Kingdom Guardian
เขียนโดย mimosa
วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.09 น.
แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 21.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) Kingdom Guardian: THE Guardian League 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKingdom Guardian: THE Guardian League 1
ราชอาณาจักรการ์เดียน ประเทศที่เพิ่งถือกำเนิดได้เพียงแค่ 2000 ปีเท่านั้น ...ที่จริง มันอายุน้อยกว่านั้น แต่เพราะมีพายุหมุนที่ชอบบิดเบือนเวลาหรือพายุหมุนแห่งกาลเวลาล้อมรอบอยู่จึงทำให้ช่วงเวลาของราชอาณาจักรการ์เดียน แตกต่างจากประเทศอื่นมากยิ่งกว่าช่วงเวลาของซีกโลกตะวันตกกับซีกโลกตะวันออกเสียอีก หรือจะว่ากันตามตรงคือ แตกต่างจากดินแดนมนุษย์เพราะ 100% ของประชากรแห่งราชอาณาจักรการ์เดียนนั้นเป็นอมนุษย์ทั้งหมด ประเทศแห่งนี้ปกครองในระบอบกษัตริย์ซึ่งพวกเขาจะเรียกผู้ปกครองประเทศของพวกเขาว่า องค์จักรพรรดิ หรือเรียกกันอย่างรักใคร่และสนิทสนมคือ ท่านพ่อ,พ่อ,ป๊ะป๋า อะไรก็ว่าไป โดยใหญ่รองลงมาจากองค์จักรพรรดิคือ กษัตริย์ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากพวกประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีสักเท่าไร ราช อาณาจักรการ์เดียน นอกจากจะเป็นบ้าน เป็นครอบครัวให้อมนุษย์หลายๆตน พวกเขายังมีหน้าที่สำคัญบางอย่างที่พวกเขาปฏิบัติมาเป็นล้านๆปี ซึ่งเมื่อก่อนพวกเขานั้นไม่มีประเทศแถมยังถูกตามล่าทั้งจากมนุษย์ที่ไม่เข้า ใจพวกเขาและพวกจักรวรรดิโอเดียซึ่งก็เป็นประเทศของอมนุษย์เช่นเดียวกับราช อาณาจักรการ์เดียน เพียงแค่อุดมการณ์ต่างกัน ซึ่งในตอนนี้จักรวรรดิโอเดียนั้นถูกชาวการ์เดียนถล่มไปเมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าเมื่อไม่มีประเทศก็เท่ากับไม่มีบ้านนั้นมันลำบาก แต่ประเด็นมันก็คือ หน้าที่ของชาวการ์เดียนนั้นก็คือ การรักษาสมดุลพวกเขามีหน้าที่ สร้าง ทำลายและรักษา เพื่อความสมดุลของโลกใบนี้และการปกป้องโลกก็เป็นงานของพวกเขา เพราะว่าพวกเขาถูกสั่งสอนมาตั้งแต่โบร่ำโบราณว่าโลกคือบ้านของพวกเขาต่อให้มันโหดร้ายเพียงใด แต่ก็อย่ามองเพียงด้านที่โหดร้าย ต้องมองด้านที่สวยงามของโลกด้วยเช่นกัน และอย่าได้ลืมต้นกำเนิดของตน ว่าพวกเขาเกิดมาบนโลกนะ ไม่ได้เกิดมาบนดวงจันทร์จะได้ไม่ต้องใส่ใจโลกใบนี้ พวกเขามีหน้าที่เป็นแนวหน้าหรือหน้าด้านเมื่อยามมีใครหรืออะไรคิดจะทำลายโลกซึ่งสงครามครั้งก่อนทำให้พวกเขาสูญเสียประชากรไปถึง 80% และสมาชิกของ เดอะการ์เดียนลีก(The Guardian League) กลุ่มคนที่ไม่ต่างไปจากเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีเจตจำนงต้องการปกป้องโลก, องค์กรไดร์วูล์ฟแอสซาซิน (Canis dirus Assassin) ครอบครัวมนุษย์หมาป่ากับปีศาจที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์รวมไปถึงเพื่อให้ทุกๆคนมีความสุขยกเว้นคนชั่ว, สมาคมสิงโตสุริยะ (Solar Lion) องค์กรแยกย่อยที่ทำงานร่วมกับ เดอะการ์เดียนลีกและเป็นกลุ่มทหารทางฝั่งตะวันออกของราชอาณาจักรการ์เดียน, สมาคมมังกรแดงแห่งบริเตน (Red Wales) อีกหนึ่งองค์กรที่ทำงานร่วมกับ เดอะการ์เดียนลีกและเป็นกลุ่มทหารทางฝั่งตะวันตกของราชอาณาจักรการ์เดียน, องค์กรราชสีห์รัตติกาล (Notte Beasts) องค์กรแยกย่อยที่ขึ้นตรงกับ เดอะการ์เดียนลีกที่ทำหน้าที่เป็นกรมตำรวจ ซึ่งกลุ่มทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สูญเสียสมาชิกของกลุ่มไปเกือบทั้งหมด เหลือรอดแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จริงทุกๆกลุ่มยกเว้นไดร์วูล์ฟแอสซาซินเหลือรอดเพียงคนเดียว ซึ่งมันเป็นเรื่องสะเทือนใจสำหรับชาวการ์เดียนกับการสูญเสียครั้งใหญ่ และมาตอนนี้ ทุกๆอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป...
.
.
.
ณ หอสมุดโพเทสต้า
ดวงตาสีบุษราคัมกวาดมองหน้าหนังสือที่อยู่บนโต๊ะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อความแน่ใจว่าเขาไม่ได้ขาดตกข้อความตรงส่วนไหน แต่จนแล้วจนรอด...ผลที่ออกมาก็เป็นเช่นเดิม นั้นก็คือ ในหนังสือเล่มนี้ไม่มีคำตอบที่เขาต้องการ นอกจากสูตรยาโบราณที่อ่านอีกกี่ทีๆ ก็ปวดหัวชิบหาย!! “เล่มที่ 303!ไม่พบ!!ทางนั้นพบอะไรบ้างไหม!!!” ชายหนุ่มตะโกนถามก่อนจะโยนหนังสือที่เคยวางอยู่บนโต๊ะขึ้นไปไว้บนกองหนังสือที่สูงจนหวั่นใจว่ามันอาจจะล้มลงมา แล้วหยิบเล่มใหม่จากกองหนังสืออีกกองที่จากตอนแรกมีเป็น 500 เล่ม แต่ตอนนี้เหลือแค่ 197 เล่ม! มาเปิดอ่านอย่างเซ็งๆพลางเงี่ยหูฟังรอคำตอบจากบรรดาสมาชิกในครอบครัวที่แยกย้ายกันไปตามมุมต่างๆเพื่อช่วยเขาหาข้อมูล
“ทางนี้ไม่มีอะไรคืบหน้า!!!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากส่วนไหนของหอสมุดก็ไม่อาจทราบได้ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตุบ ที่น่าจะเป็นเสียงของการวางหนังสืออย่างหัวเสียเป็นแน่ และถ้าเดาจากเสียง คงจะเป็นเสียงของ ฟาเธอร์ คไลท์ หัวหน้ากลุ่มไดร์วูล์ฟแอสซาซิน บาทหลวงและนักฆ่าโหดเข้ากระดูกดำประจำครอบครัวแน่นอน
“ไม่พบอะไรเลยโว้ย!!!!” เสียงที่ดังจนชั้นหนังสือสะเทือนดังขึ้นจากทางฝั่งซีกขวาของห้องสมุดซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มสรุปได้เลยว่า หนังสือตรงโซนนั้นไม่มีคำตอบให้เขาแน่นอน เพราะท่าทาง พลเอกราฟาเอล ดรากูล หัวหน้ากลุ่มมังกรแดงแห่งบริเตน จะหาไม่เจอจริงๆ และราฟาเอล หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าราฟจะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูงในการอ่านหนังสือเป็นร้อยๆเล่ม ดังนั้นเขาจะไม่เซ้าซี้อะไรมากนักกับพ่อมังกรไฟที่พร้อมจะเผาชาวบ้านชาวช่องเขาได้ตลอดเวลา
“พัก บ้างก็ได้นะ ฟรานซิส” เสียงเนยๆของบาร์โทโลมิว แฟรงเกนส์สไตร์ ทำให้ ฟรานซิส แฟรงเกนส์สไตร์ หัวหน้าใหญ่แห่งกลุ่มเดอะการ์เดียนลีกและเป็นน้องชายของบาร์โทโลมิวเงยหน้า ขึ้นมามองพี่ชายต่างมารดาที่กำลังอ่านหนังสือในมือทั้งสองข้างในเวลาเดียว กัน
“ไม่ ได้หรอกพี่ชาย ตราบใดที่ยังหาทางช่วยแม่ไม่เจอ ฉันก็จะไม่มีวันหยุด” ฟรานซิสพูดก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มปวดหัวนิดๆ แต่ตราบใดที่ยังหาทางช่วยแม่ของเขาให้พ้นจากอาการโคม่าไม่ได้เขาก็จะไม่หยุด แต่เขาก็ผละนิดหน่อยเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออบอุ่นแต่หยาบกร้านกำลังลูบหัวเขา อยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือซึ่งก็คือพี่ชายของเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วย ความสงสัย
“อย่าฝืนตัวเองน้องชาย ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะช่วยแม่แมร์รี่กัน? หรือว่านายอยากให้ฉันรักษาแม่แมร์รี่ล่ะหืม?” บาร์โทโลมิวพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งเขาไม่ได้ทำมันบ่อยนัก แต่กับคนในครอบครัวกับน้องชายต่างมารดาตรงหน้านี้ เขามักจะยิ้มให้กำลังใจและทำหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดีเสมอ เพราะว่าพวกเขาเหลือกันอยู่แค่นี้ ถึงจะเรียกคนอื่นๆว่าครอบครัว แต่ก็แค่สายสัมพันธ์ มันไม่ได้ผูกพันกันเท่าสายเลือด แต่มันก็แล้วแต่กรณี ฟรานซิสยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาพลางปิดหนังสือที่เพิ่งเริ่มอ่านไปได้แค่หน้าเดียวเท่านั้น
“ใครจะไปยอมให้พี่รักษาแม่ของผมกันล่ะ ถ้าเกิดแม่ของผมโดนพี่ชำแหละหรือจับทดลองอะไรขึ้นมา มันก็แย่น่ะสิ” ฟรานซิสพูดยิ้มๆก่อนจะเอนหลังไปกับพนักเก้าอี้พลางยกมือขึ้นมานวดขมับเพื่อคลายความปวด
“คิดได้แบบนั้นก็ดี พักสักครู่ให้หายเหนื่อยล้าก่อน แล้วค่อย...”
โครม!!!!
“อ้ากกกกกกกก!!!”
“...แล้วค่อยกลับมาอ่านต่อก็ได้” ยัง ไม่ทันที่บาร์โทโลมิวจะได้พูดจบก็เกิดเสียงดังสนั่นราวกับเสียงอะไรถล่มตาม มาด้วยเสียงกรีดร้องที่พวกเขาต่างก็จำกันได้ดีว่าเป็นเสียงของใครก่อนที่ บาร์โทโลมิวจะพูดต่อให้จบแล้วปิดหนังสือในมือทั้งสองข้าง ในขณะที่ ฟรานซิสหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองบาร์โทโลมิวที่ก้มลงมองหน้า เขาเช่นกัน ทั้งคู่แสดงสีหน้าเซ็งๆก่อนจะถอนหายใจ
“เฮ้อ~ ซูซาน เลโอเน่” ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกันก่อนที่ ฟรานซิสจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังทิศทางของเสียงนั้นโดยมีบาร์โทโลมิวเดินตามหลัง เมื่อเดินมาถึงจุดที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของเสียง ก็พบกับร่างที่ถูกกองหนังสือทับจนจมมิดลงไปในทะเลแห่งหนังสือ(?) ซึ่ง มีเพียงแค่ส่วนหัวเท่านั้นที่สามารถโผล่พ้นออกมาจากกองหนังสือได้
“ดีนะที่น้องไม่ได้ทำให้ชั้นหนังสือมันล้มระเนระนาด น่ะ ซูซาน” ฟรานซิสพูดยิ้มๆก่อนจะค่อยๆคุ้ยกองหนังสือตรงหน้าเพื่อช่วย ซูซาน อดีตหัวหน้ากลุ่มน็อทเต้ บลีสท์หรือกลุ่มราชสีห์ทมิฬที่ในตอนนี้รับงานเป็นรองหัวหน้าของ เดอะการ์เดียนลีก และเป็นเลขาของ ฟรานซิส
“พี่! ข่าวด่วน เขาเจอสิ่งที่พอจะช่วยแม่แมร์รี่ได้แล้วล่ะ!!!” ซูซานตะโกนอย่างตื่นเต้นทำให้ ฟรานซิสชะงักก่อนจะกระชากคอเสื้อของร่างตรงหน้าให้ขึ้นมาจากกองหนังสือ ก่อนจะเขย่าด้วยความตื่นเต้นปนดีใจจนลืมตัว
“จริงเหรอ!!ไหนๆ!!น้องเจออะไร!!”
“หะ...หายใจไม่ออก...ไอ้คุณพี่ ปล่อยคอ!” และเพราะได้การเตือนสติจากร่างในอุ้มมือที่เกือบจะตายหรือทรมานกับการบีบคอและการเขย่าๆจนเวียนหัว ฟรานซิสก็ยอมปล่อยคอเสื้อให้ซูซานได้หายใจ ในขณะที่คนอื่นๆได้ตามมาสมทบที่นี่แล้ว
“ตัวเองเป็นยังไงบ้าง”
“อย่าเพิ่งมาหวานแถวนี้ ราฟ ซูซาน รีบๆบอกมาสิว่าน้องเจออะไร”
“เฮ้ย ว่าแต่ฉัน นายเองก็ชอบหวานกับเมียนายเหมือนกันนั้นแหละ และอย่าหาว่าฉันไม่เห็นนะว่าเมื่อกี้นายทำอะไรเมียฉัน”
“น่าๆ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ซูซานบอกเร็วๆดิว่าเจออะไร” ฟรานซิสเลือกที่จะเมินเฉย ราฟ ที่ในตอนนี้แทบจะลุกไหม้ด้วยความหงุดหงิดเสียเต็มประดา
“เฮ้ยๆ อย่าทำห้องสมุดไหม้เชียวนะเว้ย” เสียงเตือนสติ ดังมาจาก ไฮเวอร์ เลโอเน่ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า ไฮ หัวหน้ากลุ่มสมาคมสิงโตสุริยะและผู้ที่ซูซานชอบเรียกด้วยความรักว่า “พี่จ๋า” อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งถ้าไฮเวอร์คือพี่ของซูซาน และ ซูซานคือเมียของ ราฟ ไฮเวอร์ก็ต้องเป็นพี่เมียของ ราฟ ดังนั้น ในฐานะสามีที่ดีรวมไปถึงสามีที่รักเมียแบบสุดๆ ก็ต้องเชื่อฟังและเคารพพี่เมีย ซึ่งแน่นอนว่า ราฟถือคตินี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เลยพอจะใจเย็นลงได้บ้าง
“มันก็ไม่เชิงเป็นวิธีหรอกนะ ฟรานซิส คือว่า ฉันเจอชื่อของคนที่พอจะช่วยได้น่ะ” ซูซานพูดทำลายบรรยากาศที่กำลังจะลุกไหม้เพราะอารมณ์ร้อนของสามีตน ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมันเปลี่ยนบรรยากาศได้อย่างฉับพลัน
“ช่างเถอะ ไม่ว่าจะอะไรก็ได้ ขอแค่มันช่วยแม่ได้ก็พอ”
“อืม คือว่า มันมีเขียนไว้ในบันทึกสมัยที่อาร์กติกไม่เป็นน้ำแข็งน่ะ”
“นั้นมันประมาณ 250 ล้านปีได้ มั้งนั้น”
“ใช่ คือว่านะ ในบันทึก มันมีชื่ออยู่ชื่อนึงที่ถูกบันทึกไว้ว่า รู้วิธีที่จะรักษาคนไข้ที่มีอาการแบบแม่แมร์รี่ และเป็นเพียงคนเดียวที่รู้สูตรยา”
“ใคร?”
“เธอชื่อ เอลม่า ชอว์ และข่าวดีก็คือเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ข่าวร้ายคือ...เธอไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้ว” คำตอบพางงที่ทำให้ทุกๆคนสงสัยเสียจนเงียบกริบไปพักนึงจนกระทั่ง เฮนรี่ ดรากูล ญาติของราฟที่ยืนเงียบมานานต้องแย่งคนอื่นถามก่อนที่เขาจะไร้ตัวตน(?)
“ดะ...เดี๋ยวก่อนนะ คือ...มันหมายความว่าไง ยังไม่ตายแต่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ แล้วมันไม่ต่างจากตายตรงไหน”
ผัวะ!!
“ไอ้ฉลาดน้อย! เขาอาจหมายถึง อยู่ดาวอื่นหรือมิติอื่น ช่วงเวลาอื่นก็ได้นะโว้ย!” เสียงตบกะโหลกพร้อมกับคำตอบกวนๆของบาร์โทโลมิวทำเอาเฮนรี่มึนหัวตึบไปพักนึงแต่กับคนอื่นๆนั้นมองอย่างเอือมๆ
“ก็ ตามที่บาร์โทโลมิวพูดนั้นแหละ เธอไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ก็คือเธอไปอยู่นอกโลกโน้น”
“เห็นมั้ย”
“เออ ไอ้ฉลาด” ตบหัวเขาแล้วยังหันมาพูดพร้อมยิ้มเยาะเย้ยอีกไอ้เพื่อนเวร
“อย่า เพิ่งกัดกันน่าทั้งสองคน ต่อเลยนะ คือ อย่างที่พวกเรารู้กันตามประวัติศาสตร์ ในช่วงสมัยนั้น อาร์กติกเป็นเมืองท่าที่ติดต่อกับหลายๆเผ่าพันธุ์รวมไปถึงชาวต่างดาวทั้ง หลาย ซึ่งในช่วงขององค์จักรพรรดิองค์ที่ 4 ซึ่งเพิ่งยึดประเทศจากพวกโอเดียได้ก็เริ่มทำการพัฒนาประเทศของพระองค์ ท่านได้ให้คนของท่านไปศึกษาวัฒนธรรมและเทคโนโลยีของชาวต่างดาว โดยหนึ่งในนั้นมี เอลม่า ชอว์ รวมอยู่ด้วย แต่ว่าหลังจากผ่านไปสัก...อ่า...น่าจะประมาณ 5200 ปี คนของพระองค์ก็กลับมาจากการไปศึกษาชาวต่างดาว แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้กลับมา นั้นก็คือ เอลม่า ชอว์”
“งั้นมันก็อาจแปลได้อีกอย่างว่า เธออาจตายในระหว่างไปศึกษาชาวต่างดาวด้วยไม่ใช่หรือไง? จะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอยังมีชีวิตอยู่” ไฮเวอร์ถามขึ้นหลังจากนั่งฟังน้องชายของตนพูดมานาน
“เธอยังไม่ตาย ที่จริง นอกจากเธอแล้ว ยังมี อลิสซาเบธ ชอว์ แม่ของเธอกับเดวิด นักปราชญ์ ขององค์จักรพรรดิ ที่ไม่ได้กลับมาด้วยกันกับเธอ และที่ว่าแน่ใจได้ยังไงว่าเธอยังไม่ตาย ง่ายๆเลย ก็คือเธอมักจะส่งข้อมูลของดวงดาวที่เธอและแม่ไปสำรวจกลับมาที่อาณาจักรเสมอ หลังจากนั้นพวกเดอะ วอชเชอร์ (The watcher)กับเดอะ ฮิสทอรี่ (The History) ก็จะบันทึกข้อมูลพวกนั้นลงในสมุด ซึ่งเอลม่ายังคงส่งข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงทุกๆวันนี้ แต่ว่าเราไม่อาจติดต่อเธอได้ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถส่งข้อมูลมาให้พวกเราได้ก็ตาม และมีเพียงคนเดียวที่ได้รับข้อมูลของเธอมาจนถึงทุกๆวันนี้ ซึ่งเธอก็เป็นคนที่อยู่ในยุคนั้น”
“ป้า วัลกิเลีย!!”
ทั้งหมดอุทานชื่อของบุคคลที่ว่าขึ้นมาพร้อมๆกัน
.
.
.
“เอ๊ะ เอลม่า ชอว์หรอ? ก็ ยังพอได้รับข้อมูลจากเธออยู่บ้างหรอกนะ” หญิงสาวผมสีเงินยาวยวงตอบพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งเธอคนนี้ก็คือ วัลกิเลีย อาจารย์ของเบียทริก แม่มดแห่งทองคำผู้ซึ่งเป็นอดีตองค์จักรพรรดินี แม่ขององค์จักรพรรดิกาเบลียใน ปัจจุบัน หลังจากรู้ว่าใครพอจะช่วยได้ทั้งหมดก็รีบอพยพออกจากห้องสมุดตรงมายังบ้านพักของแม่มด วัลกิเลียทันทีและคำตอบที่ได้รับ นั้นก็ช่วยสร้างความหวังกับ ฟรานซิสได้เป็นอย่างดี
“แล้ว พอจะบอกพิกัดที่อยู่ของเธอได้มั้ยครับ?” ฟรานซิสถามอย่างร้อนรน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้นผสมปนเปกันไป
“ขอโทษนะจ๊ะ ที่ฉันไม่สามารถบอกได้” วัลกิเลีย พูดทำให้ ฟรานซิสสะอึก รู้สึกอยากจะร้องไห้(?)ขึ้นมายังไงชอบกล แต่ก็ชะงักกับประโยคต่อไป “แต่เธอคงพอจะรู้มั้ง ว่าในอนาคตคงจะมีคนอยากเจอเธอ เอลม่า เลยทิ้งนี่ไว้ให้ฉัน บอกว่าถ้าเกิดมีใครอยากเจอกับเธอให้มอบสิ่งนี้ให้กับเขา”
วัลกิเลียพูดพลางหยิบบางอย่างออกมาจากกระโปรงซึ่งมันก็คือลูกคิวบิคหรือรูบิคนั้นเอง
“รูบิค!!”ทั้ง 7 คนอุทานขึ้นมาพร้อมๆกันพร้อมกับแสดงสีหน้างงงวยออกมาในขณะที่ วัลกิเลียยังคงยิ้มอยู่ เธอยื่นลูกรูบิคมาให้กับ ฟรานซิส ซึ่งเขาก็รับมันมาถือไว้แล้วก็พบว่ามันหนักกว่ารูบิคทั่วๆไป ในทางกลับกัน มันเหมือนรูบิคที่บรรจุเทคโนโลยีล้ำสมัยของแอตแลนติกหรือรูบิคไฮเทคจาก ศตวรรษที่ 23-26 ซึ่งมันก็นานอยู่เอาการเหมือนกันกับเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นที่พวกเขาแอบด่อด ไปจิ๊กมาศึกษาจากอนาคตอันไกลโนและอดีตที่เกือบจะเข้าขั้นยุคดึกดำบรรพ์ (ที่จริงดึกดำบรรพ์เลยล่ะ) และก็อปปี้มันซะ (?)
“เธอคือคนที่อยากจะหาคำตอบ หวังว่าเธอคงจะรู้วิธีใช้มันนะ” วัลกิเลีย กล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าจะเดินออกไป
“จะไปไหนหรอครับ ป้า วัลกิเลีย?” ซูซานถามหญิงสาวที่กำลังจะเดินพ้นขอบประตูไป
“ฉันมีสอนที่ บราทซิลลาซ น่ะ คงต้องขอตัวก่อน เชิญพวกเธออยู่ต่อตามสบายเลยจ้ะ แต่อย่าทำบ้านฉันเลอะเทอะนะจ๊ะ” เธอพูดทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นก่อนที่ร่างทั้งร่างของเธอจะอันตรธานหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงคน 7 คนที่ต้องมานั่งหาคำตอบกับรูบิคปริศนา
“ถ้าลองบิดมันแล้วจะมีอะไรโผล่ออกมา มั้ยเนี้ย?” เฮนรี่ พูดพลางค่อยๆก้าวถอยหลังแต่ก็โดนซูซานจับแขนเอาไว้ก่อนจะกระชากให้กลับมายืนอยู่ที่เดิม
“ดูหนังมากไปปะ ไม่มีอันตรายอะไรหรอกพี่” ซูซานพูดปลอบพลางจ้องมอง ฟรานซิสที่พลิกรูบิคไปมา
“ฟันธงมั้ย?” เฮนรี่ถามเพื่อความสบายใจของเขา
“ไม่อะ” ซูซานตอบอย่างมั่นใจ
“ขอบใจมากน้อง=_=^”
“ด้วยความยินดีจ้า”
“ฉันประชด”
“รู้”
“กวนเรอะ?”
“เปล่า”
“แล้ว...”
“คุณ มรึงจะอยู่ใกล้เมียกรูอีกนานมั้ย?” ยังไม่ทันที่เฮนรี่จะเล่นส่งมุกตบมุกกับ ซูซานจบ ก็โดนเสียงเย็นๆนิ่งๆของราฟถามขึ้นขัดการสนทนาของพวกเขาเสียก่อน ดวงตาสีทองที่จ้องมองมาราวกับจะเผาเขาให้เป็นเถ้า ทำเอาเฮนรี่รีบถอยหลังจาก ซูซานแล้วก็ค่อยๆกระดึ๊บๆไปยืนข้างๆบาร์โทโลมิวเพื่อนซี้ของเขาแทน ปล่อยให้ราฟ กระดึ๊บเข้ามายืนข้างๆซูซาน และแอบเนียนโอบไหล่บางให้เข้ามาใกล้ๆซึ่งก็โดนคนร่างเล็กกระทุ้งศอกเข้าให้ทีนึง แต่ชายหนุ่มผมแดงกลับทำเพียงแค่ยิ้มแล้วกอดไหล่เขาต่อ แต่ร่างเล็กกว่าเขานั้นหน้าแดงจนแทบจะมีควันขึ้น
“ฉัน ว่า มันเป็นปริศนาที่ต้องแก้” ฟรานซิส พูดก่อนจะเริ่มบิดรูบิคเพียงแค่นั้นก็ทำให้เฮนรี่ สะดุ้งโหยงเตรียมใส่เกียร์หมาวิ่งสู้ฟัดทันที(?)แต่ก็ถูกบาร์โทโลมิวเพื่อน ซี้จับคอเสื้อไว้ซะก่อน
“ถ้ามันเป็นแบบรูบิคต้องสาปของพี่ชายฟาเธอร์ล่ะก็ ฉันจะเอาแส้ฟาดนายแน่ ฟรานซิส” เฮนรี่พึมพำ ขาสั่นพับๆอย่างเตรียมวิ่งเต็มทนในขณะที่ ฟรานซิสกำลังตั้งใจ บิดลูกรูบิค แก้ปริศนาที่อาจเป็นคำตอบนำเขาไปสู่สูตรตัวยาหรือวิธีที่จะสามารถช่วยแม่ของเขาได้
“เงียบน่า น้องฉันต้องใช้สมาธิ” บาร์โทโลมิวพูดเสียงนิ่งเรียบ แต่มือที่จับคอเสื้อของเฮนรี่นั้นกำแน่นกัน เพื่อนซี้หนี
“รูบิคต้องสาปของพี่ชายฉันมีเพียงอันเดียว และมันก็อยู่นี่” ฟาเธอร์พูดก่อนจะชูรูบิคสีทองกรอบดำมีอักขระแปลกๆเต็มไปหมดขึ้นมาซึ่งมันทำให้เฮนรี่สะดุ้งโหยง เตรียมลอกคราบ(?)หนีทันที “กลัวทำไม ฉันยังไม่ได้เปิดมันเลย อีกอย่าง วิญญาณปีศาจในนี้ก็พี่ๆของฉันทั้งนั้น พวกเขาไม่น่ากลัวหรอก”
“นายไม่กลัวแต่ฉันกลัวโว้ย!!เก็บไปเลยนะ!!” เฮนรี่พูดอย่างร้อนรนพลางดิ้นไปมาเพราะเขาโดนบาร์โทโลมิวจับหลังคอเอาไว้แล้วยกสูงจนขาเขาลอย แถมแรงที่บีบก็ไม่ใช่น้อยๆ ทำเอาเฮนรี่ดิ้นเป็นปลาขาดน้ำ ฟาเธอร์มองเฮนรี่ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะเก็บรูบิคต้องสาปที่เต็มไปด้วยวิญญาณปีศาจของพวกพี่ๆเขาลงกระเป๋า จากนั้นก็หันไปมอง ฟรานซิสที่กำลังไขปริศนารูบิคอยู่
“พวกนายเลิกเล่นปาหี่กันสักทีจะได้มั้ย! มันกวนสมาธิของ ฟรานซิสนะเฮ้ย แล้วก็บาร์โทโลมิว ปล่อยเฮนรี่สักทีเถอะเว้ย ส่วนเฮนรี่...อย่ากระโตกกระตาก” ไฮเวอร์ พูดเสียงนิ่งเรียบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจตามแบบฉบับของคนตระกูลเลโอเน่ ซึ่งบาร์โทโลมิวก็ทำตามโดยการปล่อย...อันที่จริงทิ้ง เฮนรี่ให้ลงไปนวดคออยู่บนพื้น
“นี่นายเห็นฉันเป็นอะไรกันฟะ” เฮนรี่ถามอย่างไม่ต้องการคำตอบด้วยอาการเซ็งๆปนอยากให้บรรยากาศมันไม่กดดันมากเกินไปตามแบบฉบับคนตลกเฮฮาจนเกินเหตุ(?)
“เหยื่อ ของเล่น เพื่อนซี้ ที่รองมือรองตีน จะให้พูดอีกมั้ย?” บาร์โทโลมิวพูดนิ่งๆพลางปรายตามองเฮนรี่ซึ่งทุกๆคนต่างรู้ดีว่าต่อให้บาร์โทโลมิวทำหน้านิ่งวางมาดขนาดไหน แต่ในใจพี่แกคงกำลังหัวเราะและยิ้มอย่างสนุกสนานเป็นแน่แท้ เฮนรี่ได้แต่บ่นในใจเพราะถ้าเขาโต้ตอบ ตลกคาเฟ่(?)นี่คงไม่จบลงง่ายๆแน่นอน
“ได้แล้ว” ฟรานซิสพูดขึ้นทำให้ทั้งหมดหันมามองอย่างตื่นเต้น รูบิคที่ในตอนแรกสีกระจัดกระจาย หากแต่ทว่าในครานี้ ลูกรูบิคกลับมีแต่สีขาว ซึ่งมันทำให้ทุกๆคนรู้สึกงงเป็นอย่างมาก แต่พอมาสังเกตดูดีๆ ก็พบว่า มันจะมีอยู่ด้านหนึ่งที่มีสีแดงอยู่ท่ามกลางสีขาวเหล่านั้น
“ปุ่ม?” บาร์โทโลมิว พึมพำพลางขยับแว่นตาของพ่อเขา ที่เขาเอามาใส่เพื่อให้เหมือนมีพ่ออยู่ข้างๆเสมอ ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งและรู้สึกตื่นเต้นกับการค้นพบตามแบบฉบับของนักวิทยา ศาสตร์ในขณะที่คนอื่นๆรู้สึกลุ้นๆ แต่กับเฮนรี่...รายนั้นเริ่มหวั่นใจกลัวว่าถ้ากดปุ่มนั้นเมื่อใดพวกเขาได้ เจอเรื่องเมื่อนั้นแน่นอน
“ช่วยบอกฉันทีว่านายจะไม่กดปุ่มนั่น” เฮนรี่พูดแต่ ฟรานซิสกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม นั้นก็คือ...เขากดปุ่ม... ทำเอาเฮนรี่แทบจะเป็นลมลงไปกองกับพื้น หากแต่ เมื่อกดปุ่มสีแดงนั้น ทุกๆอย่างรอบข้างกลับกลายเป็นสีดำซึ่งนั้นทำให้เฮนรี่ถึงกับกระโดดกอดซูซานแต่ก็โดนสันมือของราฟเข้าให้ทำให้ต้องถอยมายืนข้างหลัง ซูซานอย่างหวาดระแวง แสงสว่างเริ่มปรากฏ แต่ปรากฏขึ้นมาในรูปแบบของแสงดวงเล็กๆ จากหนึ่ง เป็นสอง สาม สี่ ห้า แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่รู้จบซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกๆคนเป็นอย่างมาก แสงสว่างเหล่านั้น เริ่มเรียงรายกลายเป็นรูปแบบต่างๆที่ดูคุ้นตาและไม่คุ้นตา(?) ซึ่งมันดูเหมือนกับ...
“ดวงดาว” ฟรานซิส พึมพำ ในขณะที่มองไปรอบๆห้องที่เต็มไปด้วยกลุ่มดาวต่างๆมากมาย ซึ่งเขาคิดว่า สิ่งที่เขากับทุกๆคนกำลังเห็นอยู่นั้นมันน่าจะเป็นแบบจำลองของกลุ่มดาวต่างๆในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล และมันก็ทำให้เขาคิดได้ ว่าสิ่งนี้ต้องเป็น “แผนที่”
“แผนที่!!!” อีก 6 คนอุทานตามเขาพร้อมกับมองตรงมาที่ ฟรานซิสด้วยใบหน้าที่อึ้งสุดๆ...ที่จริง มีแค่สองคนที่ทำหน้าอึ้ง อีกสี่คนวางมาดหน้านิ่งได้เสมอต้นเสมอปลายมากๆ...
“บ้าไปแล้ว!! ถ้านี่คือแผนที่ นี่มันก็บ้ามากๆ พี่จะออกเดินทางไปนอกโลกแล้วตามหาเอลม่า ชอว์ ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลแบบนี้ได้ยังไงกัน นี่ไม่ต้องพูดเรื่องการใช้เวลาหลายล้านปีแสงกับเรื่องความปลอดภัยเลยนะ” ซูซานพูดด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมันฟังดูเหมือนคุณแม่ที่เป็นห่วงลูกเวลาจะออกเดินทางไกลยังไงพิกล “ฉันไปได้ ดูนั่นสิ” ฟรานซิส พูดพร้อมกับชี้ให้ทุกๆคนมองไปยังดาวดวงหนึ่งที่มีตัวอักษรลอยอยู่รอบๆดาวดวงนั้นซึ่งตัวอักษรเหล่านั้นเขียนว่า “มาทางนี้”
“ง่ายไป มั้ย!!” ทั้ง 6 คนอุทานขึ้นมาพร้อมๆกันอีกครั้งซึ่งจากข้อความที่ปรากฏมันทำให้พวกเขาระแวงอยู่ไม่น้อย แต่ทว่า ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่จะสามารถทำให้ ฟรานซิสได้เจอกับ เอลม่า ชอว์ และจะได้รู้วิธีที่จะสามารถรักษาแม่ของเขาได้สักที
“ถึง จะยังไง ฉันก็ต้องทำ นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้แม่ของฉันหายดีได้” ฟรานซิส พูดด้วยความมุ่งมั่นซึ่งทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเห็นใจเขาแต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นห่วงตัวเขาด้วยเช่นกัน
“แล้ว โคลอี้ล่ะ” ซูซานพูดขึ้นทำให้ ฟรานซิส ชะงักไปก่อนที่ซูซานจะเริ่มพูดต่อ “พี่กับเธอกำลังจะมีลูกด้วยกันนะ นี่พี่จะทิ้งเธอไปในช่วงที่เธอต้องการให้พี่อยู่เคียงข้างที่สุดเนี้ยนะ”
“ฉันเข้าใจดี” ฟรานซิส พูด เขาหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจ ถึงสิ่งที่ซูซานพูดออกมานั้นมันจะเป็นความจริง ใช่ เขาใช้เวลานานกว่าจะสามารถใช้ชีวิตคู่กับโคลอี้ อดีตพระสนมขององค์จักรพรรดิแซมมาเอล แล้วพอมาตอนนี้เขากับเธอสมหวัง ได้แต่งงานกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและกำลังจะมีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน ...ซึ่งนั้นหมายถึงเขากำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันแม่ของเขาก็กำลังจะได้กลายเป็นคุณยายอีกครั้งเช่นกัน...
ตั้งแต่เด็กๆ แม่ของเขามักจะเล่าให้เขาฟังถึงพ่อแม่ของท่านหรือก็คือตากับยายของเขาที่อยู่บนแอสการ์ด ทุกๆวันและมักจะบอกเขาเสมอว่าอยากจะเจอหน้าพ่อกับแม่สักครั้ง ในบางครั้งเขาเคยเห็นแม่ของเขาออกไปนั่งมองท้องฟ้านอกบ้าน ก่อนจะอธิษฐานขอให้ได้ไปพบพ่อกับแม่ของท่าน...ในฐานะลูก...เขาอยากจะทำให้แม่มีความสุข เขาอยากมอบของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับแม่ของเขา คือการทำให้ความปรารถนาของแม่เป็นจริง นั่นก็คือการได้พบกับพ่อแม่ของท่าน...
ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้แม่ของเขาตาย ถึง เขาจะเห็นแก่ตัว แต่ว่า...มีลูกที่ไหนบ้างที่ทนเห็นพ่อแม่ของตนตายไปโดยที่ไม่ยอมทำอะไร เลย...นั่นไม่ใช่เขาแน่นอน...เขาจะทำให้แม่หายจากอาการโคม่าและพาแม่ไปพบกับ ตายายของเขา...มอบความสุขที่แม่ปรารถนามานานให้กับแม่...นั้นคือสิ่งที่เขา จะทำ
“เฮ้อ~ ถ้าตัดสินใจแล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ” ซูซานกล่าวทำให้ ฟรานซิส หลุดออกจากภวังค์ก่อนจะลืมตามอง ซูซานที่เดินมาจับมือเขาอย่างให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “ถ้าฉันเป็นพี่ ฉันก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน ในเมื่อพี่มีโอกาสที่จะทำมันให้สำเร็จ พี่ก็ทำมันซะ แต่ระวังตัวด้วยล่ะ เพราะว่ายังมีคนรอพี่อยู่”
“ขอบใจ” ฟรานซิสพูดแล้วเข้าไปกอดซูซาน คำอวยพรของร่างตรงหน้าและความอบอุ่นที่ราวกับเป็นแม่ของเขาอีกคนมันทำให้เขาตื้นตันใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาร้องไห้ ดังนั้นเขาจึงต้องกล่ำกลืนน้ำตาเอาไว้
“แล้ว มี แผนว่ายังไง?” ฟาเธอร์ถามขึ้น ทำให้ ฟรานซิสผละออกมาจากซูซานพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจอกมาแล้วใช้ความคิดสักครู่เพื่อเรียบเรียงสิ่งที่เขาคิด อยู่ในหัวให้เข้าที่เข้าทางหลังจากนั้นก็เริ่มอธิบายแผนของเขาให้กับเพื่อนๆ ของเขาฟัง
“ อย่างแรกเลย ฉันจะออกเดินทางตามหา เอลม่า ชอว์ และในระหว่างนั้น พวกนายต้องช่วยฉัน” ฟรานซิส พูดด้วยใบหน้าจริงจัง ดูราวกับสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่นี้คือแผนการรบอะไรสักอย่าง
“ยังไงล่ะ?” ไฮเวอร์ ถาม พร้อมกับตั้งใจฟังในสิ่งที่เพื่อของเขากำลังจะพูด
“ใช้หนี้” ฟรานซิส พูดด้วยใบหน้าจริงจังแต่...
“พ่อ มรึงสิไอ้ ฟรานซิส!!!!!!” แต่มันทำให้เพื่อนๆของเขาทั้ง 5 คนพูดขึ้นมาพร้อมๆกันด้วยความไม่พอใจ...ก็แน่ล่ะ...ใครมันจะไปอยากใช้หนี้กันล่ะ...
“เฮ้ย พ่อมันกับพ่อฉันคนเดียวกันนะเฮ้ย” บาร์โทโลมิวพูดเสียงนิ่งอย่างไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ...แต่ด่าพ่อนี่เขาเป็นเดือดเป็นร้อนแน่นอน...
“อย่าเพิ่งโวย ครับพี่น้องทั้งหลาย ฟังผมก่อน~” ฟรานซิส พูดห้ามทัพก่อนที่เขาจะโดน สหบาทา “เอาเหตุผลที่ฟังเข้าหูนะโว้ย ไม่งั้นเจอตีนแน่เอ็ง” ราฟพูด เขาเริ่มปล่อยความร้อนออกมารอบๆตัวตามอารมณ์ที่ร้อนขึ้นของเขา ทำให้ ฟรานซิส กลืนน้ำลายแล้วเริ่มอธิบายให้ทั้งหมดเข้าใจ เพื่อที่เขาจะได้ไม่โดนรุมกระทืบ
“คือว่านะ ฉันคิดแผนไว้แบบนี้ ฉันจะยื่นเรื่องกับสภาสูงให้พวกเราสามารถออกไปยังดินแดนของมนุษย์ได้ และ ฉันก็จะให้พวกนายแค่บางคนช่วยใช้หนี้บทลงโทษที่ฉันฝ่าฝืนกฎกับเรื่องยื่นเรื่องกับสภาด้วย” ฟรานซิส อธิบาย แต่ดูเหมือนจะมีหลายๆคนที่ยังงงๆอยู่...ที่จริงก็ทั้งหมดเลยนั้นแหละ แต่ยกเว้นแค่บาร์โทโลมิว คนเดียวที่ไม่งง...
“แล้ว จะให้พวกเราไปทำอะไรที่ดินแดนมนุษย์กันล่ะ?”ฟาเธอร์ ถามด้วยใบหน้านิ่งเรียบพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอก
“ฉันกับ กาเบลีย วางแผนจะเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับพวกมนุษย์น่ะ ก็นะ เราปกป้องพวกเขาเงียบๆแบบนี้ไปได้ไม่นานนักหรอก ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องรู้ ซึ่งมันเป็นแบบนี้ตลอด!! ดังนั้น เราสมควรให้พวกเขารู้ว่าเราเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู และพวกเราจะเข้าร่วมกับพวกฮีโร่เพื่อจะได้ปกป้องโลกได้สะดวกๆ” ฟรานซิส อธิบายซึ่งจากที่เขาพูด ดูเหมือนองค์จักรพรรดิกาเบลีย จะรู้เรื่องนี้ก่อนพวกเขาเสียอีก แถมเขายังออกแนวประชดประชันในส่วนที่พูดว่าตลอดอีกด้วย
“โอเค พอรับได้ แล้วไงต่อ” ราฟ ที่อารมณ์เริ่มเย็นลงถาม
“ตา กับยายฉันทะเลาะกันและถูกลบความทรงจำเรื่องแม่ของฉัน ดังนั้นฉันจึงอยากให้พวกนายไปช่วยให้พวกท่านคืนดีกันและจำเรื่องของแม่ฉัน ได้ รวมไปถึงบอกข้อมูลทั้งหมดของเรากับกลุ่มคนที่พวกนายคิดว่าเหมาะสม” ฟรานซิส กล่าวซึ่งทั้งหมดก็พยักหน้าเพราะว่าเริ่มเข้าใจกันอย่างถ่องแท้ ถึงจะฟังดูบ้าและอันตราย แต่มันก็มีผลดีอยู่บ้าง แถมมันฟังดูเหมือนเป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่ดียังไงก็ไม่รู้ พวกเขาคิดแบบนั้น แต่ไม่ว่ายังไงซะ...คงมีคนที่ไม่เห็นด้วยอยู่เป็นแน่... “เปิดเผยให้พวกมนุษย์รู้เนี้ยน่ะว่ามีพวกเราอยู่บนโลกใบนี้ จะบ้าเรอะ!! นายลืมไปแล้วหรือไงว่าพวกมันทำอะไรกับพวกเราไว้บ้าง พวกมันไม่น่าไว้ใจ!!” ฟาเธอร์ พูดอย่างหัวเสีย เขาไม่ได้เกลียดมนุษย์หรือะไรมากนัก แต่เขาแค่ไม่ไว้ใจพวกมนุษย์ และเหนืออื่นใดคือเขากลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา
“ใจเย็นๆ ฟาเธอร์ พวกเขาไม่ได้เลวร้ายไปซะหมดทุกคนหรอกนะ พี่ก็รู้ดี” ซูซานพูดอย่างใจเย็น เขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับ ฟาเธอร์ แต่เขาเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ ว่ามนุษย์นั้นไม่ได้เลวร้ายไปซะหมดทุกคนหรอก จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ยังคงมีความดีอยู่ในตัว ไม่มากก็น้อย
“ใจเย็นๆน่า ฉันยังไม่อยากให้เปิดประเทศตอนนี้หรอก และจะไม่ให้เปิดตลอดไปด้วย ฉันแค่จะให้พวกนั้นรู้จักพวกเราในฐานะซุปเปอร์ฮีโร่ และให้แค่คนบางพวก อย่างหน่วยชิลด์กับพวก X-men ประมาณนี้รู้ถึงประเทศของพวกเราก็เท่านั้นเอง แต่ถึงจะบอกไปหมดก็ไม่เห็นเป็นไรนิ เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตพวกมันก็เข้ามาในอาณาจักรของเราไม่ได้หรอก” ฟรานซิส พูดก่อนจะถูก ฟาเธอร์ กระชากคอเสื้อ
“อย่าประมาทพวกมนุษย์ไป ฟรานซิส พวกมันร้ายกาจกว่าที่นายคิด” ฟาเธอร์ พูดเสียงเย็นก่อนจะเหลือบตามอง บาร์โทโลมิวที่เอาเข็มฉีดยามาจ่ออยู่ที่คอของเขา
“ใจเย็นๆ หลวงพ่อ ฟาเธอร์ ฉันรับปากนายด้วยชีวิตของฉัน ว่าอาณาจักนของเราจะปลอดภัย” บาร์โทโลมิวพูด
“สาบานต่อพระเจ้า?”
“ฉันสาบานต่อพระเจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟาเธอร์จึงปล่อยคอเสื้อของ ฟรานซิส แล้วถอยออกมายืนห่างๆ
“อย่าห่วง ฉันเองก็จะไม่ยอมให้ประเทศของเราเกิดอันตรายเด็ดขาด ฉันแค่ให้คนที่สมควรรู้ได้รับรู้อะไรบ้างก็เท่านั้นเอง พวกเราแค่ทำหน้าที่ปกป้องพวกมนุษย์และกลับบ้านก็แค่นั้น แต่ในกรณีของเราคือส่งคนไปประจำการที่ดินแดนมนุษย์ วนเวียนสลับเปลี่ยนกันไป นั้นคือสิ่งที่ฉันคิดในอนาคต” ฟรานซิส พูดซึ่งมันก็ฟังดูไม่เลว แต่ฟาเธอร์ก็ยังระแวงอยู่ดี เพราะการที่เขาอยู่มานาน โดยส่วนใหญ่เขามักจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือ การถูกหักหลังและหลายๆอย่าง รวมไปถึงการที่เขาไม่เคยเจอสิ่งที่เรียกว่าคนดี ทำให้เขาไม่ค่อยไว้ใจมนุษย์...เพราะเขากลัวความเจ็บปวดจากการไว้ใจมนุษย์และกลัวอันตรายต่างๆที่มันอาจเกิดกับครอบครัวของเขา...
“ลองไว้ใจพวกเขาดูสักครั้ง พี่ชาย พวกเขาไม่ได้เลวร้ายไปซะหมดทุกคนหรอก” ซูซานพูดพลางจับไหล่ของ ฟาเธอร์เพื่อปลอบใจ ชายหนุ่มผมสีทองขาวหันมามองดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง พลางคิดว่า ต่อให้ซูซานถูกทำร้ายอีกกี่ครั้ง เด็กคนนี้ก็ไม่เคยสูญสิ้นศรัทธา...ช่างบริสุทธิ์...
“อืม” เขาทำเพียงแค่ขานรับสั้นๆ และเขาก็คิดว่า ถ้าเขาได้ไปดินแดนมนุษย์อีกครั้ง เขาก็จะทำแบบเดิมเหมือนกับที่เคยทำเมื่อหลายพันปีก่อน...คือการกำจัดพวก มะเร็งเนื้อเน่า(?)ให้หายไปจากโลกใบนี้ให้หมด...ช่วยผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทำ ร้าย...ถอนรากถอนโคนพวกสารเลวทั้งหลายให้หมดไปซะ...ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูก ต้อง...ต่อให้เขาถูกมองว่าเป็นฆาตกรก็ช่าง...
...เป็นฆาตกรกับคนทั้งโลก แต่เป็นฮีโร่สำหรับคนๆเดียว...มันก็เพียงพอแล้ว สำหรับเขา...
“คนที่ฉันกะจะให้ไปก็มี ซูซานกับ ฟาเธอร์ ส่วนพวกที่เหลืออยู่ใช้หนี้ที่นี่จนกว่าจะหมดแล้วค่อยตามไป” ฟรานซิส พูดทำให้ ทั้งหมดหันมามอง
“ทำไมเป็นผมล่ะ?” ซูซานถามด้วยความลังเล งานสำคัญขนาดนี้แต่กลับให้เขาไป มันทำให้เขารู้สึกเกร็งไม่ใช่น้อย
“เพราะว่า นายเป็นคนดีมากๆยังไงล่ะ นายสามารถเข้ากับมนุษย์ได้และความสามารถหลายๆอย่างของนาย มันทำให้อะไรๆดีขึ้น ดังนั้นนายจึงเหมาะกับงานนี้” ฟรานซิส พูดอย่างจริงใจ และเหนืออื่นใดคือเขาเชื่อมั่นในตัว ซูซาน
“แล้วทำไมนายถึงให้ฉันไปล่ะ?” ฟาเธอร์ ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เพื่อให้ทุกๆคนได้เห็นและเข้าใจ ว่านายคือฮีโร่ รวมไปถึงช่วยผู้บริสุทธิ์จากอำนาจชั่วที่ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ช่วยผู้ที่เป็นเหยื่ออย่างที่นายเคยทำมาตลอด” ฟรานซิส พูด ซึ่งมันทำให้ ฟาเธอร์อึ้งก่อนที่เขาจะหัวเราะในลำคอพลางยกยิ้มขึ้นมาที่มุมปากนิดๆ
“เข้าใจแล้ว” ฟาเธอร์ กล่าว ซึ่งดูเหมือนทั้งหมดจะเข้าใจแผนการดีและพร้อมที่จะทำมัน...
...ได้เวลาเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเสียที...
“!!!!!!!!”
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาเป็นเสียงเพลงสลับกันไปมาจนฟังดูน่ารำคาญดังขึ้นทำให้ทั้งหมดหันมองหาจุดกำเนิดเสียง
“ซูซาน โทรศัพท์ของน้องดัง น่ะ” ไฮเวอร์ พูดทำให้เจ้าของโทรศัพท์รีบยกมันขึ้นมากดรับสายทันที
“ครับ ซูซาน เลโอเน่ พูดครับ อ้ะ พ่อวิล มีอะไรหรอครับ? หะ!! อีกแล้ว...ครับ...ครับ...ครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเองครับ” ซูซานที่ในตอนแรกตกใจนิดๆกับผู้ที่โทรมา ซึ่งก็คือ วิลลาร์ด เบอร์นาดัส หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสภาสูง เป็นทั้งผู้คุมกฎของราชอาณาจักรและผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครกล้ามีเรื่องด้วย เท่าไร ก่อนที่เสียงของซูซานจะเริ่มฟังดูราวกับเหนื่อยใจหลังจากนั้นก็กดวางสายไป ซึ่งมันทำให้ทุกๆคนรู้สึกงงงัน
“มีอะไรเหรอ ซูซาน?” ราฟ ถามด้วยความเป็นห่วง พลางจับไหล่ของภรรยาตนเพื่อเป็นการปลอบใจเมื่อเขาเห็นว่าซูซานมีสีหน้าสลดลง
“องค์รัชทายาท กาเร็ธ มีเรื่องที่โรงเรียนนิดหน่อย และ แซมสันก็โดดเรียน อีกแล้ว” ซูซานพูดราวกับมันเป็นเรื่องปกติ แต่ในใจเขานั้นกลับรู้สึกเหนื่อยอ่อน ก็นะ เป็นใครเจอเรื่องแบบนี้ตลอดสัปดาห์ มันก็ต้องมีความรู้สึกเหนื่อยใจกันบ้างนั้นแหละ ซึ่งเขาเริ่มเจอเหตุการณ์แบบนี้ตั้งแต่ลูกชายของเขา แซมสันอายุได้ 13 ปี และเช่นเดียวกันกับองค์ รัชทายาท กาเร็ธ บุตรแห่งองค์จักรพรรดิกาเบลีย กับองค์จักรพรรดินีเอเลน ที่พออายุ 13 ปี ก็ก่อเรื่องให้ผู้ปกครองต้องไปพบอาจารย์ที่โรงเรียนตลอด
“อีกแล้วเหรอ ตลอดเลยนะสองคนนี้ แต่ ทำไมน้องต้องไปทุกครั้งที่ กาเร็ธ มีเรื่องด้วยล่ะ? ทำไมต้องเป็นน้อง ทั้งๆที่ให้พ่อกับแม่ของเจ้าเด็กนั้นไปก็ได้ ยังไงซะพวกนั้นก็รู้เรื่องอยู่ดีนั้นแหละ” ไฮ ถาม ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดรู้เหตุผลดีอยู่แก่ใจ แต่ยกเว้นซูซานที่ไม่รู้ หรือไม่ใส่ใจที่จะรู้ก็มิอาจทราบได้ เพราะ ซูซานไม่ใช่คนคิดมากอะไร จึงไม่ได้สังเกตเลยว่า ตนกำลังมีเด็กรุ่นลูกมาตกหลุมรักอยู่ ก็นะ ซูซาน น่ะ ออกจะเสน่ห์แรงตามฉบับสิงโตซึ่งเป็นสัตว์ฮาเร็ม จะมีแต่คนรักคนหลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งเป็นแม่พระ(?)ใจบุญด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แต่อย่างซูซาน คงจะพอรู้อยู่บ้าง และคงมีวิธีจัดการในแบบของเจ้าตัว...ล่ะมั้ง...
ซูซานยิ้มกับคำถามของพี่ชาย ก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก“ก็เพราะกาเร็ธไม่อยากให้พ่อแม่ของเขาลำบากใจและเดือดร้อนไปมากกว่านี้เลยให้ผมไปแทนยังไงล่ะ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเป็นผม ก็เพราะว่า กาเร็ธ ไว้ใจผมมากกว่าใครๆยังไงล่ะ”
คำตอบนั้นออกจะฟังดูคลุมเครือ แต่ซูซานก็เลือกที่จะไม่อยู่ไขข้อข้องใจให้กับคนอื่นๆ เขาทำเพียงแค่เดินออกไปจากห้องแล้วตรงไปยังโรงเรียนสกายไฮท์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่กาเร็ธกับแซมสันเรียนอยู่
“ฉันว่าซูซานรู้นะ” ฟรานซิสพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
“ใช่ เจ้าเด็กนั้นมันแสดงออกซะขนาดนั้น” ราฟพึมพำ เขาพยายามควบคุมความหึงที่พร้อมจะลุกไหม้ได้ตลอดเวลาให้ค่อยๆเพลาลง ซึ่งก็ได้ผลอยู่บ้าง
“เอาเถอะ พวกเรารีบแยกย้ายไปทำตามแผนกันเถอะ ฉันจะไปยื่นเรื่องกับ พ่อวิลและสภาสูง ส่วนพวกนายที่เหลือก็ไปพูดเรื่องนี้กับครอบครัวของพวกนาย พอเรื่องผ่านแล้วฉันจะออกเดินทางเลย ฟาเธอร์กับ ซูซานเองก็เตรียมตัวออกเดินทางด้วย ส่วนพวกที่เหลือ ใช้หนี้ให้ทีนะ~” ฟรานซิส สรุปแผนการแบบย่อๆ แต่ประโยคหลังแทบทำให้ราฟกระโจนเข้าไป สหบาทาใส่ไอ้หน้าหล่อเพื่อนซี้ แต่ยังไงซะเขาก็ต้องช่วยทำงานใช้หนี้ให้อย่างแน่นอน เพราะถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ มันทำเรอะ? อย่าหวัง มันจะใช้ให้เมียเขามาทำแทนล่ะสิไม่ว่า
“งั้นแยกย้ายกันได้ พวก!” ไฮ พูดก่อนจะเดินออกไปจากห้องเป็นคนแรกและตามด้วยคนอื่นๆ ...การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้านี้...
+++++++++++++++++++++++++++++++++
TBC.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ