The Vampire Powers.

9.1

เขียนโดย katzee

วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.24 น.

  37 chapter
  168 วิจารณ์
  47.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 17.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) จู่โจม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
“เราจะช่วยกันออกตามหาอีกแรง” เบียงก้ากล่าวเมื่อเดินทางมาถึงที่พักของทั้งสามหนุ่มแวมไพร์ เธอติดงานหนักที่ค่ายตลอดนับตั้งแต่พวกเขาออกจากค่ายมา แล้วรีบเดินทางเมื่อทราบข่าวด้วยเวลาที่รีบเร่ง การหายตัวไปแบบนี้คงไม่สามารถนิ่งเฉยได้เพราะยังไงซะพวกเขาคือครอบครัวเดียวกันและที่แน่ๆพวกเขายังไม่ได้สร้างศัตรูไปทั่วยกเว้นเพียงคนเดียวซึ่ง ก็คือ ไซม่อน
 
“ให้ผมช่วยหรือเปล่า” เอ็ดเสนอตัวช่วยเพราะอาจจะทำให้การค้นหามันเร็วขึ้น
 
เบียงก้าทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา การแต่งกายจะเน้นความเรียบไม่เด่นจนเกินไป ผมยาวที่หยักเป็นลอนถูกรวบขึ้นไว้เป็นหางม้าสวมเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์ทั่วไป บวกกับรองเท้าบู้ดที่เพิ่มความถนัดทะแมง มือเรียวกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่นเนื่องจากเธอได้โทรไปกล่าวรายงานเพื่อยืนยันว่าแอรอนและไรอันหายไปเมื่อคืนก่อน
 
พอรุ่งสางเธอได้รับการติดต่อเหตุด่วนจากเอ็ดผ่านคนที่ทำงานให้ลูคัสที่มักจะอยู่ในบริเวณพื้นที่กระจายกันไปทั่ว บางคนทำงานเป็นนักกฎหมาย บางคนทำร้านขายหนังสือ
 
พรรคพวกของพวกเขาถูกตีแผ่ไปทั่วเท็กซัส นี่เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เอ็ดเพิ่งได้รู้ไม่นานมานี้ เมื่อเขาคลาดกับคนอื่นจู่ๆทั้งสองดันหายไปแบบผิดปกติความรู้สึกแปลกๆเหมือนมีภัยคุกคามทำให้เอ็ดต้องแจ้งให้เบียงก้าทราบเพราะถ้าหากเราขาดใครสักคนไปที่มีฝีมือและพลังวิเศษคงแย่แน่
 
เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในค่ายหรือบ้านที่ชุบเลี้ยงพวกเขามานานนั้นต่างมีพลังวิเศษเป็นของตนเอง ว่าแต่ท่านลูคัสรู้ได้ยังไงว่าพวกเขามีพลังพวกนี้อยู่ในกายมานับตั้งแต่เกิด มันยังคงเป็นข้อสงสัยที่เขาเองคงต้องหาทางคิดเอาเองและสืบสาวเรื่องราวให้ได้
 
“ท่านเบียงก้า พอรู้หรือไม่ว่ามีศัตรูเผ่าพันธุ์ไหนที่เป็นคู่อริเรา….ขอให้ผมได้ช่วยเพื่อนผมด้วยเถิด” เอ็ดเสนอความคิดเห็นถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากก็ตาม แต่ทันใดนั้นเบียงก้าก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก อากัปกิริยาที่แสดงออกอย่างนั้นมันทำให้เอ็ดชักจะสงสัยว่าก่อนหน้านี้หรือทศวรรษก่อนๆพวกเขาทำเรื่องอะไรไว้แต่มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีและบางทีมันอาจจะทำให้เขาโตขึ้น เอ็ดจ้องใบหน้าสวยนิ่งๆ
 
“แค่ไปเรียนและทำชีวิตให้เป็นปกติ เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเองนายยังจะต้องเล่นบทบาทเป็นมนุษย์อยู่นะ หวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นอีก” เบียงก้าเดินผ่านตัวเขาไปพร้อมกับทิ้งเงื่อนงำไว้ให้เขาคิดปวดหัวเล่น อีกนานแค่ไหนกันที่กลุ่มคนพวกนี้จะพูดความจริงกับเขาสักที
 
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนก่อนจะนอนแผ่หลาพยายามระงับจิตใจไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ตายสิแอล ทำไมไม่ส่งอะไรซักอย่างผ่านจิตมาหรืออะไรก็ตามเพราะแอลได้ฝึกการพูดกันทางจิตกับเขามาสักพักแต่ยังไม่เป็นผลเพราะพลังของพวกเขาเพิ่งฟื้นตัวและมักจะระเบิดออกมาเมื่อมีเหตุการณ์ที่จะมากระตุ้นเพียงเท่านั้น
 
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบขึ้นมองหลอดไฟนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้ที่เดินเข้ามาทำข้อตกลงกับเขา ถึงแม้การกระทำของเธอคนนั้นค่อนข้างจะอ่อนต่อโลกไปนิดเพื่อที่จะรัก เขารู้สึกว่าเธอไม่ควรที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว
 
และบางทีก็อยากจะแสดงความรู้สึกส่งผ่านไปให้เธอได้รับรู้บ้างแต่เมื่อมาลองตริตรองดีๆดูแล้วคงไม่ดีนักถ้าการที่จะให้ชีวิตเธอมาแลกความรักกับปีศาจอย่างพวกเขา เรื่องมันดำเนินมาซะครึ่งทางแล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี
 
ชายหนุ่มผู้มีผมสีเดียวกับดวงตาที่ว่างเปล่านั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมามันเป็นเหมือนการย่ำอยู่กับที่ และดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องปฏิบัติภารกิจเพียงคนเดียว การค้นหายังคงดำเนินต่อไป
 
เรเนสเป็นผู้หญิงที่มีแววของความสดใสแต่เศร้าหมองแปลกๆยามเขาจดจ้องดวงตาคู่นั้น   เขาอยากจะปกป้องเธอเหลือเกินแต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดที่ผุดโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความคิดสุดแสนจะบ้าคลั่งของเขาแล้วเรื่องร้ายๆเพิ่งจะเริ่มต้นเขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่สามารถไปพบเธอได้อีกต่อไป
 
กลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย หรือนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าตกหลุมรักหรือเปล่า เขาจะตกหลุมรักเธอคนนี้ไปได้ยังไงกัน เอ็ดปัดความรู้สึกนั้นออกไปพลางเอนตัวลงนอนคิด อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
 
ชายหนุ่มจดจ้องมือของตัวเองเป็นเวลานานก่อนจะพยายามบังคับให้คลื่นบางอย่างที่อยู่ภายในตัวไหลวนมาอยู่ที่ฝ่ามือก่อนจะเห็นเป็นเปลวไฟเล็กๆเขาบังคับให้มันเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่งสลับสับเปลี่ยนเรื่อยๆ เขาคงจะมานั่งทุกข์ใจคิดถึงเรื่องอื่นๆ ยังมีอีกหลายสิ่งที่มันควรจะเผยความลับออกมา
 
ถึงแม้เขาจะได้รับคำสั่งให้ทำตามหน้าที่จนกว่าจะพบเป้าหมายแต่นั่นยังไม่สมควรที่จะให้เขารู้แต่เพียงเท่านั้นเว้นเสียแต่ว่าพวกนั้นไม่คิดไม่ฝันว่าเขาทั้งสามคนจะสามารถรับมือกับมนุษย์ได้สบายและอยู่รอดมาขนาดนี้
 
ปริศนาหลายๆปมที่ยังคงไม่ถูกเปิดออกยังคงทิ้งรอยของความอยากรู้เอาไว้  ความรู้สึกแปลกๆกับผู้ที่สร้างเขาขึ้นมานั้นแฝงเร้นไปด้วยความลับมากมายมหาศาล และเขาควรจะออกตามหาปริศนานี้ให้เจอ
 
ท่ามกลางความมืดมิดในยามวิกาลมีร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังเดินย่ำเท้ากับพื้นที่เปียกชื่นเต็มไปด้วยน้ำที่ขังอยู่ ณ บริเวณนั้นสถานที่ที่พวกเขาทั้งสามเคยผ่านมาสำรวจมันเมื่อไม่นานเป็นหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างไว้แต่เขารับรู้ได้ว่า ถึงแม้ภายนอกมันจะดูไม่มีอะไรมันเป็นแค่บ้านที่ไม่มีผู้คนอาศัยแต่ความจริงแล้วมันมีบางอย่างกำลังซ่อนตัวจากพวกเขาอยู่ เขาเดินตรงดิ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรงต่อความมืดที่ไม่สามารถรู้ว่ามันจะนำพาสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัวมาหรือเปล่า
 
เอ็ดเลือกที่จะขอไม่อยู่เฉยๆให้บางสิ่งบางอย่างมาเล่นงานเขาหรอก เขารู้ดีว่าแอลกับไรอันไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใดสักวันพวกเขาจะหากันเจอในเร็ววัน เพราะบางทีไม่แน่ มันอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามก็เป็นได้ เบื้องหน้าที่มีถนนทอดยาวเข้าไปจนไม่สามารถมองเข้าไปได้เพราะมันมืดสนิทเหมือนตัวเขาเองเป็นแสงสว่างอยู่เพียงจุดเดียว
 
เขาเลือกที่จะเดินทางเพื่อออกตามหาร่องรอยของเพื่อนทั้งสองโดยปราศจากไม่มีอะไรเลย นี่คงเป็นทางเดียวที่เขาเองควรจะหาคำตอบเพราะมันถึงเวลาที่เขาจะปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเสียแล้ว อารมณ์โกรธเกรี้ยวถาโถมเข้ามาภายในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจู่ๆมือทั้งสองข้างก็เกิดไฟลุกขึ้นฉับพลัน เท้าของเขาหยุดฉงักมีเงาตะคุ่มบางอย่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านหน้าเขาไป
 
“แน่จริง พวกเจ้าก็จงปรากฏตัว” เอ็ดแผดเสียงดังลั่นก่อนจะควบคุมพลังตัวเองให้มั่นคง เปลวไฟที่ลามเลียค่อยๆปะทุเป็นลูกใหญ่ขึ้น เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นในระนาบหน้าอก ไม่กี่วินาทีเขาจึงวาดแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้าส่งพลังไปยังกองซากไม้เพื่อจุดไฟให้สว่างขึ้นภายในพริบตา
 
แสงสว่างจ้าขึ้นเงาต่างๆแวบหายไปเพื่อหาที่ซ่อนราวกับหวาดกลัวต่อบางสิ่ง เอ็ดเริ่มขยับเท้าก่อนจะค่อยก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า บนพื้นที่เขาเหยียบอยู่นี้ถูกปกคลุมไปด้วยดินที่มีกลิ่นแปลกๆและมีเศษซากสัตว์จำพวกหนูเป็นต้นนอนตายเกลื่อนกันไปหมด เมื่อลองพยายามนึกชื่อถึงปีศาจที่เพิ่งเคยพบพานมานับตั้งตอนนี้ในหัวเขาก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าบางทีพวกนี้อาจจะอันตรายเสียยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์พวกเขาก็ไม่ปาน
 
เสียงคิกๆบางอย่างผ่านหลังเขาไปก่อนจะพุ่งเข้าหาที่มืดเพื่อหลบ พวกมันจะหลบไปทำไมในเมื่อเท่าที่คิดดูแล้วพวกมันได้เปรียบกว่าเยอะ
 
พลัก มีบางอย่างพุ่งเข้ามากระแทกที่สีข้างของเขาอย่างจังก่อนจะเสียหลักล้มลงโดยมีสิ่งนั้นทับตัวเขาไว้ เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังก่อนจะเห็นใบหน้าของมันได้ชัดเจน แววตาที่เปลี่ยนไปของเขาจ้องมองสายตามันกลับไป ใบหน้าของมันก้มลงมาจนเกือบชิด ใบหน้าที่มีขนผุดขึ้นเต็มใบหน้ามีหน้าถอดโครงมาจากหมาป่าแต่ร่างยังคงเป็นคน
 
“เจ้าตัวเย็นตนนี้ มันอยากลองที่จะลิ้มรสของความเจ็บปวด ” เสียงแหบแห้งทุ้มแบบผู้ชายดังขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกเสียวแปล๊บๆจากปลายเล็บที่มันไล้ใบหน้าเรื่อยๆจนลงมาถึงลำคอพร้อมกับออกแรงกดหนักเพื่อใช้เจ้าสิ่งนั้นปลิดชีพเขาแต่ทว่า
 
“อย่า!!!” เขาได้ยินเสียงห้ามของใครบางคนก่อนที่จู่ๆเขาก็รับรู้ได้ถึงความชาเนิบแปลกๆก่อนที่ตาเริ่มจะปิดเขาพยายามต่อสู้เพื่อที่จะชนะความรู้สึกนั้น มันดูเหมือนว่าขาถูกสะกดจิต ดวงตาพร่าเบลอแสงไฟค่อยๆหรี่ลงความรู้สึกจากการถูกทับมันเบาลง เมื่อพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งมีร่างผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาผมของเธอปลิวไสวท้าลู่ลมเธอยกมือขึ้นและพูดอะไรบางอย่างก่อนที่เธอจะหายเข้าไปในความมืด
 
ครืด ร่างของเขาถูกลากไปตามพื้นดินสปรก เสียงอื้ออึงดังอยู่ภายในหัว แรงบีบยังคงสร้างความพร่าเบลอภายในดวงตาเขาก่อนที่มันจะปิดลง
 
เสียงของการต่อสู้ดังขึ้นกระทบหูความรู้สึกครั้งก่อนที่เขาหมดสติไปมันหมดลงแล้ว เขาพยายามยกมืออีข้างขึ้นเพื่อที่จะจับขมับของตัวเองแต่มันติดบางอย่าง เขาออกแรงดึงอีกครั้งมันยังคงติดอยู่อย่างนั้น ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองสิ่งที่พันธนาการแขนทั้งสองข้างของเขาไว้
 
มันเปรียบเสมือนท่อเหล็กขนาดยักษ์ที่มีแขนของเขาสอดไว้ข้างในและมันล็อคเขาไว้ซะแน่นหนา ทุกสิ่งรอบตัวเป็นเหมือนห้องขัง ข้างบนจะทอดยาวขึ้นไป นี่เขาอยู่ที่ไหนกัน ข้างในเป็นห้องสีขาวสว่างจ้า จู่ๆผนังก็สั่นไหวเลื่อนออกเป็นสองข้างพบชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับคนหนึ่งที่เขารู้จักแต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร
 
ชายคนนั้นแต่งตัวด้วยชุดสีขาวสะอาดขนาบข้างด้วยคนที่แต่งกายชุดเดียวกันสองคน ดูเหมือนว่าเขาคงมีอำนาจมากกว่าพวกที่ยืนคุ้มกันทั้งสองข้าง ผมของเขาคนนั้นมีสีทองสว่างใบหน้าที่ขาวซีครับประกันได้เลยว่านั่นไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
 
“เจ้า….เป็น…..ใคร” น้ำเสียงแห้งผากของเอ็ดถูกขับออกมาอย่างยากลำบาก
 
“มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะเป็นใคร….”
 
“นอกซะจากว่า เจ้าคือสิ่งที่ข้าตามหา”
 
ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกๆยามเวลาพูดคิ้วของเอ็ดขมวดเข้าหากัน เมื่อเขาก้าวเท้าเดินเข้ามาพลางแตะเจ้าสิ่งที่พันธนาการเข้าไว้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีมันค่อยๆประกอบกันจากข้างในก่อนจะส่งเสียงดังกริ๊กก่อนจะทำงานเหมือนเครื่องจักรหุบเข้าหาที่ๆมันยึดติดไว้และปล่อยแขนเขาทั้งสองข้างลง เอ็ดทรุดตัวลงแทบเท้าเขาก่อนจะถูกผู้ชายที่ยืนขนาบเขาเดินมาหิ้วไหลเขาขึ้นและพยุงขึ้น
 
แต่จู่ๆเอ็ดก็สลัดพวกนั้นออกไปก่อนจะถอยหลังไปชิดกำแพงห้องพลางยกแขนซ้ายขึ้นปรากฏเป็นเปลวเพลิง พวกนั้นชักอาวุธปืนออกมาที่มีรูปทรงแตกต่างจากปืนทั่วไปเล็งยิงมาที่เขา
 
“อย่า” ชายคนนั้นกล่าวขึ้นพลางเดินจับปืนของทั้งสองคนนั้นลงก่อนจะพูดว่า
 
“เราไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเจ้า” เขาหันมาพูดด้วยความจริงใจก่อนจะเดินเข้ามาพลางยื่นมือมาเพื่อแสดงให้เขารู้ว่าไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขาจริงๆ
 
“ข้าอยู่ที่ไหน…ทำไมข้าต้องมาอยู่ที่นี่…และพวกเจ้าเป็นใคร” เอ็ดถามคำถามเพราะเขายังไม่รู้เลยว่าพวกนี้เขาจะไว้ใจได้ไหมแต่เขารู้สึกว่าชายยืนอยู่ตรงหน้าเขามีความรู้สึกถึงความเมตตาที่แอบแฝงไว้
 
“ข้าจะช่วยเจ้าทุกอย่างถ้าเจ้าหยุดพลังนั่นไว้” เขาว่าพลางมองมือที่มีเปลวไฟลุกท่วมมือของเขา เอ็ดลดมือลงพลางเหลือบมองพวกเขาทั้งสามด้วยความแคลงใจ เมื่อมือของเขาปราศจากเปลวเพลิงชายคนนั้นจึงพยักหน้าให้ทั้งสองคนที่ก่อนหน้านี้เกือบจะเป่าสมองเขาด้วยปืนแปลกๆนั่นมาช่วยพยุงเขาลุกขึ้นยืนและเดินตามหลังมาเพื่อคุ้มกัน
 
เขาถูกคุมตัวออกมาจากห้องนั้นมาพบกับภายนอกที่มีผู้คนเดินสลับไปมาแต่มีการแต่งตัวที่คล้ายกันหมดทุกคน มันเป็นเหมือนอาคาร ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านจะมีสายตาจากหลายๆคู่มองตรงมาด้วยความประหลาดใจ ที่นี่มันเป็นแหล่งรวมพวกอะไรกัน ตอนที่เขาหมดสติไป เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้อยู่กับคนพวกนี้เพราะไม่มีทางที่คนพวกนี้จะไปอยุ่ในสถานที่อย่างนั้นแน่ๆ
 
มีหน้าจอหลายจอของแต่ละคนที่เขาเดินผ่านทุกคนต่างทำงานกันอย่างขมักเขม้นและทุกครั้งที่เขาเดินผ่านทุกคนจะหยุดกิจกรรมที่กำลังทำเหลือบมองเขาบางคนมองเพราะความหวาดกลัวและบางคนมองด้วยความประหลาดใจ
 
“ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังเอง” มีเสียงของชายผมทองซึ่งตอนนี้เขายังไม่รู้ชื่อดังขึ้นขัดความคิดเขาก่อนจะผายมือให้เขาเลี้ยวไปอีกทางที่มีห้องขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้นและนำพาเขาไป
 
โรงเรียนมัธยมจอหน์พีท
 
“พวกเขาหายไป” หญิงสาวทั้งสองเพื่อนสนิทต่างนั่งพักทานอาหารกลางวันกวาดสายตามองไปทั่วทุกที่ที่คิดว่าพวกเขาน่าจะอยู่ โรสถอนหายใจก่อนจะหยิบแฮมเบอเกอร์ขึ้นมากิน
 
“เดี๋ยวก็โผล่มาน่า…คนเราก็น่าจะมีสายมีขาดบ้าง”
 
“เฮ้…นี่เธอยังสนใจฉันอยู่ไหมเนี่ย..มันตั้งสามวันมาแล้วนะ ไม่ให้ฉันกังวลก็คงจะ…”
 
“อะไร กังวลอะไร จะอะไร” โรสโพล่งขึ้นมาพลางกรอกตาบน เพราะนอกซะจากไซม่อนเป็นเพื่อนชายที่นิโคลมีอยู่ นอกนั้นก็ไม่มีใครอีกแล้วแต่โรสก็เอะใจจึงพูดขึ้นว่า
 
“ว่าแต่ หมอนั่น ไอ้บอดี้การ์ดที่คอยหวงก้างเธอนี่ ก็หายไปเหมือนกันแฮะ”
 
“ช่างเขาเหอะ หมอนั่นคงจะไม่อยากคุยกับฉันแล้ว” นิโคลมีน้ำเสียงที่อ่อนลงซึ่งการกระทำแบบนั้นก็ไม่รอดพ้นไปจากสายตาของโรสได้
 
“อะไรกัน มีข่าวคราวอะไรบ้าง ไม่รู้จักมาอัพเดทให้ฉันฟังบ้างเลยนะ”
 
โรสวางของกินลงพลางสบตามองเพื่อนรักที่ดูเหมือนพยายามจะปกปิดเรื่องบางอย่างไม่ให้เธอรู้
 
“เอ่อ คือว่า….” ท่าทางอ้ำๆอึ้งๆของนิโคลทำให้โรสเริ่มจะโมโหขึ้นมา
 
“เธอเป็นคนบอกเองว่า เธอเกลียดการโกหก”
 
“เฮ้อ โอเค ยังไงๆเธอก็เป็นเพื่อนฉัน” และในที่สุดนิโคลก็เปิดปากพูดเรื่องที่แอลและไซม่อนค่อนข้างจะไม่ลงรอยกันใบหน้าโรสอ้าปากหว่อ  “เธอจูบเขางั้นเหรอ!! ”
 
สีหน้าท่าทางของเพื่อนรักแสดงออกมาจนคนแถวๆนั้นหันมามองชั่วขณะ
 
“โอ ให้ตายสิ นิค เธอ  ในที่สุดเธอก็กล้าที่จะทำตามใจตัวเองซะที” ปอยผมที่ถูกเน้นไฮไลท์ของนิโคลสะบัดหนีความเขินอายที่เธอเพิ่งเล่าเรื่องดังกล่าวไป
 
ระหว่างที่นิโคลกำลังยิ้มให้กับเรื่องที่เพิ่งเล่าไป สายตาเธอเหลือบไปปะทะกับผู้หญิงบางคนที่ยืนอยู่บนระเบียงห้องเรียนห้องหนึ่ง เธอมีรูปร่างที่สูงโปร่งและดูเหมือนเคยเห็นเธอมาจากไหนมาก่อนซักที่ ไม่รู้ทำไมความรู้สึกของเธอดูเหมือนต้องมนตร์สะกดก่อนจะรับรู้ถึงแรงเขย่าของเพื่อนสาวที่ออกปากเรียกเธอ
 
“เฮ้ แค่แซวเล่นแค่นี้ ทำทีจะไม่คุยกับฉันเลยหรือไง” นิโคลหันไปมองตรงระเบียงดังกล่าวอีกครั้งเมื่อเพื่อนของเธอดึงดูดความสนใจไปและพบว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว
 
“เธอมองอะไร” โรสถามพลางมองตามสายตาของเธอ
 
“เอ่อ เปล่าหรอก” เธอหันกลับไปตอบก่อนจะชวนเพื่อนสาวเข้าห้องเรียนเพราะจะได้พาโรสมาวางแผนบางอย่างเพราะเธอไม่อยากให้ความรู้สึกของเธอคาราคาซังอีกต่อไปแล้ว
 
สิ้นเสียงกริ่งบอกระยะเวลาในการเลิกเรียนนิโคยรีบเก็บของแล้วเดินออกมาพบกับโรสที่เพิ่งจะเลิกเรียนเหมือนกันซึ่งทั้งสองลงวิชาไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ เมื่อก้าวพ้นออกจากประตูเธอก็พยักหน้าให้กับโรสแล้วเดินนำหน้าไปก่อนแต่ทว่า
 
“เฮ้ โรส นิค กำลังจะไปไหนกันน่ะ” เสียงที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและคงเป็นยัยแสบคนเดียวที่พวกเธอรู้จัก
 
“เอิ่ม ธุระน่ะ” นิคฝืนยิ้มให้กับเรเนสเธอมี ผมบลอนด์ขับผิวและหน้าตาทำให้เธอดูเพอร์เฟ็คสังเกตได้จากคนที่เดินผ่านได้ รอยยิ้มพร้อมกับประกายตาที่สุกใสเหลือบมองเพื่อนทั้งสาวที่พักนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่พลางเอ่ยปากถามว่า
 
“เอ่อ แอลไม่ได้มาหรอกเหรอ” เรเนสพูดพลางกวาดสายตามองหาระหว่างที่คนกำลังพุ่งพล่าน
 
“เธอรู้อะไรไหม พอดีฉันกับนิโคลต้องรีบไปแล้ว แล้วค่อยเจอกันนะ”
 
“โอ้ ได้เลย พอดีฉันจะต้องไปซ้อมลีดเดอร์เหมือนกัน” เรเนสบอกหลังจากที่เพื่อนสองคนรีบเดินไปก่อนที่เธอจะเดินคอตกไปเปิดตู้ล็อคเอร์พลางยัดกระเป๋าใส่เข้าไปและดึงชุดที่เตรียมไว้สำหรับการซ้อมออกมาก่อนจะเดินไปอีกทางเพื่อไปห้องซ้อม หลังจากที่เรเนสเปลี่ยนชุดเสร็จก็รีบเดินออกมาเพราะเมื่อเช็คนาฬิกาแล้ว
 
“โอ้! บ้าเอ้ย ฉันตกใจหมดเลยไซม่อน” เรเนสที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อกล้ามพร้อมกับมัดผมไว้เป็นหางม้าร้องตกใจเมื่อเธอเห็นไซม่อนยืนรออยู่หน้าห้องน้ำในมือของเขาถือลูกบาส
 
“โทษที พอดีฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
 
“ฉันต้องรีบไปซ้อม…เอ่อ ฉันให้เวลานายหนึ่งนาที” เรเนสพูดพลางยืนกอดอกเงยหน้ามองเขาเมื่อเห็นใบหน้าที่จ่อยสนิทของเขาเธอเองก็ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจเขาเท่าไหร่
 
“เรื่องนิโคลน่ะ ” เขาเว้นพักถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าพักหลังมานี้นิโคลเป็นอะไรไป ฉันแค่เป็นห่วง” ไซม่อนยักไหล่ก่อนจะมีสีหน้าที่ตัดพ้อ
 
“โอ้ นิโคลน่ะสบายอยู่แล้ว พวกนายเทลาะกันงั้นเหรอ” เรเนสถามกลับก่อนจะกลอกตาบนและยกมือขึ้นไปแตะบ่าเขาเพราะพัหลังๆมานี่ไซม่อนไม่ค่อยจะได้ชักชวนนิโคลไปไหนเหมือนเมื่อก่อน
 
“ให้เวลายัยนั่นก่อนละกัน ฉันคิดว่าพวกนายกำลังไปได้สวยเลย” เรเนสยิ้มพลางตบบ่าเขาเบาๆ และก่อนจะเดินสะบัดหัวให้เบาๆกับความปั่นป่วนในใจ
 
“ฉันคิดว่า ฉันอยากจะขอเธอเดท เรเนส” เท้าของเรเนสหยุดชะงักไปซักพักเธอเอี้ยวตัวหันมามองเขาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่สับสน
 
“เอ่อ เรื่องนี่คือฉัน…..” เธอหยุดคิดไปชั่วขณะหนึ่งแต่เธอกก็อยากจะลองเริ่มต้นอะไรใหม่ๆเพื่อที่จะไม่ให้มันดูหดหู่ไปกว่านี้พลางตอบว่า  “ได้อยู่แล้ว…บางทีนะ”  เรเนสยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคนที่อยู่ในทีมเรียกเธอ
 
ไซม่อนยิ้มมุมปากกวาดสายตามองคนแถวนั้น สายตาเขามีประกายอย่างมาดร้ายก่อนจะเดินถอยหลังและหันหน้าไปพลางเดาะลูกบาสอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับผิวปากถ้าเขาคิดอยาจะเอาคืนก็ต้องเอาคืนในจุดที่อ่อนไหวที่สุด
 
หลังจากที่ขอตัวจากเรเนสเรียบร้อยโรมินด้าที่เดินออกน้ำไปก่อนถูกกระชากแขนหันมาและเธอรู้ว่านิโคลคงอยากจะต่อว่าเธอแน่ๆ
 
“นั่นเรเนสนะ เธอทำอย่างนั้นไปทำไม” เป็นผลอย่างที่เธอคาดไว้โรสสีหน้าดูเจื่อนไปซักนิดก่อนจะดึงนิโคลให้หลบคนที่กำลังเดินลงบันไดตามมาบริเวณหน้าประตูโรงเรียน
 
“ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้สินะ ว่าเรเนสน่ะชอบผู้ชายของเธอ” นิโคลยักไหล่พลางแสดงสีหน้ามึนงง “บ้าไปแล้ว เธอพูดอะไรของเธอ” โรสกลอกกตาบนก่อนจะออกเดินก่อนพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสายเรียกเข้า
 
“เออ หนูคงไม่ได้กลับเหมือนเวลาปกตินะคะ พอดีหนูกับนิโคลต้องนัดกันทำงานน่ะคะ…โอเค…แล้วเจอกกันคะ” โรสวางสายจากแม่นมที่โทรมาถามถึงของที่เธอเคยบอกให้ดูแลไว้และเธอจำเป็นต้องโกหกเพื่อมาช่วยนิโคลกับเรื่องที่เพื่อนสาวเองก็ยังสับสน
 
“โอเค เรื่องทั้งหมดนี่ชักจะทำให้ฉันสับสนและงงไปหมดแล้ว”
 
“วิถีของโลกก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าไปใส่ใจเลย แผนว่าไง” โรสรีบเข้าเรื่อง
 
“เอ่อ ฉันคิดว่าฉันควรจะต้องเจอเขา” นิโคลบอกและโรมินด็พยักหน้าให้
 
“แล้วเธอรู้ที่อยู่ของเขาอย่างนั้นเหรอ” โรสยิ้มขึ้นมาในความแสบของเพื่อนสาวที่ชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา
 
“วิถีของโลก…มันก็คงไม่ต่างกันหรอกกใช่ไหม” สองสาวหัวเราะก่อนจะพากันปรึกษาเรื่องที่พวกเธอกำลังจะไป นิโคลเองก็ไม่อยากให้เรื่องมันคลุมเครือสู้ไปถามให้จบๆกันไปเลยดีกว่า
 
To be continue...
(อ่านจบเเล้วเม้นท์ให้กำลังใจเพื่อเป็นเเรงผลักดันด้วยน้า THX.. )

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา