แล้วทำไมผมจึงต้องมาแต่งหญิงน่ะหรอ?
เขียนโดย ayanolieh
วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 00.35 น.
แก้ไขเมื่อ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 11.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 2 การช่วยเหลือ และความห่วงใย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพระอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆหายไป ท้องฟ้าสีส้มอมม่วง ผมกลับมาจากทำงานพิเศษ ผมเดินผ่านศาลเจ้าใกล้ๆ แล้วเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงกำลังนั่งร้องไห้อยู่ ผมคิดว่านั่นคงเป็นผีแน่ๆ ไอ้ตอนแรกผมก็กล้าๆกลัวๆที่จะเข้าไป แต่ต้องลองดู เผื่อจะได้เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้เจอผีตัวเป็นๆก็ได้ ผมเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เหงื่อนี่ชุ่มตัวเลย จะกลัวอะไรกันนักกันหนานะเรา
“นี่...เธอเป็นอะไรหรือป่าว?”
เธอสะดุ้งลุกพุด แล้วรีบวิ่งไปหลังต้นไม้ แต่วิ่งเร็วจริงๆ แวบเดียวก็วิ่งไปถึงเสียแล้ว ตกใจหมดเลย แต่คงไม่ใช่ล่ะมั้ง
“อ.....อย่าทำหนูเลยนะคะ”
ทำ....ทำ? นี่หมายถึงอะไรหว่า
“อา...อา ไม่ทำหรอกนะ แต่ว่าเธอเป็นผีหรอ?”
ถามไปแบบนั้นเขาจะโกรธไหมเนี่ย กลัวจริงๆ ถ้าใช่ขึ้นมาจะเอาไงล่ะเรา
“ม...ไม่ใช่นะคะ”
เอ๊ะ ไม่ใช่หรอ โล่งอกไปที
“แล้วทำไมเธอถึงมานั่งร้องไห้ที่นี่ล่ะ?”
“ก็...”
“ก็?”
“หลงกับแม่น่ะค่ะ”
“เห...หลงงั้นหรอ”
เรื่องปกติสำหรับเด็กจริงๆนั่นแหละ ที่จะหลงในเมืองนี้น่ะ
“คือหนูพึ่งย้ายมาที่นี่น่ะค่ะ ก็เลย....”
อ้อเป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ เราก็เคยเป็นเหมือนกันสินะเนี่ย
“10 ขวบแล้วแท้ ยังจะหลงทางอีก มันหน้าอายจริงๆ....ฮือ ฮือ”
เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทำให้ผมอดสงสารไม่ได้จริงๆ ผมจึงต้องพูดปลอบใจเธอ ไม่ว่าจะทำให้ตัวเองต้องอายก็ตาม
“จะ 10 ขวบ หรือไม่ใช่ก็ตาม ก็หลงกันทั้งนั้น ขนาดฉันที่โตกว่าเธอยังหลงทางได้เลยนะ”
น่าอายจริงๆ มาเล่าอะไรที่น่าสมเพชให้เด็กฟังเนี่ย มาถึงขนาดนี้แล้วจะถอยไม่ได้!!
“เมื่อก่อนฉันตอนอายุเท่าๆเธอก็เคยหลงแล้วมาร้องไห้ที่นี่เหมือนกัน”
“เคยหรอคะ?”
“แน่นอนอยากฟังไหมล่ะ”
“ค่ะ อยากฟังค่ะ”
โอ้ แม่เจ้า เธอยิ้มออกมาแล้ว เป็นสไตด์เด็กน้อยร่าเริง ผมก็ยิ้มออกมานิดๆเหมือนกัน
“งั้นฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน บ้านเลขที่เท่าไรบอกหน่อยสิ”
เธอเดินมาหาผม แล้วตอบคำถามของผม
“เขต 2 ซอย 3 ค่ะ บ้านเลขที่ 27 ค่ะ”
“อา ก็ไกลเอาเรื่อง เดี๋ยวจะเดินไปส่งถึงที่นั่นล่ะกันนะ”
“แล้วบ้านพี่....”
“ก็อยู่แถวๆนี้แหละ เดี๋ยวไปส่งเธอก่อน”
“เอ่อ.....แต่ว่า......”
“ฮ่ะฮ่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก สบายอยู่แล้ว พรุ่งนี้ก็หยุดด้วย”
“ค่ะ”
หลังจากนั้นผมก็เดินไปส่งเธอ พรางเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังระหว่างทาง เธอชื่อมิสึมุโต้ อาคาริ ถึงบอกว่าพึ่งย้ายมาก็เถอะ แต่มาเล่นที่เขต 3 นี่ได้ไงเนี่ย คงจะมากับแม่ แล้วพลัดหลงกันนั่นล่ะ
อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มาถึงบ้านของอาคาริ
“ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ที่พาลูกเรามาส่ง”
“ขอบคุณมากจริงๆนะ เดี๋ยวคราวหน้าถ้าเจอกัน จะตอบแทนละกันนะ อาคาริก็ขอบคุณ พี่เขาซะสิ”
“ขอบคุณค่ะ พี่คาริยะ”
“ม...ไม่เป็นไรครับๆ”
“แล้วบ้านเธออยู่ไหนล่ะ”
พ่อของอาคาริจังถาม
“เอ่อ....ไม่เป็นไรหรอกครับ บ้านเพื่อนของผมก็อยู่ใกล้ๆ นี่เองครับ ไม่เป็นไรครับ”
“อ้อ งั้นหรอ คราวหน้าจะตอบแทนนะ”
“ค...ครับ”
หลังจากนั้นผมก็เดินกลับไปที่สถานี ขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นไป ผมเห็นคุณคิริซากิทำท่าทางจ้องๆมองๆใครอยู่ ผมเดินออกมา แล้วก็แอบมองคิริซากิเหมือนกัน สกิลแอบมอง แต่ไม่ใช่ถ้ำมองนะ แอบมองหรือที่เขาเรียกว่าสโต๊กเกอร์เนี่ย ผมขั้นสูงแล้ว
“เธอมองใครอยู่นะ”
ผมลองมองไปที่ๆเธอมองดู ผมเห็นชายร่างใหญ่ชุดดำ และพรรคพวกอีก 2-3 คน เอ๊ะ.....องค์กรชุดดำป่าวหว่า คนพวกนั้นถือกระเป๋าใบใหญ่ ออกไปจากสถานี คุณคิริซากิ ก็แอบเดินตามไปเช่นกัน ผมก็ด้วย
ถึงบ้านร้างแห่งหนึ่ง พวกชายชุดดำเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น คุณคิริซากิก็จ้องๆมองๆอยู่แค่ตรงนั้น คงจะกลัวหรือถ้าเข้าไปในนั้นแล้วถูกเจอมันจะอันตราย พวกเรามองอยู่ด้านนอกอยู่นาน แล้วก็มีเสียงร้องของผู้ชายดังขึ้น
“อ๊าก!!!”
คุณคิริซากิรีบวิ่งเข้าไปทันที ผมก็ไม่รอช้า ผมก็แอบวิ่งเข้าไปด้วย
“หึ!! เป็นพวกที่หลอกได้ง่ายจริงๆ แค่ล่อด้วยเงินแค่แสนเดียว ก็ยอมตกลงทำ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงผู้ชายตัวสูง ดูผอมๆ พูดขึ้น แล้วเปิดประตูออกมา พร้อมพรรคพวกอีก 3 คน ทำให้เจอกับ คุณคิริซากิ
“แก....แกทำอะไรกับพ่อของฉัน!!”
พ่อ...พ่องั้นหรอ เสียงแบบนั้นไม่ผิดแน่ คงต้องโดนอะไรสักอย่างนึง ไม่สิ ถ้าเราเอาแต่สันนิฐานล่ะก็ มันก็ไม่ได้อะไรให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นดีขึ้นมา
“เหอะ!! แกเป็นลูกของไอ้กระจอกนั่นงั้นเรอะ หมอนั่นตายไปแล้วล่ะ”
“ต...ตาย”
“ก็ตายน่ะสิ ด้วยปืนเก็บเสียงชนิดพิเศษนี่น่ะ”
ดูจากท่าทางของคุณคิริซากิแล้ว คงจะช๊อคอยู่สินะ
“ในเมื่อแกรู้หมดแล้วก็ช่วยไม่ได้ จงตายไปพร้อมกับไอ้โง่เง่านั้นซะ”
ชิ!! ช่วยไม่ได้ คงต้องออกไปแล้ว ผมรีบวิ่งออกไป
“เฮ้ยๆ!! รังแกผู้หญิงน่ะ มันดูไม่ดีนะรู้ไหม”
“แกเป็นใคร!!”
“ก็แค่คนแปลกหน้าที่เดินผ่านมาก็เท่านั้นล่ะ ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น”
“แกก็คงได้ยินด้วยสินะ งั้น!!”
“ช้าไป!!”
ผมวิ่งเข้าไปเตะปืนด้วยความเร็วพอๆกันนักวิ่งมืออาชีพ ผมเตะปืนกระเด็นไปด้วยข้าง ทำให้ปืนลั่นไปโดนชายชุดดำร่างใหญ่ ทำให้ล้มลงไป ผมต่อยชายชุดดำตัวผอมด้วยหมัดขวาที่ง้างไว้นาน จนกระเด็นไปโดนประตูบ้าน ชายชุดดำแสดงท่าทางกล้าๆกลัวๆ แล้วล้วงมีดจากกระเป๋ามาจ่อที่ผม แล้ววิ่งพุ่งเข้ามาที่ผม แต่ว่าตอนนั้นในหัวของผมมันทำให้ผมมองอะไรมันก็ช้าไปหมด ผมจึงเห็นช่องว่างของพวกนั้น
“ขวา ซ้าย ล่าง......บน!!!”
ผมกระโดดหลบไปด้านขวา แล้วกระโดดถีบชายชุดดำตนนึงจนล้มลงไป ผมนั่งลงสกัดขาของอีกคน แล้วจบด้วยท่าเสยคาง ผมหันไปมองอีกคน หมอนั่นสลบอยู่ ผมลุกขึ้นยืน ปัดเสื้อผ้าที่เปื้อน ทันใดนั้นผมก็โดนรัดคอแน่นโดยชายชุดดำร่างใหญ่ที่น่าจะไปนอนอยู่ ผมเหล่ไปมองแขนอีกข้างนึงของเขา แขนข้างนั้นอาบไปด้วยเลือดที่ไหลลงมา
“หนีไป!!”
ผมตะโกนให้คุณคิริซากิหนีไป แต่คุณคิริซากิก็ยืนดูด้วยความกลัวอยู่นานแล้วก็วิ่งหนีไป มันทำให้ผมรู้สึกดีกว่าต้องมาตายต่อหน้าผู้หญิง
“อา เท่านี้ก็เหลือแค่เรา 2 คนแล้วสินะ”
ชายชุดดำร่างใหญ่รัดผมแน่นขึ้นอีก ทำให้ผมหายใจไม่ออก ผมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะทำให้ชายชุดดำปล่อยผมออกมา
“ถ้าอย่างงั้น แกก็ตายที่นี่เถอะ!!”
“อึ๊ก(หายใจไม่ออกแล้ว นี่เราต้องมาตายที่นี่งั้นหรอ)”
ผมปล่อยมือที่เกาะชายชุดดำลง แล้วยอมรับชะตากรรมที่จะต้องมาตายที่นี่
“ปล่อยเดี๋ยวนี้น๊ะ!!!”
เสียงของคุณคิริซากิ ที่กำลังง้างไม้ที่ถือไว้ ฟาดลงมาที่หัวของชายชุดดำ
ชายชุดดำปล่อยผมลง แล้วหันไปต่อยคุณคิริซากิจนกระเด็น
“แค๊ก แค๊ก”
หลังจากที่ถูกรัดจนหายใจไม่ออกอยู่นาน ผมถึงกับไอออกมาจนเจ็บคอ แล้วรีบวิ่งไปช่วยคุณคิริซากิ
“ไป ตาย ซะ!!”
ผมตะโกนขึ้นแบบนั้นให้ชายชุดดำหันมา แล้วกระโดดเอาเข่ากระแทกเต็มหน้าของชายชุดดำ จนร่วงลงไป ผมรีบไปหาคุณคิริซากิทันที
“ไม่เป็นอะไรนะครับ”
ดูหน้าเธอแล้ว มีเลือดกำเดาด้วย โดนต่อยแรงขนาดนั้นนี่เนอะ
“ม....ไม่เป็นไรค่ะ”
หน้าตาดูซีดเซียว พูดตอบกลับมาเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
หลังจากนั้นพวกตำรวจก็มา แล้วจับพวกชายชุดดำ ส่วนผมที่นอนโทรมอยู่ข้างๆคุณคิริซากิ ก็ทำได้แค่มองเท่านั้น แล้วก็ผล็อยหลับไป
###
แสงสว่างส่องมาที่หน้าของผมจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ผมยกมือมาบังแสง แล้วลุกขึ้นนั่ง
“อ่าว? ตื่นแล้วหรอคะ?”
“ที่นี่?”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ก็เดินมาเรื่อยๆ...”
“งั้นหรอครับ”
ผมรู้สึกมึน จนหน้ามืด ผมส่ายหน้าแรงไปมา แล้วลุกขึ้นยืน
“จ...จะไปไหนหรอคะ?”
“ก็กลับบ้านไงครับ แถวนี้มันอันตราย รีบๆกลับนะครับ คุณ....คิริซากิ”
ผมเดินทิ้งเธอไว้ อยู่ตรงนั้น แต่เธอก็เดินตามผมมา ให้ตายสิ ต้องให้ดูแลเหมือนที่โรงเรียนอีกหรือไง
“แล้วจะเดินตามผมไปถึงเมื่อไหร่ครับ”
ผมเดินไปใกล้ๆเธอ แต่เธอก็จ้องหน้าผมไม่กระพริบเลย
“อะ....อะไรครับ อาการแบบนั้นน่ะ หรือว่าหัวไปชนอะไรม-”
“คุณน่ะ หน้าเหมือนกับคุณชิบะมากเลยนะคะ”
(เฮ้ย มองออกงั้นหรอ ขนาดคุณคิริซากิยังมองออกเนี่ยมัน...)
“ไม่ใช่ว่าคุณคือคุณชิบะหรอกนะคะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไงละครับ ชิบะน่ะเป็นผู้หญิงนะ ส่วนผมเป็นผู้ชายนะ จะไปเป็นคนเดียวกันได้อย่างไงล่ะครับ ฮ่ะ ฮ่ะ”
“แล้วคุณรู้ได้ไงคะว่าคุณชิบะเป็นผู้หญิง”
แย่ๆ โดนดักทางซะแล้ว ต้องคิดหาอะไรที่สามารถอธิบายก่อน
“อ้อ เขาเป็นญาติของผมเอง ผมอาศัยอยู่แถวๆนี้ ชิบะหน้าเหมือนผมขนาดนั้นเลยหรอครับ”
“เอ๊ะ ญาติหรอคะ จริงแน่หรอค่ะ”
“จ........จริงครับ จริง จริงแท้แน่นอน”
ให้ตายสิ รับมือยากชะมัดผู้หญิงเนี่ย
“งั้นหรอคะ ขอโทษด้วยนะคะ”
“ม....ไม่เป็นไรครับ”
มาถึงขนาดนี้แล้วคงถอยไม่ได้ล่ะนะ
“ผมไปส่งดีไหมครับ เดินไปเปลี่ยวๆมันอันตราย”
“อา....ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นผมก็เดินไปที่สถานี ที่นั่นมีเหลือแค่ผมกับคุณคิริซากิ 2 คน ก็เท่าที่เห็น...
“เอ๊ะ........ปิด”
ย๊าก!!! นี่มันอะไร ปิดแล้วหรอ อย่าพึ่งปิดสิ!! ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก
ผมมองไปที่หน้าของคุณคิริซากิ หืม?? น้ำตา น้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้ง 2 เห็นแล้วก็คิดเรื่องที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงได้ พ่อของเธอ
“พ่อของเธอน่ะ ฉันเสียใจด้วยนะ”
ถ้าเราไม่มัวแต่รอล่ะก็
“ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอเช็ดน้ำตาของเธอที่ไหลรินลงมา ใบหน้าที่แสนจะสวยงามของเธอ เปื้อนไปด้วยน้ำตา
“เอาไปใช้สิ”
ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้คิริซากิ เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าของผมไปเช็ดน้ำตา ผมดูแล้วมันช่างเหมือนกับผมที่สูญเสียคนที่รักไป เมื่อ 5 ปีก่อน ก่อนที่ผมจะแยกตัวออกมาจากตระกูล
ผมทำหน้าเศร้า กำมือแน่น สมเพชตัวเองที่ตอนนั้นไม่สามารถทำอะไรได้
“เอ่อคือว่า”
“ว่าไง? บอกมาสิ”
“ชื่อของคุณ ช่วยบอกได้หรือป่าวคะ?”
“อาๆ...ผม ชิบะ คาริยะ”
“คุณคาริยะ”
(รู้จักกันครั้งแรก เรียกชื่อจริงกันเลยหรอ?)
“ตอนนั้น ที่คุณเรียกชื่อฉัน คุณรู้มาจากไหนคะ?”
“อ้อ ก็ชิบะชอบมาเล่าเรื่องของเธอให้ฟังบ่อยๆน่ะสิ”
“อ.....อย่างงั้นหรอคะ”
หน้าคิริซากิดูแดงๆ เขินหรอ?
“นี่.....ไม่ใช่ว่าเธอชอบชิบะแบบ....”
“ป....ป่าวๆค่ะ”
เธอดูลนลานน่าดูเลย คงจะใช่ล่ะมั้ง
“แค่..ดีใจน่ะค่ะ ที่ยังมีเพื่อนที่คอยพูดเรื่องของตัวเองให้คนใกล้ชิดได้ฟัง”
“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ “ยังมีคนที่ยังเห็นเธออยู่ในสายตา”สินะ”
“ค..ค่ะ”
“ฉันว่าการที่ยังมีคนเห็นเราอยู่ในสายตา มันน่าดีใจจังเลยเนอะ เพราะเขายังคงห่วงใยเรา ไม่ลืมเรา”
“คุณเนี่ย เหมือนกับคุณชิบะจังเลยนะคะ”
“ฮ่ะฮ่ะ ก็ญาติกันนี่นะ”
ยัยนี่ รับมือยากจริงๆ
###
หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ก็ผ่านมา 1 อาทิตย์แล้ว ผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะอาการบาดเจ็บเมื่อตอนนั้น และก็ดันมาป่วยแบบกะทันหันอีก ซวยจริงๆ ให้ตายสิ
“ก๊อก ก๊อก!!”
“ใครกันน่ะ”
ผมค่อยเดินไปที่ประตู แล้วดูตรงช่องวงกลมของประตู สิ่งที่ผมเห็นก็คือ คิริซากิ
“เอ่อ...คือว่า มีใครอยู่หรือป่าวคะ!!”
“เอ่อ...รอเดี๋ยวนะ คุณคิริซากิ”
ผมแอ๊บทำเสียงผู้หญิงแล้วรีบไปแต่งตัวเป็นชิบะ คาริน
"ช....เชิญจ่ะ"
ผมเปิดประตูให้คิริซากิเดินเข้ามา แล้วพาไปที่ห้องรับแขก
"อาการป่วยยังไม่หายดีหรอคะ?"
"อา...ค่ะ ก็ประมาณนั้น"
"คุณคาริยะไม่อยู่หรอคะ?"
เอ๊ะ ทำไมถามถึงตัวเราที่เป็นผู้ชายล่ะ???
"อ๊า! เขากลับไปแล้วล่ะ"
"งั้นหรอคะ"
คิริซากิล้วงหยิบกระดาษเช็ดหน้าในกระเป๋าถือ ออกมาดู
"คือว่า ผ้าเช็ดหน้านี่เป็นของคุณคาริยะเขาน่ะค่ะ"
"เดี๋ยวฉันฝากคืนให้นะ"
"ค...ค่ะ"
หลังจากจบคำพูดนั้น ความเงียบก็เข้ามาแทนที่
(เงียบจังนะ เรามันไม่มีอะไรจะพูดเลย คิดเข้าสิ คิดเข้าสิ)
"คุณชิบะคะ"
"ค...คะ!!"
"คุณคาริยะ เป็นคนอย่างไงหรอคะ? ฉันอยากจะรู้น่ะค่ะ อยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้"
เธอเอาหน้ามาใกล้ผม จนผมผงะร่วงลงไปนอน
"ป....เป็นอะไรหรือป่าวคะ?"
"อ...อา ค่ะ ไม่เป็นอะไรค่ะ"
"ก๊อก ก๊อก!!"
"ใครอีกล่ะเนี่ย?"
"เดี๋ยวฉันไปดูให้นะคะ คุณชิบะ"
"อ...อา ฝากด้วยนะ"
ผมนอนรอเธออยู่ จนตามันจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว รู้สึกง่วงแปลกๆ
"อ๋า ชิบะจังของฉัน เป็นอะไรบ้างหรือป่าวจ๊ะ?"
"หือ!! รุ่นพี่อามิ"
ผมลุกขึ้นมานั่งทันทีที่ได้ยินเสียงนี้
"แหม่ ได้ยินเสียงของพี่ มันมีการตอบสนองขนาดนี้เลยหรอจ๊ะ หรือว่าอยากเห็นหน้าพี่เอ่ย พี่ขอกอดหน่อยน๊า!!"
เธอทำหน้าน่าขนลุกมาก ช่างน่ากลัวจริงๆ ผู้หญิงเนี่ย!!
"หยุดเดี๋ยวเลย ไปรบกวนชิบะจังเขามากเกินไปแล้วนะ ดูสิ เขากลัวแล้วนะ"
"รุ่นพี่ซาวาดะ"
อ่ะอ๊า แสงที่ช่วยส่องทางให้ผมมีชีวิตรอดได้มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว อ่ะอ๊า!!
"ขอโทษทีนะ ที่น้องของฉันไปทำเรื่องแบบนี้ให้ทุกวันน่ะ"
"...ไม่เป็นอะไรค่ะ"
"โอ้..ดูท่าทางน่าสนุกดีนะ"
(อ๊อก!! ตัวทำมุขฝืดมาแล้ว)
"ป...ประธาน มาด้วยหรอคะ"
"คุณชิบะเนี่ย รู้จักคนเยอะจริงๆนะคะ"
"ก...ก็นะ"
"อานี่ พวกซุซุโนะฝากมาให้น่ะ"
"ข...ขอบคุณค่ะ"
ผมคลี่กระดาษออกมาอ่าน
"สวัสดี จากโมโมะ นะ อาการเป็นอย่างไงบ้าง ขอโทษทีนะ ที่พวกฉันไม่ได้ไปเยี่ยมเธอเลย เพราะว่าทางบ้านเขามีงาน ก็เลยมาหาไม่ได้ ขอโทษนะ สุดท้ายนี้ก็ขอให้หายไวๆล่ะ จากซุซุโนะ โมโมะ"
"อืม ช่างเป็นการเขียนที่สื่อถึงเพื่อนได้ดีจริงๆ"
ประธานกล่าวขึ้นแบบนั้น ทุกคนก็ตอบตามว่า
"อืม อื้ม"
(นี่พวกคุณเธอนัดกันมาหรอครับ ถึงได้พร้อมเพียงกันขนาดนี้ แต่ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ตั้งแต่ได้เจอกับคนพวกนี้ ในใจเราก็รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน)
ผมเอามือแนบอกไว้ แล้วยิ้มเล็กๆออกมา ทุกคนหันมาทางผมแล้วยิ้มให้ผม ผมคิดว่า เพื่อที่จะทำให้ตัวเอง และคนพวกนี้ ได้มีความสุขร่วมกันแล้วล่ะก็ ผมยอมทำทุกอย่าง ยอมทุกอย่างเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ