The Mysterious…หนียังไงก็ไม่พ้นเธอ
เขียนโดย Illusion
วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.35 น.
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2557 02.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
ซอมบี้ เป็นคำเรียกคนที่ตายไปแล้วแต่กลับมาเดินเหินได้ราวกับมีชีวิตอีกครั้งตามความเชื่อของลัทธิวูดู เรื่องราวในลัทธิวูดูนั้นกล่าวถึงซอมบี้ว่าถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์ให้ทำงานใช้แรงงานให้พ่อมด แต่ภาพลักษณ์ของซอมบี้ในวัฒนธรรมสมัยใหม่ซึ่งปรากฏผ่านสื่อต่างๆนั้นต่างจากในลัทธิวูดูมาก…
“นี่! โรเยล…แกเชื่อเรื่องซอมบี้ไหม”
“เชื่อนะพี่ควีน แต่…คงไม่มีที่ประเทศเราหรอก เขาว่ากันว่ามันเป็นตำนานของชาวต่างประเทศ”
“หรอ…เดี๋ยวนี้มีแต่หนังเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เยอะมากเลยเนาะ พี่ไม่เข้าใจจริงๆเลย ว่าทำไมต้องยิงไปที่หัวมันถึงจะตาย”
“ฮ่า ฮ่าๆ แล้วเยลจะไปรู้ไหมละคะเยลไม่ใช่ซอมบี้นะ แฮ่แฮ่”
วันนี้เป็นวันที่ฉันค่อนข้างจะหัวเสียนิดนึงเพราะมันเป็นวันที่มีบรรยากาศครึ้มเมฆครึ้มฝนเลยทำให้ฉันต้องมานั่งติดเหง็กอยู่ในบ้านเพราะว่าคุณน้าไม่ให้ฉันออกจากบ้าน กลัวจะไม่สบายเอา T^T ฉันเปิดโทรทัศน์ดูไปตามช่องต่างๆจนมาสดุดกับช่องสาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือมนุษย์ ซึ่งฉันเชื่อว่าคนในสมัยนี้ก็น่าจะรู้จักชื่อซอมบี้นั้นกันดีอยู่แล้ว จะว่าไปฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยสักนิด ฉันคิดมาตลอดว่าเจ้าซอมบี้หน้าเละเนี่ยมันเป็นแค่ความคิดล้ำๆจากผู้กำกับหนัง ถ้าขืนฉันเจอเหตุการณ์อย่างในหนังแบบ…เอ่ออ…the walking deadอย่างนั้นอะ ฉันขอตายไปเลยจะดีกว่า น่ากลัวชะมัด! ตอนนี้ฉันนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องส่วนตัวของฉันเอง โดยมีน้องสาวสุดน่ารักของฉันเข้ามาอยู่ในห้องของฉันด้วย คุณน้าของฉันเป็นเจ้าของธุรกิจส่งออกน้ำมันเลยทำให้พวกเรามีฐานะที่ดีมาก คุณพ่อและคุณแม่ของฉันเสียแล้ว ตอนนี้ฉันเหลือแค่คุณน้า ท่านชื่อว่า น้าพล ซึ่งเป็นญาติเพียงคนเดียวของฉันและดูแลเราสองคนมาตั้งแต่เด็กๆ ท่านเป็นน้องชายของคุณแม่ ท่านเปรียบเสมือนพ่อและแม่ในคนๆเดียวกันเลยแหละคะ ท่านเข้าใจพวกฉันสองคนมาก ไม่บังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ท่านเป็นคนน่ารัก ร่าเริง อารมณ์ดีเป็นที่สุด แต่ท่านห๊วง หวง!ฉันและน้องสาวมาก อาจจะเป็นเพราะว่าพวกฉันสองคนเป็นผู้หญิง สังคมสมัยนี้ก็โหดร้าย รุนแรง ซะด้วยสิ เวลาจะนอนค้างอ้างแรมที่ไหน ก็หนีไม่พ้นที่ต้องกลับมานอนที่บ้านตัวเองทุกที
ฉันกับน้องสาวตัวแสบ อายุห่างกันสี่ปีคะ นิสัยจะแตกต่างกันมากเพราะฉันเป็นคนที่เรียบร้อยส่วนโรเยลจะเป็นคนที่ค่อนข้างห้าวๆ ทุกครั้งที่ฉันเห็นโรเยลหัวเราะ เธอจะเป็นคนที่ไม่เรียบร้อยเอาซะเลย อ้าปากกว้างมากเวลาหัวเราะ ยิ่งเวลาทานข้าวก็ชอบร้องเพลง ชอบคุยชอบเล่นกับฉันทั้งๆที่อาหารยังเต็มปาก แถมยังชอบเอาอาหารไปทานบนห้อง ส่งกลิ่นเหม็นทุกครั้งที่ฉันเขาไปนั่งเล่นในห้องเธอ บางครั้งเธอตื่นนอนโดยยังไม่แปรงฟันเธอก็ยังลงมาทานอาหารได้อย่างสบายใจโดยไม่เคยสนใจความสะอาดในช่องปากเอาสะเลย ดูๆแล้วสกปรกเป็นที่สุด เธอเป็นคนชอบทานอาหารรสจัดๆ อย่างเช่น ส้มตำ น้ำพริก ผิดกับฉันที่ชอบความสะอาดเป็นที่หนึ่งและอาหารการกินของฉัน ต้องเป็นอาหารที่มีรสชาติอ่อนเท่านั้นฉันถึงจะทาน ฉันเป็นคนเรียบร้อยมากถึงมากที่สุด ไม่ชอบความวุ่นวาย เลอะเถอะ สกปรก ถึงนิสัยของฉันกับโรเยลจะต่างกันมาก แต่พวกเราสองคนก็รักกันมากพอๆกับความต่างของนิสัย… คุณพ่อของฉันตั้งชื่อเราสองคนให้ความหมายคล้องจองกัน น้องสาวของฉันชื่อ โรเยล ซึ่งแปลว่า เกี่ยวกับเจ้าหรือผู้เป็นเจ้า และส่วนฉัน…ชื่อควีน แปลว่า ราชินี บอกขนาดนี้ก็พอรู้แล้วนะคะ ว่าครอบครัวฉันเป็นเชื้อกษัตริย์ คุณพ่อฉันนี่แหละคะที่เป็นกษัตริย์แต่ท่านเสียไปด้วยโรคหัวใจ ฉันยังไม่ทันจำรูปพรรณของคุณพ่อได้เลย ท่านก็เสียไปก่อนซะแล้ว ส่วนคุณแม่ท่านเสียตอนที่คลอดโรเยลออกมานั่นแหละคะ เพราะว่าท่านเป็นโรคน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือดเลยทำให้คุณแม่เสียชีวิตลงไปทันทีหลังจากที่คลอดโรเยลออกมาแล้ว เห้ออ…ก็จะมีแต่รูปขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ในบริเวณห้องโถงของบ้าน ที่ฉันได้แต่มองและจดจำใบหน้าของทั้งสองคนได้ว่านี่แหละ….คือคนที่ทำให้ฉันได้เกิดมาอย่างสุขสบาย คุณน้าเล่าว่า คุณพ่อและคุณแม่ท่านปกปิดเรื่องการมีฉันและโรเยลเป็นอย่างมากเพราะท่านไม่อยากให้พวกฉันต้องรำบากเหมือนพวกเขา คุณพ่อท่านเป็นกษัตริย์คนสุดท้าย ถ้าคุณพ่อและคุณแม่เสียชีวิตไป พวกฉันก็ต้องกลายมาเป็นราชินีแทน คิดๆแล้วมันจะต้องลำบากและวุ่นวายมากสำหรับฉันแน่ๆเลย ต้องขอบคุณท่านทั้งคู่ที่ทำให้ฉันสุขสบายได้ถึงขนาดนี้ การปกปิดเรื่องของพวกฉันทั้งสองคนมันไม่ได้ทำให้ฉันน้อยใจแต่อย่างใดเลย ดีซะอีกที่ไม่ได้มีนามสกุลของเชื้อกษัตริย์ ฉันชอบเป็นมนุษย์สามัญชนปกติธรรมดาอย่างคนทั่วไปมากกว่า แต่ในใจก็ยังรู้ดี ว่าฉันมีเชื้อของกษัตริย์
แวมไพร์ ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลางเชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้แสงแดด แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20คน สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผาหรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง
“แล้วแวมไพร์อะ…แกเชื่อปะ”
“เชื่อสิ…เขาว่ากันว่า แวมไพร์ยังคงมีจริงอยู่นะคะพี่ควีน”
“มีเรื่องไหนบ้างที่แกไม่เชื่อ…”
“เรื่องที่พี่ควีนว่าเยลว่าไม่สวยอะดิ ฮ่า ฮ่าๆ”
เห้อออ…ฉันละเบื่อหน่ายกับความหลงตัวเองของน้องสาวตัวแสบของฉันที่สุด แต่จะว่าไปเรื่องของแวมไพร์ฉันก็อยากให้มันมีอยู่จริงเหมือนกันนะ เพราะฉันชอบมันมากเลย ถ้าฉันเจอพระเอกอย่างเรื่อง Vampire Twilightมันคงเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆเลยแหละคะ >< ฉันปิดโทรทัศน์ลงไปทันทีที่เจอแต่เรื่องเหนือมนุษย์อะไรแบบนั้น พลางเดินออกไปที่ระเบียงห้อง จ้องมองทิวทัศน์ที่แสนสวยงามบวกกับบรรยากาศที่ครึ้มๆ มีเมฆและหมอกหนา ทำเอาฉันไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย บ้านของฉันอยู่ไกลจากหมู่บ้านคนอื่นเอามากๆ เพราะคุณน้าชอบบรรยากาศที่สงบ ร่มเย็น ด้วยเหตุเพราะแถวนี้มีเนื้อที่ที่กว้างขวางมากๆจึงทำให้คุณน้าได้ลงทุนสร้างบ้านหลังนี้เองมากับมือ บรรยากาศรอบๆข้างเต็มไปด้วยป่าและลำธารที่ไหลมาจากแหล่งน้ำที่ไหนสักแห่งนึงซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ามองจากห้องฉันตอนนี้ก็จะเห็นภูเขาลางๆพร้อมกับป่าสนอันมากมาย ส่วนถ้าไปมองจากห้องของโรเยลก็จะเห็นลำธารที่ไหลรินและทุ่งหญ้าที่เขียวขจี เสียงน้ำจากลำธารที่ไหลรินก็สามารถกล่อมให้หลับได้อย่างสบายเลยที่เดียว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของอากาศที่หนาว สภาพอากาศบ้านฉันน้อยมากที่จะมีแสงอาทิตย์สาดส่อง ส่วนมาก ถ้าฝนไม่ตกก็มีแต่ลมแรง สายลมเย็นๆที่ประทะมาโดนผิวฉัน ทำให้ฉันแทบหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องเพื่อหนีความหนาวจากอากาศข้างนอกโดยทันที…
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูจากใครคนนึงดังขึ้น โรเยลจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูทันทีพร้อมกับร่างของคุณน้าและผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาภายในห้องของฉัน
“โรเยล ควีน…น้าพาเพื่อนมาให้เรารู้จัก พอดีน้าไปเจอเขาที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า น้าก็เลย…เห็นใจ รับมาเลี้ยงดีกว่า”
“อะไรกันคะคุณน้า ลูกใครที่ไหนยังไง ยังไม่รู้เรื่องเลย อยู่ๆจะมารับเลี้ยงกันง่ายๆอย่างนี้เลยหรอ”
“เอาหน่ายัยควีน…ทางสถานรับเลี้ยงบอกว่าหนูคนนี้ นิสัยดี นิ่งๆ เรียบร้อย หนูจะได้เพื่อนเล่นในบ้าน ระหว่าง…ที่โรเยลไปเรียนโรงเรียนประจำไง น้ากลัวว่าหนูเหงา ก็เลย…หาเพื่อนมาให้”
“ควีนไม่เหงาหรอกคะ…”
“เถอะหน่า…เดี๋ยวน้าไปทำงานก่อนนะ”
เห้อออ…จริงสินะ โรเยลต้องไปเรียนโรงเรียนประจำ คุณน้าเลยพาผู้หญิงคนนึง รุ่นราวน่าจะคราวๆเดียวกับโรเยล ผิวพรรณขาวซีดเป็นไก่ต้ม ดวงตาอันเล็กนิดเดียวทำให้ฉันอดมองไม่ได้ว่าเธอลืมตาอยู่รึเปล่า จมูกที่โด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่อมชมพูนิดหน่อย ทำให้ใบหน้าของเธอดูน่ารักเอามากๆ เส้นผมยาวตรงดำสนิทของเธอทำไมมันช่างตัดกับสีผิวของเธอได้ปานนั้นนะ ตอนที่คุณน้าออกไป เธอก็ได้แต่ยืนนิ่ง สายตาของเธอก็จ้องแต่พื้นโดยไม่สนใจฉันกับโรเยลเลย สีหน้าที่เรียบๆทำเอาฉันไม่ค่อยไว้ใจผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่เลยแหละ…
“ชื่อ…อะไรหรอคะ”
โรเยลถามขึ้นเมื่อบรรยากาศในห้องค่อนข้างเงียบสงบ เธอคนนั้นค่อยๆไล่สายตาจากพื้นขึ้นมามองหน้าของโรเยล เผยให้เห็นแววตาที่เยือกเย็นของเธอ ที่กำลังจ้องมองโรเยลด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งไร้อารมณ์ ดวงตาของเธอมันช่าง…สะกดจิตให้ฉันจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตาไปไหนได้เลย จุดสีดำเล็กๆที่ใต้ดวงตาด้านซ้ายของเธอทำให้ฉันมีอาการใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว นี่ฉันกำลังหลงเสน่ห์ผู้หญิงคนนี้หรอเนี่ย บ้าไปแล้ว…
“ชื่อ…..ทามค่ะ…”
เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ ตอนนี้ที่มุมปากของเธอดูจะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเลื่อนสายตามามองที่ฉัน ทำเอาฉันรีบก้มหน้าหลบสายตาเธอไปทันที ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงต้องมีอาการแบบนี้ขึ้นมา แต่ที่รู้ๆ ฉันกลัวผู้หญิงคนนี้ชะมัดเลย เธอค่อยๆเดินเข้ามาหาฉันช้าๆและจับมาที่หน้าของฉันให้เงยขึ้น ตอนนี้ใบหน้าของเธอกับฉันอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซน ฉันมองลึกเข้าไปในสีดวงตาของเธอ ถ้าฉันมองไม่ผิดมันเป็นสีน้ำตาลแดงดูไม่เหมือนกับสีตาคนปกติทั่วไปเลยสักนิด แววตาที่แข็งกร้าวมองมาที่ฉันอย่างไม่ละสายตา ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ใบหน้านั่นค่อยๆยิ้มออกมามากขึ้น เผยให้เห็นเขี้ยวของเธออยู่สองซี มันยิ่งทำให้เธอมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก…ฉันผลักไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของเธอเพื่อให้เธอหยุดการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกับฉันเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครคนไหนที่กล้ามาจับหน้าของฉันเลยนอกจากเธอ แถมเธอยังมาสแหยะยิ้มใส่ฉันอีกตั้งหาก มันจะมากไปหน่อยแล้วมั้ง แรงผลักนั่นทำให้เธอหุบยิ้มลงทันที เธอมองฉันครั้งนึงก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องฉันอย่างไร้อารมณ์ ฉันหันไปมองหน้าโรเยลที่ตอนนี้เธอมีอาการคิ้วชนกันแบบเดียวกับฉันเลย ไม่อยากจะเชื่อว่า…ฉันจะต้องมาอยู่กับคนแบบนี้นี่นะ โห้วว…ให้ตายสิ ขนลุก T^T
“หน้าตาดีชะมัด…แต่นิ่งไปหน่อย” โรเยลพูด
“แก…จำเป็นต้องไปเรียนโรงเรียนประจำปะ”
“จำเป็นสิคะพี่ควีน…เพราะเยล ไม่ ชอบ อยู่บ้านนน”
“อยู่เป็นเพื่อนพี่เถอะนะ พี่กลัวยัยนั่นชะมัดเลย”
“กลัวอะไรกันคะพี่ควีน มีเพื่อนเยลคนนึงก็นิ่งๆแบบนี้แหละ แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนตลกมากเลยนะ”
“พี่กลัวว่าคนนี้จะไม่เหมือน เพื่อนเยลหน่ะสิ เห้ออ…ขนลุก”
ฉันรู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้เอาซะเลย แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อคุณน้าพาเธอเข้ามาในชีวิตของฉันแล้ว มีหรอที่คนอย่างฉันจะไม่ต้อนรับคนอย่างเธอ ดูๆไปแล้วท่าทางลักษณะการวางตัวของเธอมีอายุมากกว่าฉันหลายเท่าพันเท่า แต่ฉันอยากจะบอกว่า หน้าของเธอดูเด็กเสียกว่าโรเยลซะอีก ฉันเดินตามตูดยัยนั่นลงไปชั้นล่างก็พบว่าเธอกำลังเดินสำรวจภายในบ้านของฉันอยู่ ทุกการกระทำของเธอ มีสายตาฉันคอยแอบมองเธอจากที่ไกลๆเพื่อไม่ให้เธอรู้ว่าฉันกำลังเข้าไปยุ่งเรื่องของเธออยู่ตอนนี้ ยัยนั่นเดินไปเดินมาเรื่อยๆอยู่แบบนั่น ราวกับว่าค้นหาอะไรบางอย่าง จนกระทั่งเธอหยุดการเคลื่อนไหวลง ร่างของเธอที่ยืนหันหลังให้กับฉันอยู่ค่อยๆหันมาทางฉันอย่างรวดเร็วทำเอาฉันรีบแอบแทบไม่ทัน…ฉันรีบหลบมุมทันทีที่เธอหันมาทางฉัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะเห็นฉันรึเปล่า แต่ที่รู้ๆฉันไม่กล้าขยับตัวไม่ไหนได้เลยเพราะฉันกลัวยัยนั่นชะมัด ฉันหลับตาและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจออกไปจากมุมอับตรงนี้ ฉันค่อยๆก้าวเท้าออกไปข้างหน้าอย่างใจกล้าแต่ก็ไม่พบร่างของเธอแต่อย่างใดเลย เธอหายไปไหนนะ ฉันยืนงงคิ้วชนกันกับสิ่งที่ฉันเจออยู่นิดนึงก่อนที่จะหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วทำให้ศีรษะของฉันไปโดนอะไรเข้าบางอย่างถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฉันจับไปที่หน้าผากของฉันอย่างหัวเสียก่อนที่จะมองสิ่งๆนั้นด้วยความตกใจเล็กน้อย
“เธอ!...”
“เธอมาแอบดูฉันทำไม…”
“ปะ…เปล่าสักหน่อย แล้ว แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งๆที่เมื่อกี้เธอยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย โอ๊ย…เจ็บชะมัด”
“ไหนบอกว่า…ไม่ได้แอบดูฉันนิ๊ แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ตรงไหน”
“……”
“เธอกลัวฉันหรอ?”
“เปล่า…ฉันแค่…”
“หึหึ…ฉันได้กลิ่นความกลัวจากเธอ”
“ห๊ะ? ว่าไงนะ”
“เธอนี่ไม่เหมือนใครจริงๆเลย…เธอ…กำลังคิดอะไรอยู่นะน่าหงุดหงิดชะมัดเลย…ที่ฉัน…อ่านความคิดของเธอไม่ได้”
อะไรของเขาอะ? ฉันยืนงงกับสิ่งที่เธอพูดกับฉันมาก ตอนนี้ดวงตาอันเยือกเย็นของเธอจ้องมองมาทางฉันอย่างสงสัยอยู่เหมือนกัน คำพูดของเธอเมื่อกี้มันคืออะไรกันนะ ใบหน้าเรียบๆแฝงไปด้วยความดุดันและเยือกเย็นทำเอาฉันรีบเดินหนีเดินไปโดยทันที สัมผัสที่เย็นไปถึงขั้วหัวใจกำลังปะทะมาที่แขนอันบอบบางของฉันก่อนที่ฉันหันไปมองต้นตอสาเหตุที่ทำให้ฉันรู้สึกขนลุกนั่นก็คือมือซีดๆของเธอนี่เองที่กำลังจับแขนของฉันไม่ให้ไปไหน ฉันมองหน้าของเธออย่างสงสัยว่าเธอคิดจะทำอะไรกันแน่
“ปล่อย…”
“ฉัน…ต้องการ…คุยกับเธอ”
“แต่ฉันไม่ต้องการ…”
ฉันสะบัดแขนอย่างแรงเพื่อให้มือเย็นๆของเธอนั่นหลุดออกไปแต่กลับไม่เป็นผลสำเร็จ เธอก็ยังคงยืนยัน ขอร้อง ที่จะคุยกับฉันให้ได้ ความจริงจังบนใบหน้าของเธอแฝงมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ว่าเธอต้องการที่จะคุยกับฉันให้ได้ ส่วนฉันก็เลยต้องยอมเธอไปในที่สุด เธอพาฉันมาหยุดอยู่ตรงหน้ากรอบรูปขนาดใหญ่ของคุณพ่อและคุณแม่ฉันที่แขวนอยู่ในบริเวณห้องโถงในบ้านของฉันอย่างไร้อารมณ์
“ผู้ชาย…คนที่อยู่ในรูป คนนั้น…ใครหรอ”
เธอชี้ไปยังรูปของคุณพ่อที่ยืนกอดอยู่กับคุณแม่ของฉันอยู่ รูปๆนี้เป็นรูปตอนที่คุณพ่อและคุณแม่ของฉันถ่ายหลังจากที่ท่านทั้งคู่ ได้แต่งงานกันอย่างมีความสุขก่อนที่พวกท่านจะมีพวกฉันสองคนซะอีก นับเป็นภาพที่เก่าแก่มากแต่มันกลับถูกทำความสะอาดแทบทุกวันไม่มีแม้แต่คราบฝุ่นใดๆทั้งสิ้น
“กษัตริย์ตระกูล มหาวรวงศ์ ภูธเรศรัตนะหิงสาราชาวดี เป็นเชื้อกษัตริย์คนสุดท้ายของประเทศนี้”ฉันบอกยัยนั่นไป
“แล้วกษัตริย์คนล่าสุด…คือใครหรอ”
“ไม่รู้สินะ ทั้งประเทศเลือกคนใหม่ขึ้นมาแทน เพราะว่ากษัตริย์ตระกูล มหาวรวงศ์ไม่มีเหลืออยู่แล้ว”
“หึหึ น่าแปลก…พวกเขา ไม่มีลูกกันหรอ”
“แล้วเธอเห็นว่ามีไหมละ…”
“ตามข่าวลือ บอกกันว่า…กษัตริย์คนสุดท้ายมี แต่ว่า ลูกของพวกเขาเป็นผู้หญิง เลยทำการปิดบังเพราะไม่อยากให้เพศผู้หญิงขึ้นมาดูแลประเทศตั้งหาก”
“ไม่จริง! พวกท่านไม่มีลูก”
“ทุกคนที่เป็นกษัตริย์ล้วนแต่เป็นผู้ชายทั้งหมด กษัตริย์คนแรกไม่มีลูกเพราะ เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง! กษัตริย์คนที่สอง มี… แต่ ลูกชายดันเสียชีวิตจากการโดนสัตว์ป่ากัด กษัตริย์คนที่สามไม่มีภรรยา กษัตริย์คนที่สี่ มีลูกไม่ได้เพราะเป็นหมัน และส่วน…กษัตริย์คนสุดท้าย มีลูก แต่น่าเวทนาเพราะลูกดันเป็นผู้หญิงซะงั้น ท่านคงเลือกที่จะไม่บอกประชาชนทั่วโลกเพราะกลัวว่าลูกสาวตัวเองจะไม่มีใครเคารพนับถือ… เธอไม่เห็นหรอ ว่าทั่วประเทศมีแต่กษัตริย์ที่เป็นผู้ชายทั้งนั้นเลย”
“ทำไมเธอพูดจาดูถูกเพศตัวเองแบบนั่นละ”
“ฉันไม่ได้ดูถูกเพศตัวเอง…แต่ฉัน…ดูถูกกษัตริย์คนสุดท้ายมากกว่า”
“ทำไม!”
“ลูกของเขายังไม่ทันจะแสดงความสามารถเลย พวกเขาก็ตัดสินใจปกปิดเรื่องลูกของเขาแล้ว เขาตั้งหากที่ดูถูกเพศผู้หญิง ไม่มีมันสมองเอาซะเลย”
“นี่! ท่านเป็นกษัตริย์นะ เธอไม่มีสิทธิ์ว่าท่านไปแบบนั้น”
“ตระกูลมหาวรวงศ์ ภูธเรศรัตนะหิงสาราชาวดี! เป็นผู้ชายทั้งหมดและก็ชอบดูถูกเพศผู้หญิงเป็นที่สุด ไม่เหมาะสมจะเป็นกษัตริย์เลยสักนิดเดียว พวกเขามีดีแค่หน้าตาหล่อแต่หัวสมองยิ่งกว่าขี้เลื่อนซะอีก เหอะ”
ยัยนี่มาดูถูกพ่อฉันได้ไง ทนไม่ไหวแล้ววว “นี่!! เธอ…มันจะมากไปหน่อยแล้วนะ!”
“มันไม่มากเกินไปหรอก กับสิ่งที่พวกเขา…”
“หยุด! พูดจาดูถูกท่านแบบนั้นเดี๋ยวนี้นะ! เธอรู้จักพวกท่านดีมากแล้วหรอ ถึง ว่าท่านเขาไปแบบนั้นอะ ฉันคิดว่าอายุเธอน่าจะยังน้อย คงไม่ได้รับการศึกษา อบรม ดูแล เอาใจใส่ให้มากกว่านี้”
“แล้วเธอละรู้จักพวกเขาดีมากเลยหรอ…ทำไมต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนซะขนาดนั้น เอ๊ะ! หรือว่าเธอเป็นลูกของกษัตริย์คนสุดท้ายกันนะ”
“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!”
“…….”
“ฉัน บอก ให้เธอ ถอนคำพูดพวกนั้นเดี๋ยวนี้!”
ตอนนี้ฉันโกรธและโมโหเป็นอย่างมากที่เธอพูดจาดูถูกตระกูลของฉันอย่างเสียๆหายๆ เธอคิดว่าเธอรู้จักตระกูลฉันดีมากขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ฉันเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นและจ้องหน้าเธออย่างโกรธแค้น ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีท่าทีที่จะสลดลงเลยแม้แต่น้อย เธอยิ้มที่มุมปากครั้งนึงก่อนที่จะหมุนตัวเดินจากฉันไป นับเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันโกรธมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เธอเป็นใครกัน ทำไมถึงต้องมาพูดจาดูถูกตระกูลฉันได้ถึงเพียงนี้ ฉันเดินขึ้นไปยังห้องนอนของฉันอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะไล่น้องสาวแสนสวยของฉันออกจากห้องไปด้วยความโมโห
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ