ชายอยู่ใช่ใหม "
" แน่นอน นี่คือภาพลวงตาหาใช่ร่างจริงไม่ ภาพลวงตาจะสิ้นสลายภายในระยะประมาณสามเดือน เมื่อจบพิธีหมั้น นางจะให้ท่านออกไปเอาคัมภีร์เล่มหนึ่งมาให้นาง ส่วนข้อมูลรายละเอียดนางจะบอกท่านเมื่อเวลาที่ท่านพร้อมมาถึง " แอนดันเต้ถามว่าคัมภีร์อยู่ที่ใด คำตอบจากอีวองคืออยู่ในที่ๆมนุษย์ธรรมดาเข้าได้ แต่ปิศาจไม่อาจผ่าน " นางจึงต้องยืมมือเจ้าชาย "
อีวองคายขวดจิ๋วลงกับพื้น มันกลิ้งขลุกเปื้อนนำ้ลายบนพื้นเป็นทางยาว แอนดันเต้ตามไปฉวยขึ้นมา เช็ดกับกระโปรง อีวองหัวเราะเขินๆ แล้วกระแอม
" นั่นเป็นยาแก้ เมื่อท่านต้องการให้ร่างลวงตาหายไป ซึ่งมันจะมีฤทธิ์อยู่ได้ครึ่งวันต่อหยด ถ้าเจ้าชายเสวยเยอะฤทธิ์จะสำแดงคงอยู่ตามปริมาณไปด้วย จนครบสามเดือน ร่างภาพลวงจะสิ้นประสิทธิภาพหายไปเองท่านต้องเสวยนำ้ยาต่อมนต์จากเลอเซล หากท่านจำเป็นต้องใช้งานภาพลวง เเล้วเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสามคน " เจ้ามังกรเนียนนับรวมตัวเองเป็นคน เสียงกำไลกระทบกัน เสียหยอกกันคิกคัก เสียงของหนักลากครูดพื้น เสียงเอ็ด ดังมาจากบันได อีวองบอกลา แอนดันเต้บ๊ายบาย มันบินจากไปจนกระทั่งร่างย่อเล็กลงเป็นขีดเท่าอีกากลางผืนฟ้าสนธยากาล
แอนดันเต้ถูกเชิญเข้าห้องสรง ขัดถูอบด้วยสมุนไพร เป็นเจ้าหญิงอบสมุนไพรทรงเครื่องพร้อมเสิร์ฟ เสร็จแล้วนางกำนัลผู้จีบปากจีบคอยกยอความงาม ไม่รวมนางรับใช้ที่ยืนอยู่ห่างๆคอยส่งอุปกรณ์เสริมสวยและเครื่องประดับจากหีบใบเล็กใบใหญ่ที่พากันขนขึ้นมา ต่างพากันรุมกลุ้มแต่งตัวทำราวเขาเป็นตุ๊กตา ดีจริงๆที่ไม่ต้องเป็นผู้หญิงตลอดชีวิต ทรมานชะมัด น่าเบื่ออีกต่างหากแต่ต้องกัดฟันทนให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเสียที นางบอกว่าอีกสองชั่วโมงได้ฤกษ์ ให้เจ้าหญิงสวมผ้าคลุมตามธรรมเนียมบิซซาร์รอเจ้าชายกับพระญาติขึ้นมารับลงไปเข้าพิธี เมื่อนางประโคมเขาจนเครื่องประดับพร่องลงเกือบหมดหีบ ก็พากันลงไปทิ้งเขาอยู่ตามลำพังกับบรรดาหีบ เสียงงานเลี้ยงครึกครื้นตั้งแต่เมื่อเย็น เริ่มซาลงและเงียบไปตั้งแต่เมื่อไรกันนะ แอนดันเต้ปลดเครื่องประดับหยุมหยิมออกไปบ้าง เฮ้อ รู้สึกตัวเบาสบายขึึ้นหน่อย พวกเครื่องประดับชิ้นเล็กน้อยก็จริง พอมารวมกันหลากชิ้นมันก็หนักเอาการ
ประตูเลื่อนเปิดออก ผู้ที่ก้าวเข้ามาอย่างผึ่งผายคือบุรุษผู้หนึ่งปิดกายและอำพรางใบหน้า เขามาเพียงลำพัง
" ข้ามารับเจ้าสาวของข้า ท่านคือเจ้าหญิงแอนดันเต้ใช่หรือไม่ "
แอนดันเต้เพ่งมองผ่านผ้าคลุมศีรษะบางเบาเนื้อละเอียดให้แน่ชัดกับสายตา เรือนกายสูงบึกบึนสมสง่านั้นผิดจากเจ้าชายบิซซาร์อย่างสิ้นเชิง แอนดันเต้เผลอหลุดปากออกไปว่าใช่แล้วต้องกลั้นใจยาวเมื่อ ชายผู้นั้นชักดาบออกจากฝัก คมดาบเปลือยเปล่าสะท้อนแสงจันทร์วาววับ แอนดันเต้กำขวดจิ๋วในกระเป๋ากระโปรงแน่น พริบตาดาบนั้นวาดมาจ่อที่คอไวพอๆกับร่างเจ้าของก้าวประชิด มือนึงเลิกผ้าคลุมหน้าโยนเหวี่ยงออกไป ตาสีฟ้าเบิกกว้างเมื่อโฉมเจ้าหญิงกระจ่างประจักษ์ต่อสายตา
" บอกมา... เจ้าหญิงแอนดันเต้อยู่ที่ใด ทำไมแกมานั่งตรงนี้ " หืมม์ บอกไปก็โง่ เขาดูไม่เหมือนผู้หญิงขนาดนั้นเทียวรึ
" ฉันให้โอกาสแกอีกครั้ง ฉันไม่มีเวลามาก "
" นางหนีไปแล้ว นางไม่อยากหมั้น "
" นานรึยัง "
" เมื่ิอตะกี้ ถ้าท่านตามไปอาจยังทัน " สายตาบุรุษปริศนามองไปทางบานหน้าต่างโดยอัติโนมัติ ดาบยังจ่อคอ
" แล้วแกเป็นใคร สะเออะมานั่งแทนหล่อน เป็นผู้ชายจะสวมรอยเป็นเจ้าสาวได้ไง "
" นางหาใครไม่ได้จึงใช้ฉันถ่วงเวลาไปพรางๆ " ดาบเลื่อนห่างจากคอไปมากเหมือนเจ้าของตายใจ แอนนูร่าถีบร่างนั้นออกวิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่มีดาบเก่าๆวางอยุู่ ผ่านกระจกแว่บหนึ่ง เห็็นตนเป็นชายโดยสมบูรณ์ ดึงดาบจากฝัก จ่อรอเตรียมต่อสู้ เพราะปล่อยไปโดยไม่รู้สาเหตุไม่ได้แล้ว ตัวเท่ากัน อายุคะเนคงไล่เลี่ยกันดันมาฆ่าเด็กผู้หญิง เด็กคนนั้นคืิอเขาเสียด้วย ขอได้รู้ความจริงหน่อยเถอะ
" แล้วแกเป็นใคร มีความแค้นอะไรกับเจ้าหญิงแอนดันเต้ "
" แท้จริงแล้วเเกเป็นอะไรกับเจ้าหญิงองค์นั้นกันแน่ เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง รึว่าคนแอบรัก หึ หึ จึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนขนาดเอาดาบเก่าเส็งเคร็งมาสู้กับชั้น "
" ฉันคือองครักษ์ของนาง แล้ว ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครจะปองร้ายนางไปทำไมเพื่ออะไร "
" องครักษ์ หึ หึ " เพียงแค่งัดดาบไม่กี่ทีดาบที่รวดเร็วเฉียบขาดนั่นก็ทำให้ดาบผอมเก่าต้านไม่อยู่และหักสะบั้นหล่นเคร้งในที่สุด แต่ถึงมีดาบที่เสมอภาคฝีดาบชายผู้นี้ก็ทำให้เจ้าชายรู้ว่าไม่อาจต้านทานได้ทั้งชั้นเชิงและพลัง ดาบนั้นหวนมาจ่อแอนนูร่าอีกครั้ง แอนนูร่าตะแคงแก้มที่มีคมดาบเย็นเฉียบแนบขึ้นมอง ชายผู้นั้นยิ้ม
" นี่หรือ องครักษ์ส่วนตัวเจ้าหญิง ฉไนฝีมือจึงปวกเปียกปานผู้ไม่เคยต้องดาบ วันๆคงจะไม่ฝึกเอาแต่เดินตามก้นนางต้อยๆ นี่นางคงจะทิ้งแกไว้กับผ้าคลุมเจ้าสาว เอาองครักษ์คนอื่นๆไปคุ้มกันเป็นขโยงสินะ " ไม่ใช่เฟ้ย แอนนูร่าและแอนดันเต้คนนี้ขอยืนยัน ถึงจะอายเหมือนกันที่ถูกสบประมาทซึ่งหน้าแต่ปล่อยให้มันคิดไปเป็นตุเป็นตะแบบนี้ดีแล้ว ดีกว่ามันรู้ความจริง นายคนนี้เก็บดาบลงฝัก
" เปล่าประโยชน์ที่จะจ่อดาบกับคนไร้ทางสู้แบบแก ลุกขึ้นแล้วไปกับชั้น พาชั้นไปหานาง ว่านางหนีไปที่ใด "
" ชั้นไม่รู้ "
" ไป " ชายตานำ้เงินขึ้นเสียงหงุดหงิด แอนนูร่าวิ่งเข้าชาร์จหวังจะล้มชายผู้นี้ด้วยมือเปล่า แต่ถูกซ้อมและดัดแขนไว้ข้างหลัง หัวเราะเย้ย " อย่างี่เง่า ไอ้คนอ่อนปวกเปียก ไป ก่อนที่มือสังหารคนอื่นๆจะขึ้นมาชั้นขี้เกียจสู้ เสียเวลา " แอนนูร่าตกใจ
" ยังมีคนอื่นๆอีกรึมาฆ่าเจ้าหญิง "
" หึ หึ นี่คือทายาทมิราฌเชียวนะ กว่าจะออกจากมิราฌมาได้ ต้องชิงลงมือ "
บรรยากาศเงียบเชียบผิดปกติ ไร้ซึ่งเสียงงานรื่นเริงแว่วให้ได้ยิน ป่านฉะนี้แล้ว เจ้าชายบิซซาร์และพระญาติยังไม่ขึ้นมา..ชายตาสีนำ้เงินเป่านกหวีด มังกรตัวย่อมเข้าเทียบหน้าต่าง
" ขึ้นไป " ชายตานำ้เงินกระตุ้น
แอนนูร่าปีนหน้าต่าง นั่งคร่อมบนหลังมัน ชายตานำ้เงินขึ้นซ้อนด้านหลัง นักฆ่าสองคนเปิดประตูบุกเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ เค้าให้เจ้าบ่าวบิซซาร์ขึ้นมาคนแรกหลังจากเจ้าสาวคลุมหน้ารอเฟ้ย นี่อะไรกัน นึกจะเข้ามาก็เข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า บุกเข้ามาเป็นฝูง
" งี่เง่า " แอนนูร่าได้ยินเสียงสบถด้านหลัง มังกรออกตัวทยานบิน มันบินตัดวัง ด้วยระยะความสูงแอนนูร่ามองลงไปเห็นร่างนอนเกลื่อนกลาดของทหารและคนอื่นๆ!!
" ทุกคนตายกันหมดแล้วหรือ... " เจ้าชายครางหวิว
" เปล่า แค่สลบเพราะถูกรมยา ขี้เกียจฆ่า คนตั้งเยอะ เก็บไว้ฆ่าเจ้าหญิงเพียงดาบเดียว "
" ผมไม่รู้จริงๆนางอยู่ใหน ถึงเอาผมมาก็เปล่าประโยชน์ "
" เจ้าหญิงมีแนวโน้มจะไปที่ใหนมากที่สุด " ถ้าตูเป็นองครักษ์จริงคงบอกหรอก แต่แอนนูร่าก็บอกตามจริง
" นางหนีไปกับชายชู้แล้ว "
" เอ๋ "
" ท่านคิดว่าเจ้าหญิงแอนดันเต้จะเรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมนั่งเอ๋อรอจนมือสังหารเข้ามาปลิดชีพนางตามอำเภอใจรึไง หนีไปกับชู้รักไม่ดีกว่าหรือ "
" เเกพูดอย่างกับเจ้าหญิงรู้ล่วงหน้าว่ามีคนมาฆ่านาง "
" นางรู้ไม่รู้ไม่เกี่ยวกับผม เพราะเรามันคนละคน เจ้าหญิงอยู่ส่วนเจ้าหญิง องครักษ์อยู่ส่วนองครักษ์ "
" แกนี่พูดจาวกวนนะ "
" คือผมจะบอกว่า เจ้าหญิงอยู่ส่วนเจ้าหญิง องครักษ์อยู่ส่วนองครักษ์ ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้นปล่อยผมดีกว่า เรามันคนละคน " ชายตานำ้เงินหัวเราะคึคึ
" ได้แน่นอน ถ้าแกให้ความร่วมมือดีๆ จนชั้นสังหารเจ้าหญิงแอนดันเต้ได้ด้วยตัวชั้นเอง "
" คำก็ฆ่าเจ้าหญิงสองคำก็สังหารเจ้าหญิง ท่านไม่เบื่อรึไง ผมฟังจนเอียนแล้ว " ายตานำ้เงินชกหัวแอนนูร่าทีนึง เงียบกันไป
" ท่านบอกว่ากว่าจะสังหารเจ้าหญิงได้มีแค่โอกาสนี้เพราะนางไม่เคยออกจากมิราฌเลย ก็เพราะนางไม่เคยไปที่อื่นใด ไปที่มิราฌท่านอาจพบนาง นางมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น อาจไปขอหลบซ่อน "
" เป็นไปไม่ได้ คนหนีงานหมั้นไม่กลับไปหลบซ่อนที่เมืองตนเองหรอก ชู้นางต้องพาหลบออกไปเมืองอื่น วังมิราฌ... สองเดือนมานี้ ใครสืบเอาจากชาวเมืองก็บอกกันว่านางป่วยอยู่แต่ในวัง มือสังหารหรือหน่วยเซียนหน้าใหนเข้าไป ไม่ว่าจะพยายามมาตลอดกี่คนต่อกี่คน คนเก่งๆประสบการณ์สูง เข้าไปหาเจ้าหญิงที่วังก็ไม่เคยพบ ชาวบ้านบางคนก็หลอกให้อยู่ฟังนิทานเพี้ยนๆ " แกจะหาเจ้าหญิงเจอได้ไง เพราะนางนอนแต่วังบน ไม่ชอบนอนวังล่าง ถึงจะหาเจอก็เจอแต่เจ้าชายเฟ้ยไม่มีเจ้าหญิงหรอก แอนนูร่านึกขอบคุณพระราชินีในใจ
" ท่านจะเอาชีวิตนางไปทำไมกัน "
" มันเป็นงาน ชั้นรับคำสั่งมา "
" เอาแค่เหตุผลเดียวกับที่มือสังหารทั้งหลายมาก็พอ คงเป็นเหตุผลเดียวกับเจ้านายท่าน "
" ปิศาจที่ถูกหน่วยเซียนจับไปทรมานบอกว่าทายาทมิราฌเก็บอาวุธรึมนต์ร้ายแรงไว้ให้ราชาปิศาจคืนชีพ ฉะนั้นเราจึงต้องกำจัดนางทิ้งเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ที่แห่มากันก็คงลักพาเจ้าหญิงแอนดันเต้ไปหวังได้อาวุธไปสร้างอำนาจ จากผู้นำแคว้นใดก็ตามที่ข่าวเล็ดลอดไปถึง " เลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว พวกแกนี่ไม่ใช้วิจารณญาณในการรับฟังเลย ผมคือคู่ครองของเค้าตะหาก ถ้าเจ้าชายเป็นอาวุธร้ายแรงของจริงป่านนี้ไอ้บ้านี่ล่วงไปจากหลังมังกรแล้ว
" ข่าวใหม่แฮะ ผมก็แค่องครักษ์ปลายแถว ถ้าท่านสังหารเจ้าหญิงไม่สำเร็จ... " บรรยากาศเครียดเขม็ง แอนนูร่าเหลียวกลับไปมอง สีหน้ามือสังหารดุดัน ย้อนถามกลับ
" หากเป็นแกทำงานที่รับมอบหมายไม่สำเร็จจะถูกลงโทษอย่างไร " อืมม์ แอนนูร่าคิดหนัก บทลงโทษที่ผู้ใหญ่ในเมืองมิราฌใช้
" ก็ถูกไล่ให้กลับบ้าน ตัดค่าแรง อดอาหารสักมื้อ ตัดฟืนเพิ่ม หาบนำ้ "
" เฮ้อ เกิดเป็นเเกนี่ช่างสบายเสียจริง "
" อย่างเช่นตอนนี้... ผมต้องกลับไปให้เค้าเห็นหน้า จะได้ไม่ถูกสงสัยในการหายตัวไปอย่างลึกลับของเจ้าหญิง ให้ผมกลับไปทำเป็นนอนสลบรอตื่นพร้อมพวกเค้า เอ่อ ถ้าจะให้ดีรบกวนไปส่งผมที ผมสัญญาจะไม่ปากโป้งเรื่องท่านหรอก " รีบเสริม
" ชีวิตมันไม่กระจอกขนาดนั้นหรอกนะ ในเมื่อไม่ได้เจ้าหญิง ชั้นจะไม่กลับไปมือเปล่าจะเอาแกไปให้เจ้านายเค้นความจริง "
" .....รุนแรงใหม "
" หุบปาก อย่าพูดมาก " เงียบไปพักใหญ่กับลมหวีดหวิว แอนนูร่าถาม
" ผมชื่อแอนนูร่า ท่านชื่ออะไร "
" จะรู้ไปทำไม "
" เวลาผมจะถามอะไรท่าน จะได้เรียกถูก จะเรียกว่าไอ้เบื๊อกแบบเพื่อนผมเรียกกัน ท่านคงจะไม่ชอบ ใช่ใหม ไอ้เบื๊อก " หน้าใสซื่อหันมาถามชายตานำ้เงินอยากต่อยหัวแดงๆอีกที แต่ก็กัดฟันบอก
" ชั้นชื่อเกลน "
" เกลนครับ ! สถานที่ที่ใช้เค้นความจริงยังอยู่อีกใกลใหม "
" เดินทางหนึ่งคืน พรุ่งนี้ถึง "
" อยู่เมืองอะไรเหรอ... "
" ชั้นไม่ได้พาแกไปเที่ยว แกจะช่วยสลดแล้วหุบปากอาลัยกับชีวิตที่ผ่านมาเถอะ "
" สีหน้าผมบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักท่านรึไง " แอนนูร่าหันไป ชี้หน้าตัวเองประกอบ
" สีหน้าแกมันทองไม่รู้ร้อนชัดๆ จะบอกให้นะ คนที่ถูกรีดความลับน่ะ ปางตายก่อนแล้วค่อยตาย "
บินจนรุ่ง เกลนพาแอนนูร่าแวะเมืองนึงระหว่างทางเพื่อหาอาหารสำหรับคนสองคนและมังกรหนึ่งตัวกิน เกลนพามังกรไปฝากที่คอกบริการรับฝากมังกร ใส่กุญแจมือเหล็กสีม่วงเลื่อมวาวลากแอนนูร่าเดินไป ระหว่างเดินผ่านโรงแรม แอนนูร่าหยุดเท้าใช้สายตาอ่อนเพลียมองอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่ได้หลับทั้งคืนจะหลับก็กลัวตกมังกร
" แวะหน่อยเหอะ นอนซักงีบ "
" ไม่ จะนอนไปใย เดี๋ยวเเกก็ได้หลับตลอดกาลแล้ว "
เกลนเลือกร้านข้างทาง เดินดุ่มเข้าไป มือสังหารกับเชลยนั่งทานอาหารมื้อเช้าไปเรื่อยๆ
" ท่านไม่ง่วงเลยเหรอ "
" เหอะ แค่คืนเดียวเล็กน้อย ชั้นเคยดักเฝ้าเหยื่อสามคืนติดกันโดยไม่งีบซักนิด และชั้นก็ทำภารกิจสำเร็จด้วย "
" ท่านผูกกุญแจมือร่วมกับชั้นตลอดเวลา ไม่กลัวชั้นอัดท่านชิงลูกกุญแจแล้วหนีไปเหรอ "
" ฮ่าฮ่า นำ้หน้าอย่างเเกเนี่ยนะจะอัดชั้น " นำ้หน้าอย่างแก.... เกลียดคำนี้จัง....
เกลนจ่ายทองค่าอาหารกับพ่อค้าที่มองกุญแจมือกับแอนนูร่าอย่างสนอกสนใจ พ่อค้ารู้จักกุญแจมือนี้ดี เกลนพาแอนนูร่าลากเดินกลับคอกมังกร ผ่านตรอกแคบๆที่แอนนูร่าหมายตาไว้ตั้งแต่เดินผ่านหนแรก จนเกือบสุดตรอกซึ่งทะลุออกถนน เขาชักดาบออกจากฝักสีข้างข้างซ้ายเกลน เอาดาบจ่อคอ ดันเซียนปราบจนหลังกระแทกกำแพง คมแหลมของมันกดผิวชายตาน้เงินจนเลือดซึมออกมา
" ชั้นไม่เคยเที่ยวฆ่าใครแบบแกตั้งแต่เกิดมา แต่แกจะเป็นรายแรกที่ชั้นจะฆ่าเพื่อความอยู่รอดของตัวเองถ้าแกไม่ส่งลูกกุญแจมาให้ชั้นเดี๋ยวนี้ " เกลนสบตาเอาจริงของแอนนูร่า คมดาบบาดลึกเป็นการเตือนจนแสบไปหมด เขาล้วงกุญแจจากกระเป๋าที่เล็กและลึกที่สุด ส่งให้
" ไขให้ที มือชั้นไม่ว่าง ถือดาบและจ่อคอแกอยู่ "
เกลนไขกุญแจช้าๆ ทั้งคู่มองตากันตลอดเวลา กุญแจคลายออกแอนนูร่าก็รวบแขนเซียนปราบทั้งที่ดาบจ่อคอ ล็อคมือสองข้างของเกลน ขบวนรถม้าคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านสวนไปมา แอนนูร่าผลักร่างเกลนไปอีกฝั่งก่อนที่รถม้าขบวนยาวจะวิ่งมาถึงเส้นยาแดงผ่าแปด เเอนนูร่าหันหลังเดินย้อนจากตรอกออกมา เสียงกรี๊ดจากข้างหลัง แอนนูร่าหันไปก็พบภาพที่ชวนตะลึง เกลนกระโดดลอยข้ามขบวนรถม้าลงมายืนกลางตรอก เพ่งสมาธิหน้าตาแดงกำ่บิดเบี้ยวพักหนึ่ง แอนนูร่าหยุดรอดูอย่างสงสัย กุญแจสีม่วงกลายเป็นเหล็กดำใหม้เกรียมล่วงจากข้อมือโจโจ้ มืออิสระดึงดาบออกจากปาก... เป็นดาบที่ส่องแสงสว่างมีรัศมีสีนำ้เงินลุกโชน เรียวปากบิดยิ้มร้าย เล่นมีดาบวิเศษอย่างงี้... ฝีดาบอย่างงี้... กระโดดทีใกลเป็นโยชน์... หลอมเหล็กใหม้ด้วยมือเปล่า... แอนนูร่าโยนดาบธรรมดาที่ทั้งหนักและเกะกะทิ้งข้างทาง โจนวิ่งเบียดกายปะปนเข้าไปในฝูงชนคลาคลำ่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ