วัยรุ่นหิมพานต์
7.9
เขียนโดย โชจัง
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.
20 บท
38 วิจารณ์
26.08K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) พีชพาเที่ยว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเนื่องจากบทนี้มีฉากมิวสิคัลอยู่ กรุณาปิดเพลงไว้จนกว่าจะบอกให้เปิด
“ดังนั้น ถ้าเราถอดสแควร์รูท ๓...”
ยามบ่ายจวนใกล้จะเลิกเรียน ณ ห้องเรียนชั้น ม.ต้น แห่งหนึ่ง ภายในโรงเรียนสุวัฒนา เช่นเดียวกับห้องเรียนห้องอื่นๆ ที่การเรียนการสอนยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ซึ่งสำหรับห้องนี้ เวลานี้ก็คือคาบของวิชาคณิตศาสตร์ สังเกตได้จากอาจารย์สาววัยทองผู้มาพร้อมทรงผมสีส้มฟูฟ่อง ดูคลับคล้ายคลับคลากับคุณหมอฝ่ายพิสูจน์หลักฐานท่านหนึ่ง ผู้กำลังยืนอยู่หน้าห้องแห่งนี้ เพื่อสอนแก้โจทย์สมการลงบนกระดานให้นักเรียนฟังนั่นเอง
ดูจากวิธีการสอนที่ดูสนุกและเข้าใจง่าย นักเรียนทุกคนในที่นี้ต่างก็พร้อมใจกันตั้งหน้าตั้งตานั่งเรียนอยู่บนโต๊ะ สองหูฟังคำอธิบายของอาจารย์ ส่วนสองมือก็จดวิธีทำและคำตอบลงสมุดอย่างขะมักเขม้น ไม่เว้นแม้กระทั่งพีชกับหยก ที่กำลังนั่งเรียนอยู่บนโต๊ะแถวหลังสุดริมประตูนั่นเอง
“พีช” จู่ๆ หยกก็เริ่มการสนทนาระหว่างเรียนขึ้นมา “กูถามไรอย่างดิ”
“ไรเหรอ?” พีชสงสัย
“เมื่อตอนเที่ยงเนี่ย มึงพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่วะ?”
“...” พีชเงียบไปซักพัก ก่อนที่สีหน้าจะแสดงถึงความหงุดหงิดเล็กน้อย “ก็พูดจริงสิวะ”
“อีเชี่ย!” หยกดูจะไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนคนนี้ “มึงบ้าไปแล้วเหรอพีช!”
“ทำไมแต่ละคนแม่งชอบถามแต่เรื่องนี้กันจังวะ!” พีชชักสีหน้าใส่ “กูจะรักใครชอบใครแล้วมันผิดรึไง?”
“มันจะผิดก็ที่มึงนี่แหละ!!!” หยกเถียงกลับเสียงดัง
“ยังไงวะ?” พีชถาม “กูทำไรผิดเนี่ย?”
“อยากแรกเลยคือ คนอย่างมึงอ่ะมันเหมือนผู้หญิงปกติที่ไหนล่ะ!” หยกอธิบาย “มีอย่างที่ไหนเนี่ย เจอหน้ากันวันแรกก็บอกชอบแม่งตรงนั้นเลย! คนเหี้ยไรวะรักใครชอบใครไวไฟขนาดนี้!”
“ก็...” พีชเริ่มเขิน “อารมณ์ตอนนั้นมันได้อ่ะ...”
“แล้วก็นะ อย่างที่สอง!” หยกเริ่มของสอง “ไอ้คนที่มึงชอบแม่งมีดีตรงไหนวะ!?”
“พี่กันเหรอ?” พีชนึกซักพัก “ก็เค้าออกจะเก่งนี่...”
“ไงต่อ?”
“ทรงผมก็เท่ห์...”
“เท่ห์ไงวะ... ไรอีก?”
“แล้วก็...”
“...” พีชนั่งนึกอยู่นานสองนาน จนสุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้ “เออว่ะ แม่งไรดีอีกวะ?”
“นั่นไง!” หยกบอก “สรุปคือแม่งไม่มีดีเหี้ยไรเลยไง!”
“แต่ว่ามึง คือตอนนั้นความรู้สึกแม่งใช่อ่ะว่าต้องเป็นคนนี้” พีชแก้ตัวด้วยความเขิน “ตอนนั้นก็รู้สึกได้...”
“มึงรู้สึกมากี่คนแล้ว ตอบ!” ประโยคนี้ทำพีชนิ่งไปเลย “ตั้งแต่เข้าโรงเรียนนี้มา มึงกี่คนแล้ว!”
“...” พีชเงียบไปซักพัก ก่อนถอนหายใจออกมายาวๆ “เฮ้อ มันก็จริงของมึงแหละ”
“พีช” เมื่อเห็นเพื่อนรู้สึกไม่สบายใจ หยกเลยต้องปลอบหน่อยแล้ว “กูกับมึงอ่ะ เพื่อนกันมา ๖ ปี แล้วนะ มึงคิดไรอยู่กูรู้หมดน่า กูเลยขอแนะนำให้มึงเลิกเหอะ”
“กูก็รู้น่าว่ามึงเป็นห่วงกู” พีชหันไปมองหน้าเพื่อน “แต่ยังไงกูก็ไม่เลิกหรอก”
“นี่กูอุตส่าห์...!”
“ความรักอ่ะนะ มันใช้แค่ความรู้สึกของคนสองคนก็พอ ถึงจะผิดจะถูก แต่กูก็ดีใจที่อย่างน้อยได้รักซักคน” พีชยิ้มบอกด้วยรอยยิ้มอันสดใสแสนน่ารัก จนโลกนี้สวยงามขึ้นทันตาเลยทีเดียว “กูรู้น่าว่ามึงเป็นห่วงกู แต่ยังไงกูก็เชื่อใจหัวใจกูมากกว่ามึงอยู่ดีแหละ”
“...” เจอแบบนี้ หยกคงได้แต่ต้องทำใจแล้ว “พีช...”
“แล้วก็นะ...” พีชพูดต่อ “หยก”
“?”
“ถึงมึงจะสนิทกับกูแค่ไหนก็เถอะ มึงก็ไม่จำเป็นต้องเสือกกับกูทุกเรื่องก็ได้นะ อีดอก(หมายถึง ชมว่าสวยงามเหมือนดอกไม้)” ถึงใบหน้าและรอยยิ้มจะน่ารักกินใจซักเพียงใด แต่คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากนั้นช่างสวนทางกันอย่างชิ้นเชิง
“ค่ะ! กะหรี่(หมายถึง ข้าวแกงกะหรี่แสนอร่อย)” เช่นเดียวกับหยก ที่สามารถทำลายบรรยากาศแห่งความน่ารักสดใสเมื่อครู่ทิ้งลงได้อย่างง่ายดาย
วัยรุ่นหิมพานต์
บทที่ ๑๑ พีชพาเที่ยว
“กิ๊งก่องๆ”
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงเสียงออดครั้งสุดท้ายของวัน สังเกตได้จากสภาพของห้อง ม.๔/๘ ที่เพิ่งเลิกเรียนคาบสุดท้ายเสร็จ และในที่สุด ก็ได้เวลาแห่งอิสรภาพเสียที
นักเรียนทุกคนในห้องต่างรีบเก็บสัมภาระบนโต๊ะใส่กระเป๋าเป้ของตน เพื่อจะได้ออกจากห้องนี้ไปหาอะไรทำหลังจากเรียนหนักมาทั้งวัน ยกเว้นก็เพียงแต่กัน ที่เหมือนจะเป็นเพียงผู้เดียวในห้อง หรืออาจจะในโรงเรียนด้วยซ้ำที่ไม่เคยหิ้วกระเป๋ามาโรงเรียนเลยซักวัน เสเพลได้แทบทุกเรื่องจริงๆ สำหรับชายคนนี้
“เออ ติ๊ก” กันนั่งถามติ๊กที่กำลังเอาของใส่กระเป๋าอยู่ข้างๆ
“ไร?”
“พรุ่งนี้มีงานไรส่งมั่งวะ?”
“ก็...” ติ๊กนึกซักพัก “คณิต ชีวะ ไรอีกวะ”
“ชีทพระพุทธฯ ด้วย มึงอย่าลืม” ซันที่อยู่ข้างๆ ช่วยเตือน
“นั่นแหละๆ มีแค่นั้นแหละ”
“มีงานไหนส่งคาบเช้าป่ะ?” กันถามต่อ
“น่าจะส่งบ่ายหมดมั้ง” ติ๊กสะพายกระเป๋าขึ้นมา “ถ้าจำไม่ผิดนะ”
“งั้นก็ดี” กันลุกขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอาเป็นว่าวันนี้ไม่มีงาน!”
“ลอกกูอีกแล้วเหรอ?” โชคดีสำหรับกันที่มีหัวกะทิอย่างติ๊กเป็นเพื่อนสนิท
“ไม่น่าถาม”
“มึงเคยคิดจะ...”
“ไม่เลย” กันหันไปยิ้มบอก โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันถามเลย “ไม่อยู่ในความคิดกูเลยซักนิด”
“กูล่ะเบื่อมึงจริงๆ” ติ๊กดูจะเอือมระอาดังที่พูด
“งั้นก็กลับบ้านกันเหอะ สหายติ๊ก” กันเอื้อมแขนไปโอบไหล่เพื่อนคนนี้ไว้ “ไปบ้านมึงกัน”
“บ้านกูอีกแล้วเหรอ?” พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่ครั้งแรกแน่ๆ “มึงนี่มัน...”
“เกรงว่าวันนี้มึงจะไม่ได้กลับแล้วว่ะ” ก็อตเดินเข้ามาสมทบ
“ไมวะ?” กันสงสัย
“ก็มี...” ก็อตชี้นิ้วออกไปนอกประตู “เอาเป็นว่ามึงหันไปดูเองดีกว่า”
ผู้ที่กำลังยืนรอเขาอยู่ตรงโถงทางเดินหน้าห้องไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพีชที่กำลังโบกมือเรียกเขาด้วยรอยยิ้มอันสดใสนั่นเอง แล้วเธอมาหาเขาทำไมกันนะ
“พี่กัน!” พีชร้องเรียก
“มาได้ไงวะเนี่ย...”
อีกฝ่ายมาหาถึงห้องแบบนี้ทั้งที กันจึงจำต้องเดินออกมาคุยกับพีชหน้าห้องแบบตัวต่อตัวเพื่อความแถลงไข โดยมีเพื่อนๆ ทั้งหลายคอยมองจากในห้องอยู่ห่างๆ จากในห้องไม่ขาดตา รวมถึงก็อต ที่สามารถพรางตัวท่ามกลางหมู่เพื่อน เพื่อหาจังหวะเหมาะแอบถ่ายภาพเด็ดของทั้งสองได้อย่างแนบเนียน
“แล้ว... รู้ได้ไงเนี่ยว่าพี่อยู่นี่?” กันยิ้มถามด้วยความสงสัย
“พอดีพีชถามเพื่อนพี่คนนึงอ่ะค่ะ” พีชตอบด้วยความเขินอาย
/สหายก็อตแน่นอน/ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นใคร
“แล้วนี่... มาหาพี่ทำไมเหรอ?” กันยิ้มถามด้วยความสงสัย
“ก็...” พีชเขินตามเคย “มาหาเฉยๆ ไม่ได้เหรอ?”
“?” ดูเหมือนกันจะไม่เข้าใจความในใจของผู้หญิงเลยซักนิด
/ให้ท่าแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอวะ/ ซันนึกในใจ
“แฟนแม่งน่ารักดีเหมือนกันนี่หว่า” กฤตยิ้มชม
“แหม่ มุมนี้เด็ดจริงๆ” ก็อตลั่นชัทเตอร์อย่างต่อเนื่อง
“ก็... แบบว่า... คือว่านะ... พีชว่า...” เด็กสาวได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม “แบบ... ไงดีอ่ะ... แบบว่า...”
“งั้นกูกลับก่อนนะ” ติ๊กที่ดูจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เลยเดินสะพายกระเป๋าจากไปในที่สุด
“รอก่อนดิ!” กันคงไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะไปบ้านเพื่อนแน่ๆ “ถ้าไม่มีไรแล้ว เดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ”
“อ๊ะ!” พีชรีบห้ามอย่างกันไว้ได้อย่างรวดเร็ว“รอเดี๋ยวสิคะ!!!”
“...” ทั้งคู่ตกใจจนหยุดเท้าแทบไม่ทันเลยทีเดียว “โห คือน้องมีไรก็พูดซะทีสิ แหม่ เอาแต่แบบว่าๆ อยู่ได้”
“ก็...” แต่พีชก็ยังพูดไม่ออก /เอาไงดีวะ...!!!/
“ก็?”
“ไปดูหนังกันมั้ยคะ!!!”
ช่างเป็นประโยคที่อยู่เหนือความคาดหมายเสียจริง เมื่ออยู่ๆ เด็กสาวผู้น่ารักอย่างพีชกลับเอ่ยปากชวนกันไปชมภาพยนตร์แบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้ว หากไม่ได้คบเป็นแฟนกันจริงๆ จังๆ ก็คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าไปเที่ยวกับเพศตรงข้ามแบบสองต่อสองหรอก นับเป็นความกล้าและบ้าบิ่นเกินผู้หญิง เสียจนทุกคนได้แต่ประหลาดใจไปตามๆ กันเลยทีเดียว และในเมื่อเจอแบบนี้เข้าไป กันจะทำอย่างไรดีล่ะ
“!!!” เพื่อนๆ ที่เฝ้าดูอยู่คงจะตกใจไม่น้อย
/ชวนดูหนังเนี่ยนะ.../ ติ๊กที่อยู่ข้างๆ เอง ยังยืนนึกใจ
“...” เจอแบบนี้เข้าไป กันก็อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน “เอ่อ... ไม่ดีมั้ง”
“แหะๆ” พีชคงจะพอเข้าใจกันอยู่ “ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ”
“ผู้ชายกับผู้หญิงไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองมันไม่ดีมั้ง” กันอธิบาย “มัน... ไม่เหมาะไม่ควรหรอก”
“น่าๆ นิดหน่อยเอง” บอกตรงๆ ไม่ได้ ก็คงต้องใช้ลูกตื้อ
“แล้วไหงอยากเที่ยวกับพี่นักล่ะ...” กันสงสัย “เพื่อนน้องไม่มีเหรอ?”
“ก็พีชอยากขอบคุณพี่เรื่องตอนเที่ยงนี่คะ...” พีชยังตื้อต่อ “แล้วก็ขอโทษที่ทำให้พี่โดนเรียกเข้าห้องปกครองด้วย”
“โห เรื่องนั้นมันหน้าที่พี่อยู่แล้ว” กันตัดสินใจได้ไม่ยากเท่าไร จึงหันหลังกลับไปในที่สุด “ไปเหอะ สหายติ๊ก”
/เอาไงดีวะ!!/ พีชคงไม่อยากปล่อยโอกาสหลุดมือไปแน่ๆ “แต่...”
“น้องไปดูกับคนอื่นเถอะ” กันหันหลังกลับไปตามติ๊กในที่สุด “น้องตื้อเท่าไรพี่ก็ไม่ไปหรอก ๕๕๕”
“แต่พีชได้ตั๋วฟรีมานะคะ!!!”
“...” เจอประโยคนี้เข้าไป กันถึงกับนิ่งไปเลย
“หมดอายุวันนี้ด้วย...” พีชคงจะถอดใจแล้ว /สุดท้ายก็ไม่ได้.../
“เมื่อกี้ว่าตั๋วฟรีใช่ป่ะ?” เมื่อตัดสินใจได้ กันรีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เอ๋!?”
“งั้นก็ไปกันเลยเหอะ!!!”
ถึงก่อนหน้านี้พีชจะพยายามตามตื้อซักเท่าไร อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมไปง่ายๆ หากแต่ทว่า แค่เพียงเธอเอาบัตรชมภาพยนตร์ฟรีมาล่อ ไอ้หนุ่มหัวแหลมที่ดูจะแน่วแน่แล้วก็เป็นอันต้องเปลี่ยนใจ รีบหันกลับมาด้วยรอยยิ้มอันแสดงถึงความดีใจอย่างรวดเร็ว ถือเป็นโชคดีของพีชจริงๆ ที่แถไปเรื่อยจนได้เรื่องแบบนี้ ซึ่งตัวเธอเองก็คงไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะได้ผลเช่นนี้
“อะไรของมึงวะเนี่ย!!!” ซันที่มองจากในห้องอดที่จะขัดไม่ได้
“...” พีชคงประหลาดใจไม่น้อย “ค่ะ... งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ...”
ใกล้ๆ กันนี้เอง ณ ห้องเรียนชั้น ม.ปลาย แห่งหนึ่ง ถึงแม้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้ว แต่ดูเหมือนห้องนี้คงจะมีการสอนคาบพิเศษนอกรอบเป็นแน่ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนที่กำลังนั่งเรียนอยู่ทุกโต๊ะ ถึงจะภายนอกจะเหมือนห้องเรียนอื่นทั่วไป แต่จุดที่แตกต่างไปจากห้องอื่นๆ ก็คือ ในบรรดานักเรียนเกือบๆ ๕๐ คน นั้น ทั้งห้องกลับมีผู้หญิงอยู่เพียง ๔ คน เท่านั้น นอกนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือห้องวิศวะ ที่ผู้หญิงถือเป็นของหายากอย่างยิ่ง
บริเวณโต๊ะแถวหลังสุดของห้องนี้ คือโต๊ะของนักเรียนชายคนหนึ่ง ถึงแม้ขณะนี้ อาจารย์จะกำลังตั้งหน้าตั้งตาสอนอยู่ข้างหน้า ทว่า เขากลับไม่ได้ใส่ใจเลยซักนิด ชายคนนี้กลับหันไปมองผ่านประตูหลังห้อง ไปยังโถงทางเดินทางขวามือ จ้องมองกันกับพีชที่กำลังเดินผ่านหน้าไปด้วยกันอย่างไม่ขาดสายตา ประหนึ่งสัตว์นักล่าที่จ้องจะเล่นงานเหยื่อ แล้วชายปริศนาคนนี้เป็นใครกันนะ
“พีช...”
ณ ลานกว้างด้านหน้าโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งเมืองขีดขิน ผู้คนมากมายต่างเดินขวักไขว่ากันไปมาดั่งมดปลวก บางคนก็มากับเพื่อนบ้าง มากับแฟนบ้าง หรือมาคนเดียวก็มี ทุกคนต่างมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน เพื่อมาผ่อนคลายหลังจากทำงานอันเหนื่อยล้ามาทั้งวัน และคงไม่มีอะไรจะผ่อนคลายไปกว่าการนั่งชมภาพยนตร์แบบสบายๆ ที่นี่อีกแล้ว
หลังจากตัดสินใจมาตามคำเชิญของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ เวลานี้เอง กันก็กำลังนั่งรอใครบางคนอยู่บนม้านั่งสีดำยาวตัวหนึ่งกลางลานแห่งนี้ เช่นเดียวกับผู้คนอีกมากมายรอบๆ ที่กำลังนั่งรอเวลาก่อนภาพยนตร์จะได้ฤกษ์ฉาย แถมเบื้องหน้านั้นยังมีจอภาพใหญ่ยักษ์ติดไว้บนผนังสูง สำหรับนั่งดูตัวอย่างภาพยนตร์เป็นการฆ่าเวลาชั้นดีอีกตะหาก
“ได้แล้วค่ะ!”
ไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว เพราะบัดนี้ พีชได้เดินมาหาเขาพร้อมยื่นตั๋วภาพยนตร์ ๒ ใบ ให้ดูด้วยรอยยิ้มอันสดใสแล้ว
“หือ?” กันเงยหน้าขึ้นมามอง “ได้เรื่องไรอ่ะ?”
“พี่มาร์คค่ะ!” พีชยิ้มตอบ ก่อนจะหย่อนตัวลงมานั่งข้างๆ อีกฝ่าย
“พี่มาร์คเหรอ...” กันนั่งนึกซักพัก “เออดี พี่ก็อยากดูอยู่เหมือนกัน แล้วรอบกี่โมงอ่ะ?”
“๕ โมง ครึ่งค่ะ!” พีชยิ้มตอบ
“เฮ้ย!” กันตกใจเล็กน้อย “นี่พึ่ง ๔ โมง กว่าๆ เองนะ”
“โห ก็มันมีแต่รอบนี้นี่” พีชบอก แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบที่กันคิดแน่ๆ /รอบ ๔ โมง ครึ่งก็มี/
“แล้วงี้ทำไรรอดีล่ะเนี่ย” กันถาม
“ก็...” พีชเริ่มเขิน “พี่อยากทำไรล่ะ?”
“ก็นั่งรอตรงเนี้ย” กันแทบไม่สนใจความรู้สึกขอพีชเลย “อีกแค่ชั่วโมงเดียวเอง”
“โห ไม่เอาดิ!” พีชทำท่างอน แต่ก็ยังน่ารักอยู่ดี “อุตส่าห์ได้มาเที่ยวด้วยกันทั้งที”
“อยากไปไหนพีชก็ว่ามาดิ” กันยิ้มบอก “พี่อ่ะไงก็ได้อยู่แล้ว”
“พี่พึ่งเคยมาขีดขินใช่ป่ะ!” พีชรีบลุกออกจากม้านั่ง “งั้นเดี๋ยวพีชพาเที่ยวเอง!”
“ไปไหนอ่ะ?” กันถามต่อ
“น่าๆ ตามมาละกัน” แล้วพีชก็เดินนำไปในที่สุด
“ช่วยไม่ได้” กันจึงจำต้องตามเธอไปแบบปฏิเสธไม่ได้ “ไปก็ไป”
กรุณาเปิดเพลง
เวลาแสนพิเศษสำหรับพีชได้มาถึงแล้ว เมื่อได้มาเดินเคียงคู่กับชายในฝัน ตัวหญิงสาวคนนี้ก็ดูจะมีความสุขอย่างล้นปรี่ที่สุด ใบหน้าของเธอนั้นยิ้มแย้มกว่าปกติ สายตานั้นคอยเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเขินอาย เหมือนมีเสียงดนตรีจังหวะสดใสดังกังวานรอบๆ ช่วยเพิ่มบรรยากาศแห่งความรักนี้ ราวกับว่านี่คือสิ่งที่เธอรอคอยมานาน และคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“เช้าแล้ววันนี้ยังไม่สาย ตื่นมาก็ร้องเพลง ถึงเธอ”
สถานที่แรกสำหรับฆ่าการเวลา นั่นคือตู้คาราโอเกะสีส้มแคบๆ ตู้หนึ่ง ทั้งสองนั่งชิดติดกันบนโซฟาเบาะสีน้ำเงิน ขณะที่ในมือนั้นถือไมโครโฟนเอาไว้ คอยฟังทำนองดนตรีที่ดังออกมาจากลำโพงทั้งสองมุมห้อง และร้องตามเนื้อเพลงกำกับใต้มิวสิควิดีโอเพลงรักอันสดใส ซึ่งถูกฉายอยู่บนจอโทรทัศน์สีดำเบื้องหน้า เสียงเพลงที่เปล่งออกมาจากปากทั้งสองดังก้องอยู่ภายในห้องเก็บเสียงนี้ โดยมีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้เท่านั้นที่ได้ยิน
“ท่องเอาไว้ตัวโน้ตอย่าให้หาย กลั่นมาจากหัวใจ ขอให้เธอโปรดฟังนะคนดี”
ตามเนื้อเพลงที่ปรากฏเป็นสีน้ำเงิน นั่นหมายความว่าท่อนนี้เป็นท่อนของเสียงผู้ชาย จึงเป็นทีของกันที่จะได้ร้องเดี่ยวๆ และถึงแม้จะยังไม่ได้ร้อง พีชก็ใช้โอกาสที่อีกฝ่ายเผลอ แอบมองเขาอยู่ข้างๆ อย่างมีความสุข ตรงกับชื่อเพลงที่พวกเขากำลังร้องอย่างเหมาะเจาะ
“ไม่รู้ตอนนี้เธออยู่ไหน ไม่รู้ว่าหัวใจ ของเธอคิดถึงใคร”
ถัดมา ทั้งคู่ออกมายังบริเวณตู้เกมของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ที่นี่เต็มไปด้วยตู้เกมหลายชนิดหลากประเภทมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมต่อสู้ เกมรถแข่ง เกมฟุตบอล ฯลฯ ผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างนั่งประจำตู้แทบทุกที่ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมอย่างสนุกสนานและเพลิดเพลิน ถือเป็นความสุขเล็กน้อยจากเศษเงินที่คุ้มค่าเสียจริงๆ
ไม่เว้นแม้แต่กัน ที่กำลังขยับเท้าไปมาตามจังหวะเพลงบนตู้เกมเต้นนี้อย่างเพลิดเพลิน แถมยังมีผู้คนมากมายคอยมุงดูเป็นกำลังใจให้อีกตะหาก แต่ก็คงไม่แปลก เพราะถ้าใครได้เห็นทักษะด้านการเต้นของเขาแล้วคงต้องประหลาดใจไปตามๆ กัน
ด้วยทักษะการเต้นระดับเซียน ไม่ว่าจะเป็นซ้ายขวาหน้าหลัง หรือจะมาพร้อมๆ กันทั้งสองจุด เขาก็ไม่หวั่น สามารถก้าวเท้าไปเหยียบยังจุดที่ต้องเหยียบได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง และด้วยความเร็วของฝีเท้าชนิดลมกรด ก็แทบไม่มีใครมองตามเท้าของเขาได้ทันเลยซักคนเดียว
“รู้ไหมว่าฉันก็หวั่นไหว ก็ภายในหัวใจ ฉันคิดถึงแต่เธอนะคนดี”
และเมื่อสามารถเต้นจนจบเพลงโดยไม่พลาดเป้าเลยแม้ซักจุด กันก็สามารถทำลายสถิติด้วยคะแนนสูงสุดของเกมนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ เรียกเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีจากผู้ชมรอบๆ โดยเฉพาะกับพีชได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งคงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าชายคนนี้จะทำได้ขนาดนี้
“ในความจริง ฉันไม่อาจรู้เลย”
กลับมายังตู้คาราโอเกะ ในที่สุดก็ถึงคราของพีช ที่จะแสดงน้ำเสียงแสนหวานประหนึ่งนกขมิ้นให้ได้ฟังกันแล้ว
“แม้ว่าเธอนั้นไม่รู้จักฉันสักหน่อย แต่ฉันก็แอบชอบเธอไม่น้อย หัวใจ ฉันยังเฝ้ารอ และเฝ้าคอย เฝ้าคอยให้เธอหันมา”
ต่อจากนั้น ทั้งคู่ก็มายังตู้คีบตุ๊กตา ซึ่งหลายต่อหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า การจะคีบตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์โดยใช้แค่มือคีบเล็กๆ และเปราะบาง ถือเป็นอะไรที่แทบไม่มีโอกาสสำเร็จเลย แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองก็ยังดันทุรังมาเล่นตู้นี้อยู่ดี
เป็นไปตามคาด ไม่ว่ากันจะพยายามคีบตุ๊กตาขึ้นมาซักกี่ครั้ง ก็แทบไม่มีทีท่าว่าพวกเขาจะได้ตุ๊กตาขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว ผ่านไปหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่กันเห็นก็มีเพียงแต่ภาพตุ๊กตาที่หล่นลงมาต่อหน้าต่อตาซ้ำไปซ้ำมา โดยที่สายตาของพีชที่คอยเอาใจช่วยอยู่ข้างๆ แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ในเมื่อความพยายามหลายต่อหลายครั้งไม่เป็นผล กันจึงจำต้องใช้วิธีลัด เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า เพื่อซื้อตุ๊กตาแมวตัวใหญ่น่ารักแบบสำเร็จรูปให้กับพีชด้วยความหงุดหงิด ผิดกับอีกฝ่ายที่กำลังกอดรัดตุ๊กตาอันนุ่มนิ่มตัวนั้นอย่างมีความสุข
“บอกกับฉันสักนิดได้ไหมว่าเธอก็คิดอยู่หน่อยหน่อย ว่าเธอก็แอบชอบฉันไม่ใช่น้อย ให้ใจ ฉันได้ชื่นฉ่ำ เมื่อเฝ้าคอย”
สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ก็พากันมานั่งยังร้านสเวนเซ่ ร้านไอศกรีมชื่อดังที่มีสาขาปลีกย่อยทั่วทุกหนแห่งบนโลก หนุ่มสาวมากมายต่างมาที่นี่ เพื่อนั่งทานไอศกรีมแสนหวานหลากรสชาติที่พร้อมนำมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ เป็นบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการนั่งคุยกันจริงๆ
และแล้ว พนักงานสาวคนหนึ่งก็นำไอศกรีมมาเสิร์ฟยังโต๊ะสีขาวของทั้งคู่ พีชได้รับเป็นคนแรก เธอสั่งเพียงไอศกรีมรสวานิลลาลูกหนึ่ง วางอยู่บนถ้วยแก้วเล็กๆ พอเหมาะพอเจาะสำหรับหนึ่งคน แต่ก่อนที่จะได้ลงมือตักขึ้นมารับประทาน ไอศกรีมของกันก็ทำให้สาวน้อยต้องตกใจไปเลยทีเดียว
ในขณะที่พีชสั่งเพียงไอศกรีมลูกเดียว ทว่า กันกลับสั่งถึง ๗ ลูก เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรสสตรอเบอร์รี่ มะนาว บลูเบอร์รี่ โยเกิร์ต ส้ม กล้วย และเรนโบว์ ต่างวางเรียงรายกันอยู่บนถ้วยยักษ์ที่นำมาเสิร์ฟ กลายเป็นไอศกรีมหลากสีหลายรสชาติ ที่รับประทานคนเดียวไม่มีวันหมดแน่ๆ เล่นเอาพีชถึงกับผงะ และคงไม่มีวันเชื่อว่ากันคนเดียวจะกินหมดแน่ๆ
แต่สาวน้อยคิดผิดมหันต์ เพราะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ไอ้หนุ่มหัวแหลมก็สามารถจัดการไอศกรีมทั้ง ๗ ลูก จนหมดได้ในพริบตา ราวกับว่าความเย็นของมันแทบไม่มีผลกับปากของเขา ในขณะที่พีชพึ่งจะตักคำแรกเข้าเข้าปากเท่านั้น เล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับอึ้งจนอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว
“เฝ้าคอยให้เธอหันมา มองฉันสักที”
จะว่าไปเวลาหนึ่งชั่วโมงก็ล่วงเลยผ่านไปราวกับไม่กี่นาทีเท่านั้น หลังจากพากันเที่ยวรอบห้างกันจนได้เวลาแล้ว ก็ถึงคราที่ทั้งคู่จะเดินกลับมายังที่เดิมเพื่อรับชมภาพยนตร์หลังจากรอมาเนิ่นนานเสียที นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อันแสนประทับใจและมีค่าสำหรับพีชเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว
และในขณะที่กำลังเดินเคียงคู่กันไปนั้นเอง พีชก็ยังได้แต่แอบมองกันด้วยความเขินอาย โดยที่อีกฝ่ายแทบไม่มีทีท่าว่าจะสนใจความรู้สึกเล็กน้อยของเธอเลยแม้ซักนิด เหมือนกับเพลงที่ทั้งคู่เพิ่งร้องจบไม่มีผิด แล้วเธอจะต้องทำอย่างไรกันนะ เขาถึงจะมองมาสักที
กรุณาปิดเพลง(หรือจะเปิดต่อก็ได้ไม่ว่ากัน)
หลังจากเสียเวลารออยู่นาน ในที่สุด กันก็ได้มาชมภาพยนตร์ฟรีๆ สมใจอยากเสียที ในโรงภาพยนตร์อันมืดมิด สายตาทุกคู่ของผู้ชมจำนวนมากมายนับสิบบนเบาะนั่งสีแดง ต่างจดจ้องไปยังจอเงินเบื้องหน้าเป็นจุดเดียวกัน ซึ่งนั่นก็รวมถึงสายตาของกันกับพีชที่นั่งอยู่กลางโรงด้วย
“พี่จะไม่ปล่อยให้นาร์กอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
ภาพยนตร์เรื่องพี่มาร์ค แมนฮัตตัน หรือภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่บนจอขณะนี้นั้น เป็นภาพยนตร์ตลก-รัก ที่กำลังเป็นกระแสในเวลานี้ เล่าถึงเรื่องราวความรักระดับตำนานของเมืองแมนฮัตตัน เมื่อทหารผ่านศึกเวียดนามนามว่า มาร์ค ต้องกลับบ้านเก่ามาหานาร์ก ภรรยาท้องแก่ที่ไม่มีใครรู้เลย ว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นผีดิบไปเสียแล้ว
ดูเหมือนภาพยนตร์เรื่องนี้ใกล้จะจบลงเสียแล้ว เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง อันเป็นฉากที่มาร์คกำลังกอดนาร์กด้วยความรัก ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคนรักของตนนั้นตายไปนานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นฉากเด็ดแสนกินใจ จนเรียกน้ำตาใครต่อหลายคนได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“ฮึกๆ”
หนึ่งในเหล่าผู้ชมที่ดูจะมีอารมณ์อ่อนไหวที่สุดเห็นจะเป็นกัน ที่ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซึ้งจากใจจริงเลยทีเดียว
“...”
และในเมื่อภาพยนตร์นั้นสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของความรักได้เป็นอย่างดีเสียขนาดนี้ คนที่กำลังมีความรักอย่างพีชก็คงจะรู้สึกได้ถึงแก่นเลย หัวใจของเธอเต้นรัวๆ เป็นจังหวะ ใบหน้าของเธอเริ่มแดงก่ำแทนตัวละครในจอ และในบรรยากาศเช่นนี้ เธอคงต้องทำอะไรบางอย่างกับกันที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียแล้ว
/จะดีเปล่าวะ.../
เธอค่อยๆ เลื่อนมือซ้ายที่วางอยู่บนเบาะออกมา พยายามจะยื่นไปจับมือของกันที่วางอยู่ข้างๆ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้จับ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาบนใบหน้าเสียก่อน พีชจึงจำต้องพลาดโอกาสสำคัญ เลยต้องนำมือกลับไปวางไว้ที่เดิมอย่างน่าเสียดาย
/คราวนี้แหละ!/
สาวน้อยยังไม่ยอมเลิกรา เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายนำมือกลับมาวางไว้ตามเดิม พีชจึงตัดสินใจเลื่อนมือไปจับอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ดูเหมือนว่าเธอจะทำสำเร็จเสียด้วย
“เดี๋ยวนะ! มันไม่น่าจะใช่”
ทว่า ที่เธอสัมผัสกลับไม่ใช่มือของกันได้แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะถึงจะมีนิ้ว ๕ นิ้ว เหมือนกัน แต่มันกลับใหญ่และยาวกว่ามือธรรมดาทั่วไป และหลังจากลูบๆ คลำๆ ดูซักพัก เธอก็รู้ในทันทีเลยว่านี่ไม่ใช่มือ แต่เป็นบาทาเหม็นๆ ของชายปริศนาด้านบน ที่พาดขาลงมาด้านล่างโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้นต่างหาก
/กรี๊ดดดดดดดดด!!!/
สาวน้อยรีบดึงมือออกมาอย่างรวดเร็วที่สุด เธอพยายามจะกรีดร้อง แต่ก็ได้แต่คิดในใจเนื่องด้วยเห็นแก่กาลเทศะในโรงภาพยนตร์ ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ มีแต่ความขยะแขยงแหละหวาดกลัวแสดงออกมาผ่านใบหน้าอันชวนเหวอ จากมือของชายในฝัน กลายเป็นเท้าเหม็นๆ ของใครก็ไม่รู้ ช่างเป็นอะไรที่กลับตาลปัตรเสียจริงๆ
“ฮึกๆ กลิ่นไรวะเนี่ย?”
แม้แต่กันเองก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นตุๆ ปริศนานี้ เป็นเหตุให้ความรู้สึกซึ้งกินใจเมื่อครู่นี้ เป็นอันต้องอันตธานหายไปในทันที ด้วยความสงสัย เขาจึงค่อยๆ เหลือบสายตาไปตามต้นกลิ่น เมือนั้น ไอ้หนุ่มหัวแหลมก็ได้รู้ถึงตัวการเสียที
“ตีนใครวะเนี่ย? แม่งทำกูเสียฟีลลิ่ง...หมด!!!”
ด้วยความหงุดหงิด ชายหนุ่มผู้อ่อนไหวคนนี้จึงไม่อาจทานทดได้อีกต่อไป เขายื่นมือขวาไปจับบาทาปริศนานี้โดยไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะใช้เพียงมือข้างเดียวบีบมันสุดแรงเกิดด้วยความโกรธา ชนิดที่ว่ากระดูกเท้าของชายปริศนาคนนี้ถึงกับหักดัง “กร๊อบ” เลยทีเดียว
“โอ๊ยยยยยยยยยย”
และช่างบังเอิญยิ่งนัก เมื่อเจ้าของบาทาอันสกปรกนี้ก็คือเต้ ไอ้หนุ่มหัวรกรุงรังที่กันเพิ่งจัดการไปเมื่อตอนเที่ยงนั่นเอง ในขณะที่ข้างๆ เขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแฟนสาวอย่างเมย์ ที่มาดูหนังด้วยกันแท้ๆ แต่ในมือกลับเล่นสังข์แบบไม่อายสายตาใคร นับเป็นคู่รักที่ไม่รู้จักมารยาทในโรงภาพยนตร์เลยซักนิด สมควรแล้วที่จะมาโดนกันหักเท้ากลางโรงแบบนี้
“เตง เป็นไรอ่ะ!” เมย์รีบถามอาการแฟนหนุ่มทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง
“เท้า... เท้ากู....” เต้ค่อยๆ ยกเท้าขึ้นมา “อ๊ากกกกกกก”
“นี่พวกมึงทำไรแฟนกูเนี่ย!” ด้วยความโมโหแทนแฟน เมย์จึงเตะเข้าไปยังเบาะของพีชอย่างแรง
“มีปัญหาเหรอ?”
ทว่า เมื่อเมย์ได้ยลโฉมหน้าหนุ่มสาวตัวต้นเหตุทั้งสอง ความโกรธของเธอก็เป็นอันต้องสลายหายไปในพริบตา เพราะฝ่ายหญิงก็เคยถูกตบไม่เลี้ยงจนช้ำไปทั้งหน้า ส่วนฝ่ายชายก็เคยถูกเตะอัดอย่างแรงจนน็อคคาที่ จากความโกรธกลายเป็นความหวาดกลัว ทั้งเต้ทั้งเมย์คงรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว ว่าถ้ามีเรื่องกับสองคนนี้อีกที ผลลัพธ์ย่อมออกมาเหมือนครั้งที่แล้วแน่ๆ
“เต้...” เมย์หันไปถามแฟนสาว “เราออกไปหาไรกินกันเถอะ...”
“อือ... เราก็ว่างั้นแหละ”
แล้วคู่รักไร้มารยาทอย่างเต้กับเมย์ก็เป็นอันต้องจรจากโรงภาพยนตร์แห่งนี้ไปในที่สุด เรียกได้ว่ากันกับพีช เป็นดั่งผู้คืนความสงบให้แก่สถานที่แห่งนี้เลยทีเดียว
“เฮ้อ ได้ดูหนังสบายๆ ซักที”
หมดปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าปริศนาเสียที ในที่สุด พีชก็มีโอกาสที่จะจับมือกันอีกรอบแล้ว ถึงจะยังเขินอาย แต่เธอก็พยายมรวบรวมความกล้า ค่อยๆ เลื่อนมือไปจับมือของกันได้ในที่สุด ถึงแม้กันจะดูไม่ใส่ใจเลยซักนิด แต่แค่มือคู่นี้ได้แนบชิดติดกัน แค่นี้ก็นับว่าคุ้มค่าเกินพอแล้ว
“แล้วพี่กลับไงอ่ะค่ะ?”
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ทุกเรื่องราวย่อมมีบทสรุป บัดนี้ พี่มาร์ค แมนฮัตตันได้ฉายจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มสาวได้แต่เก็บเกี่ยวความประทับใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ในใจ แล้วเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ มายังลานกว้างด้านหน้าห้างสรรพสินค้าในยามราตรีอันมืดมิดท่ามกลางผู้คนมากมาย และคงจะได้เวลาที่ทั้งคู่จะได้บอกลากันเสียที
“เดี๋ยวพี่ก็นั่งรถเมล์ฝั่งนู้นกลับอ่ะ แป๊บเดียวก็ถึง” กันยิ้มตอบ “แล้วบ้านพีชอยู่ไหนอ่ะ?”
“อ๋อ เดี๋ยวหนูนั่งรถเมล์ฝั่งนี้ไปอ่ะค่ะ...” พีชยิ้มตอบ “บ้านหนูอยู่แถวโรงเรียนนี่เอง”
“เฮ้ยๆ ดึกป่านนี้เนี่ยนะ!” กันตกใจแทน “ให้แม่มารับไม่ดีกว่าเหรอ?”
“แม่หนูทำงานกลับดึกอ่ะค่ะ”
“แล้วพี่... พี่ชื่อไรนะ?” กันคงจะลืมชื่อมินต์ไปแล้ว
“โห ถ้าพี่มินต์รู้ว่าพีชมาเที่ยวกับพี่นี่บ้านแตกแน่ค่ะ” พีชหัวเราะ “งั้นหนูไปแล้วนะคะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่นั่งรถเมล์ไปส่งด้วยก็ได้” กันยิ้มตอบ “เป็นเด็กผู้หญิงไปคนเดียวมันอันตรายนะรู้มั้ย”
“...”
ทว่า แค่เพียงประโยคๆ เดียวที่เอ่ยออกมาจากปากของกันนี้เอง ก็ทำให้พีชถึงกับต้องหวั่นไหวไปทั้งกายและใจเลยทีเดียว เพราะคำพูดอันแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยนี้ ช่างเหมือนกับครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พบเจอกันไม่มีผิด ราวกับว่าการทำอะไรร่วมกันของทั้งคู่ ได้ก่อเกิดเป็นผลลัพธ์อันน่าประหลาดใจ เมื่อกันที่ดูไม่มีทีท่าว่าจะสนใจพีชเลยเริ่มหันมามองเธอบ้างแล้ว และเด็กสาวคงจะไม่ปล่อยโอกาสทองนี้ให้หลุดมือไปแน่นอน เธอต้องใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุด
ใบหน้าของพีชแดงก่ำกว่าครั้งไหนๆ เหมือนกับลูกท้อดังชื่อของเธอไม่มีผิด เธอหยุดเท้า แล้วจับมือกันเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างในใจอยากพูดกับอีกฝ่าย แต่เพียงความกล้าอันเล็กน้อยของสาวน้อยคงไม่สามารถเปิดปากออกมาได้แน่
“หือ?” กันเริ่มสงสัย “มีอะไรเหรอ?”
“คือ...” พีชเงยหน้าขึ้นมามองกัน “พีชมีไรอยากถามพี่อ่ะค่ะ”
“ว่ามาสิ?” กันยังไม่หายงง
“พี่...” พีชเริ่มเอ่ยปาก “พี่คิดยังไงกับหนูอ่ะคะ?”
“อืม...” กันนึกซักพัก “ก็น้องคนนึงอ่ะ น้องคนนึงที่หน้าตาโคตรน่ารักเลย”
“แล้วถ้า...” พีชกำลังรวบรวมความกล้าอยู่ “หนูจะบอกว่า...”
“?”
/พูดสิวะๆๆๆๆ/ พีชเริ่มทำอะไรไม่ถูกแล้ว “หนูชอ...”
“เปรี้ยง!!!”
ทว่า ก่อนที่จะได้ทันเอ่ยคำสุดท้ายออกมา ไม้หน้าสามอันใหญ่ก็ฟาดเข้ามายังกลางกระหม่อมของกันอย่างรุนแรงแบบไม่ทันตั้งตัว จนร่างของชายหนุ่มเป็นอันต้องล้มลงมาอยู่กับพื้น ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เอ่ยถ้อยคำสารภาพรักออกมาแท้ๆ ช่างเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจสำหรับทุกๆ คนที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบ โดยเฉพาะกับพีชที่ทำอะไรไม่ถูกแล้วในตอนนี้
“พี่กัน!!!”
ผู้ที่ทำร้ายกันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอริเก่าอย่างเต้กับเมย์นั่นเอง พวกเขารู้ดีว่าถ้าสู้กันซึ่งๆ หน้าคงไม่มีโอกาสชนะแน่ๆ เลยจำต้องอาศัยวิธีลอบทำร้ายแบบไม่ทันให้รู้ตัว แน่นอนว่ามันได้ผลดี แต่วิธีแบบนี้ช่างสกปรกและไร้ซึ่งศักดิ์ศรีเสียนี่กระไร
“เป็นไง ไอ้เหี้ยแหลม!!!”
“มึงนี่มันหน้าตัวเมียทุกสถานการณ์เลยนะ...”
ถ้าเป็นคนปกติ แค่โดนไม้หนาๆ ฟาดเข้าไปที่หัวก็คงหมดสติไปนานแล้ว แต่สำหรับกันแล้ว เขากลับสามารถใช้แขนยันพื้นไว้ก่อนจะล้มลงไปนอนได้ก่อน ถึงกระนั้น ในสภาพที่เลือดไหลท่วมหัวเช่นนี้แล้ว ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเก่งเกินคนแล้ว
“ปากหมาทั้งผัวทั้งเมียเลยนะพวกมึงเนี่ย” เมย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ บอก “เต้ ฟาดไปอีกทีเหอะจะได้จบๆ”
“ขอมาก็จัดให้”
ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพีชคงไม่สามารถทำอะไรชายที่ถือไม้หน้าสามอย่างเต้ได้แน่ๆ เธอได้แต่กรีดร้องด้วยความสะเทือนใจ เมื่อต้องมาเห็นชายในฝันตกอยู่ในสถานการณ์อันแสนสิ้นหวังแบบนี้เท่านั้น แล้วใครกันล่ะ ที่จะช่วยเหลือไอ้หนุ่มหัวแหลมคนนี้ได้
“ไอ้พวกเหี้ยเอ๊ย”
ห่างจากที่นี่ไปประมาณ ๑๐ ม. ยังมีนักเรียนชาย ม.ปลาย โรงเรียนสุวัฒนาอีกคนหนึ่ง ที่กำลังเดินเล่นอยู่ ณ ลานแห่งนี้เฉกเช่นเดียวกัน และเมื่อเขาบังเอิญเหลือบเห็นเหตุการณ์นี้เข้า สิ่งที่ชายคนนี้ทำกลับไม่ใช่วิ่งเข้าไปห้ามหรืออย่างใดทั้งสิ้น แต่เขากลับกำมือซ้ายแล้วเล็งไปยังตัวกันอย่างน่าแปลกประหลาด
ละอองแสงสีทองลอยเข้ามาปกคลุมรอบกายของเขา เปลี่ยนให้ผิวสีใสดั่งดาราเกาหลีของชายคนนี้ กลายเป็นผิวสีเหลืองทองในพริบตา ลายเส้นสวยงามแบบกันปรากฏทั่วแขนข้างซ้ายนั้น แตกต่างกันที่ของชายคนนี้เป็นสีม่วงสดไม่ใช่สีเขียวเหมือนลิงขาว
และด้วยอิทธิฤทธิ์หรืออะไรบางอย่างไม่ทราบ ละอองแสงจำนวนนับล้านก็ได้เข้ามาปกคลุมรอบแขนข้างนั้น จนเรืองแสงสีม่วงเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีได้อย่างสวยงาม แต่เขาทำแบบนี้เพื่ออะไรกันนะ
ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อละอองแสงสีม่วงนับล้านบนแขนของเขากำลังเพิ่มขึ้น และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขาลังเลอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากกันมาเป็นเต้แทนในวินาทีสุดท้าย และก็ได้เวลาสำแดงเดชเสียที
“ปืนใหญ่นารายณ์”
จนในที่สุด แสงปริศนาบนแขนของขาก็ได้กลายเป็นลำแสงสีม่วงขนาดเท่ากำปั้น ยิงออกมาจากแขนข้างนั้นอย่างรุนแรง ประหนึ่งว่าแขนของเขาเป็นดั่งลำกล้องปืนใหญ่อย่างไรอย่างงั้น
โชคยังดีที่ไม่มีใครอยู่ในวิถีกระสุนของลำแสงนี้แต่อย่างใด เพราะภายในวินาทีเดียวเท่านั้น ลำแสงปริศนาของชายคนนี้ก็ได้เดินทางผ่านระยะทาง ๑๐ ม. ตรงเข้าใส่อกซ้ายของเต้อย่างรุนแรง เต้ถึงกับกระเด็นลอยออกไปไกลเกือบ ๑๐ ม. เมื่อถูกยิงเข้าไปแค่ทีเดียว และเมื่อร่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้นด้าน ผลลัพธ์ของมันก็สามารถทำให้ชายหัวรุงรังคนนี้ นอนหมดสติพร้อมด้วยเลือดจำนวนมากไหลออกจากปาก ช่างเป็นลำแสงที่ทรงอานุภาพเสียจริงๆ
“เต้!!!” เมย์รีบตามไปดูอาการอย่างรวดเร็ว
“พร...” กันค่อยๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว “ใครกัน!?”
“หรือว่า...” พีชดูจะตกใจที่สุด “ไม่นะ...”
“ไม่เจอกันนานนะ พีช”
ชายปริศนาคนนี้ปรากฏตัวออกมาให้ทั้งคู่ได้ยลโฉมกันเสียที เขาคือนักเรียนชาย ม.ปลาย ผู้มาพร้อมกับหน้าตาหล่อระดับดารา ไม่ว่าจะเป็นจมูกโด่งๆ ตาเล็กๆ หรือหน้าเรียวๆ ทั้งหมดที่เขามีก่อเกิดเป็นหน้าตาชนิดที่ว่าสาวไหนเจอเป็นต้องกรี๊ด แถมไม่รู้เพราะเหตุใด เขายังสามารถไว้ผมยาวหนาได้ผิดกับนักเรียนชายคนอื่นๆ อีก ที่สำคัญคือ เขายังสวมเสื้อกันหนาวสีเหลืองทับเสื้อนักเรียนเอาไว้ ทั้งๆ ที่อากาศในวันนี้ไม่ได้หนาวเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น พีชยังดูเหมือนจะรู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดีเสียด้วย ความสงสัยทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ตัวกัน ว่าชายปริศนาคนนี้เป็นใคร มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร มาช่วยเขาทำไม คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาเต็มหัวของกัน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินตรงมาเรื่อยๆ ด้วยรอยยิ้มอันมีเลศนัย ดูท่าแล้ว ชายคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แต่ที่สำคัญกว่าคือ เขาเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
“อ้อ แล้วก็กิตติ เหมันต์วงศ์ ขอแนะนำตัวกันก่อนละกัน” ชายปริศนายิ้มบอก “ชื่อของกูคือเอ็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ผู้ใช้พรงั้นเหรอ?” กันแสยะยิ้มถาม “ดูท่าจะยิ่งใหญ่ไม่เบานี่”
“ปกติไม่ใช้คำว่ายิ่งใหญ่หรอก” เอ็กซ์ยิ้มบอก “ถ้าจะพูดให้ถูกก็... สมบูรณ์แบบ”
“เราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีกันได้นะ” กันเดินมาเผชิญหน้ากับเอ็กซ์ “คิดงั้นมั้ย?”
“ใช่ คงงั้นมั้ง”
โปรดติดตามบทถัดไป
“ดังนั้น ถ้าเราถอดสแควร์รูท ๓...”
ยามบ่ายจวนใกล้จะเลิกเรียน ณ ห้องเรียนชั้น ม.ต้น แห่งหนึ่ง ภายในโรงเรียนสุวัฒนา เช่นเดียวกับห้องเรียนห้องอื่นๆ ที่การเรียนการสอนยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ซึ่งสำหรับห้องนี้ เวลานี้ก็คือคาบของวิชาคณิตศาสตร์ สังเกตได้จากอาจารย์สาววัยทองผู้มาพร้อมทรงผมสีส้มฟูฟ่อง ดูคลับคล้ายคลับคลากับคุณหมอฝ่ายพิสูจน์หลักฐานท่านหนึ่ง ผู้กำลังยืนอยู่หน้าห้องแห่งนี้ เพื่อสอนแก้โจทย์สมการลงบนกระดานให้นักเรียนฟังนั่นเอง
ดูจากวิธีการสอนที่ดูสนุกและเข้าใจง่าย นักเรียนทุกคนในที่นี้ต่างก็พร้อมใจกันตั้งหน้าตั้งตานั่งเรียนอยู่บนโต๊ะ สองหูฟังคำอธิบายของอาจารย์ ส่วนสองมือก็จดวิธีทำและคำตอบลงสมุดอย่างขะมักเขม้น ไม่เว้นแม้กระทั่งพีชกับหยก ที่กำลังนั่งเรียนอยู่บนโต๊ะแถวหลังสุดริมประตูนั่นเอง
“พีช” จู่ๆ หยกก็เริ่มการสนทนาระหว่างเรียนขึ้นมา “กูถามไรอย่างดิ”
“ไรเหรอ?” พีชสงสัย
“เมื่อตอนเที่ยงเนี่ย มึงพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่วะ?”
“...” พีชเงียบไปซักพัก ก่อนที่สีหน้าจะแสดงถึงความหงุดหงิดเล็กน้อย “ก็พูดจริงสิวะ”
“อีเชี่ย!” หยกดูจะไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนคนนี้ “มึงบ้าไปแล้วเหรอพีช!”
“ทำไมแต่ละคนแม่งชอบถามแต่เรื่องนี้กันจังวะ!” พีชชักสีหน้าใส่ “กูจะรักใครชอบใครแล้วมันผิดรึไง?”
“มันจะผิดก็ที่มึงนี่แหละ!!!” หยกเถียงกลับเสียงดัง
“ยังไงวะ?” พีชถาม “กูทำไรผิดเนี่ย?”
“อยากแรกเลยคือ คนอย่างมึงอ่ะมันเหมือนผู้หญิงปกติที่ไหนล่ะ!” หยกอธิบาย “มีอย่างที่ไหนเนี่ย เจอหน้ากันวันแรกก็บอกชอบแม่งตรงนั้นเลย! คนเหี้ยไรวะรักใครชอบใครไวไฟขนาดนี้!”
“ก็...” พีชเริ่มเขิน “อารมณ์ตอนนั้นมันได้อ่ะ...”
“แล้วก็นะ อย่างที่สอง!” หยกเริ่มของสอง “ไอ้คนที่มึงชอบแม่งมีดีตรงไหนวะ!?”
“พี่กันเหรอ?” พีชนึกซักพัก “ก็เค้าออกจะเก่งนี่...”
“ไงต่อ?”
“ทรงผมก็เท่ห์...”
“เท่ห์ไงวะ... ไรอีก?”
“แล้วก็...”
“...” พีชนั่งนึกอยู่นานสองนาน จนสุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้ “เออว่ะ แม่งไรดีอีกวะ?”
“นั่นไง!” หยกบอก “สรุปคือแม่งไม่มีดีเหี้ยไรเลยไง!”
“แต่ว่ามึง คือตอนนั้นความรู้สึกแม่งใช่อ่ะว่าต้องเป็นคนนี้” พีชแก้ตัวด้วยความเขิน “ตอนนั้นก็รู้สึกได้...”
“มึงรู้สึกมากี่คนแล้ว ตอบ!” ประโยคนี้ทำพีชนิ่งไปเลย “ตั้งแต่เข้าโรงเรียนนี้มา มึงกี่คนแล้ว!”
“...” พีชเงียบไปซักพัก ก่อนถอนหายใจออกมายาวๆ “เฮ้อ มันก็จริงของมึงแหละ”
“พีช” เมื่อเห็นเพื่อนรู้สึกไม่สบายใจ หยกเลยต้องปลอบหน่อยแล้ว “กูกับมึงอ่ะ เพื่อนกันมา ๖ ปี แล้วนะ มึงคิดไรอยู่กูรู้หมดน่า กูเลยขอแนะนำให้มึงเลิกเหอะ”
“กูก็รู้น่าว่ามึงเป็นห่วงกู” พีชหันไปมองหน้าเพื่อน “แต่ยังไงกูก็ไม่เลิกหรอก”
“นี่กูอุตส่าห์...!”
“ความรักอ่ะนะ มันใช้แค่ความรู้สึกของคนสองคนก็พอ ถึงจะผิดจะถูก แต่กูก็ดีใจที่อย่างน้อยได้รักซักคน” พีชยิ้มบอกด้วยรอยยิ้มอันสดใสแสนน่ารัก จนโลกนี้สวยงามขึ้นทันตาเลยทีเดียว “กูรู้น่าว่ามึงเป็นห่วงกู แต่ยังไงกูก็เชื่อใจหัวใจกูมากกว่ามึงอยู่ดีแหละ”
“...” เจอแบบนี้ หยกคงได้แต่ต้องทำใจแล้ว “พีช...”
“แล้วก็นะ...” พีชพูดต่อ “หยก”
“?”
“ถึงมึงจะสนิทกับกูแค่ไหนก็เถอะ มึงก็ไม่จำเป็นต้องเสือกกับกูทุกเรื่องก็ได้นะ อีดอก(หมายถึง ชมว่าสวยงามเหมือนดอกไม้)” ถึงใบหน้าและรอยยิ้มจะน่ารักกินใจซักเพียงใด แต่คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากนั้นช่างสวนทางกันอย่างชิ้นเชิง
“ค่ะ! กะหรี่(หมายถึง ข้าวแกงกะหรี่แสนอร่อย)” เช่นเดียวกับหยก ที่สามารถทำลายบรรยากาศแห่งความน่ารักสดใสเมื่อครู่ทิ้งลงได้อย่างง่ายดาย
วัยรุ่นหิมพานต์
บทที่ ๑๑ พีชพาเที่ยว
“กิ๊งก่องๆ”
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงเสียงออดครั้งสุดท้ายของวัน สังเกตได้จากสภาพของห้อง ม.๔/๘ ที่เพิ่งเลิกเรียนคาบสุดท้ายเสร็จ และในที่สุด ก็ได้เวลาแห่งอิสรภาพเสียที
นักเรียนทุกคนในห้องต่างรีบเก็บสัมภาระบนโต๊ะใส่กระเป๋าเป้ของตน เพื่อจะได้ออกจากห้องนี้ไปหาอะไรทำหลังจากเรียนหนักมาทั้งวัน ยกเว้นก็เพียงแต่กัน ที่เหมือนจะเป็นเพียงผู้เดียวในห้อง หรืออาจจะในโรงเรียนด้วยซ้ำที่ไม่เคยหิ้วกระเป๋ามาโรงเรียนเลยซักวัน เสเพลได้แทบทุกเรื่องจริงๆ สำหรับชายคนนี้
“เออ ติ๊ก” กันนั่งถามติ๊กที่กำลังเอาของใส่กระเป๋าอยู่ข้างๆ
“ไร?”
“พรุ่งนี้มีงานไรส่งมั่งวะ?”
“ก็...” ติ๊กนึกซักพัก “คณิต ชีวะ ไรอีกวะ”
“ชีทพระพุทธฯ ด้วย มึงอย่าลืม” ซันที่อยู่ข้างๆ ช่วยเตือน
“นั่นแหละๆ มีแค่นั้นแหละ”
“มีงานไหนส่งคาบเช้าป่ะ?” กันถามต่อ
“น่าจะส่งบ่ายหมดมั้ง” ติ๊กสะพายกระเป๋าขึ้นมา “ถ้าจำไม่ผิดนะ”
“งั้นก็ดี” กันลุกขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอาเป็นว่าวันนี้ไม่มีงาน!”
“ลอกกูอีกแล้วเหรอ?” โชคดีสำหรับกันที่มีหัวกะทิอย่างติ๊กเป็นเพื่อนสนิท
“ไม่น่าถาม”
“มึงเคยคิดจะ...”
“ไม่เลย” กันหันไปยิ้มบอก โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันถามเลย “ไม่อยู่ในความคิดกูเลยซักนิด”
“กูล่ะเบื่อมึงจริงๆ” ติ๊กดูจะเอือมระอาดังที่พูด
“งั้นก็กลับบ้านกันเหอะ สหายติ๊ก” กันเอื้อมแขนไปโอบไหล่เพื่อนคนนี้ไว้ “ไปบ้านมึงกัน”
“บ้านกูอีกแล้วเหรอ?” พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่ครั้งแรกแน่ๆ “มึงนี่มัน...”
“เกรงว่าวันนี้มึงจะไม่ได้กลับแล้วว่ะ” ก็อตเดินเข้ามาสมทบ
“ไมวะ?” กันสงสัย
“ก็มี...” ก็อตชี้นิ้วออกไปนอกประตู “เอาเป็นว่ามึงหันไปดูเองดีกว่า”
ผู้ที่กำลังยืนรอเขาอยู่ตรงโถงทางเดินหน้าห้องไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพีชที่กำลังโบกมือเรียกเขาด้วยรอยยิ้มอันสดใสนั่นเอง แล้วเธอมาหาเขาทำไมกันนะ
“พี่กัน!” พีชร้องเรียก
“มาได้ไงวะเนี่ย...”
อีกฝ่ายมาหาถึงห้องแบบนี้ทั้งที กันจึงจำต้องเดินออกมาคุยกับพีชหน้าห้องแบบตัวต่อตัวเพื่อความแถลงไข โดยมีเพื่อนๆ ทั้งหลายคอยมองจากในห้องอยู่ห่างๆ จากในห้องไม่ขาดตา รวมถึงก็อต ที่สามารถพรางตัวท่ามกลางหมู่เพื่อน เพื่อหาจังหวะเหมาะแอบถ่ายภาพเด็ดของทั้งสองได้อย่างแนบเนียน
“แล้ว... รู้ได้ไงเนี่ยว่าพี่อยู่นี่?” กันยิ้มถามด้วยความสงสัย
“พอดีพีชถามเพื่อนพี่คนนึงอ่ะค่ะ” พีชตอบด้วยความเขินอาย
/สหายก็อตแน่นอน/ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นใคร
“แล้วนี่... มาหาพี่ทำไมเหรอ?” กันยิ้มถามด้วยความสงสัย
“ก็...” พีชเขินตามเคย “มาหาเฉยๆ ไม่ได้เหรอ?”
“?” ดูเหมือนกันจะไม่เข้าใจความในใจของผู้หญิงเลยซักนิด
/ให้ท่าแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอวะ/ ซันนึกในใจ
“แฟนแม่งน่ารักดีเหมือนกันนี่หว่า” กฤตยิ้มชม
“แหม่ มุมนี้เด็ดจริงๆ” ก็อตลั่นชัทเตอร์อย่างต่อเนื่อง
“ก็... แบบว่า... คือว่านะ... พีชว่า...” เด็กสาวได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม “แบบ... ไงดีอ่ะ... แบบว่า...”
“งั้นกูกลับก่อนนะ” ติ๊กที่ดูจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เลยเดินสะพายกระเป๋าจากไปในที่สุด
“รอก่อนดิ!” กันคงไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะไปบ้านเพื่อนแน่ๆ “ถ้าไม่มีไรแล้ว เดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ”
“อ๊ะ!” พีชรีบห้ามอย่างกันไว้ได้อย่างรวดเร็ว“รอเดี๋ยวสิคะ!!!”
“...” ทั้งคู่ตกใจจนหยุดเท้าแทบไม่ทันเลยทีเดียว “โห คือน้องมีไรก็พูดซะทีสิ แหม่ เอาแต่แบบว่าๆ อยู่ได้”
“ก็...” แต่พีชก็ยังพูดไม่ออก /เอาไงดีวะ...!!!/
“ก็?”
“ไปดูหนังกันมั้ยคะ!!!”
ช่างเป็นประโยคที่อยู่เหนือความคาดหมายเสียจริง เมื่ออยู่ๆ เด็กสาวผู้น่ารักอย่างพีชกลับเอ่ยปากชวนกันไปชมภาพยนตร์แบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้ว หากไม่ได้คบเป็นแฟนกันจริงๆ จังๆ ก็คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าไปเที่ยวกับเพศตรงข้ามแบบสองต่อสองหรอก นับเป็นความกล้าและบ้าบิ่นเกินผู้หญิง เสียจนทุกคนได้แต่ประหลาดใจไปตามๆ กันเลยทีเดียว และในเมื่อเจอแบบนี้เข้าไป กันจะทำอย่างไรดีล่ะ
“!!!” เพื่อนๆ ที่เฝ้าดูอยู่คงจะตกใจไม่น้อย
/ชวนดูหนังเนี่ยนะ.../ ติ๊กที่อยู่ข้างๆ เอง ยังยืนนึกใจ
“...” เจอแบบนี้เข้าไป กันก็อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน “เอ่อ... ไม่ดีมั้ง”
“แหะๆ” พีชคงจะพอเข้าใจกันอยู่ “ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ”
“ผู้ชายกับผู้หญิงไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองมันไม่ดีมั้ง” กันอธิบาย “มัน... ไม่เหมาะไม่ควรหรอก”
“น่าๆ นิดหน่อยเอง” บอกตรงๆ ไม่ได้ ก็คงต้องใช้ลูกตื้อ
“แล้วไหงอยากเที่ยวกับพี่นักล่ะ...” กันสงสัย “เพื่อนน้องไม่มีเหรอ?”
“ก็พีชอยากขอบคุณพี่เรื่องตอนเที่ยงนี่คะ...” พีชยังตื้อต่อ “แล้วก็ขอโทษที่ทำให้พี่โดนเรียกเข้าห้องปกครองด้วย”
“โห เรื่องนั้นมันหน้าที่พี่อยู่แล้ว” กันตัดสินใจได้ไม่ยากเท่าไร จึงหันหลังกลับไปในที่สุด “ไปเหอะ สหายติ๊ก”
/เอาไงดีวะ!!/ พีชคงไม่อยากปล่อยโอกาสหลุดมือไปแน่ๆ “แต่...”
“น้องไปดูกับคนอื่นเถอะ” กันหันหลังกลับไปตามติ๊กในที่สุด “น้องตื้อเท่าไรพี่ก็ไม่ไปหรอก ๕๕๕”
“แต่พีชได้ตั๋วฟรีมานะคะ!!!”
“...” เจอประโยคนี้เข้าไป กันถึงกับนิ่งไปเลย
“หมดอายุวันนี้ด้วย...” พีชคงจะถอดใจแล้ว /สุดท้ายก็ไม่ได้.../
“เมื่อกี้ว่าตั๋วฟรีใช่ป่ะ?” เมื่อตัดสินใจได้ กันรีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เอ๋!?”
“งั้นก็ไปกันเลยเหอะ!!!”
ถึงก่อนหน้านี้พีชจะพยายามตามตื้อซักเท่าไร อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมไปง่ายๆ หากแต่ทว่า แค่เพียงเธอเอาบัตรชมภาพยนตร์ฟรีมาล่อ ไอ้หนุ่มหัวแหลมที่ดูจะแน่วแน่แล้วก็เป็นอันต้องเปลี่ยนใจ รีบหันกลับมาด้วยรอยยิ้มอันแสดงถึงความดีใจอย่างรวดเร็ว ถือเป็นโชคดีของพีชจริงๆ ที่แถไปเรื่อยจนได้เรื่องแบบนี้ ซึ่งตัวเธอเองก็คงไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะได้ผลเช่นนี้
“อะไรของมึงวะเนี่ย!!!” ซันที่มองจากในห้องอดที่จะขัดไม่ได้
“...” พีชคงประหลาดใจไม่น้อย “ค่ะ... งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ...”
ใกล้ๆ กันนี้เอง ณ ห้องเรียนชั้น ม.ปลาย แห่งหนึ่ง ถึงแม้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้ว แต่ดูเหมือนห้องนี้คงจะมีการสอนคาบพิเศษนอกรอบเป็นแน่ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนที่กำลังนั่งเรียนอยู่ทุกโต๊ะ ถึงจะภายนอกจะเหมือนห้องเรียนอื่นทั่วไป แต่จุดที่แตกต่างไปจากห้องอื่นๆ ก็คือ ในบรรดานักเรียนเกือบๆ ๕๐ คน นั้น ทั้งห้องกลับมีผู้หญิงอยู่เพียง ๔ คน เท่านั้น นอกนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือห้องวิศวะ ที่ผู้หญิงถือเป็นของหายากอย่างยิ่ง
บริเวณโต๊ะแถวหลังสุดของห้องนี้ คือโต๊ะของนักเรียนชายคนหนึ่ง ถึงแม้ขณะนี้ อาจารย์จะกำลังตั้งหน้าตั้งตาสอนอยู่ข้างหน้า ทว่า เขากลับไม่ได้ใส่ใจเลยซักนิด ชายคนนี้กลับหันไปมองผ่านประตูหลังห้อง ไปยังโถงทางเดินทางขวามือ จ้องมองกันกับพีชที่กำลังเดินผ่านหน้าไปด้วยกันอย่างไม่ขาดสายตา ประหนึ่งสัตว์นักล่าที่จ้องจะเล่นงานเหยื่อ แล้วชายปริศนาคนนี้เป็นใครกันนะ
“พีช...”
ณ ลานกว้างด้านหน้าโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งเมืองขีดขิน ผู้คนมากมายต่างเดินขวักไขว่ากันไปมาดั่งมดปลวก บางคนก็มากับเพื่อนบ้าง มากับแฟนบ้าง หรือมาคนเดียวก็มี ทุกคนต่างมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน เพื่อมาผ่อนคลายหลังจากทำงานอันเหนื่อยล้ามาทั้งวัน และคงไม่มีอะไรจะผ่อนคลายไปกว่าการนั่งชมภาพยนตร์แบบสบายๆ ที่นี่อีกแล้ว
หลังจากตัดสินใจมาตามคำเชิญของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ เวลานี้เอง กันก็กำลังนั่งรอใครบางคนอยู่บนม้านั่งสีดำยาวตัวหนึ่งกลางลานแห่งนี้ เช่นเดียวกับผู้คนอีกมากมายรอบๆ ที่กำลังนั่งรอเวลาก่อนภาพยนตร์จะได้ฤกษ์ฉาย แถมเบื้องหน้านั้นยังมีจอภาพใหญ่ยักษ์ติดไว้บนผนังสูง สำหรับนั่งดูตัวอย่างภาพยนตร์เป็นการฆ่าเวลาชั้นดีอีกตะหาก
“ได้แล้วค่ะ!”
ไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว เพราะบัดนี้ พีชได้เดินมาหาเขาพร้อมยื่นตั๋วภาพยนตร์ ๒ ใบ ให้ดูด้วยรอยยิ้มอันสดใสแล้ว
“หือ?” กันเงยหน้าขึ้นมามอง “ได้เรื่องไรอ่ะ?”
“พี่มาร์คค่ะ!” พีชยิ้มตอบ ก่อนจะหย่อนตัวลงมานั่งข้างๆ อีกฝ่าย
“พี่มาร์คเหรอ...” กันนั่งนึกซักพัก “เออดี พี่ก็อยากดูอยู่เหมือนกัน แล้วรอบกี่โมงอ่ะ?”
“๕ โมง ครึ่งค่ะ!” พีชยิ้มตอบ
“เฮ้ย!” กันตกใจเล็กน้อย “นี่พึ่ง ๔ โมง กว่าๆ เองนะ”
“โห ก็มันมีแต่รอบนี้นี่” พีชบอก แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบที่กันคิดแน่ๆ /รอบ ๔ โมง ครึ่งก็มี/
“แล้วงี้ทำไรรอดีล่ะเนี่ย” กันถาม
“ก็...” พีชเริ่มเขิน “พี่อยากทำไรล่ะ?”
“ก็นั่งรอตรงเนี้ย” กันแทบไม่สนใจความรู้สึกขอพีชเลย “อีกแค่ชั่วโมงเดียวเอง”
“โห ไม่เอาดิ!” พีชทำท่างอน แต่ก็ยังน่ารักอยู่ดี “อุตส่าห์ได้มาเที่ยวด้วยกันทั้งที”
“อยากไปไหนพีชก็ว่ามาดิ” กันยิ้มบอก “พี่อ่ะไงก็ได้อยู่แล้ว”
“พี่พึ่งเคยมาขีดขินใช่ป่ะ!” พีชรีบลุกออกจากม้านั่ง “งั้นเดี๋ยวพีชพาเที่ยวเอง!”
“ไปไหนอ่ะ?” กันถามต่อ
“น่าๆ ตามมาละกัน” แล้วพีชก็เดินนำไปในที่สุด
“ช่วยไม่ได้” กันจึงจำต้องตามเธอไปแบบปฏิเสธไม่ได้ “ไปก็ไป”
กรุณาเปิดเพลง
เวลาแสนพิเศษสำหรับพีชได้มาถึงแล้ว เมื่อได้มาเดินเคียงคู่กับชายในฝัน ตัวหญิงสาวคนนี้ก็ดูจะมีความสุขอย่างล้นปรี่ที่สุด ใบหน้าของเธอนั้นยิ้มแย้มกว่าปกติ สายตานั้นคอยเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเขินอาย เหมือนมีเสียงดนตรีจังหวะสดใสดังกังวานรอบๆ ช่วยเพิ่มบรรยากาศแห่งความรักนี้ ราวกับว่านี่คือสิ่งที่เธอรอคอยมานาน และคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“เช้าแล้ววันนี้ยังไม่สาย ตื่นมาก็ร้องเพลง ถึงเธอ”
สถานที่แรกสำหรับฆ่าการเวลา นั่นคือตู้คาราโอเกะสีส้มแคบๆ ตู้หนึ่ง ทั้งสองนั่งชิดติดกันบนโซฟาเบาะสีน้ำเงิน ขณะที่ในมือนั้นถือไมโครโฟนเอาไว้ คอยฟังทำนองดนตรีที่ดังออกมาจากลำโพงทั้งสองมุมห้อง และร้องตามเนื้อเพลงกำกับใต้มิวสิควิดีโอเพลงรักอันสดใส ซึ่งถูกฉายอยู่บนจอโทรทัศน์สีดำเบื้องหน้า เสียงเพลงที่เปล่งออกมาจากปากทั้งสองดังก้องอยู่ภายในห้องเก็บเสียงนี้ โดยมีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้เท่านั้นที่ได้ยิน
“ท่องเอาไว้ตัวโน้ตอย่าให้หาย กลั่นมาจากหัวใจ ขอให้เธอโปรดฟังนะคนดี”
ตามเนื้อเพลงที่ปรากฏเป็นสีน้ำเงิน นั่นหมายความว่าท่อนนี้เป็นท่อนของเสียงผู้ชาย จึงเป็นทีของกันที่จะได้ร้องเดี่ยวๆ และถึงแม้จะยังไม่ได้ร้อง พีชก็ใช้โอกาสที่อีกฝ่ายเผลอ แอบมองเขาอยู่ข้างๆ อย่างมีความสุข ตรงกับชื่อเพลงที่พวกเขากำลังร้องอย่างเหมาะเจาะ
“ไม่รู้ตอนนี้เธออยู่ไหน ไม่รู้ว่าหัวใจ ของเธอคิดถึงใคร”
ถัดมา ทั้งคู่ออกมายังบริเวณตู้เกมของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ที่นี่เต็มไปด้วยตู้เกมหลายชนิดหลากประเภทมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมต่อสู้ เกมรถแข่ง เกมฟุตบอล ฯลฯ ผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างนั่งประจำตู้แทบทุกที่ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมอย่างสนุกสนานและเพลิดเพลิน ถือเป็นความสุขเล็กน้อยจากเศษเงินที่คุ้มค่าเสียจริงๆ
ไม่เว้นแม้แต่กัน ที่กำลังขยับเท้าไปมาตามจังหวะเพลงบนตู้เกมเต้นนี้อย่างเพลิดเพลิน แถมยังมีผู้คนมากมายคอยมุงดูเป็นกำลังใจให้อีกตะหาก แต่ก็คงไม่แปลก เพราะถ้าใครได้เห็นทักษะด้านการเต้นของเขาแล้วคงต้องประหลาดใจไปตามๆ กัน
ด้วยทักษะการเต้นระดับเซียน ไม่ว่าจะเป็นซ้ายขวาหน้าหลัง หรือจะมาพร้อมๆ กันทั้งสองจุด เขาก็ไม่หวั่น สามารถก้าวเท้าไปเหยียบยังจุดที่ต้องเหยียบได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง และด้วยความเร็วของฝีเท้าชนิดลมกรด ก็แทบไม่มีใครมองตามเท้าของเขาได้ทันเลยซักคนเดียว
“รู้ไหมว่าฉันก็หวั่นไหว ก็ภายในหัวใจ ฉันคิดถึงแต่เธอนะคนดี”
และเมื่อสามารถเต้นจนจบเพลงโดยไม่พลาดเป้าเลยแม้ซักจุด กันก็สามารถทำลายสถิติด้วยคะแนนสูงสุดของเกมนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ เรียกเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีจากผู้ชมรอบๆ โดยเฉพาะกับพีชได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งคงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าชายคนนี้จะทำได้ขนาดนี้
“ในความจริง ฉันไม่อาจรู้เลย”
กลับมายังตู้คาราโอเกะ ในที่สุดก็ถึงคราของพีช ที่จะแสดงน้ำเสียงแสนหวานประหนึ่งนกขมิ้นให้ได้ฟังกันแล้ว
“แม้ว่าเธอนั้นไม่รู้จักฉันสักหน่อย แต่ฉันก็แอบชอบเธอไม่น้อย หัวใจ ฉันยังเฝ้ารอ และเฝ้าคอย เฝ้าคอยให้เธอหันมา”
ต่อจากนั้น ทั้งคู่ก็มายังตู้คีบตุ๊กตา ซึ่งหลายต่อหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า การจะคีบตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์โดยใช้แค่มือคีบเล็กๆ และเปราะบาง ถือเป็นอะไรที่แทบไม่มีโอกาสสำเร็จเลย แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองก็ยังดันทุรังมาเล่นตู้นี้อยู่ดี
เป็นไปตามคาด ไม่ว่ากันจะพยายามคีบตุ๊กตาขึ้นมาซักกี่ครั้ง ก็แทบไม่มีทีท่าว่าพวกเขาจะได้ตุ๊กตาขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว ผ่านไปหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่กันเห็นก็มีเพียงแต่ภาพตุ๊กตาที่หล่นลงมาต่อหน้าต่อตาซ้ำไปซ้ำมา โดยที่สายตาของพีชที่คอยเอาใจช่วยอยู่ข้างๆ แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ในเมื่อความพยายามหลายต่อหลายครั้งไม่เป็นผล กันจึงจำต้องใช้วิธีลัด เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า เพื่อซื้อตุ๊กตาแมวตัวใหญ่น่ารักแบบสำเร็จรูปให้กับพีชด้วยความหงุดหงิด ผิดกับอีกฝ่ายที่กำลังกอดรัดตุ๊กตาอันนุ่มนิ่มตัวนั้นอย่างมีความสุข
“บอกกับฉันสักนิดได้ไหมว่าเธอก็คิดอยู่หน่อยหน่อย ว่าเธอก็แอบชอบฉันไม่ใช่น้อย ให้ใจ ฉันได้ชื่นฉ่ำ เมื่อเฝ้าคอย”
สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ก็พากันมานั่งยังร้านสเวนเซ่ ร้านไอศกรีมชื่อดังที่มีสาขาปลีกย่อยทั่วทุกหนแห่งบนโลก หนุ่มสาวมากมายต่างมาที่นี่ เพื่อนั่งทานไอศกรีมแสนหวานหลากรสชาติที่พร้อมนำมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ เป็นบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการนั่งคุยกันจริงๆ
และแล้ว พนักงานสาวคนหนึ่งก็นำไอศกรีมมาเสิร์ฟยังโต๊ะสีขาวของทั้งคู่ พีชได้รับเป็นคนแรก เธอสั่งเพียงไอศกรีมรสวานิลลาลูกหนึ่ง วางอยู่บนถ้วยแก้วเล็กๆ พอเหมาะพอเจาะสำหรับหนึ่งคน แต่ก่อนที่จะได้ลงมือตักขึ้นมารับประทาน ไอศกรีมของกันก็ทำให้สาวน้อยต้องตกใจไปเลยทีเดียว
ในขณะที่พีชสั่งเพียงไอศกรีมลูกเดียว ทว่า กันกลับสั่งถึง ๗ ลูก เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรสสตรอเบอร์รี่ มะนาว บลูเบอร์รี่ โยเกิร์ต ส้ม กล้วย และเรนโบว์ ต่างวางเรียงรายกันอยู่บนถ้วยยักษ์ที่นำมาเสิร์ฟ กลายเป็นไอศกรีมหลากสีหลายรสชาติ ที่รับประทานคนเดียวไม่มีวันหมดแน่ๆ เล่นเอาพีชถึงกับผงะ และคงไม่มีวันเชื่อว่ากันคนเดียวจะกินหมดแน่ๆ
แต่สาวน้อยคิดผิดมหันต์ เพราะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ไอ้หนุ่มหัวแหลมก็สามารถจัดการไอศกรีมทั้ง ๗ ลูก จนหมดได้ในพริบตา ราวกับว่าความเย็นของมันแทบไม่มีผลกับปากของเขา ในขณะที่พีชพึ่งจะตักคำแรกเข้าเข้าปากเท่านั้น เล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับอึ้งจนอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว
“เฝ้าคอยให้เธอหันมา มองฉันสักที”
จะว่าไปเวลาหนึ่งชั่วโมงก็ล่วงเลยผ่านไปราวกับไม่กี่นาทีเท่านั้น หลังจากพากันเที่ยวรอบห้างกันจนได้เวลาแล้ว ก็ถึงคราที่ทั้งคู่จะเดินกลับมายังที่เดิมเพื่อรับชมภาพยนตร์หลังจากรอมาเนิ่นนานเสียที นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อันแสนประทับใจและมีค่าสำหรับพีชเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว
และในขณะที่กำลังเดินเคียงคู่กันไปนั้นเอง พีชก็ยังได้แต่แอบมองกันด้วยความเขินอาย โดยที่อีกฝ่ายแทบไม่มีทีท่าว่าจะสนใจความรู้สึกเล็กน้อยของเธอเลยแม้ซักนิด เหมือนกับเพลงที่ทั้งคู่เพิ่งร้องจบไม่มีผิด แล้วเธอจะต้องทำอย่างไรกันนะ เขาถึงจะมองมาสักที
กรุณาปิดเพลง(หรือจะเปิดต่อก็ได้ไม่ว่ากัน)
หลังจากเสียเวลารออยู่นาน ในที่สุด กันก็ได้มาชมภาพยนตร์ฟรีๆ สมใจอยากเสียที ในโรงภาพยนตร์อันมืดมิด สายตาทุกคู่ของผู้ชมจำนวนมากมายนับสิบบนเบาะนั่งสีแดง ต่างจดจ้องไปยังจอเงินเบื้องหน้าเป็นจุดเดียวกัน ซึ่งนั่นก็รวมถึงสายตาของกันกับพีชที่นั่งอยู่กลางโรงด้วย
“พี่จะไม่ปล่อยให้นาร์กอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
ภาพยนตร์เรื่องพี่มาร์ค แมนฮัตตัน หรือภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่บนจอขณะนี้นั้น เป็นภาพยนตร์ตลก-รัก ที่กำลังเป็นกระแสในเวลานี้ เล่าถึงเรื่องราวความรักระดับตำนานของเมืองแมนฮัตตัน เมื่อทหารผ่านศึกเวียดนามนามว่า มาร์ค ต้องกลับบ้านเก่ามาหานาร์ก ภรรยาท้องแก่ที่ไม่มีใครรู้เลย ว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นผีดิบไปเสียแล้ว
ดูเหมือนภาพยนตร์เรื่องนี้ใกล้จะจบลงเสียแล้ว เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง อันเป็นฉากที่มาร์คกำลังกอดนาร์กด้วยความรัก ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคนรักของตนนั้นตายไปนานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นฉากเด็ดแสนกินใจ จนเรียกน้ำตาใครต่อหลายคนได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“ฮึกๆ”
หนึ่งในเหล่าผู้ชมที่ดูจะมีอารมณ์อ่อนไหวที่สุดเห็นจะเป็นกัน ที่ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซึ้งจากใจจริงเลยทีเดียว
“...”
และในเมื่อภาพยนตร์นั้นสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของความรักได้เป็นอย่างดีเสียขนาดนี้ คนที่กำลังมีความรักอย่างพีชก็คงจะรู้สึกได้ถึงแก่นเลย หัวใจของเธอเต้นรัวๆ เป็นจังหวะ ใบหน้าของเธอเริ่มแดงก่ำแทนตัวละครในจอ และในบรรยากาศเช่นนี้ เธอคงต้องทำอะไรบางอย่างกับกันที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียแล้ว
/จะดีเปล่าวะ.../
เธอค่อยๆ เลื่อนมือซ้ายที่วางอยู่บนเบาะออกมา พยายามจะยื่นไปจับมือของกันที่วางอยู่ข้างๆ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้จับ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาบนใบหน้าเสียก่อน พีชจึงจำต้องพลาดโอกาสสำคัญ เลยต้องนำมือกลับไปวางไว้ที่เดิมอย่างน่าเสียดาย
/คราวนี้แหละ!/
สาวน้อยยังไม่ยอมเลิกรา เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายนำมือกลับมาวางไว้ตามเดิม พีชจึงตัดสินใจเลื่อนมือไปจับอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ดูเหมือนว่าเธอจะทำสำเร็จเสียด้วย
“เดี๋ยวนะ! มันไม่น่าจะใช่”
ทว่า ที่เธอสัมผัสกลับไม่ใช่มือของกันได้แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะถึงจะมีนิ้ว ๕ นิ้ว เหมือนกัน แต่มันกลับใหญ่และยาวกว่ามือธรรมดาทั่วไป และหลังจากลูบๆ คลำๆ ดูซักพัก เธอก็รู้ในทันทีเลยว่านี่ไม่ใช่มือ แต่เป็นบาทาเหม็นๆ ของชายปริศนาด้านบน ที่พาดขาลงมาด้านล่างโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้นต่างหาก
/กรี๊ดดดดดดดดด!!!/
สาวน้อยรีบดึงมือออกมาอย่างรวดเร็วที่สุด เธอพยายามจะกรีดร้อง แต่ก็ได้แต่คิดในใจเนื่องด้วยเห็นแก่กาลเทศะในโรงภาพยนตร์ ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ มีแต่ความขยะแขยงแหละหวาดกลัวแสดงออกมาผ่านใบหน้าอันชวนเหวอ จากมือของชายในฝัน กลายเป็นเท้าเหม็นๆ ของใครก็ไม่รู้ ช่างเป็นอะไรที่กลับตาลปัตรเสียจริงๆ
“ฮึกๆ กลิ่นไรวะเนี่ย?”
แม้แต่กันเองก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นตุๆ ปริศนานี้ เป็นเหตุให้ความรู้สึกซึ้งกินใจเมื่อครู่นี้ เป็นอันต้องอันตธานหายไปในทันที ด้วยความสงสัย เขาจึงค่อยๆ เหลือบสายตาไปตามต้นกลิ่น เมือนั้น ไอ้หนุ่มหัวแหลมก็ได้รู้ถึงตัวการเสียที
“ตีนใครวะเนี่ย? แม่งทำกูเสียฟีลลิ่ง...หมด!!!”
ด้วยความหงุดหงิด ชายหนุ่มผู้อ่อนไหวคนนี้จึงไม่อาจทานทดได้อีกต่อไป เขายื่นมือขวาไปจับบาทาปริศนานี้โดยไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะใช้เพียงมือข้างเดียวบีบมันสุดแรงเกิดด้วยความโกรธา ชนิดที่ว่ากระดูกเท้าของชายปริศนาคนนี้ถึงกับหักดัง “กร๊อบ” เลยทีเดียว
“โอ๊ยยยยยยยยยย”
และช่างบังเอิญยิ่งนัก เมื่อเจ้าของบาทาอันสกปรกนี้ก็คือเต้ ไอ้หนุ่มหัวรกรุงรังที่กันเพิ่งจัดการไปเมื่อตอนเที่ยงนั่นเอง ในขณะที่ข้างๆ เขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแฟนสาวอย่างเมย์ ที่มาดูหนังด้วยกันแท้ๆ แต่ในมือกลับเล่นสังข์แบบไม่อายสายตาใคร นับเป็นคู่รักที่ไม่รู้จักมารยาทในโรงภาพยนตร์เลยซักนิด สมควรแล้วที่จะมาโดนกันหักเท้ากลางโรงแบบนี้
“เตง เป็นไรอ่ะ!” เมย์รีบถามอาการแฟนหนุ่มทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง
“เท้า... เท้ากู....” เต้ค่อยๆ ยกเท้าขึ้นมา “อ๊ากกกกกกก”
“นี่พวกมึงทำไรแฟนกูเนี่ย!” ด้วยความโมโหแทนแฟน เมย์จึงเตะเข้าไปยังเบาะของพีชอย่างแรง
“มีปัญหาเหรอ?”
ทว่า เมื่อเมย์ได้ยลโฉมหน้าหนุ่มสาวตัวต้นเหตุทั้งสอง ความโกรธของเธอก็เป็นอันต้องสลายหายไปในพริบตา เพราะฝ่ายหญิงก็เคยถูกตบไม่เลี้ยงจนช้ำไปทั้งหน้า ส่วนฝ่ายชายก็เคยถูกเตะอัดอย่างแรงจนน็อคคาที่ จากความโกรธกลายเป็นความหวาดกลัว ทั้งเต้ทั้งเมย์คงรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว ว่าถ้ามีเรื่องกับสองคนนี้อีกที ผลลัพธ์ย่อมออกมาเหมือนครั้งที่แล้วแน่ๆ
“เต้...” เมย์หันไปถามแฟนสาว “เราออกไปหาไรกินกันเถอะ...”
“อือ... เราก็ว่างั้นแหละ”
แล้วคู่รักไร้มารยาทอย่างเต้กับเมย์ก็เป็นอันต้องจรจากโรงภาพยนตร์แห่งนี้ไปในที่สุด เรียกได้ว่ากันกับพีช เป็นดั่งผู้คืนความสงบให้แก่สถานที่แห่งนี้เลยทีเดียว
“เฮ้อ ได้ดูหนังสบายๆ ซักที”
หมดปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าปริศนาเสียที ในที่สุด พีชก็มีโอกาสที่จะจับมือกันอีกรอบแล้ว ถึงจะยังเขินอาย แต่เธอก็พยายมรวบรวมความกล้า ค่อยๆ เลื่อนมือไปจับมือของกันได้ในที่สุด ถึงแม้กันจะดูไม่ใส่ใจเลยซักนิด แต่แค่มือคู่นี้ได้แนบชิดติดกัน แค่นี้ก็นับว่าคุ้มค่าเกินพอแล้ว
“แล้วพี่กลับไงอ่ะค่ะ?”
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ทุกเรื่องราวย่อมมีบทสรุป บัดนี้ พี่มาร์ค แมนฮัตตันได้ฉายจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มสาวได้แต่เก็บเกี่ยวความประทับใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ในใจ แล้วเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ มายังลานกว้างด้านหน้าห้างสรรพสินค้าในยามราตรีอันมืดมิดท่ามกลางผู้คนมากมาย และคงจะได้เวลาที่ทั้งคู่จะได้บอกลากันเสียที
“เดี๋ยวพี่ก็นั่งรถเมล์ฝั่งนู้นกลับอ่ะ แป๊บเดียวก็ถึง” กันยิ้มตอบ “แล้วบ้านพีชอยู่ไหนอ่ะ?”
“อ๋อ เดี๋ยวหนูนั่งรถเมล์ฝั่งนี้ไปอ่ะค่ะ...” พีชยิ้มตอบ “บ้านหนูอยู่แถวโรงเรียนนี่เอง”
“เฮ้ยๆ ดึกป่านนี้เนี่ยนะ!” กันตกใจแทน “ให้แม่มารับไม่ดีกว่าเหรอ?”
“แม่หนูทำงานกลับดึกอ่ะค่ะ”
“แล้วพี่... พี่ชื่อไรนะ?” กันคงจะลืมชื่อมินต์ไปแล้ว
“โห ถ้าพี่มินต์รู้ว่าพีชมาเที่ยวกับพี่นี่บ้านแตกแน่ค่ะ” พีชหัวเราะ “งั้นหนูไปแล้วนะคะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่นั่งรถเมล์ไปส่งด้วยก็ได้” กันยิ้มตอบ “เป็นเด็กผู้หญิงไปคนเดียวมันอันตรายนะรู้มั้ย”
“...”
ทว่า แค่เพียงประโยคๆ เดียวที่เอ่ยออกมาจากปากของกันนี้เอง ก็ทำให้พีชถึงกับต้องหวั่นไหวไปทั้งกายและใจเลยทีเดียว เพราะคำพูดอันแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยนี้ ช่างเหมือนกับครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พบเจอกันไม่มีผิด ราวกับว่าการทำอะไรร่วมกันของทั้งคู่ ได้ก่อเกิดเป็นผลลัพธ์อันน่าประหลาดใจ เมื่อกันที่ดูไม่มีทีท่าว่าจะสนใจพีชเลยเริ่มหันมามองเธอบ้างแล้ว และเด็กสาวคงจะไม่ปล่อยโอกาสทองนี้ให้หลุดมือไปแน่นอน เธอต้องใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุด
ใบหน้าของพีชแดงก่ำกว่าครั้งไหนๆ เหมือนกับลูกท้อดังชื่อของเธอไม่มีผิด เธอหยุดเท้า แล้วจับมือกันเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างในใจอยากพูดกับอีกฝ่าย แต่เพียงความกล้าอันเล็กน้อยของสาวน้อยคงไม่สามารถเปิดปากออกมาได้แน่
“หือ?” กันเริ่มสงสัย “มีอะไรเหรอ?”
“คือ...” พีชเงยหน้าขึ้นมามองกัน “พีชมีไรอยากถามพี่อ่ะค่ะ”
“ว่ามาสิ?” กันยังไม่หายงง
“พี่...” พีชเริ่มเอ่ยปาก “พี่คิดยังไงกับหนูอ่ะคะ?”
“อืม...” กันนึกซักพัก “ก็น้องคนนึงอ่ะ น้องคนนึงที่หน้าตาโคตรน่ารักเลย”
“แล้วถ้า...” พีชกำลังรวบรวมความกล้าอยู่ “หนูจะบอกว่า...”
“?”
/พูดสิวะๆๆๆๆ/ พีชเริ่มทำอะไรไม่ถูกแล้ว “หนูชอ...”
“เปรี้ยง!!!”
ทว่า ก่อนที่จะได้ทันเอ่ยคำสุดท้ายออกมา ไม้หน้าสามอันใหญ่ก็ฟาดเข้ามายังกลางกระหม่อมของกันอย่างรุนแรงแบบไม่ทันตั้งตัว จนร่างของชายหนุ่มเป็นอันต้องล้มลงมาอยู่กับพื้น ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เอ่ยถ้อยคำสารภาพรักออกมาแท้ๆ ช่างเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจสำหรับทุกๆ คนที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบ โดยเฉพาะกับพีชที่ทำอะไรไม่ถูกแล้วในตอนนี้
“พี่กัน!!!”
ผู้ที่ทำร้ายกันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอริเก่าอย่างเต้กับเมย์นั่นเอง พวกเขารู้ดีว่าถ้าสู้กันซึ่งๆ หน้าคงไม่มีโอกาสชนะแน่ๆ เลยจำต้องอาศัยวิธีลอบทำร้ายแบบไม่ทันให้รู้ตัว แน่นอนว่ามันได้ผลดี แต่วิธีแบบนี้ช่างสกปรกและไร้ซึ่งศักดิ์ศรีเสียนี่กระไร
“เป็นไง ไอ้เหี้ยแหลม!!!”
“มึงนี่มันหน้าตัวเมียทุกสถานการณ์เลยนะ...”
ถ้าเป็นคนปกติ แค่โดนไม้หนาๆ ฟาดเข้าไปที่หัวก็คงหมดสติไปนานแล้ว แต่สำหรับกันแล้ว เขากลับสามารถใช้แขนยันพื้นไว้ก่อนจะล้มลงไปนอนได้ก่อน ถึงกระนั้น ในสภาพที่เลือดไหลท่วมหัวเช่นนี้แล้ว ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเก่งเกินคนแล้ว
“ปากหมาทั้งผัวทั้งเมียเลยนะพวกมึงเนี่ย” เมย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ บอก “เต้ ฟาดไปอีกทีเหอะจะได้จบๆ”
“ขอมาก็จัดให้”
ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพีชคงไม่สามารถทำอะไรชายที่ถือไม้หน้าสามอย่างเต้ได้แน่ๆ เธอได้แต่กรีดร้องด้วยความสะเทือนใจ เมื่อต้องมาเห็นชายในฝันตกอยู่ในสถานการณ์อันแสนสิ้นหวังแบบนี้เท่านั้น แล้วใครกันล่ะ ที่จะช่วยเหลือไอ้หนุ่มหัวแหลมคนนี้ได้
“ไอ้พวกเหี้ยเอ๊ย”
ห่างจากที่นี่ไปประมาณ ๑๐ ม. ยังมีนักเรียนชาย ม.ปลาย โรงเรียนสุวัฒนาอีกคนหนึ่ง ที่กำลังเดินเล่นอยู่ ณ ลานแห่งนี้เฉกเช่นเดียวกัน และเมื่อเขาบังเอิญเหลือบเห็นเหตุการณ์นี้เข้า สิ่งที่ชายคนนี้ทำกลับไม่ใช่วิ่งเข้าไปห้ามหรืออย่างใดทั้งสิ้น แต่เขากลับกำมือซ้ายแล้วเล็งไปยังตัวกันอย่างน่าแปลกประหลาด
ละอองแสงสีทองลอยเข้ามาปกคลุมรอบกายของเขา เปลี่ยนให้ผิวสีใสดั่งดาราเกาหลีของชายคนนี้ กลายเป็นผิวสีเหลืองทองในพริบตา ลายเส้นสวยงามแบบกันปรากฏทั่วแขนข้างซ้ายนั้น แตกต่างกันที่ของชายคนนี้เป็นสีม่วงสดไม่ใช่สีเขียวเหมือนลิงขาว
และด้วยอิทธิฤทธิ์หรืออะไรบางอย่างไม่ทราบ ละอองแสงจำนวนนับล้านก็ได้เข้ามาปกคลุมรอบแขนข้างนั้น จนเรืองแสงสีม่วงเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีได้อย่างสวยงาม แต่เขาทำแบบนี้เพื่ออะไรกันนะ
ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อละอองแสงสีม่วงนับล้านบนแขนของเขากำลังเพิ่มขึ้น และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขาลังเลอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากกันมาเป็นเต้แทนในวินาทีสุดท้าย และก็ได้เวลาสำแดงเดชเสียที
“ปืนใหญ่นารายณ์”
จนในที่สุด แสงปริศนาบนแขนของขาก็ได้กลายเป็นลำแสงสีม่วงขนาดเท่ากำปั้น ยิงออกมาจากแขนข้างนั้นอย่างรุนแรง ประหนึ่งว่าแขนของเขาเป็นดั่งลำกล้องปืนใหญ่อย่างไรอย่างงั้น
โชคยังดีที่ไม่มีใครอยู่ในวิถีกระสุนของลำแสงนี้แต่อย่างใด เพราะภายในวินาทีเดียวเท่านั้น ลำแสงปริศนาของชายคนนี้ก็ได้เดินทางผ่านระยะทาง ๑๐ ม. ตรงเข้าใส่อกซ้ายของเต้อย่างรุนแรง เต้ถึงกับกระเด็นลอยออกไปไกลเกือบ ๑๐ ม. เมื่อถูกยิงเข้าไปแค่ทีเดียว และเมื่อร่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้นด้าน ผลลัพธ์ของมันก็สามารถทำให้ชายหัวรุงรังคนนี้ นอนหมดสติพร้อมด้วยเลือดจำนวนมากไหลออกจากปาก ช่างเป็นลำแสงที่ทรงอานุภาพเสียจริงๆ
“เต้!!!” เมย์รีบตามไปดูอาการอย่างรวดเร็ว
“พร...” กันค่อยๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว “ใครกัน!?”
“หรือว่า...” พีชดูจะตกใจที่สุด “ไม่นะ...”
“ไม่เจอกันนานนะ พีช”
ชายปริศนาคนนี้ปรากฏตัวออกมาให้ทั้งคู่ได้ยลโฉมกันเสียที เขาคือนักเรียนชาย ม.ปลาย ผู้มาพร้อมกับหน้าตาหล่อระดับดารา ไม่ว่าจะเป็นจมูกโด่งๆ ตาเล็กๆ หรือหน้าเรียวๆ ทั้งหมดที่เขามีก่อเกิดเป็นหน้าตาชนิดที่ว่าสาวไหนเจอเป็นต้องกรี๊ด แถมไม่รู้เพราะเหตุใด เขายังสามารถไว้ผมยาวหนาได้ผิดกับนักเรียนชายคนอื่นๆ อีก ที่สำคัญคือ เขายังสวมเสื้อกันหนาวสีเหลืองทับเสื้อนักเรียนเอาไว้ ทั้งๆ ที่อากาศในวันนี้ไม่ได้หนาวเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น พีชยังดูเหมือนจะรู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดีเสียด้วย ความสงสัยทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ตัวกัน ว่าชายปริศนาคนนี้เป็นใคร มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร มาช่วยเขาทำไม คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาเต็มหัวของกัน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินตรงมาเรื่อยๆ ด้วยรอยยิ้มอันมีเลศนัย ดูท่าแล้ว ชายคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แต่ที่สำคัญกว่าคือ เขาเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
“อ้อ แล้วก็กิตติ เหมันต์วงศ์ ขอแนะนำตัวกันก่อนละกัน” ชายปริศนายิ้มบอก “ชื่อของกูคือเอ็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ผู้ใช้พรงั้นเหรอ?” กันแสยะยิ้มถาม “ดูท่าจะยิ่งใหญ่ไม่เบานี่”
“ปกติไม่ใช้คำว่ายิ่งใหญ่หรอก” เอ็กซ์ยิ้มบอก “ถ้าจะพูดให้ถูกก็... สมบูรณ์แบบ”
“เราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีกันได้นะ” กันเดินมาเผชิญหน้ากับเอ็กซ์ “คิดงั้นมั้ย?”
“ใช่ คงงั้นมั้ง”
โปรดติดตามบทถัดไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ