Kingdom Guardian
8.7
เขียนโดย mimosa
วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.09 น.
14 chapter
1 วิจารณ์
24.84K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 21.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) Kingdom Guardian: THE Guardian League 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKingdom Guardian: THE Guardian League 2
ณ โรงเรียนสกาย ไฮท์
ซูซานเดินตรงไปยังห้องที่ใช้สำหรับกักบริเวณของอาจารย์ใหญ่พาวเวอร์แห่งสกายไฮท์ โรงเรียนแห่งเมืองลอยฟ้า โคลัมเบีย อันเป็นส่วนหนึ่งของ นครเจสซี ซึ่งนครแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีและการแพทย์ที่ทันสมัย เขาเดินไปตามทางเดินที่ค่อนข้างเงียบ อาจเนื่องมาจากสาเหตุที่ว่า ในตอนนี้เป็นชั่วโมงเรียนของนักเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นได้... ซูซานเดินไปเรื่อยๆก่อนจะหยุดชะงักตรงบริเวณแท่นไว้อาลัย เขาจ้องมองรูปมากมายของเหล่าเด็กวัยรุ่นชายหญิงที่เคยไปออกรบกับเขาและพวกพ้องเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อน...แต่กลับมีคนรอดกลับมาได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น...ไม่สิ...นอกจากพวกผู้อาวุโสหรือพวกคนรุ่นเก่าอย่างซูซานและคนอื่นๆ พวกที่อายุน้อยกว่าต่างตายกันไปเป็นเบือ เหลือรอดเพียงน้อยนิด...เหลือรอดไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำ...
ประชากรที่เพิ่มขึ้นเพียงหยิบมือทำให้โรงเรียนแต่ละโรงเรียนในราชอาณาจักรการ์เดียนมีจำนวนนักเรียนเพียงแค่โรงเรียนละร้อย กว่าคนเท่านั้น เพราะเหล่าเด็กวัยรุ่นทั้งหลายนั้นต่างตายไปในสงคราม...เหลือรอดได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งเด็กๆพวกนั้นก็เรียนจบไปแล้วหรือไม่เข้าเรียนเลยก็มี
ซูซานรู้สึกเศร้าใจกับการเสียสละของเด็กๆเหล่านี้ ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากให้เกิดการสูญเสียใดๆทั้งสิ้น อยากให้เพียงแค่พวกเขาออกไปทำสงครามและชนะสงครามกลับบ้านกันอย่างพร้อมหน้า พร้อมตาครบทุกคน...แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้...เพราะทุกๆสงครามย่อมเกิดการสูญ เสียเป็นเรื่องธรรมดา...แต่เขาจะมามัวเศร้าเสียใจไม่ได้...เพราะว่าถ้ายังจม อยู่กับอดีตและความเศร้าเสียใจ...คนที่จะเจ็บที่สุดมันก็คือเขา ซูซานทำเพียงแค่จุดไฟขึ้นที่ฝ่ามือแล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดอกไม้สีสดก่อน จะวางมันไว้ที่แท่นไว้อาลัยแล้วเดินต่อไป หลัง จากใช้เวลาสักพัก ในที่สุดเขาก็เดินมาจนถึงห้องกักบริเวณซึ่งประตูนั้นมีลักษณะคล้ายกับประตู ของตู้นิรภัยก็มิปาน ซูซานเคาะประตูสองสามครั้งพอเป็นพิธีก่อนจะได้ยินเสียงของหญิงสาวบอกอนุญาต ดังมาจากด้านในและเขาก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเปิดประตูนั้นได้ เพราะว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขามากและหนักกว่าตัวเขาหลายเท่าจึงต้องออกแรง เยอะ(ไม่)หน่อย เมื่อเปิดประตูเข้ามาได้แล้ว เขาก็พบกับร่างของหญิงสาวในชุดสูทสีขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องสีขาวสะอาดตาราวกับห้องผ่าตัด ซึ่งถัดมาจากโต๊ะกลางห้องมีเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ตั้งอยู่ 2 ตัวด้วยกันโดยที่อีกตัวมีร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับอาจารย์ใหญ่พาวเวอร์ ขอโทษที่มาช้าครับ พอดีหัวหน้าเรียกประชุมน่ะครับ” ซูซานพูดขึ้นทำให้หญิงสาวหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้เขาซึ่งซูซานก็ยิ้มตอบ
“ไม่เป็นไรหรอกคะ เชิญเข้ามานั่งก่อนสิคะ คุณซูซาน” พาวเวอร์เอ่ยซึ่งซูซานก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงยังเก้าอี้บุนวมที่ว่างอยู่
“ท่าน วิลลาร์ด คงโทรไปบอกคุณแล้วใช่มั้ย?” หญิงสาวถามอย่างใจเย็น ในขณะที่ซูซานรู้สึกหวั่นใจนิดๆว่าเด็กหนุ่มข้างๆเขาจะมีปัญหาอะไรบ้างในรอบ นี้...นอกจากเรื่องขโมยของ...
“ก็...แค่โทรมาบอกว่า องค์รัชทายาท ขโมยของ อีกแล้ว...และ เรื่องที่ แซมสัน ลูกของผมโดนเรียน อีกแล้ว แค่นี้เท่านั้นแหละครับที่ผมรู้ พวกเขาคงไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเพิ่ม ใช่ไมครับ?” ซูซานตอบแล้วถามกลับ เขารู้สึกเหนื่อยใจนิดหน่อยที่ต้องพูดคำว่าอีกแล้ว หญิงสาวถอนหายใจออกมา เธอมองเขาด้วยสายตาที่แสดงออกว่า เธอรู้สึกอ่อนใจมากแค่ไหนที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ อีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...ซ้ำๆซากๆมาก...
“ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเพิ่มหรอกคะ แต่ฉันไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะคะ คุณซูซาน ลูกชายของคุณโดดเรียนเป็นว่าเล่น ทั้งๆที่เขาก็ผลการเรียนดีแต่กลับทำตัวมีปัญหา ส่วนองค์รัชทายาทก็ขโมยของซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่ก็ปาไปครั้งที่ 3000 ได้แล้วมั้งคะ ดิฉันไม่อยากจะนับ ทั้งๆที่บ้านของท่านก็...น่าจะเรียกได้ว่ารวย แต่กลับมาขโมยของราวกับมันเป็นงานอดิเรกแบบนี้ นี่มัน... ” พาวเวอร์กล่าวพร้อมกับนวดขมับของเธออย่างเหนื่อยใจ เธอถอนหายใจออกมาแล้วเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าซูซานนั้นสอนสั่งกาเร็ธกับแซมสันมาเป็นอย่างดีและคนที่บ้านของพวกเขาเองก็ต้องสั่งสอนกันมาเป็นอย่างดีแน่นอน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ความประพฤติของทั้งสองคนถึงได้แย่เช่นนี้
“ต้องขอโทษแทนพวกเขาด้วยนะครับ ผมเองก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เดี๋ยวครั้งนี้ผมจะช่วยพูดให้นะครับ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในครั้งต่อไปพวกเขาจะทำอีกมั้ย แต่ผมจะพยายามครับ” ซูซานพูด ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพเขากับกาเร็ธก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เขากับเด็กหนุ่มที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น
“ผมบอกคุณแล้วไง ว่าให้เรียกผมว่า กาเร็ธ” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่มันกลับแฝงไปด้วยความไม่พอใจ ซูซานถอนหายใจก่อนจะยิ้มกับนิสัยของเด็กหนุ่มที่เหมือนกับพ่อของเขายังกับอะไรดี
“ขอโทษด้วยจ้า~ แต่ในยามที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น ฉันก็ต้องนอบน้อมกับเธอไว้ก่อน อย่าลืมสิ ว่าเธอเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักรนี้ ส่วนฉัน เป็นแค่พระสนม จะทำตัวสนิทสนมกับเธอมากเกินไปไม่ได้หรอกนะ” ซูซานอธิบายอย่างใจเย็น ซึ่งกาเร็ธทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมากอดอกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น ราวกับกำลังงอนเขาอยู่ก็มิปาน
“ผมไม่ชอบ” กาเร็ธ พูดคำขาดอย่างเอาแต่ใจ ไม่บ่อยนักที่เด็กหนุ่มจะแสดงท่าทางเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่คนสนิทหรือคนพิเศษจริงๆ ซูซานถอนหายใจ และคิดว่าเขาคงเฉไฉได้แค่นี้
“ทำไมถึงอยากเป็นเจ้าชายโจรล่ะ กาเร็ธ?” ซูซานถาม ด้วยประโยคที่ดูจะสนิทสนมกันกว่าเมื่อสักครู่ กาเร็ธนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็เงียบได้ไม่นาน
“ผมเคยบอกคุณไปสินะว่าผมอยากเป็นเจ้าชายโจร ผมชอบเรื่องราวของโรบินฮู้ด ชอบเรื่องราวการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของเหล่าโจรทั้งหลาย ผมอยากจะได้รับสมยานามเจ้าชายโจร ก็แค่นั้น แต่ผมไม่ได้คิดจะทำให้ใครเดือดร้อน ก็แค่...” กาเร็ธพูด ซึ่งซูซานก็พอเข้าใจเพราะว่าเคยเกิดเหตุการณ์เหมือนกรณีนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง...แต่ ไม่ใช่ว่าคนๆนั้นอยากเป็นเจ้าชายโจร แต่คนๆนั้นเขาอยากเป็นเจ้าชายอัศวินต่างหากและคนๆนั้นที่ว่าก็คือพ่อของกาเร็ธ องค์จักรพรรดิกาเบลีย นั้นเอง...ดังนั้น จึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า...พ่อลูกเหมือนกันมากแค่ไหน...น่าจะเรียกได้ว่ามากเกินคำบรรยายเลยเสียมากกว่า...
“จ้าๆ เข้าใจแล้ว ฉันคิดว่าสักวันนึง เธอจะต้องได้รับสมยานามนั้นแน่นอน แต่ว่าก่อนจะถึงวันนั้น” ซูซานพูดก่อนจะลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูพร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสมาให้ “ช่วยเลิกขโมยของและช่วยเก็บความสามารถนี้ไว้เป็นความลับระหว่างพวกเราทีนะ กาเร็ธ”
เด็ก หนุ่มถึงกับหน้าขึ้นสีระเรื่อเมื่อได้ยินซูซานพูดเช่นนั้น...ความจริง...เขา ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นขโมยทุกๆวันแบบนี้ก็ได้ เพราะว่าเขามีเรียนพิเศษ วิชา โจรกรรมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาขโมยโน้นนี่นั้นที่โรงเรียนเพื่อฝึกฝนหรือเพื่อให้ได้รับสม ยานามเจ้าชายโจรตอนนี้เลยก็ได้...แต่ว่า...เขาก็แค่...อยากให้ซูซานสนใจเขา มากกว่านี้...เขารู้ว่าซูซานนั้นรักพ่อของเขามาก...มากเกินคำบรรยาย...และ ตัวเขาเองก็รัก ซูซานมากเกินคำบรรยายเช่นกัน...เขารัก ซูซาน นางสนมของพ่อเขาและอยากให้ซูซานดูแลและสนใจเขามากกว่าใครๆ...นั้นจึงเป็น เหตุผลที่เขามักจะทำตัวมีปัญหา...เพื่อให้ซูซานหันมาสนใจเขา...และมันก็ได้ ผล...แต่ดันมีคนอื่นทำแบบเดียวกับเขาซะงั้น...
“นี่ กาเร็ธ อีกไม่นาน ฉันจะต้องไปดินแดนมนุษย์เพื่อทำภารกิจบางอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เมื่อถึงตอนนั้น ฉันคงจะไม่ได้มาดูแลเธอแบบนี้อีกแล้วนะ” ซูซานพูดพลางยิ้มเศร้าๆซึ่งมันทำให้กาเร็ธชะงักไป เด็กหนุ่มนั่งเงียบเพราะพูดไม่ออก และรู้สึกปวดใจ อยากจะพูดกับ ซูซานว่า ...อย่าไป... แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากของเขา เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่งเงียบ ซูซานก็ทำเพียงแค่สลัดความรู้สึกหม่นหมองในใจออกไปแล้วส่งรอยยิ้มสดใสไปให้ กาเร็ธพร้อมกับลูบหัวของเด็กหนุ่มด้วยความรักและความเอ็นดูทั้งหมดที่มี ...แต่กาเร็ธก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดียวที่เขารักและเอ็นดูหรอกนะ...เพราะว่า เขายังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่ต้องไปจัดการ...
“จากนี้ไป ฉันคงไม่สามารถมาดูแลเธอแบบนี้ได้อีกแล้วล่ะ ช่วยทำตัวดีๆทีเถอะนะ เอาล่ะ ฉันว่าเธอคงหมดคาบเรียนแล้วสินะ งั้นก็ กลับบ้านระวังๆด้วยล่ะ ฉันต้องไปจัดการปัญหากับพ่อสิงโตน้อยของฉันหน่อย ฝากทักทายเอเลนด้วยนะ” ซูซ่นพูดก่อนจะเดินออกไปจากห้องซึ่งกว่าจะออกไปได้ กาเร็ธก็ต้องลุกออกไปช่วยซูซานดันประตูบานยักษ์ให้มันเปิดออก ซูซานขอบคุณเขาแล้วเดินจากไปทิ้งไว้เพียงเด็กหนุ่มที่หวั่นใจ...กับการที่ รักแรกของเขาและยังเป็นคนที่เขารักที่สุดในโลกกำลังจะไปยังสถานที่ ที่อันตรายที่สุด(สำหรับกาเร็ธ)...สถานที่ ที่เรียกว่า ดินแดนมนุษย์...
.
.
.
ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ของเมืองบริเวณชายแดนระหว่างนครวิลเฟรดกับนครนิโคลัส ตรงโต๊ะมุมในสุดของร้านมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาดูเป็นเด็กหนุ่มที่อายุน่าจะราวๆ 16-18 ปี เขามีเส้นผมสีดำราวกับสีของนิลกาล ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีแดงฉานราวกับทับทิม เขาสวมใส่เสื้อเจ็คเก็ตแขนยาวสีดำสนิท ภายในเป็นเสื้อยืดสีกากี กางเกงยีนส์สีดำสนิทกับเข็มขัดหนังที่มีสัญลักษณ์ดาวหกแฉกบริเวณหัวเข็มขัดและรองเท้าผ้าใบสีดำสนิท เขานั่งจ้องมองออกไปนอกร้านซึ่งเขาไม่ได้จ้องมองตัวเมืองหรือผู้คน หากแต่เขากำลังจ้องมองดวงดาวมากมายบนฟากฟ้า ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าในยามนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่เพราะว่าตลอดเวลาเขามักจะแสดงสีหน้าเย็นชา สงบเรียบนิ่งเสมอๆ และในบางครั้งเขาก็เป็นที่หวาดกลัวของใครหลายๆคนเพราะลักษณะท่าทางที่นิ่งจนน่ากลัวของเขา
“จะรับอะไรเพิ่มมั้ยคะ?” หญิงสาวในชุดเมดสีดำ ดวงตาสีขาวไร้ตาดำ เอ่ยถามเด็กหนุ่ม เขาทำเพียงแค่ปรายตามองก่อนจะหันไปสนใจท้องฟ้าในยามค่ำคืนต่อ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สั่งรายการอาหารต่อเช่นกันเพราะอาหารบนโต๊ะของเขามันหมดเกลี้ยงแล้ว และเขายังไม่รู้สึก...อิ่ม...เลยสักนิด
“วอสป์ เบียร์ ซี่โครงวัวรมควัน ซุปธัญพืช โจ๊กผักและน้ำผลไม้เลือด” เด็กหนุ่มสั่งเสียงเรียบซึ่งพนักงานเสิร์ฟสาวก็จดตามที่เขาบอกทุกอย่างก่อน จะมีเสียงของใครบางคนดังขึ้นมา
“ขอเพิ่ม สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า พันซ์และแพนเค้กเข้าไปในเมนูด้วยครับ” พนักงานเสิร์ฟสาวหันมามองเจ้าของเสียง ก่อนจะก้มหัวให้เจ้าของเสียงผู้มาใหม่อย่างนอบน้อมแล้วจดรายการอาหารที่เขาสั่งเพิ่มให้ เด็กหนุ่มหันมามองเจ้าของเสียงก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาสั่งเมนูเพิ่มในรายการของเขาคือแม่ของเขา ซูซาน เลโอเน่ นั้นเอง...เขารู้สึกตกใจแค่ในคราแรก ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เขาทำเพียงแค่จ้องมองซูซานที่เดินมานั่งข้างเขาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม จนเมื่อพนักงานเสิร์ฟไปไกลแล้วซูซานจึงเริ่มพูด
“โดด เรียนมาอยู่ไกลเหมือนกันนะ แซมสัน” ซูซานพูดยิ้มๆ เหมือนไม่ได้โกรธอะไรลูกชายคนนี้ที่โดดเรียนเป็นว่าเล่นราวกับงานอดิเรกที่ ถ้าวันไหนไม่ทำคงลงแดงตายเป็นแน่...แต่แบบนั้นมันเรียกว่าลงแดงเลยไม่ดีกว่า เหรอ? ...
“ผม ฝันครับแม่” จู่ๆแซมสันก็พูดขึ้นมาทำให้ซูซานหันมามองหน้าลูกชายแต่เด็กหนุ่มกลับหันหน้า ออกไปมองกลุ่มดาวบนท้องฟ้าแทนที่จะหันมามองหน้าคู่สนทนาของตน
“ฝัน อะไรเหรอ?” ซูซานถามด้วยความสงสัยปนเป็นห่วง เพราะว่าแซมสันไม่เคยพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดู...ค่อยข้างหดหู่แบบนี้...
“ฝัน เห็นแม่ กับท่านปู่แซมมาเอลกับท่านทวดเอโลฮิม ในฝัน แม่เดินเข้าไปหาพวกท่านทั้งสองและขอร้องให้พวกท่าน ช่วยทำให้ดินแดนของเราเป็นดินแดนที่ไร้ความทุกข์ทรมาน เป็นบ้านที่สงบสุขของทุกๆคน มีแต่ความสงบสุข” แซมสันเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มันทำให้ ซูซานสะดุ้ง ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงด้วยความระทึก มือเรียวบางสั่นและชื้นเหงื่อ เขาต้องพยายามอยู่หลายนาทีกว่าตัวเขาจะสงบนิ่งได้ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น แซมสันก็เริ่มเล่าต่อแล้ว “แต่พวกท่านบอกกับแม่ว่ามันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน แม่จะต้องให้เทพแห่งการทำลายล้างลงมาจุติเป็นลูกคนที่สองของแม่ เขาจะเกิดมาพร้อมกับชะตากรรมในการทำลายล้าง ลูกของแม่จะกลายเป็นจ้าวแห่งหายนะ เขาจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจะฆ่าซาตานทุกๆตนในทุกๆโลกทุกๆมิติและกลายเป็นซาตานเสียเอง โลกจะถึงกาลล่มสลาย จะไม่มีใครเหลือรอดเลยสักคน และคนที่จะทุกข์ทรมานที่สุด ก็คือแม่”
เสียง เรียบนิ่งที่เล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในสงครามเมื่อ 2000 ปีก่อน มันทำให้ซูซานหนาวสะท้าน และใช่...เขาเคยทำข้อแลกเปลี่ยนกับอดีตองค์จักรพรรดิจริงๆ ซึ่งตามความจริงน่าจะเรียกว่าพระเจ้าน่าจะถูกเสียมากกว่า...เขายอมให้กำเนิด เทพแห่งการทำลายล้างเพื่อให้ราชอาณาจักรการ์เดียนมีแต่ความสงบสุขตลอดไป...
แซมสันค่อยๆหันมาจ้องดวงตาสีน้ำตาลของซูซาน ดวงตาสีแดงสดของเขาสงบนิ่งและเยือกเย็น จน ซูซานรู้สึกขนลุกขึ้นมาแวบนึง
“แม่ ผมคือเด็กคนนั้นใช่มั้ย? เรื่องที่ผมฝันมันคือเรื่องจริงใช่มั้ย?” แซมสันถาม เสียงของเขาดูสั่นนิดๆ ซึ่งมันทำให้ ซูซานปวดใจไปด้วย เขาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา มือเรียวบางสัมผัสที่ฝ่ามือใหญ่หนาของลูกชายก่อนจะส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ แซมสัน
“แม่จะไม่โกหกลูกหรอกนะ ใช่ ลูกคือเด็กคนนั้นและ ใช่ เรื่องที่ลูกฝันมันเกิดขึ้นจริง แต่ ลูกไม่จำเป็นต้องไปสนเรื่องนั้นหรอกนะ แม่เองก็ไม่คิดจะสนมันเหมือนกัน เพราะแม่เชื่อว่าลูกของแม่ ไม่มีวันกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างแน่นอน ...แม่เชื่อ” ซูซานพูดด้วยความรักและความเชื่อมั่นในตัวลูกชายของเขาพร้อมยิ้มให้แซมสันด้วยความจริงใจ ซึ่งแซมสันรับรู้ถึงความรู้สึกทุกๆอย่างที่ซูซานส่งมาทั้งหมด แต่ไม่รู้ทำไม แซมสันถึงได้รู้สึกกลัว...กลัวว่าเขาจะทำให้แม่ผิดหวัง...กลัวว่าสุดท้ายแล้ว...เขาก็จะกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง...
แต่ เพื่อแม่ของเขา เขาจะพยายามให้ถึงที่สุด...พยายามไม่กลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง...แต่เขา จะทำได้หรือไม่นั้น...เขาเองก็ไม่อาจบอกได้...แต่ตราบใดที่แม่ยังอยู่ เขาว่าเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง...
“ผม เชื่อแม่” แซมสันพูดก่อนจะจับฝ่ามือเรียวบางของผู้เป็นแม่ยกขึ้นมาสัมผัสที่แก้มของเขา สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆอันเป็นเอกลักษณ์ของซูซานด้วยความรักใคร่ทั้งหมดที่ มี...และเขาคิดว่านี่อาจเป็นบาปข้อแรกที่ร้ายแรงที่สุดที่เขาได้กระทำก็ ได้...ซึ่งนั่นก็คือ...เขารักแม่ของตัวเองเกินคำว่าแม่...ซึ่งมันคงเป็น เหตุผลที่ว่าทำไมแม่ของเขาจะต้องเป็นคนที่ทรมานที่สุด... ริม ฝีปากสัมผัสที่ฝ่ามือของซูซาน ด้วยความรักแต่ซูซานกลับมองว่ามันคือการออดอ้อนของเด็กหนุ่ม ถึงแม้ว่าซูซานจะรับรู้ถึงความรู้สึกของแซมสันอยู่บ้างแต่เขาเลือกที่จะคง ความสัมพันธ์ของความเป็นแม่ลูกกันเอาไว้แบบนี้ และหวังให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปเพราะเมื่อคราใดที่ความสัมพันธ์มันเกินเลยกัน ขึ้นมา...เขาเองก็มิอาจรู้ได้ว่าในตอนนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...
“โตเป็นหนุ่มแล้วยังจะมาอ้อนแม่อีกเหรอ?” ซูซานพูดยิ้มๆพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นมาขยี้ผมสีนิลกาลของลูกชายด้วยความรักใคร่ของคนเป็นแม่
“ทีแม่ยัง อ้อนยายแมร์รี่น่ากับยายทวดเทเรซ่าได้เลย” แซมสันพูดพลางก้มหน้าลงไปซุกอกของซูซานที่ดูคล้ายหน้าอกของสาวคัพซี ซึ่งนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เชื่อยากว่าซูซานเป็นผู้ชาย! ไม่ใช่ผู้หญิง!!
“จ้าๆ อยากจะอ้อนก็อ้อนตามสบายเลย พ่อสิงโตน้อยของแม่” ซูซานพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกอดลูกชายของเขาด้วยความรักใคร่ มันดูเป็นภาพที่แสนจะอบอุ่น...และ ซูซานหวังให้มันเป็นเช่นนี้ตลอดไป...
...แต่มันจะเป็นดั่งที่เขาหวังหรือไม่นั้น...ไม่มีใครรู้...
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ณ นครออกัสติน
หลังจากแวะไปที่ นครโทเบียส เพื่อแอบเข้าไปตรวจเช็คความเรียบร้อยของสำนักงานใหญ่ของ เดอะการ์เดียนลีก ซึ่งก็คือตึก การ์เดียนทาวเวอร์ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกจากความรกร้างอันเนื่องมาจากไม่มีใครไปใช้งานมานานนับพันปีแล้ว เพราะสมาชิกโดยส่วนใหญ่ตายหมดเหลือแต่เพียงพวกผู้นำที่แก่หงำเหงือก...จะว่าไป...ไอ้พวกที่แก่หงำเหงือกมันก็พวกเขานี่หว่า!!!...(ด่าตัวเองแล้วเพ่)
ฟาเธอร์คิดอย่างเซ็งๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขาในตอนนี้อยู่ตรงหน้าบ้านของเขาเองซึ่งมันเป็นบ้านหลังเล็กบริเวณชานเมืองในนครออกัสติน ชายหนุ่มค่อยๆเดินตรงไปยังบ้านของตนด้วยความไม่รีบร้อนก่อนจะเปิดประตูเข้าไปแล้วยิ้มกับภาพที่เห็น...ครอบครัวของเขา...
“อ๊ะ ทุกๆคน พ่อจ๋ากลับมาแล้วล่ะ!!” เสียงร้องบอกของเด็กน้อยที่น่าจะอายุราว 7-8 ขวบ ดังขึ้นทำให้สมาชิกคนอื่นๆในบ้านกว่า 60 คนหันมามองที่ประตูก่อนที่ทั้งหมดจะพากันกลู่เข้ามากระโดดกอดฟาเธอร์ซึ่งทำเอาชายหนุ่มเกือบล้มทั้งยืน แต่ก็พอทรงตัวได้อยู่ในขณะที่คนอื่นๆเปลี่ยนจากกระโดดกอดมาเป็นยืนล้อมหน้าล้อมหลังเขาแทน
“พ่อจ๋า คิดถึงจังเลย”
“พ่อจ๋า วันนี้ที่โรงเรียนสนุกมากๆเลยล่ะ”
“พ่อจ๋า วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ย? เดี๋ยวหนูนวดให้นะ”
“พ่อจ๋า อุ้มหน่อย”
“พ่อ ผมสอบผ่าน”
“พ่อ ผมจะเข้าเรียนที่ มอสเตอร์ ไฮท์ ปีหน้าล่ะ”
“พ่อขา วันนี้หนูไปเที่ยวกับเพื่อนๆสนุกมากๆเลยล่ะ”
“พ่อจ๋า วันนี้เฮียแมกซ์เวลไปแอบส่องเจฟ อีกแล้วล่ะ”
“พ่อ อ้าวเฮ้ย!!ไปฟ้องพ่อทำไมวะ!!! ถ้าจะมาฟ้องพ่อแบบนี้ไปฟ้อง สแลนเดอร์แมนมันเลยไป!” “งั้นเดี๋ยวหนูจะโทรบอก สแลนเดอร์แมน”
“ประชด!!!อย่าโทร!!!!”
และประโยคอื่นๆอีกมากมายที่ดังมาจากเหล่าเด็กชายหญิงและหนุ่มสาวที่ยืนล้อมรอบตัวเขา ฟาเธอร์ทำเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วอุ้มร่างของเด็กหญิงวัย 6 ขวบขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอด
“เอา ล่ะๆ ทีละคนสิ ลูกรักของพ่อเยอะขนาดนี้ แล้วจะให้พ่อหันไปคุยกับใครก่อนดีล่ะ พ่อมีแค่ร่างเดียวปากเดียวเองนะ ปะๆ เข้าบ้านกัน” ฟาเธอร์พูดยิ้มๆก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน ก็พบกับร่างบอบบาง ที่มีผมสีเงินยาวยวงกับดวงตาสีฟ้าสดใส ของภรรยาเขาที่กำลังนั่งให้นมลูกน้อยอยู่บนโซฟา เขาเดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆย่องเข้าไปหาร่างของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก่อนจะขโมยหอมแก้มภรรยาสุดที่ รักของเขาไปทีนึง
“ฟาเธอร์! ตกใจหมดเลย กลับมาไม่บอกกันเลยนะ” เสียงหวานของร่างบางดังขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะยิ้มหวานให้เมื่อรู้ว่าคนที่เพิ่งจะขโมยหอมแก้มเขาไปคือสามีของเขานั้นเอง ซึ่งเจ้าตัวก็หอมแก้มกลับเอาคืนสามีเช่นกัน
“กลับมาแล้ว เอเดน คิดถึ๋ง~ คิดถึง~” ฟาเธอร์พูดพร้อมกับลงมานั่งข้างๆเอเดนแล้วเอาแก้มของตนไปถูไถกับแก้มของภรรยาแล้วหอมแก้มเนียนๆนั้นไปหลายครั้งหลายหน ซึ่งพวกลูกๆก็มองกันตา แป๋ว บางคนก็ยิ้มๆแล้วหันไปซุบซิบกันแล้วยิ้มอย่างเป็นสุขสนุกกันไป
“ฟาเธอร์ ลูกๆอยู่ด้วยนะ พอแล้ว แก้มช้ำหมด” เอเดนพูดด้วยความเขินอาย ใบหน้านวลขึ้นสีระเรื่อ ฟาเธอร์มองยิ้มๆก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มทารกน้อยวัย 1 ปี ด้วยความรักและเอ็นดู
“พ่อจ๋า พ่อกลับมาไม่ทันกินข้าวเย็น อะ อดกินฝีมือแม่จ๋าเลย” เด็กหญิงในอ้อมกอดของฟาเธอร์พูด ในขณะที่คนอื่นๆในครอบครัวต่างก็มานั่งล้อมวงรอบๆพ่อแม่ของพวกเขา
“พ่อกินอะไรมารึยังคะ เดี๋ยวหนูไปทำอะไรให้กินเอามั้ย?” หญิงสาว อายุราวๆ 18-19 ปี ผมสีน้ำตาลเปลือกไม้เป็นลอนยาวจนถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีบุษราคัม ถามพ่อของตนด้วยความเป็นห่วง
“กินมาแล้วล่ะ ซีบิล ไม่ต้องหรอก” ฟาเธอร์ตอบด้วยรอยยิ้ม สำหรับในตอนนี้เขาคือคุณพ่อและสามีที่แสนจะอ่อนโยน เป็นชายผู้แสนดีที่ปกป้องครอบครัวและทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องครอบครัวของเขา พ่อพระโดยแท้ ผิดจากปกติที่เขาค่อนข้างจะติดไปทางเย็นชาและมีความโหดเข้าเส้นแทบจะตลอดเวลา
...ไม่ ว่าจะอย่างไรเสีย...ทั้งสองอย่างนั้นคือตัวจริงของเขา...แต่สิ่งที่เขา แสดงออกกับสมาชิกในครอบครัวของเขานั้นคือของจริงเสียยิ่งกว่าความโหดและความ เย็นชาที่เขาแสดงออก...ตัวจริงของเขาคือชายหนุ่มที่อ่อนโยนและรักครอบ ครัว...
“ทุกๆคน พ่อมีเรื่องจะบอก “ ฟาเธอร์พูดขึ้นทำให้ทั้งหมดหันมามองเขาอย่างตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด เขาจัดท่านั่งให้ลูกสาววัย 6 ขวบของเขาได้นั่งสบายๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องภารกิจของเขาที่เจ้าตัวต้องไปทำให้ครอบครัวของเขาฟัง ซึ่งพอฟังจบแล้ว ทั้งหมดต่างพากันหน้าซีดเมื่อรู้ว่าพ่อของพวกเขากำลังจะต้องเดินทางไปยังดินแดนของพวกมนุษย์ที่แสนจะโหดร้าย เอเดนใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน น้ำตาแทบจะไหลลงมาจากดวงตาสีฟ้าคู่งาม
“ไม่ นะ ฟาเธอร์ อย่าไป” เอเดนพูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา เขาจำได้ดีถึงความโหดร้ายของพวกมนุษย์ เขาเคยประสบกับเรื่องที่โหดร้ายมากถึงขั้นอยากจะตายมาแล้ว แต่ก็เพราะ ฟาเธอร์ได้มาช่วยเขาเอาไว้ ฉุดเขาขึ้นมาจากขุมนรกบนดินแล้วมอบความสุขทุกๆสิ่งทุกๆอย่างมาให้กับ เขา...นั้นคือความทรงจำของเขาที่มีกับดินแดนของพวกมนุษย์...เมื่อพูดถึงดิน แดนมนุษย์แล้ว มันมักจะทำให้เอเดนกลัวอยู่เสมอ...
ฝ่ามือหนายกขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าสวยทำให้ เอเดนเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของ ฟาเธอร์ ...เขาคือคนที่โชคดีที่สุดในโลก...ที่ได้รับรอยยิ้มอันอบอุ่นและอ่อนโยนของฟาเธอร์ ทุกเมื่อเชื่อวัน...และการที่ ฟาเธอร์ต้องไปยังสถานที่ ที่โหดร้ายแบบนั้น มันทำให้เขากลัวและรู้สึกเป็นห่วง ฟาเธอร์...เพราะว่าอันตรายของดินแดนแห่งนั้น...มันน่ากลัวมาก...
“ชู่ว์~ ไม่เป็นไร เอเดน ไม่เป็นไร ฉันจะปลอดภัยกลับมา และฉันสัญญาว่าจะโทรมาหาเธอทุกๆวัน” ฟาเธอร์ พูดปลอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับคว้าตัวเอเดนเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน เขาจูบซับน้ำตาให้กับภรรยาด้วยความรักใคร่พร้อมกับลูบหัวของคนที่กำลังเสีย ขวัญ
“สัญญานะ”
“สัญญา”
ทั้งสองนั่งกอดกันท่ามกลางสายตาของลูกๆ จนเมื่อทารกน้อยวัย 1 ปี ดิ้น ขลุกขลักไปมา ทั้งสองจึงต้องผละออกจากกัน
“พวกเราจะไปด้วยครับพ่อ” จู่ๆชายหนุ่มวัยราวๆ 19-20 ปี ผมสีนิล ร่างกายกำยำบึกบึน นัยน์ตาสีบุษราคัม พูดขึ้น ทำให้ ฟาเธอร์หันมามอง
“ไม่ได้ มันอันตรายมากนะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พ่อไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับลูกๆแน่” ฟาเธอร์ พูด ด้วยความเป็นห่วง...กลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับลูกๆของเขาถ้าเดินทางไปกับเขาจับใจ...
“พี่อดอลฟ์ พูดถูก พวกเราจะไปด้วยคะพ่อ” ซีบิล พูดอย่างเห็นด้วยกับพี่ชายคนโตของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าน้องชายน้องสาวคนอื่นๆของเธอต่างก็เห็นด้วยเช่นกัน
“พวกเราเรียนจบแล้ว และพวกเราพร้อมจะเผชิญหน้ากับพวกมนุษย์แล้วนะคะพ่อ” เด็กสาวอายุราวๆ 17-18 ปี ผมสีดำยาวยวง นัยน์ตาสีบุษราคัม พูดขึ้น แต่คำพูดของเธอทำให้พี่น้องหลายๆคนของเธอหันมามอง
“เรียนจบ น่ะ มีแค่ เธอ พี่อดอลฟ์ พี่ซีบิลและพี่แมกซ์เวลมากกว่ามั้ง” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นซึ่งข้างๆเขานั้นมีเด็กหนุ่มสามราว 3 คนที่หน้าตาเหมือนเขา ซึ่งก็คือเหล่าฝาแฝดของเขานั่งอยู่ใกล้ๆและพยักหน้าให้กับคำพูดของเขา
“จริงของ วัน(one) ที่เรียนจบก็มีแค่ อดอลฟ์ ซีบิล ฉันและแดนนิต้า ดังนั้นจึงมีแค่พวกเรา 4 คนที่สามารถไปกับพ่อได้ วุฮู้ว~” ชายหนุ่มอายุราวๆ 20-21 ปี ผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ สวมใส่แว่นกันแดดสีดำ พูดขึ้นอย่างรื่นเริงจนทุกๆคนต่างพากันหันมามองด้วยสีหน้าเอือมๆอย่างสุดจะทน
“อะไร?”
“มัน จะรื่นเริงไป มั้ย ไอ้คุณพี่แมกซ์เวล ที่ได้ไป น่ะมันพวกพี่ 4 คน ส่วนพวกเราต้องอยู่ที่นี่” วัน พูดอย่างเอือมระอาและราวกับรู้สึกเสียดายเพราะว่าครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่บน ดินแดนมนุษย์ มันก็เมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนซึ่งในตอนนั้นเขาและพี่ๆน้องๆยังเป็นแค่เด็กที่เกิดในคุกและได้รับ ความรักความอบอุ่นและการสอนสั่งจากฟาเธอร์ รวมไปถึง...การได้ออกไปขย้ำพวกมนุษย์สารเลวที่บังอาจมาทำร้ายแม่ของพวกเขา มันเป็นอะไรที่สนุกมากๆ...การได้ขย้ำคอหอยพวกคนเลวคือสิ่งที่พวกเขาชอบมากถึงมากที่สุด...แต่ถ้าได้ไปดินแดนมนุษย์กันแค่ 4 คน...มันก็ขย้ำคอหอยพวกมนุษย์ไม่สนุก น่ะสิ...เพราะถ้าจะให้สนุก มันต้องล่าเป็นกลุ่มใหญ่ๆ...
“น่าๆ ไม่ต้องหงอยเป็นหมาหงอยไป เดี๋ยว เชือดเผื่อให้น้อง” แมกซ์เวล พูดทีเล่นทีจริงจนน่าหมั่นไส้ในบางครั้ง...แต่ในสถานการณ์นี้ น้องของเขาหลายๆคนเริ่มรู้สึกคันตีอยากถีบยอดหน้าพี่ชายคนนี้ขึ้นมาตงิดๆ
“เดี๋ยวๆ พ่อยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะให้พวกลูกไปด้วยน่ะ” ฟาเธอร์พูดขึ้นทำให้พวกลูกๆของเขาพากันหันมามองก่อนจะพากันยิ้ม กรุบกริบ...ไม่สิ...ต้องพูดว่า...พากันยิ้มเจ้าเล่ห์เสียมากกว่า...
“พ่อจ๋า~ พ่อจ๋า ต่อให้พ่อห้ามยังไงพวกเราก็จะตามพ่อไปอยู่ดี” ซีบิล พูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเข้าไปกอดแขนของฟาเธอร์
“ครอบครัวต้องไม่ทิ้งกัน ไม่ใช่เหรอคะ?” แดนนิต้าพูดพร้อมกับยิ้มหวานเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆของเธอที่ส่งยิ้มมาให้กับพ่อของพวกเธอ
“พวกเราไม่มีวันทิ้งพ่อหรอกครับ เราไม่ปล่อยให้พ่อไปผจญอันตรายกับพวกมนุษย์คนเดียวแน่นอน” อดอลฟ์กล่าวซึ่งน้องๆคนอื่นๆของเขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“พ่อช่วยพวกเรามามากแล้ว ถึงคราวที่พวกเราจะช่วยพ่อบ้าง” แมกซ์เวล พูดอย่างจริงจังเสียจนน้องๆหันมามองด้วยความอึ้งว่าตานี่มันจริงจังเป็นด้วยรึ? แต่แน่นอนว่าทุกๆคนต่างเห็นด้วยกับสิ่งที่แมกซ์เวล พูด
“อีกอ ย่าง แม่จะได้สบายใจด้วยยังไงล่ะคะ” ซีบิลยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอก ฟาเธอร์ ซึ่งมันทำให้เขาถอนหายใจ...ครอบครัวจะไม่ทิ้งกัน...นั้นคือสิ่งที่เขาสอนพวก ลูกๆเสมอ...มาถึงตอนนี้...พวกลูกๆก็จะอยู่เคียงข้างเขาคนนี้...นักบุญ เพชฌฆาต(Saint Slayers)...
“เฮ้อ~ ช่วยไม่ได้ งั้นไปเตรียมตัวกันเถอะ พวกเราจะไปดินแดนมนุษย์ด้วยกัน”
...ขอแค่มีครอบครัวคอยอยู่เคียงข้าง...มันก็ไม่มีอะไรจะต้องกังวล...
++++++++++++++++++++++++++
ณ นครโทเบียส
ฟรานซิสแทบจะกลับมาบ้านในสภาพล้มทั้งยืนกับการยืนขาแข็งในการประชุมกับสภาผู้อาวุโส เขาต้องยืนอธิบายจนน้ำลายแทบกระเด็น...ไม่สิ...กระเด็นไปแล้วเรียบร้อย...คอแห้งจนเสียงเกือบหาย กับการอธิบายทั้งเหตุและผลรวมไปถึงการอ้างกฎ อ้างโน้นนี่นั้นเป็น 108 เรื่องสารพัดสารเพเพื่อให้เหล่าผู้อาวุโสและผู้มีอำนาจสูงสุด อนุญาตให้เขาและพรรคพวกออกไปยังโลกภายนอกหรือโลกมนุษย์ ยังดีที่เขามีผู้สนับสนุนเยอะอยู่พอสมควรซึ่งโดยรวมก็น่าจะมี กาเบลียกับเอเลนและคณะของเอเลนที่สนับสนุนเขาจนแทบจะไม่มีใครคัดค้าน รวมไปถึงบาร์ติเมอัส เลโอเน่และเทเรซ่า ตา กับยายของซูซานที่มีความเกี่ยวข้องอันซับซ้อนนิดหน่อยกับครอบครัวของเขาและ เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่ทรงอำนาจสนับสนุนเขาตั้งแต่หัวจนท้าย แบบนี้ก็ไม่อาจมีใครมาคัดค้านเขาได้ ที่จริง ไม่ค่อยมีใครคัดค้านเขาสักเท่าไร ที่เห็นว่าคัดค้านก็คงจะมีอยู่คนเดียว นั้นก็คือ วิลลาร์ด เฮ็ทช์ ไรท์ เบอร์นาดร์ ผู้อาวุโสที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรและเขาก็คือคนที่ตั้งกฎมากมายให้กับราชอาณาจักรการ์เดียน...แต่พวกเขาก็แหกแม่งหมดแล้ว...
และจนแล้วจนรอด เสียงที่สนับสนุนเขาก็มีมากกว่า เขาเลยได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการให้เดินทางไปยังดินแดนของพวกมนุษย์ได้ โดยบาร์ติเมอัสหรือที่เขากับคนอื่นๆชอบเรียกว่าลุงบาร์ตี้หรือ ป๋าบาร์ตี้ จะช่วยติดต่อกับบุคคลที่สามารถไว้ใจได้ให้ ซึ่งวิลลาร์ดหรือที่ใครๆต่างก็เรียกกันอย่างเคารพว่าพ่อวิล หรือที่คนรุ่นเดียวกับเฮียแกเรียกว่าวิล ก็ต้องหงุดหงิดไปตามระเบียบ แต่ก็ได้ ภรรยาสุดที่รักของเจ้าตัว แคลร์ ว็อก เบอร์นาดร์ และลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน โอฟีเลีย เบอร์นาดร์ มาคอยปลอบใจและทำให้วิลใจเย็นลงได้ แต่ลูกสาวคนงามของวิลดันเรียกเขาไปคุยด้วยซึ่งเนื้อหาของเรื่องที่คุยก็ประมาณว่า ให้เธอสามารถเดินทางไปยังโลกมนุษย์กับคณะเดินทางของฟาเธอร์ได้ ซึ่งใครเขาจะไปขัดเธอได้ ก็ในเมื่อเธอมีพลังระดับพระเจ้าผู้สร้าง แต่ก็ยังดีที่เธอมาขอเขาก่อน มันแสดงให้เห็นว่า เธอเคารพเขาและยังพอเห็นหัวเขาอยู่บ้าง และเขาเริ่มจะเข้าใจนิดๆแล้วว่าทำไม วิล ถึงพยายามขัดขวาง ไม่ยอมอนุญาตให้พวกเขาไปยังดินแดนมนุษย์ มันคงเป็นเพราะ โอฟีเลียไปขออนุญาตเรื่องที่จะออกเดินทางกับพวกเขา...ที่จริง...แค่ออกเดินทางไปกับพวกฟาเธอร์เท่านั้น...ไม่ใช่เขาที่จะไปนอกโลก...
ก็นะ เขาพอจะเข้าใจวิล ที่พยายามขัดขวางเรื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตายเพราะเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อน วิล ต้องสูญเสียลูกชายและลูกสาวรวมไปถึงลูกสะใภ้ของเขาไปในโลกมนุษย์เพราะพวกโอเดียและพวกโลภมาก ซึ่งยังไงซะ พวกมันก็เป็นฝ่ายเดียวกับพวกโอเดียอยู่ดี ซึ่งเหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ทำให้โอฟีเลีย ไม่ใช่เจ้าหญิงในหอคอยงาช้างอีกต่อไปเมื่อเธอได้รับรู้ถึงความเศร้าเสียใจกับการสูญเสียคนในครอบครัวไปเป็นครั้งแรก และเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังทำให้ แคลร์ ช็อกจนต้องนอนพักรักษาตัวเป็นเวลานานถึง 6 เดือน ...วิล เองก็เสียใจ...แต่เพราะในตอนนั้นเขาต้องทำหน้าที่เป็นแม่ทัพในสงครามกับพวกโอเดียและเขายังเป็นหัวหน้าครอบครัวอีกด้วย มันจึงทำให้เขาต้องเข้มแข็ง...
ใน ตอนเหตุการณ์ช่วงนั้นเองก็เป็นช่วงที่ภรรยาเก่ากับลูกชายและลูกสาวของเขาตาย ไปเพราะพวกโอเดียเช่นกัน...และเป็นเหตุการณ์ที่แม่ของเขาออกศึกจนบาดเจ็บ สาหัส อาการโคม่าจนถึงทุกวันนี้...
ประเด็นสำคัญก็คือ วิล กลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับโอฟีเลียเช่นเดียวกับที่ฟาเธอร์ เป็นห่วงครอบครัวของเขา มันทำให้ วิล กังวลแทบบ้า จนเขาต้องเข้าไปพูดคุยเรื่องนี้กับวิล เพื่อให้พ่อหนุ่มใหญ่เขาเข้าใจเสียที ว่าไม่มีอันตรายอะไรทำร้ายคนระดับโอฟีเลียได้หรอก ไหนจะ ซูซานที่จะปกป้องทุกๆคน ไม่ให้อันตายใดๆเกิดขึ้นกับพวกพ้องและครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน...แต่จะว่าไป... ที่โอฟีเลียอยากไปกับคณะเดินทางของ ฟาเธอร์อาจเป็นเพราะ ซูซานก็ได้...ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ...ในเมื่อ โอฟีเลีย น่ะ ตกหลุมรัก ซูซานตั้งแต่เมื่อประมาณ 3000 ปีโน้นแล้ว...ซึ่ง คนเขารู้กันทั้งประเทศแล้วและรู้กันตั้งแต่หลายพันปีที่แล้วโน้นด้วย แต่เจ้าตัวต้นเหตุดันมองโอฟีเลียเป็นเพียงแค่ลูกสาวตัวเล็กๆซะงั้น...เห็นแล้วน่าปวดหัวแทนจริงๆให้ตายเถอะ...
แน่ นอนว่าเขาอนุญาตให้โอฟีเลียไปกับคณะเดินทางของฟาเธอร์ ซึ่งกว่าจะกล่อมให้พ่อของคุณเธอยอม เขาก็น้ำลายหมดปากแล้วล่ะ...แต่ก็นับว่าทุกๆอย่างลงตัวแล้ว...แถมคณะเดินทาง ของเขายังคนเพิ่มอีก...คงสนุกแน่งานนี้...
ฟราน ซิสคิดอะไรเพลินๆ ในขณะที่กำลังเดินตรงไปยัง ปราสาทแก้วผลึก ซึ่งอยู่ตรงศูนย์กลางหรือใจกลางนครโทเบียส อันเป็นสถานที่เก็บร่างกายของเหล่าบรรพบุรุษและคนในครอบครัวของพวกเขาที่ กลายสภาพเป็นผลึกแก้วที่ดูคล้ายกับ อัญมณี ขนาดมหึมา ...ในสถานที่แห่งนี้...คือสถานที่ ที่ร่างของแม่ของเขาถูกเก็บรักษาเอาไว้...แม่ของเขาไม่ได้กลายเป็นผลึก... เขาแค่ค้นพบว่าผลึกเหล่านี้มีพลังในการรักษาและการหยุดนิ่งสูงมาก...เขาจึง นำแม่ของเขามานอนในผลึกเหล่านี้...จนกว่าเขาจะพบวิธีรักษาแม่ของเขาให้กลับ มาเป็นปกติเช่นเดิม...
เขาเดินเข้าไปในลิฟต์ที่ทำจากแก้วคริสตัลอย่างดี ฟรานซิส กดปุ่มที่มีตัวหนังสือกำกับอยู่ด้านใต้ว่าชั้นใต้ดินทำให้เขาลงยังชั้นล่าง สุด ซึ่งในชั้นล่างสุดนั้นเต็มไปด้วยผลึกหลากหลายสีสันต์ ดูราวกับสวน อัญมณีแสนสวยงามที่หลุดออกมาจากในภาพวาดหรือเทพนิยายเรื่องไหนสักเรื่องนึง เขา เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ซึ่งสองข้างทางของเขานั้นเต็มไปด้วย ผลึกและยิ่งเดินลึกเข้าไปก็จะพบว่ามีดอกไม้ดอกเล็กๆหลากสีสันต์ขึ้นแทรกอยู่ ตามซอกของผลึกแก้วพร้อมกับมีน้ำไหลออกมาจากซอก ผลึกซึ่งมันยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ ยิ่งดูงดงามเข้าไปใหญ่
ฟราน ซิส เดินมาหยุดอยู่ยังส่วนที่น่าจะลึกที่สุด ซึ่งในส่วนที่เขาเดินมาหยุดอยู่นี้ดูราวกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วย ผลึกแก้วสีสันต์ ละลานตา ดอกไม้หลากสีสันต์กับสายน้ำใสที่ไหลเป็นสายไปตามซอกผลึก ดูเป็นประกายเมื่อมันกระทบกับแสงสว่างตรงใจกลางห้อง ซึ่งแสงสว่างที่ว่า มันมาจาก ผลึกแก้วขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนยอดสุดของปราสาทแห่งนี้ซึ่งผลึกนั้นเป็นผลึก ที่เกิดจากร่างของเหล่าองค์จักรพรรดิและพวกเชื้อพระวงศ์ ด้วย ความที่ปราสาทแห่งนี้ จะทำให้ตรงกลางของปราสาทนั้นว่างเปล่าและหลังคาเปิดโล่งแค่ตรงกลางเพื่อทำ ให้สามารถมองเห็นท้องฟ้าและสามารถทำให้ผลึกสามารถส่องแสงมาถึงผลึกแก้วที่ อยู่ภายในปราสาทนี้ทั้งหมด
ที่ตรงกลางห้องโถงมีผลึกขนาดใหญ่คล้ายๆโลงแก้วอยู่ ในโลงนั้นมีร่างของหญิงสาวผมสีทองอร่ามตา สวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวยาวถึงข้อเท้า นอนอยู่ซึ่งบนพื้นของโลงแก้วที่หญิงสาวนอนอยู่นั้น ถูกปูไว้ด้วยดอกไม้สีขาวกลิ่นหอม...ดูราวกับเธอแค่กำลังนอนหลับอยู่บนทุ่งดอกไม้...ซึ่งนั้นคือสิ่งที่ ฟรานซิสทำให้เป็น...แม่ของเขากำลังนอนหลับอยู่...
ฟราน ซิสเดินเข้าไปใกล้โลงผลึกแก้วนั้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่ยังคงนอนหลับตาอยู่ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังไหลลงมาจากดวงตาสีมรกตอมเหลืองของเขา ซึ่งมันเป็นอะไรที่ห้ามไม่ได้...เขาดีใจด้วยความหวังที่เปี่ยมล้นจนเกินจะ ทานทน...ความหวังที่ว่า แม่ของเขากำลังจะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วยิ้มให้เขาเหมือนกับเมื่อหลายพันปี ก่อน...อีกไม่นาน...แม่ของเขาจะฟื้น...อีกไม่นาน...หรือถ้านานก็ไม่ เป็นไร...เพราะว่าเขาจะพยายามทำให้แม่ของเขากลับมาให้ได้...
“อีกไม่นาน เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งครับแม่ และเมื่อถึงตอนนั้น แม่ก็จะได้อยู่กับพ่อๆของแม่ด้วยนะ” ฟรานซิส พูดทั้งๆที่น้ำตาของเขายังคงไหลลงมาจากดวงตาคมของเขาไม่หยุด
“ฟรานซิส” เสียงเรียกชื่อของเขาจากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียงก็พบกับร่างบอบบางในชุดคลุมท้องสีชมพูอ่อน ผมสีม่วงดำยาวระต้นคอ กับดวงตาสีฟ้าที่จ้องมองมาที่เขาทำให้ ฟรานซิสรีบยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแล้วยิ้มให้กับผู้มาใหม่
“ไง โคลอี้” ฟรานซิส เอ่ยทักในขณะที่ร่างบางเดินเข้ามาหาเขาจนกระทั่งร่างของ โคลอี้ได้มายืนอยู่เคียงข้างเขาแล้ว ชายหนุ่มก้มลงมองภรรยาของเขาที่ในตอนนี้มายืนเคียงข้างเขาพลางจ้อง มองไปที่ร่างของแม่ของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังไม่ต่างจากเขา มือเรียวเล็กของโคลอี้ ลูบสัมผัสอยู่ที่ท้องที่นูนออกมาจนสังเกตได้ด้วยความรักใคร่
“ฟื้นเร็วๆนะ แม่แมร์รี่ หลานของคุณกำลังจะเกิดในไม่ช้า ตื่นขึ้นมาให้ทันหลานเกิดนะ” โคลอี้พูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่นซึ่งสิ่งที่ร่างบางพูดมันทำให้ ฟรานซิส ยิ้ม ก่อนที่เขาจะขยับเข้าไปใกล้ภรรยาของเขาแล้วโอบรอบเอวที่หนาขึ้นเพราะมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในท้อง เขารู้สึกใจชื้นบานมากยิ่งขึ้นเมื่อลูกน้อยในท้องของโคลอี้ขยับดิ้นไปมาจนเขารู้สึกได้
“แม่จะต้องฟื้นแน่นอน...ต้องฟื้นแน่” ฟรานซิส พึมพำ เขายกมือข้างที่ยังว่างอยู่ไปจับฝ่ามือที่ยังอุ่นอยู่ของแม่ของเขาเช่นเดียวกับโคลอี้ที่เอื้อมมือไปสัมผัส ในใจของพวกเขาทั้งสอง ภาวะนา ขอให้สตรีผู้นี้ฟื้นขึ้นมาจากห้วงนิทรา ถึงแม้ว่านางอาจไม่ใช่เจ้าหญิงนิทราที่ต้องรอจุมพิตจากเจ้าชายหรือรักแท้อะไรก็ตาม...แต่เธอจะฟื้นขึ้นมา...ด้วยความรักจากครอบครัว...
“กาเบลีย บอกฉันแล้วว่าเธอจะเดินทางไปยังที่ ที่ไกลแสนไกล” โคลอี้พูดขึ้นก่อนจะชักมือกลับ ร่างบางเดินออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วเดินถอยห่างออกไปยืนหันหลังให้กับเขา
“ใช่ ตามนั้น” ฟรานซิสตอบก่อนจะเดินเข้าไปกอดโคลอี้ จากทางด้านหลัง เขารู้สึกได้ถึงอาการตัวสั่นเพียงน้อยนิดของ โคลอี้ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกปวดใจไม่น้อย“ขอโทษ”
“ไปเถอะนะ”
หลังจากคำขอโทษของฟรานซิส สิ่งที่โคลอี้พูดออกมากลับทำให้เขารู้สึกแปลกใจ ร่างบางหน้ามาเผชิญหน้ากับเขา ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ไปตามหาวิธี ช่วยแม่ของเธอ แล้วรีบๆกลับมานะ” โคลอี้พูดด้วยความจริงใจพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งสิ่งที่ร่างบางพูดมันทำให้ ฟรานซิส ดึงตัวร่างบางเข้าไปกอดด้วยความตื้นตันใจ ที่ภรรยาของเขาเข้าใจ...ถึงความปรารถนาของเขาที่อยากจะให้แม่ของเขากลับมามีชีวิตและอยู่ความสุข...
“ฉันรักเธอ โคลอี้” ฟรานซิสพูดพร้อมกับจูบที่ขมับของร่างในอ้อมกอด
“ฉันเองก็รักเธอ ฟรานซิส” โคลอี้พูดก่อนจะหอมแก้มสามีของตนด้วยความรักใคร่
“ฉันสัญญาว่าจะรีบกลับมา”
“อืม” ฟรานซิสเอ่ยคำสัญญาซึ่งโคลอี้ก็ขานรับด้วยรอยยิ้มซึ่งมันดูน่ารักในสายตาของฟรานซิส มากๆ...น่ารักมากเสียจนเขาอดใจก้มหน้าไปหอมแก้มซ้ายขวาของภรรยาสุดที่รักเสียไม่ได้...แต่เจ้าตัวเล็กในท้องเหมือนจะเรียกความสนใจ จึงดิ้นประท้วงให้พ่อแม่หันมาสนใจตนบ้าง อย่ามัวแต่หวานกัน...ซึ่ง ฟรานซิส กับโคลอี้ ก็ยิ้มให้กับลูกน้อยในท้องก่อนที่โคลอี้จะนำมือของฟรานซิส มาทาบที่หน้าท้องนูนของตนแล้วจับฝ่ามือนั้นลูบไปมาที่หน้าท้องของตนจนกระทั่งลูกหยุดดิ้น...แต่ จู่ๆ ฟรานซิส ก็นึกบางอย่างที่เกือบจะลืมถาม โคลอี้ขึ้นมาได้...
“แล้ว คิดชื่อลูกไว้หรือยัง?”
“คิดไว้แล้ว”
“เหรอ จะตั้งว่าอะไรล่ะ?”
“เอาไว้กลับมาแล้วจะบอก”
“ง่า~ เมียจ๋า บอกผัวหน่อยเถอะนะ~”
“ฝันไปเถอะผัวจ๋า~ เขาไม่บอกตัวเองตอนนี้หรอก~” ทั้งสองกอดเล่นหยอกล้อกันอย่างรักใคร่ ภายใต้แสงสว่างของ อัญมณีศักดิ์สิทธิ์
...ความสุขเล็กๆที่กำลังเติบโต...จะสมหวังหรือไม่นั้น...มันคืออนาคตที่ไม่มีใครรู้...
...ถึงความเป็นไปได้จะน้อยเสียยิ่งกว่าการถูกหวยรางวัลที่ 1 ...แต่ความหวังอันแรงกล้านั้น...คือตัวขับเคลื่อนให้สิ่งที่พวกเขาปรารถนากลายเป็นจริง...
...มันจะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน...แน่นอน...
+++++++++++++++++++++++++++++++
ณ นครวิลเฟรด
บริเวณเขตชายแดนระหว่างนครวิลเฟรดกับนครดันแคนอันเป็นพื้นที่ทางการเกษตร แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอู่ข่าวอู่น้ำของราชอาณาจักรการ์เดียน
ใน ทุกๆ ค่ำคืนของพื้นที่บริเวณนี้ ทุกๆบ้านในเมืองหรือต้องพูดว่าหน้าบ้านรวมไปถึงใจกลางเมืองจะมีการก่อกองไฟ และร่วมวงนั่งคุยสนทนากันอย่างสนุกสนานของคนภายในพื้นที่ ซึ่งมันเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ของคนในแถบนี้ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น...เหมือน ดั่งเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งเมือง...
เด็ก สาวผมสีนิลยาว ดวงตาสีม่วงเป็นประกาย จ้องมองเปลวเพลิงหน้าบ้านของตนที่แม่ของเธอ รินารี่ ลี กับเหล่าเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงอย่าง คู่สามีภรรยาคันดะ ยู กับ อเลน วอคเกอร์ และชู้อีกหลายๆคน(?) รวมไปถึงเหล่าลูกๆทั้งชาย-หญิงของพวกเขาที่มีทั้งอายุมากและอายุน้อยกว่าเธอ ...ลาล่า ดรากูล ...มานั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟเพื่อสนทนากันตามประสาเพื่อนบ้านหรือคนในครอบ ครัวเดียวกัน...แถวบ้านเธอเรียกกันแบบนั้น...
เธอไม่รู้จะลงไปคุยอะไรกับทุกๆคนดี ลอล่าจึงทำเพียงแค่นั่งอยู่บนห้องนอนของเธอแล้วแอบเฝ้าดูคนอื่นสนุกสนานเฮฮากันไป เธอไม่ได้อยากทำตัวมีปัญหา เธอก็แค่...ทำตัวไม่ถูก...
ถ้าเธอลงไปคุยกับทุกๆคน เธอต้องหลุดปากเรื่องฝันร้ายของเธอแน่นอน ฝันของเธอก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เธอฝันเห็นพี่ชายของเธอ ซูแมน ตาย ในสงครามเมื่อ 2000 ปีก่อน และที่สำคัญคือ...หมู่นี้เธอมักจะฝันเห็น...อดีตอันเจ็บปวดของพ่อของเธอ เฮนรี่ ดรากูล...
เธอ ฝันเห็นมันหลายครั้งราวกับนิมิต ซึ่งสิ่งที่เธอฝันเห็นคือเรื่องราวชีวิตในอดีตของพ่อก่อนที่จะพบกับองค์ จักรพรรดิ ในตอนที่พ่อยังคงเป็นแค่หนุ่มชาวนาธรรมดาที่ไม่ธรรมดา(?) เขาได้แต่งงานกับมนุษย์สาว ชื่อ เอ็กเพลเลียส แล้วมีลูกด้วยกันหนึ่งคนที่เขายังไม่ได้ตั้งชื่อให้...มันก็ดูเป็นฝันที่ อบอุ่นดี เมื่อสิ่งที่เธอเห็นคือ ไร่สวนที่พ่อของเธอและครอบครัวช่วยกันเพาะปลูก ดูแลจนเติบโต จนกระทั่งมีกลุ่มคน...เข้ามาทำการทดลองในพื้นที่ของพ่อเธอ ซึ่งหัวหน้าองค์กรนั้นก็คือลุงของเธอ แองกัส ดรากูล และเป็นพี่ชายของเฮนรี่ แต่เหนืออื่นใดเลยก็คือ เขากลายเป็นพวกโอเดียไปแล้ว...เขาฆ่าทุกๆคนในครอบครัวของเขายกเว้นพ่อของ เธอ...แต่พ่อของเธอก็เหมือนกับตายทั้งเป็น...เขาถูกทรมานและถูกจับทดลองราว กับสัตว์ตัวหนึ่ง จนกระทั่งองค์จักรพรรดิกาเบลียในสมัยนั้นไปพบเข้าและช่วยพ่อของเธอเอาไว้... ถึงจะช่วยพ่อของเธอได้...แต่เพราะความทรมานและการได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงในหลายๆด้าน ทั้งทางกายและทางใจ...ทำให้พ่อกลายเป็นบ้า...ลุงบาร์โทโลมิว ต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะรักษาพ่อของเธอให้กลับมาปกติได้...หรือใกล้เคียงกับคำว่าปกติ...
แต่ ที่แน่ๆคือพ่อของเธอนั้นไม่เหมือนเดิม จากหนุ่มบ้านๆที่แสนจะธรรมดากลับกลายเป็นคนตลกโปกฮาไร้ความเครียดความ กังวล...แต่ก็มีความกังวลและเครียดบ้างในบางเวลา...เขากลายเป็นคนบ้าๆบอๆ ซึ่งนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร...ยกเว้นแต่...พ่อของเธอลืมอดีตไปเสียหมด ทุกอย่าง...อาจจำได้บ้าง...แต่มันก็เลือนรางและพอถามถึงอดีตของพ่อในบ้าง ครั้ง ท่านก็จะตอบไม่เหมือนกันทุกครั้ง แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือท่านเคยเป็นหนุ่มชาวไร้ มีครอบครัวแล้วถูกพี่ของท่านทำลาย พ่อจำไม่ได้ว่าความจริงแล้วพ่อของท่านหรือก็คือปู่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ จำหน้าตาหรือว่าชื่อของพ่อของท่านไม่ได้เลยสักนิดรวมไปถึงแม่ของท่านด้วย...ท่านลืมเรื่องพวกนี้ไปหมด...
เพราะฝันถึงเรื่องพวกนี้ติดต่อกันมาเป็นอาทิตย์ ลอร่าจึงไปปรึกษาและเล่าเรื่องนี้ให้กับ คุณทวดโอดี้กับคุณทวด ทัลบอลฟัง ซึ่งทั้งสองท่านนั้นเป็นญาติของลุงราฟและเป็นคุณทวดของเฮนรี่ พ่อของเธอ...แล้วคำตอบที่ได้จากคุณทวดโอดี้ก็คือ สิ่งที่เธอฝันคือเข็มทิศ ที่จะชี้นำทางให้เธอและพ่อของเธอไปตามหาเรื่องราวที่แท้จริงในอดีต เธอ จะต้องเป็นคนนำทางพ่อของเธอให้รับรู้ถึงความจริงในอดีตให้ได้...มันคือโชค ชะตาของเธอ...ที่จะทำให้พ่อของเธอได้พบกับคุณปู่ที่เธอเองก็ไม่รู้ชื่อเพราะ ว่าพ่อของเธอจำไม่ได้และคุณทวด ทัลบอลก็ไม่ยอมบอก รวมไปถึงคนอื่นๆที่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ลืม...เหตุใดจึงลืมกันง่ายๆเช่นนี้!!!...ยังกับสวรรค์ลิขิตให้คุณปู่ของเธอต้องหายไปจากความทรงจำของทุกๆคนอย่างงั้นแหละ ให้ตายสิ!!!...เธอจะต้องหาความจริงให้เจอ...และหวังว่าทุกๆอย่างจะต้องดีขึ้น...หวังว่านะ...
ลอล่า มองตาไม่กระพริบเมื่อเธอเห็นใครบางคนกำลังบินมาทางนี้ เขาคนนั้นอยู่ในร่างของ มนุษย์มังกรหุ่นล่ำบึกที่มีเขาคล้ายๆเขาแกะอยู่บนหัว ซึ่งเขาคนนั้นก็คือพ่อของเธอในร่างแปลงนั้นเอง เธอรีบวิ่งลงไปข้างล่างด้วยความดีใจที่พ่อของเธอกลับมาบ้านเสียที ซึ่งพอได้เจอหน้าพ่อ ลอล่าก็กระโดดกอดพ่อของเธอด้วยความดีใจทันที พ่อเล่าเรื่องของลุง ฟรานซิสให้ฟังรวมไปถึงแผนการของลุง ฟรานซิส บางอย่างในตัวเธอมันร่ำร้อง บอกให้เธอพูดประโยคนี้ออกไป
“พ่อคะ หนูขอไปกับคณะเดินทางของลุง ฟรานซิสกับ เจ๊ ซูซาน ได้มั้ยคะ?” ลอล่าถามพ่อของเธอ ซึ่งคำถามนี้มันทำให้ลุงโคมุอิ ของเธออาละวาดเมืองแทบพัง ดีที่ได้แม่รินารี่ไปช่วยสยบให้ คำถามของเธอทำให้บ้านของเธอวุ่นวายไปสักพัก แต่มันอาจเป็นเพราะโชคชะตาก็เป็นได้ มันจึงทำให้ทุกๆคนในบ้านยอมให้เธอไปในไม่ช้า พ่อโทรไปบอกเรื่องนี้กับลุง ฟรานซิส ซึ่งก็ไม่มีใครขัดอะไร...เพราะว่ามันคือโชคชะตา...อย่างแน่นอน...คิดว่านะ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานานถึง 1 สัปดาห์ เรื่องเดินทางออกนอกประเทศก็ได้รับการอนุมัติ ฟรานซิสต้องเก็บกระเป๋าและสร้างยานอวกาศเพื่อออกเดินทาง ดีที่เขามีพี่ชายอัจฉริยะ ทำให้ใช้เวลาไม่นาน เขาก็สามารถสร้างยานเสร็จพร้อมออกเดินทางโดยในวันที่เขาออกเดินทางนั้น เบน เด็กหนุ่มที่เขาช่วยไว้จากไวรัสสีดำและเป็นหนึ่งในกิ๊กของเขาขอออกเดินทางไปด้วย ซึ่งความจริงแล้ว เขานั้นอยากจะปฏิเสธ แต่ตามชะตากรรมแล้ว มันถึงเวลาที่เบนจะต้องออกเดินทางไปนอกโลกเช่นกัน ดังนั้น...เขาจึงต้องตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้...
เขา ไม่รู้ว่าเมื่อเบนออกเดินทางไปกับเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะช่วยและดูแล เบนเท่าที่จะทำได้...ถึงกระนั้น...เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับเบนนั้นเขาไม่มี วันช่วยได้...นั้นคือสิ่งที่เขาไม่รู้...ถึงแม้เขาจะออกเดินทางไปแล้วก็ ตาม...
ใน ขณะเดียวกัน ทางด้านคณะเดินทางของฟาเธอร์กับ ซูซานก็ได้มาทำการรายงานตัวกันที่สภาเพื่อสรุปว่าจะมีใครไปบ้างซึ่งสมาชิกก็ มีทั้งหมด 8 คน ประกอบไปด้วย ฟาเธอร์,ซูซาน,โอฟีเลีย,ลอล่า,อดอลฟ์,ซีบิล,แมกซ์เวลและแดนนิต้า โดยก่อนไป ทางสภาสูงจะปูทางให้ก่อนซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก แค่ให้เพื่อนเก่าอย่างบาร์ติเมอัสกับนิค ฟิวรี่ ได้คุยกันนิดๆหน่อยๆ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาทั้ง 8 คนจะต้องไปรายงานตัวที่หน่วยชิลด์...ฟังดูยุ่งยาก...แต่พวกเขาก็ต้องทำเพื่อ ความสบายใจของคนในครอบครัว...ไม่แน่มันอาจไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด...ยกเว้น การขับเครื่องบินฝ่าพายุหมุนแห่งกาลเวลาออกไปยังโลกภายนอก...ไม่ใช่เรื่อง ง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก(?)...เพียงแค่มีแววกระทบกระเทือนกันอย่างรุนแรง เท่านั้นเอง...
...นี่คือจุดเริ่มต้น...ของเรื่องราวอีกเรื่องราวหนึ่ง...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
TBC.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ