Kingdom Guardian
8.7
เขียนโดย mimosa
วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.09 น.
14 chapter
1 วิจารณ์
24.89K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 21.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) Kingdom Guardian: Samson Story 1 (ver.1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKingdom Guardian: Samson Story 1 (ver.1)
ตั้งแต่ เกิดมา ความรู้สึกคืออะไรนั้น ตัวเขาไม่อาจรู้...เพราะว่าเขาไม่เคยรู้สึก...ความกลัว...ความรัก...ความ รู้สึกผิด...ความหวัง...ความสิ้นหวัง...ความสุข...ความทุกข์...ความเศร้าและ ความรู้สึกอื่นๆ...เขาไม่เคยรู้สึก... มันก็คงเหมือนกับการที่สิงโตสามารถกินสัตว์อื่นได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดบาปอะไร...แม้กระทั่งกินพวกเดียวกันพวกมันยังไม่รู้สึกผิด... มันอาจสรุปได้ว่า ผู้ที่แข็งแกร่ง มักจะไร้ความรู้สึกงั้นหรือ? ...แต่เขาว่ามันไม่ใช่... ทุกๆ คนล้วนมีความรู้สึก พวกสิงโตอาจรู้สึกอะไรก็ได้เวลาที่ฆ่าเหยื่อของมัน แต่พวกมันคงชินชากับความรู้สึกนั้นจึงไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา...ผิดกับเขา ที่ไม่มีความรู้สึกใดๆเลย...จนกระทั่งวันนี้...
...ที่เขามีวันนี้ได้...ที่เขามีความรู้สึกได้แบบนี้...ต้องขอบคุณแม่...
ดวงตาสีทับทิมเปิดขึ้นมาสักพักก่อนจะกระพริบสัก 2-3 ทีเพื่อไล่ความง่วงงุน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่หายง่วงนอน ชาย หนุ่มในชุดยูคาตะสีดำสนิททั้งตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วบิดขี้เกียจพลางเปิดปาก หาวโชว์ฟันคมกริบทั่วทั้งปาก แซมสัน เลโอเน่ ยกมือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บของเขาขึ้นเกาผมสีนิลแซมขาวของตนก่อนจะคลานสี่ขา ไปยังแอ่งน้ำขังข้างๆแล้วก้มหน้าลงเลียน้ำในแอ่งนั้นกินประทังความหิวไปก่อน แซมสันใช้เวลาสักพักในการตั้งสติและวางแผนว่าวันนี้เขาจะทำอะไรดี ซึ่งเขาตัดสินใจว่าสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือ เขาจำเป็นต้องหาอะไรกินก่อน
เขา ลุกขึ้นยืนสองขาแล้วเดินออกไปจากรังหรือบ้านของเขา...แต่เขาพอใจที่จะเรียก มันว่าที่พักชั่วคราวหรือบ้านชั่วคราวเสียมากกว่า...เพราะเขาคิดว่า สถานที่ ที่ไม่มีครอบครัวอยู่ด้วยนั้นไม่เรียกว่าบ้านหรอก...
แซม สันเดินไปตามทางของท่อระบายน้ำ สถานที่ๆ ที่เขาใช้ในการหลบซ่อนตัวเพื่อรอสัญญาณ...ถึงวันเวลาที่จะได้เจอแม่อันเป็น ที่รักของเขา...และรอวันที่เขาจะได้สร้างเรื่องราวเป็นของตัวเอง...อะไร ประมาณนั้น...
ถึงแม้แซมสันจะสามารถรับรู้กลิ่นได้เหมือนกับสิงโต แต่ในท่อระบายน้ำแบบนี้มันก็อีกเรื่อง เขาต้องใช้ความพยายามและรู้สึกจมูกชาทุกๆครั้งที่ต้องสูดดมหากลิ่นสิ่งที่เขาสามารถกินได้ เขาเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดยืนอยู่ตรงมุมทางเลี้ยว ชายหนุ่มได้กลิ่นบางอย่าง ที่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
เขา ก้มตัวลงแล้วแอบชะโงกหน้านิดหน่อยจากหัวมุมของท่อระบายน้ำเพื่อให้สามารถพอ ให้สิ่งที่อยู่ภายในอุโมงค์นั้นได้โดยที่สิ่งที่อยู่อีกฟากไม่รู้ตัว ภาพที่เขาเห็นคือ จระเข้ตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับอยู่ตรงริมทางน้ำของท่อระบายน้ำ แซมสันพิจารณาสิ่งมีชีวิตที่เขาเห็นสักพัก และจากการคำนวณ จระเข้ตัวใหญ่ขนาดนั้น เขาคงจะมีอาหารกินประทังความหิวไปได้นานสักประมาณ 3 เดือนก็น่าจะเป็นได้ เพียงแค่นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องคิดต่อแล้ว เขาตัดสินใจได้ในทันทีว่าเจ้าจระเข้ตัวนี้แหละคือเหยื่อของเขา
ดวง ตาสีทับทิมเป็นประกาย ราวกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ รูม่านตาของเขาแปรสภาพทำให้ดูคล้ายกับดวงตาของแมว แซมสันพุ่งตัวด้วยความเร็วสูง ตรงไปยังเหยื่อที่ยังคงนอนหลับอยู่...แต่จระเข้เองก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนัก ล่า...ดังนั้นถ้ามีอันตรายมาใกล้กับตัวมัน...สัญชาตญาณการป้องกันตัวย่อมทำ งานเป็นธรรมดา...
“กรรรรร!!!” มันลืมตาตื่นแล้วคำรามใส่แซมสัน แต่เขาหาได้กลัวเสียงคำรามข่มขู่ของมันไม่ เขาทำเพียงแค่กระโดดหลบรัศมีการกัดของมัน ชายหนุ่มกระโดดลอยตัวสูงขึ้นไปบนเพดานท่อแล้วปรับตัวกลางอากาศก่อนจะใช้เท้าถีบเพดานท่อ แรงที่เกิดจากขาอันทรงพลังของเขาทำให้เกิดแรงส่งมหาศาล พาให้ร่างของเขาพุ่งเข้าใส่เหยื่อตรงหน้าทันทีด้วยความเร็วพอๆกับลูกกระสุนปืน
แซมสันใช้คมเขี้ยวของเขา กัดเข้าที่ลำคอของเหยื่อ พยายามกัดที่หลอดลมและหลีกเลี่ยงเส้นเลือดแดงใหญ่ เพื่อที่เลือดจะได้ไม่กระจายมากนัก เขาจะเก็บเลือดของมันไว้ไปกินต่อที่รัง ชายหนุ่มใช้ทั้งคมเขี้ยวและกรงเล็บ ตัดเส้นเอ็นและหลอดลมของเหยื่อ เขาผละออกมาดูเหยื่อของเขาดิ้นทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจตายต่อหน้าต่อตาเขา เขาทำเพียงแค่จ้องมองมันตายแล้วก้มลงขย้ำลำคอของมัน แต่ก็ยังคงเลี่ยงเส้นเลือดแดงใหญ่อยู่ดี เขากัดกินเนื้อของมันดิบๆ เลือดสีแดงเลอะริมฝีปากของเขา ชายหนุ่มใช้มือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บทั้งสองข้างจับตัวจระเข้ไว้แล้วพยายามดึงเนื้อให้ขาดซึ่งมันใช้เวลาไม่นาน เนื้อก้อนขนาดพอดีคำ ก็เข้ามาอยู่ในปากของเขา ชายหนุ่มใช้ฟันอันแหลมคมของเขาเคี้ยวก้อนเนื้อสีแดงแสนเหนียวนั้นสักพักก่อนจะกลืนมันลงคอ
แซมสันกินเนื้อของเหยื่อไปไม่รู้นานเท่าไร แต่ในตอนนี้ เนื้อตรงส่วนคอและสีข้างของจระเข้นั้นแหว่งหายไปมาก แต่ก็ยังพอมีเนื้อเหลืออยู่มากพอให้แซมสันได้กินประทังหิวไปอีกนาน ซึ่งอาจนานหลายวัน หลายสัปดาห์หรือหลายเดือนนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินและความหิวของตัวแซมสันเอง ชายหนุ่มกัดกินอาหารของเขาอีก 2-3 คำ ก่อนจะหยุดชะงัก เมื่อเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาในโสตประสาทที่แสนจะเฉียบคมของเขา แซมสันเงี่ยหูฟังสักครู่แล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปตามเสียงนั้นโดยที่เขายังไม่ได้เช็ดคราบเลือดออกไปจากมือและริมฝีปากของเขา ทำให้คราบเลือดนั้นเลอะเทอะเกรอะกรังทั่วทั้งริมฝีปากและฝ่ามือหนาทั้งสองข้าง เขาเดินไปตามทางเรื่อยๆ เสียงที่เขาได้ยินเองก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จนกระทั่ง เขาได้รู้ว่าต้นกำเนิดเสียงนั้นคืออะไร แซมสันหยุดยืนสักครู่ด้วยลังเลว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี แต่ยืนคิดได้ไม่นานเขาก็เดินไปยังหัวมุมทางเลี้ยว เป็นทางที่มีต้นกำเนิดเสียงนั้นอยู่ ...เสียงที่ฟังดูราวกับมีใครกำลังร้องไห้อยู่...
ตรงส่วนนี้ไม่มีทางน้ำ เป็นเพียงทางท่อว่างๆ และมีอุโมงค์ท่อมากมาย ชายหนุ่มนั่งลงตรงหัวมุม นั่งฟังเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังมาจากตรงหัวมุมถัดจากเขา ซึ่งพอมาลองคิดดูอีกทีแล้ว เขากับต้นกำเนิดเสียงนั้นห่างกันเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้นเอง แซมสันนั่งเงียบสักพักก่อนจะตัดสินใจพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป
“ร้องไห้ทำไมงั้นเหรอ?” แซมสันถามออกไป ทำให้ต้นกำเนิดเสียงสะอึกสะอื้นนั้นเงียบเสียงไปสักครู่ ชายหนุ่มคิดว่าตนอาจไม่ได้คำตอบจึงถามซ้ำออกไป “ร้องไห้ทำไมหรอ?"
“ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย!!! อย่ามายุ่ง!!!!” เสียงที่ดังมาจากปลายอุโมงค์ด้านข้างเขานั้น ดังสะท้อนไปทั่วบริเวณนี้และทำให้เขารับรู้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่าย...ว่าอีกฝ่ายกำลังเศร้ามากเพียงไร...
แซมสันนั่งนิ่งสักพัก ก่อนที่จะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขึ้นมา เพื่อไม่ให้มันเปื้อนเลือดที่ยังคงเลอะอยู่ที่มือของเขาแซมสันจึงใช้ปลายกรงเล็บของเขาหยิบมาออกมาแล้ววางมันไว้ตรงหัวมุม เขาค่อยๆใช้เล็บของเขาดันผ้าของเขาเข้าไปภายในอุโมงค์
“ใช่ มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่ไม่ให้ยุ่งคงไม่ได้ เพราะฉันไม่ค่อยชอบให้ใครทุกข์ใจ” แซมสัน พูดเสียงนิ่งแล้วชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมา มองสภาพของตัวเองสักครู่ก่อนที่เขาจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเลียทำความสะอาดคราบเลือดให้หายไปจากมือของเขาซะ
เสียงร้องไห้ของอีกฝ่ายดังมาอีกระลอก เขาทำได้แค่นั่งอยู่ตรงนี้ นั่งฟังเสียงอีกฝ่ายร้องไห้จนกว่าจะพอใจ อยู่เป็นเพื่อน เพื่อไม่ให้อีกคนนั้นอยู่ตัวคนเดียวในเวลาที่เจ้าตัวนั้นทุกข์ใจเช่นนี้ แต่เขาเองก็ไม่อาจเข้าไปเจออีกคนแบบจะๆหน้าได้ เพราะตัวเขาในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาดหรือปีศาจเลย
แซม สันนั่งอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเสียงของอีกคนเงียบไป เขาได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจคลานเข้าไปในอุโมงค์ตรงหัวมุมก็พบกับร่างของคนที่เขา นั่งฟังเสียงร้องไห้กำลังนอนหลับอยู่ เขามองร่างกายที่แปลกประหลาดของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก...เพราะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขามีความรู้สึก...มันจึงทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ ว่า นี่คือความรู้สึกอะไรกันแน่ แต่ที่เขารู้คือ ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรู้สึกในแง่ลบ นั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่ทำให้เขาไม่พุ่งเข้าไปขย้ำคออีก ฝ่าย...ประมาณนั้น...
ชายหนุ่มนั่งมอง บุคคลที่มีหน้าตาคล้าย...ไม่สิ...เต่า...ใช่...ไม่ใช่คล้าย...แต่เป็นเต่าเลยต่างหาก...
เต่าที่มีสรีระเหมือนมนุษย์...คงเป็นเต่ากลายพันธุ์ล่ะมั้ง... มือของอีกฝ่ายกำผ้าเช็ดหน้าของเขาไว้แน่น ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะทำอย่างไร
“ลีโอ” ร่างที่นอนตรงหน้าเขาพึมพำพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาจากดวงตาที่กำลังปิด เขายกมือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บของเขาขึ้นมาปาดน้ำตาให้อีกฝ่าย แต่กลับทำให้ข้างแก้มของร่างตรงหน้าเปื้อนคราบเลือดจากฝ่ามือของเขาเล็กน้อย แซมสันยังคงตอบไม่ได้ว่าเขานั้นรู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆ เขาอยากช่วยเต่าตัวนี้ ชายหนุ่มตัดสินใจอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาในท่าเจ้าสาว แล้วพากลับไปที่รังของเขา
+++++++++++++++++++++
ไม่อาจตอบได้ว่าเต่าตัวนี้หลับไปนานเท่าไร แต่เขาก็ไม่อยากกวนเวลาที่เต่าตัวนี้กำลังนอนหลับอยู่ เขาพาเต่ากลายพันธุ์กลับมาที่บ้านชั่วคราว ปูพื้นด้วยหญ้าแห้งที่พอจะหาได้แล้วนำร่างของเต่ากลายพันธุ์มาวางลงบนพื้นที่ปูด้วยหญ้าแห้ง และด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายอาจหนาว เขาจึงก่อกองไฟให้อีกฝ่ายพร้อมกับนำเสื้อโค้ทตัวใหญ่ที่เขาหามาได้มาห่มให้กับอีกฝ่าย หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปลากซากของเหยื่อที่เขาเพิ่งฆ่าและกินไปมาเก็บไว้ยังบ้านชั่วคราวของเขา
เขา นั่งมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนอนตะแคงข้างมองใบหน้า ยามหลับของอีกฝ่ายแทน แสงของเปลวเพลิงที่ส่องสว่างมาจากกองไฟที่เขาก่อวูบไหวไปมา เช่นเดียวกับหัวใจของเขา...มันชวนให้รู้สึกเหมือนกับกำลังเล่นรถไฟเหาะหรือ เรือไวท์กิ้ง...
มันรู้สึกหวิวๆในท้อง แต่ก็ไม่ได้คลื่นไส้ มันรู้สึก...ไม่รู้สิ...มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึก...และเขาก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร...
“ลีโอ” เต่าตัวนี้ ยังคงพึมพำชื่อของใครสักคนออกมาและน้ำตาก็ยังคงไหลลงมาเช่นกัน เห็นแล้วชวนให้นึกถึงเขาในตอนที่มาอยู่ในท่อนี้คนเดียวตอนแรกๆ เขาคิดถึงแม่และพี่น้องของเขามากๆ คิดถึงครอบครัวของเขามาก แซมสันคิดว่าเต่าตัวนี้คงไปเจอเรื่องอะไรมาสักอย่างและในตอนนี้คงกำลังคิดถึงคนที่อีกฝ่ายรักหรือคนในครอบครัวของเจ้าตัวอยู่ล่ะมั้ง
แซมสัน เอื้อมมือที่เขาเพิ่งล้างทำความสะอาดไปสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย เขาค่อยๆเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็เกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นเมื่อเต่าตัวนี้ขยับตัวเข้ามานอนอิงแอบแผงอกของเขา มันทำเอาเขาหยุดนิ่งค้างไปสักประมาณ 10 วินาทีเห็นจะได้ ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก แต่ประโยคต่อมาที่อีกฝ่ายพึมพำทำให้สติของเขาเริ่มกลับมา
“ได้โปรด อย่าทิ้งฉันไป ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” ยิ่งอีกฝ่ายพูด น้ำตาก็ยิ่งไหลลงมา ในขณะเดียวกันก็ยิ่งซุกหน้าลงกับแผงอกของเขามากขึ้นเช่นกัน แซมสันทำได้เพียงแค่โอบกอดอีกฝ่ายไว้ หวังให้ความอบอุ่นของเขาช่วยปลอบโยนอีกฝ่าย ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ยังดี
.
.
.
ไม่มีใครรู้ว่าเวลานี้มันเวลาอะไร อาจเป็นกลางคืนหรือกลางวันก็ได้ แต่นั้นมันไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้ แซมสันลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันหลังจากเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ด้วยความรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา เขาผละออกจากจุดที่เขานอนเมื่อ ไซต์(อาวุธที่หน้าตาคล้ายสามง่าม) พุ่งลงบนพื้นที่เขาเคยนอนอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอาวุธตรงหน้า และมันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเต่าที่เขาเพิ่งพากลับบ้านเมื่อคืน ดวงตาของอีกฝ่ายดูตื่นกลัวและตื่นตระหนก แขนทั้งสองข้างที่ถือไซต์อยู่ทั้งสองข้างสั่นสะท้านอีกทั้งดวงตาสีมรกตที่จ้องมองมาที่เขาก็สั่นเทาด้วยความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
“นายเป็นใคร!!” อีกฝ่ายคำรามถาม พอมาลองฟังเสียงดูดีๆแล้ว ถึงทำให้เขาได้รู้ว่าอีกฝ่าย เป็นเต่าเพศเมีย...อ่า...ภาษามนุษย์มันว่ายังไงนะ อ้อใช่...เป็นผู้หญิง... ดูจากกายภาพภายนอกก็น่าจะเป็นสาววัยรุ่นอารมณ์ร้อนเสียด้วยสิ...
“ฉันชื่อ แซมสัน แล้วเธอล่ะ?” เขาตอบคำถามของอีกฝ่ายแล้วถามอีกฝ่ายกลับ แต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายกลับมีริ้วรอยสีแดงระเรื่อพาดผ่านใบหน้า
“นะ...นายรู้ ได้ยัง!!” ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่จากน้ำเสียงเมื่อกี้เหมือนอีกฝ่ายโกรธ...หรือเขิน...ยังไงกันแน่ เขาไม่รู้หรอก...เขาไม่เก่งเรื่องการสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นหรอกนะ โดยเฉพาะพวกผู้หญิง...
“ก็ฟังจากเสียง”เขาตอบออกไปตามตรง ด้วยประสาทหูที่ดีทำให้เขาได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นแรง เหมือนกำลังตื่นเต้น...อะไรกันน่ะ...อาการพวกนี้ของอีกฝ่าย...เขาไม่เข้าใจ!!...อยากให้แม่อยู่ตรงนี้ด้วยจังเลย...จะได้ช่วยอธิบายว่าอีกคนกำลังคิดหรือว่ารู้สึกอะไรอยู่กันน่ะ...
“บอก ชื่อของเธอให้ฉันรู้ได้มั้ย?” ถึงแม้ว่าเขาจะงงกับการแสดงออกของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังอยากรู้ชื่อของอีกฝ่ายอยู่ดี เต่าสาวตรงหน้าเขานิ่งเงียบไปสักพัก ท่าทางเหมือน...อีกฝ่ายกำลังเขินอายอะไรสักอย่าง...เขาคิดว่างั้นนะ...ทำไม เห็นอีกฝ่ายแล้วมันทำให้เขานึกถึงลุงอเล็กซ์กันนะ...ท่าทางขี้อายแถมยังซึนๆ เหมือนกันอีก...อ่า...งงเป็นบ้า...
“ระ...ราฟาเอล” อีกฝ่ายตอบด้วยเสียงที่เบาหวิว ถึงแม้ประสาทหูของเขาจะดีเสียจนได้ยินชัดแจ๋ว แต่ก็อยากให้อีกฝ่ายบอกซ้ำเพื่อความมั่นใจ
“ช่วยบอกอีกทีได้มั้ย?”
“ราฟาเอล!!!ฉันชื่อราฟาเอล!!!!”
หลังจากถามซ้ำ ราฟาเอลก็ตะโดนตอบเขาเสียงดังมากจนเขารู้สึกปวดหูแปลบๆไป 5 วินาที ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบหูแล้วใช้นิ้วก้อยแคะหูนิดหน่อยก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับคิดว่า...อีกฝ่ายชื่อเหมือนพ่อคนที่ 2 ของเขาเหลือเกิน...ไม่สิ...ใช้ชื่อเดียวกันเลยต่างหาก...
“รา ฟาเอล ยินดีที่ได้รู้จัก” แซมสันกล่าวพร้อมกับพยายามยิ้ม แต่ เขาไม่เคยยิ้มมาก่อนในชีวิต...ไม่นับตอนอยู่กับครอบครัว... แต่นั้นมันก็นานมากแล้ว...ทำให้เขาแทบจะลืมการยิ้มไปแล้ว มันต้องทำยังไงนะ พยายามยกมุมปากขึ้นแล้วโชว์ฟันงั้นเหรอ?... แซมสันลองทำ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ เขาทำผิดงั้นเหรอ? ชายหนุ่มคิดได้ดังนั้นก็ใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มที่มุมปากแล้วยกขึ้น พยายามให้เหมือนรอยยิ้มแต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายยิ่งหัวเราะเข้าไปใหญ่ ซึ่งมันทำให้แซมสันรู้สึกงงงวยเป็นที่สุด
“นายเนี้ย ยิ้มตลกชะมัด” ราฟาเอล พูดไปพลางหัวเราะไปพลางซึ่งท่าทางของเธอ ทำให้แซมสันสามารถยิ้มออกมาได้จริงๆ แม้จะเพียงครั้งเดียวและชั่ววินาที แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่ดูดี...อบอุ่น...และตราตรึงใจของเธอเป็นที่สุด
“ขอโทษนะ ที่จู่ๆก็โจมตีนาย” ราฟาเอล กล่าวพร้อมกับเก็บอาวุธของเธอเข้าที่เก็บของมันตรงสายหนังที่คาดอยู่บริเวณเอว
“ไม่เป็นไร เป็นใครเจอสัตว์ประหลาดก็ต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดา” แซมสัน พูดตามความเข้าใจก่อนที่เขาจะนั่งลงกับพื้นเมื่อไม่มีอันตรายอะไรแล้ว แต่เมื่อเขามองหน้า ราฟาเอล ชายหนุ่มกลับเห็นความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย...เขาคิดว่างั้น น่ะนะ...
“สัตว์ประหลาด? นี่นายคิดว่า ที่ฉันโจมตีนายเนี้ยเป็นเพราะฉันคิดว่า นายคือสัตว์ประหลาดงั้นเหรอ!? เฮอะ ตลกแล้ว ถ้านายคือสัตว์ประหลาด งั้นฉันก็คงเป็นโคตรของโคตรสัตว์ประหลาดแล้วล่ะ” ราฟาเอล พูดก่อนจะนั่งลง
“เธอก็เป็นเต่ายังไงล่ะ แล้วมันไม่ใช่งั้นเหรอ?” แซมสัน รู้สึกงงมากถึงมากที่สุด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้คุยกับสิ่งมีชีวิตอื่นนอกบ้าน และเรื่องราวในโลกภายนอกมันดูสับสนชวนงงมากๆสำหรับเขา
“ใช่ ฉันเป็นเต่า แล้วนายไม่รู้สึกแปลกใจรึไงที่เห็นเต่าเดินสองขาได้ น่ะ?”
“ไม่นี่ ทำไมเหรอ?”
“...นาย แปลก”
“เห็นมั้ย เธอก็มองว่าฉันเป็นสัตว์ประหลาด”
“ไม่ นายไม่ใช่สัตว์ประหลาด ที่ฉันพูดว่าแปลกน่ะ ไม่ได้แปลว่านายเป็นสัตว์ประหลาด แต่หมายความว่านายไม่เหมือนพวกมนุษย์ที่ฉันเคยเจอ”
“งั้นฉันก็เป็นสัตว์ประหลาด”
“นายไม่ใช่สัตว์ประหลาด!!ฉันสิสัตว์ประหลาด!!!”
“เธอไม่ใช่สัตว์ประหลาด เธอเป็นเต่า”
“ก็ใช่ ฉันเป็นเต่า แต่นายเองก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ประหลาด”
“ฉันไม่ใช่มนุษย์”
“นายเป็น!”
“ฉันไม่ได้เป็น”
“เป็น!!”
“ไม่เป็น”
“เป็น!!!”
“ไม่”
“เป็น!!!!”
“...ไม่” ทั้งคู่นั่งเถียงกันสักพัก ราฟาเอล รู้สึกว่าเธอกำลังคุยกับเด็กที่ใสซื่อบริสุทธิ์ยังไงยังงั้น แต่มันจะใสซื่อเกินไปหน่อยมั้ย!! เธอได้แต่ถอนหายใจเพราะว่าเธอเหนื่อยเกินจะมาทะเลาะกับคนๆนี้
“ว่าแต่ตอนนี้ ฉันอยู่ที่ไหนกัน?” ราฟาเอล ถามพลางมองพื้นที่โดยรอบ ให้ความรู้สึกคล้ายๆบ้านของเธอแต่แคบกว่า
“รังของฉัน ประมาณนั้น” แซมสันตอบ
“เรียกว่าบ้านจะดีกว่ามั้ย?”
“ที่ๆไม่มีครอบครัวเรียกว่าบ้านไม่ได้หรอกนะ”
หลังจากได้ฟังคำตอบของแซมสัน ราฟาเอลก็ก้มหน้าลงมองพื้น อีกฝ่ายกำมือแน่นจนได้ยินเสียงกล้ามเนื้อบีบเข้าหากัน แซมสันมองการกระทำนั้นด้วยความไม่เข้าใจ
“มีอะไรหรอ? เธอโกรธฉัน?” แซมสันถาม ทำให้ราฟาเอลสะดุ้ง ดวงตาของเต่าสาวสั่นระริกเมื่อสบตาเขาก่อนจะหันไปมองทางอื่น
“เปล่า ไม่มีอะไร” ราฟาเอล ตอบแต่เป็นใคร ใครก็รู้ว่าอาการแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่นอน แต่แซมสันเคารพสิทธิ์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะผู้หญิง...อ่า...เรียกว่าไงนะ...อ้อใช่...ให้เกียติผู้หญิงสินะ... เขาจึงไม่คิดจะถามเซ้าซี้ต่อ
“จะให้ฉันไปส่งบ้านมั้ย?” แซมสันไม่ได้คิดจะไล่ราฟาเอลไป เพียงแต่ว่า...การที่สาววัยรุ่นมาอยู่ข้างนอกบ้านตามลำพัง พ่อแม่จะเป็นห่วงมากแค่ไหน เขาคิดว่าอีกฝ่ายก็คงจะต้องมีบ้านมีครอบครัวแน่นอนจึงถามออกไป แต่พอเห็นท่าทางเหมือนอึดอัดใจของอีกฝ่าย ทำให้เขาถามใหม่ “เธอมีบ้านมั้ย?”
“มี แต่...” จู่ๆราฟาเอลก็เงียบไป เหมือนกับไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้แซมสันฟันธงว่า ราฟาเอล คงมีปัญหากับที่บ้านแล้วหนีออกจากบ้าน...เด็กชะมัด...
“ถ้าเธอยังไม่อยากกลับบ้าน เธอก็สามารถอยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะพอใจนะ” แซมสันกล่าวแล้วเดินไปก่อกองไฟที่ดับไปสักพักแล้วโดยไม่ได้หันมามองสีหน้าของเต่าสาวเลย
“นายพูดจริงหรอ?” ราฟาเอล ถาม ในใจของเธอรู้สึกอบอุ่นและลืมเรื่องที่ทำให้เธอทุกข์ใจไปชั่วครู่ ราฟาเอล แทบจะร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ
“จริง สิ ฉันพูดคำไหนคำนั้น” แซมสันตอบโดยที่ยังคงไม่หันมามองหน้าเต่าสาว เขาพ่นเปลวเพลิงออกจากปากแล้วใช้ฝ่ามือหนาที่เต็มไปด้วยกรงเล็บซึ่งในตอนนี้ มันกลายเป็นสีนิลเกือบทั้งแขนเขี่ยกองไฟตรงหน้า ราฟาเอลมองการกระทำนั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เธอรู้สึกแปลกใจไม่ใช่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า...อาจรวมไปถึงตกใจมาก ถึงมากที่สุดก็เป็นได้... เพราะว่าเธอคิดมาตลอดเวลาอันน้อยนิดที่ได้พบกันว่าแซมสันเป็นมนุษย์ เขาอาจแปลก แต่มองยังไงก็เป็นมนุษย์ แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว เขา...ไม่ใช่...มนุษย์ธรรมดา แซมสันหันมามองหน้าราฟาเอลที่จ้องเขาด้วยสีหน้าอึ้งๆ ชายหนุ่มโชว์แขนสีนิลเป็นประกายของเขายามต้องแสงจากเปลวเพลิงให้ราฟาเอลดูชัดๆ
“ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันไม่ใช่มนุษย์” แซมสันกล่าว ในขณะที่ราฟาเอลได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก เธอทำเพียงแค่พยักหน้าให้เขาเท่านั้น“เธอคงหิวแล้ว มานั่งนี่สิ เดี๋ยวฉันจะทำอะไรให้กิน”
ราฟาเอลเดินเข้ามานั่งรอบกองไฟข้างๆแซมสัน แต่ก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้บ้าง ชายหนุ่มนั่งคิดสักพักว่าโดยธรรมชาติแล้วเต่ามักจะกินอะไร...พืช...แต่ ที่นี่ในตอนนี้ไม่มีพืชหรืออะไรทำนองนั้นเลยสักอย่าง...นอกจาก...
“อ่า เธอกินเนื้อย่างได้ใช่มั้ย?” แซมสันถามเพื่อความแน่ใจ
“ก็ได้อยู่หรอก” ราฟาเอล ตอบ แซมสันจึงลุกขึ้นเดินไปยังซากศพของจระเข้ที่เขาล่ามาได้ก่อนจะไปเจอราฟาเอล ชายหนุ่มก้มตัวลงคุกเข่าตรงหน้าซากศพแล้วจับร่างนั้นพลิกตัวให้เหยื่อหงายท้อง ก่อนจะใช้มือเปล่าทั้งสองข้างแหวกอกเหยื่อออก ต่อหน้าต่อตาราฟาเอลที่รู้สึกพะอืดพะอมอยากจะอ้วกขึ้นมาทันใด แซมสันใช้ดวงตาสีแดงคมกริบของเขากวาดมองเครื่องในของอาหารของเขาราวกับกำลังเลือกอะไรบางอย่าง ดวงตาของเขาหยุดลงที่ก้อนเนื้อสีแดงขนาดใหญ่...หัวใจ... เขาจ้องมองมันสักพักแล้วควักมันออกมา
แซม สันเดินกลับมานั่งข้างๆราฟาเอลที่พอเขาเข้ามาใกล้นิดหน่อยก็ขยับถ่อยออกไป ใบหน้าของเต่าสาวขึ้นสีแดงระเรื่อนิดหน่อย แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ทันได้สังเกต แซมสันพ่นไฟอ่อนๆใส่หัวใจที่เขาควักออกมา จนมันสุกได้ที่แล้วยื่นไปตรงหน้าราฟาเอลที่ดูจะหน้าซีดลงไปเล็กน้อย...แต่ก็ ยังเขียวอยู่เหมือนเดิม...
“กินสิ” แซมสันพูดเสียงเรียบ
“...อ่า...ไม่ดีกว่า ฉันยังไม่ค่อยหิว” ราฟาเอล พูด เธออาจเคยกินหนอนหรืออะไรแย่ๆก่อนจะได้กิน พิชซ่าหรืออะไรที่ดีกว่านั้น แต่จะให้กินหัวใจจระเข้เนี้ย...เธอทำใจกินไม่ลงแหะ...
“กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน เธอกินนี่ซะจะได้มีแรง อีกอย่างตอนหิวน่ะมันทรมาน เธอกินเถอะจะได้ไม่ทรมาน” แซมสัน พยายามพูดโน้มน้าว ต้องยอมรับว่าเขาโน้มน้าวใครไม่ค่อยเก่ง ดังนั้นเขาพูดความจริงและสิ่งที่สมควรมันคงจะดีกว่า...ก็มันจริงมั้ยล่ะ...พอหิวแล้วมันทรมานมากๆ... “...”ราฟาเอล ยังช่างใจอยู่ เธอไม่แน่ใจว่าจะกินดี มั้ย แต่พอเห็นแววตาคาดหวังที่แซมสันทำโดยไม่รู้ตัวมันก็ทำให้เธอถอนหายใจแล้วรับหัวใจนั้นมาจากมือของแซมสัน แต่ทว่าเนื้อมันร้อนทำให้เธอไม่สามารถถือได้ ชายหนุ่มจึงถือให้แทนโดยที่เขาไม่ได้รู้สึกร้อนที่ฝ่ามือเลยสักนิด...อาจเป็นเพราะผิวหนังสีนิลของเขาก็เป็นได้... แซมสันใช้กรงเล็บของเขากรีดเนื้อออกมาเป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ เขาดึงเนื้อชิ้นเล็กๆนั้นมาเป่าสักพักแล้วยื่นไปตรงหน้าราฟาเอล
“กินสิ” แซมสัน พูดในขณะที่ราฟาเอล ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย เธอหลุบตาลงแล้วอ้าปากกินชิ้นเนื้อที่ชายหนุ่มป้อนเธอเข้าไป...รสชาติมันก็ไม่ได้แย่เท่าไร...
“นายไม่ร้อนมือรึไง?” ราฟาเอล ถามในขณะที่แซมสันดึงชิ้นเนื้อออกมาเป่าจนอุ่นได้ที่แล้วป้อนเธอ
“ไม่นี่” แซมสัน ตอบแล้วป้อนราฟาเอลต่อ ...การพบกันของพวกเขา
...คือหนึ่งในจุดเริ่มต้นของหลายๆเรื่อง...
...แต่เหนืออื่นใด...
...การพบกันครั้งนี้...
...มันทำให้เทพแห่งการทำลายล้างได้รู้จัก...
...กับคำว่ารัก...
TBC.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ