วุ่นนัก เทพพิทักษ์จักรราศี

7.7

เขียนโดย ถังถัง

วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.31 น.

  3 บท
  2 วิจารณ์
  7,547 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) สายลมแห่งการหวนคืน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      

 

 

     ผมจัดการล็อคกุญแจจักรยานไว้หน้าปากซอยอย่างที่เคย  ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาพลางสาวเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กว่าจะโดดขึ้นรถเมล์ได้ทันก็เล่นเอาหอบแฮ่กหมดสภาพไปพอสมควร 

 

     ผมกระชับเป้ที่มีกล่องข้าวของน้องสาวกับอุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ พลางมองหาที่นั่ง

 

     วันนี้เป็นวันหยุดรถเมล์คันที่ผมขึ้นจึงไม่มีผู้โดยสารมากนัก  ผมเลือกนั่งชิดริมหน้าต่าง เมื่อจ่ายค่าโดยสารแล้ว จึงได้แต่เบนสายตาออกไปด้านนอกมองดูชีวิตของแต่ละคนที่ดำเนินไปตามวิถีของตนตามสองข้างทางอย่างเงียบ ๆ  มีเพียงเสียงสายลมและเสียงคุยเบา ๆ ของผู้โดยสารไม่กี่คนบนรถเป็นเพื่อน

 

     “หยางเจียน!”

 

     อารมณ์สุนทรีของผมหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงเข้ม ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูทำให้ผมสะดุ้งเผลอหันซ้ายแลขวาแทบอยากจะมุดลงไปดูใต้ที่นั่งถ้าไม่มีสายตาผู้โดยสารคนอื่น ๆ จับจ้องอยู่

 

     ท่าจะหูฝาดล่ะมั้ง  สงสัยเพราะเมื่อคืนฝันอะไรบ้า ๆ

 

     ผมพยายามสะกดจิตตัวเองสุดฤทธิ์  แต่ทำยังไงก็ไม่สามารถทำให้เชื่ออย่างนั้นได้เลยในเมื่อผมมั่นใจอย่างที่สุดว่าได้ยินอย่างชัดเจนราวว่ามากระซิบอยู่ข้างๆ หู นี่เอง แต่จะให้สรรหาคำไหนมาอธิบายที่มาของเสียงที่ได้ยินก็คงไม่มีทางทำได้เพราะตัวผมเองก็ไม่สามารถบอกตัวเองได้เหมือนกัน

 

     ผมพยายามระงับจิตใจตนเองให้เป็นปกติและลืมสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไปซะ  ยังไงนี่ก็กลางวันแสก ๆ  ซ้ำยังมีผู้คนมากมาย คงไม่มีเรื่องแปลก ๆ อะไรเกิดขึ้นได้แน่ ๆ อันนี้ว่ากันตามสถิติที่เคยพบมานะครับ 

 

     ถ้าถามว่า...ทำไมผมทำไมถึงมีสถิติประเภทนี้ได้น่ะเหรอ?  บางทีมันอาจเป็นที่มาของชื่อผมล่ะมั้ง

 

     นายสามตา  ที่มีตาที่สามสามารถมองเห็นอะไรแปลก ๆ ได้ 

 

     แน่นอนว่าอะไรแปลก ๆ ที่ว่าย่อมหมายถึงอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจาก  ผี  หรือเรียกอีกอย่างว่าวิญญาณนั่นเอง  แถมตาที่สามที่ว่าของผมยังอัพเลเวล  สามารถมองเห็นได้แม้แต่พวกเทวาอารักษ์  เจ้าที่เจ้าทางที่อยู่ตามบ้านเรือน  เรียกได้ว่าเห็นกันจนชินชาเลยทีเดียว  แต่ผมไม่เคยบอกความสามารถนี้ของผมให้ใครรู้หรอกนะ  แม้แต่พ่อกับแม่ 

     จะว่าไป นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ผมนึกอยากรู้ที่มาของชื่อตัวเอง  ผมคิดว่าพ่อแม่คงจะพอรู้อยู่บ้างว่าผมมีความสามารถแบบนี้อยู่ในตัว  แถมนับวันมันยิ่งพัฒนาจนถึงขั้นคุยเสวนากับสิ่งแปลก ๆ ที่ว่าได้  แต่อย่างว่า  ผมไม่ใช่พวกชอบพูดมาก  ถือคติต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกันทางใครทางมัน  และก็ไม่เคยมีปรากฏว่าจะมีภูตผี วิญญาณร้ายตนไหนเข้ามายุ่งกับผมมากนัก  ส่วนมากถ้าผมไปที่ไหนสิ่งแปลก ๆ ที่ว่ามักจะพยายามหนีห่างจากผมซะมากกว่า 

 

     จำได้ว่าครั้งหนึ่ง  ผมเคยไปลองของกับเพื่อนสมัยมัธยมที่บ้านร้างซึ่งเล่าลือกันว่าผีดุนักหนา ถูกหลอกหัวโกร๋นมาหลายราย  และเพราะความคึกคะนองของพวกเพื่อน ๆ และด้วยความที่ขี้เกียจพูดมากและไม่ชอบปฏิเสธใครถ้ามันไม่หนักหนาจนเกินไป  ผมจึงติดสอยห้อยตามไปด้วย 

     ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรมากล้ำกราย เรียกได้ว่าไปเหนื่อยฟรี ในขณะที่  มีเด็กอีกกลุ่มที่เข้าไปหลังพวกเราเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดนเสียจนช็อคเข้าโรงพยาบาล  ส่งผลให้ตอนนั้นผมเลยถูกเพื่อนตั้งฉายาให้ว่า หมอผีสามตา  ที่แม้แต่ผียังกลัวไม่กล้ามาหลอก  แต่เรื่องจริงนั้นเป็นยังไงผมก็ไม่รู้หรอกนะ บางทีตอนที่พวกผมไป อาจจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของผี หรือวิญญาณพวกนั้นอาจจะไปหลอกคนอยู่ที่อื่น พวกเราก็เลยโชคดี  ไม่ใช่เพราะตัวผมอย่างที่คนอื่นคิดก็ได้ใครจะไปรู้จริงไหม?

 

     ผมสูดหายใจเข้า เริ่มท่อง พุท โธ กำหนดตามลมหายใจเข้าออกอยู่ในใจตามที่พระอาจารย์เคยสอนช่วงที่บวชเป็นเณรเพื่อทำจิตใจให้สงบ   ยอมรับและการันตีได้เลยว่าวิธีนี้ได้ผลมากจริง ๆ  ทุกครั้งที่มีอะไรมารบกวนใจการทำแบบนี้มักช่วยให้ผมมีสมาธิมากขึ้น เรียกว่าติดใจ ทำจนติดเป็นนิสัยทุกครั้งเวลามีเรื่องอะไรมากระทบจิตใจ ทำจนคล่องแคล่ว  ทำได้แม้กระทั่งเดินหรือทำอย่างอื่นโดยที่ไม่มีใครผิดสังเกตเลยด้วยซ้ำ 

     จริง ๆ ผมไม่ใช่คนธรรมะธัมโมอะไร  เข้าวัดนับครั้งได้  แต่ในเมื่อมันเป็นวิธีที่ใช้ได้ผล และไม่ได้เสียหายอะไร จะเก็บไว้ใช้เรื่อย ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร แถมยังส่งแต่ผลดีเสียด้วยซ้ำ

 

     ผมสงบจิตสงบใจนั่งนิ่งมาจนถึงจุดหมายโดยไม่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นอีก  เมื่อถึงป้ายรถเมล์เป้าหมายจึงรีบลงพลางสาวเท้าเดินแกมวิ่งอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  ความกังวลว่าจะไปถึงที่นัดหมายช้ากว่ากำหนดมีมากกว่าอะไรแปลก ๆ ที่เจอบนรถเมล์ 

     ก็นั่นน่ะ มันสิ่งการันตีหน้าที่การงานในอนาคตผมเลยนะ  ถ้าหากแค่งานพิเศษแบบนี้ยังไปสาย คงไม่ต้องทำอะไรกินกันพอดี  ความคิดนี้ทำให้เรื่องที่ว่าผมอาจจะถูกผีหลอกกลางวันนั่นเป็นเรื่องเล็กไปเลยทีเดียว

 

     “โอ๊ะ!  เฮ่ย!”   ผมเบรคพรืด เมื่ออยู่ ๆ ก็มีร่างเล็ก ๆ สีดำสนิทพุ่งออกมาขวางเท้า ถ้าหยุดไม่ทันมีหวังไม่สิ่งนั้นก็ผมคงได้เจ็บตัวกันไปข้าง

 

     “เจ้าหมาน้อย  มาจากไหนเนี่ย เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”  

 

     ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก  มองดูลูกหมาสีดำตัวเล็ก ๆ ท่าทางคงจะเกิดได้ไม่กี่เดือน ทั้งยังสกปรกมอมแมมและหิวโซที่เข้ามาคลอเคลียข้างเท้า  ใจอยากจะผละตัวไป เพื่อให้ทันนัดหมายแต่ขากลับไม่ยอมขยับ  ยิ่งเมื่อมองเห็นแววตาที่จ้องมองมา  แววตานั่นยิ่งมองทำให้ผมรู้สึกสงสาร 

 

     คงเป็นหมาจรจัด ซ้ำยังเป็นแค่ลูกหมาตัวเล็ก ๆ ถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้คงอดตายหรือไม่ก็ถูกรถทับตายเข้าซักวันแน่ 

 

     ความรู้สึกที่ว่าไม่อาจนิ่งดูดายตบตีสู้รบกับความรู้สึกรับผิดชอบต่องานที่ต้องทำอยู่ในใจก่อนที่ฝ่ายแรกจะชนะในที่สุด 

 

     ผมควักโทรศัพท์ออกมาโทรหาลูกค้าเพื่อขอเลื่อนนัดไปซักหนึ่งชั่วโมงเพื่อจัดการหาที่ปลอดภัยให้กับเจ้าหมาน้อย  แต่เมื่อโทรติด เสียงที่ปลายสายก็ละล่ำละลักขอโทษผมเป็นการใหญ่ที่เขามีเหตุจำเป็น  ไม่สามารถมาตามโปรแกรมวันนี้ได้  แถมยังยินดีจะจ่ายค่าเสียเวลาให้ผมเสียอีก

 

     ผมวางสายพลางมองเจ้าหมาน้อยซึ่งยังคลอเคลียอยู่ที่ปลายเท้าผมไม่เลิกอย่างทึ่งๆ พลางคิดว่าโลกนี้ช่างมีเรื่องบังเอิญได้อย่างน่าอัศจรรย์ดีแท้  บางทีผมเจ้ากับหมาน้อยตัวนี้คงมีวาสนาต่อกันจริง ๆ…

 

     “มานี่มา  เดี๋ยวไปอยู่กับฉันนะ  อาบน้ำซักหน่อย รับรองแกต้องเป็นหมาน้อยที่หล่อมากแน่ ๆ”   ผมอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมา มันกระดิกหางพลางส่งยิ้ม เอ่อ หมายถึงแยกเขี้ยว  ให้ผมก่อนจะขยับฝืนตัวกระโจนออกไปจากอ้อมแขน

 

     “เฮ่ย  นั่นแกจะไปไหนน่ะ  มานี่นะ  ฉันบอกให้มานี่ไงเล่า!”   ผมตะโกนอย่างลืมอายพลางออกวิ่งตามร่างสีดำ ๆ ที่วิ่งเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามตรอกซอกซอยข้างทาง  ทั้ง ๆ ที่พอมีคนเดินไปเดินมาพอสมควรแต่มันกลับหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าทึ่ง  ผมซะอีกที่เกือบจะชนเอาชาวบ้านชาวช่องเข้าก็หลายที  และจนแล้วจนรอดก็เกิดเหตุการณ์น่าขายหน้าอย่างนั้นขึ้นจริง ๆ

 

     “โอ๊ะ  ขอโทษครับ... ”

 

     ผมก้มหน้าก้มตาขอโทษขอโพยทั้ง ๆ ที่ตัวเองเกือบจะกระเด็นเมื่อปะทะเข้ากลับร่างของใครคนหนึ่งขณะเลี้ยวตรงหัวมุมเข้าไปในตรอกเล็กที่ไร้ผู้คน  แต่พอเงยหน้าขึ้น คำพูดของผมกลับหยุดชะงักอยู่เพียงแค่นั้น  เมื่อเจอเข้ากับสายตาคู่กรณีที่จ้องมองมา

     ชายหนุ่มร่างสูงกำลังพอดี กะอายุจากหน้าตาก็คงประมาณ ยี่สิบกว่า ๆ คิ้วเข้มหน้าคม เรียกได้ว่าหล่อเหลาพอจะเป็นดาราได้เลย ติดที่สายตาดุไปซักนิดและที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ การแต่งตัวนั่น...

 

     “เอ่อ...  แถวนี้มีกองถ่ายหนังจีนมาถ่ายทำเหรอครับ?”

 

     นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิดได้เมื่อเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย จนเผลอตัวพูดสิ่งที่คิดออกไป

     จะว่าเป็นพวกคณะงิ้วก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัวอลังการงานสร้างแบบนั้น  ตั้งแต่หัวจรดเท้าถ้าจะให้บรรยายก็น่าจะเป็นชุดแบบจอมยุทธในหนังจีนกำลังภายในที่เห็น ๆ กันอยู่นั่นเอง ถ้าถือกระบี่อีกซักหน่อย ผมบอกได้ว่าใช่เลยจริง ๆ 

     แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นมันก็ดูไม่สมเหตุสมผลอีกอยู่ดี  กองถ่ายหนังอะไรถึงได้มีอยู่แค่คนเดียวกับหมาหนึ่งตัวที่ตอนนี้นั่งจุ่มปุ๊กอยู่ข้าง ๆ ชายคนนั้น  แถมในตรอกแคบ ๆ เงียบ ๆ น่ากลัวอย่างนี้  จะว่าไปบรรยากาศแบบนี้นี่มัน  หรือว่า…

 

     “คุณ เอ่อ  เป็นวิญญาณ...”  ส่วน หมาตัวนั้นก็เป็นหมาผี ทำไมผมถึงลืมคิดไปได้นะว่าหมาน้อยที่ไหนจะวิ่งเร็วปานติดจรวดปานนี้!

     จะว่าผมจินตนาการสูงส่งหรือเป็นพวกคิดมากอะไรก็เถอะ  แต่เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง  ผมว่าผมควรจะไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดดีกว่า 

     ไม่คิดเปล่า ระหว่างที่อีกฝ่ายละสายตาไปทางหมาน้อยข้างตัว   ผมก็ค่อย ๆ ถอยหลังอย่างเนียน ๆ  รู้สึกถึงกลิ่นของสิ่งไม่ดีที่กำลังจะเกิดขึ้นถ้าผมยังขืนอยู่นานกว่านี้

 

     “เจ้าเห็นหรือไม่ เห่าฟ้า ว่าเจ้านายเจ้า ตอนนี้กลายเป็นคนไร้ความสามารถ แยกแยะไม่ได้แม้แต่วิญญาณ ภูตผี  หรือมนุษย์ไปแล้ว”

 

     ภาษาจีน!? 

 

     ถึงจะกำลังพยายามหาทางหนีทีไล่ผมก็ยังไม่วายเงี่ยหูฟัง

     อืม  ก็สมกับการแต่งตัวดี  แถมภาษาที่ใช้ก็ยังฟังโบร่ำโบราณจนผมฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง  แต่เท่าที่จับใจความได้ก็คือ  เจ้านี่กำลัง ด่าผมว่า ‘ไร้ความสามารถ’  นั่นทำเอาผมหางคิ้วกระตุก แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย  ดังนั้นผมจึงไม่ได้ใส่ใจจนเมื่อได้ยินเสียงโต้ตอบที่ออกมาจากปากหมาน้อยตัวนั้น!

 

     “เจ้าอย่ามัวแต่หาเรื่องไร้สาระน่าเฉินเซียง  มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของวิญญาณที่ข้ามภพชาติมาไม่ใช่หรือไง  เจ้าเลิกอคติเกลียดชังนายข้าอย่างไร้เหตุผลได้แล้ว”

 

     หมาพูดได้!?  พระเจ้าช่วยกล้วยทับ!  มันกำลังขยับปากพูดจริง ๆ นะนั่น ผมไม่ได้ตาฝาด  ผมกำลังถูกวิญญาณร้ายรังควานกลางวันแสก ๆ จริง ๆ ด้วย!

 

     “เจ้าอย่ามัวแต่คิดฟุ้งซ่าน”  ชายหนุ่มคนเดิม หันขวับกลับมาทางผมพลางเอ่ยเสียงเข้ม  สายตาที่มองมานั่นดูวาวโรจน์น่ากลัวจริง ๆ แต่แปลกที่ผมกลับไม่ได้รู้สึกกลัวเท่าไหร่  นอกจากตกใจที่ดูเหมือนเขาจะจับผิดผมได้  “อ้อ... แล้วก็อย่าได้คิดหนีไปไหน เพราะเจ้าจะไม่ทางได้หนี หยางเจียน”

 

     ว่าพลางเจ้าตัวก็ตวัดมือชี้นิ้วมาที่ผม! 

     แค่ชี้นิ้ว...   แค่นั้น?   ทำไมผมถึงขยับตัวไม่ได้ล่ะ!! 

     เพิ่งรู้ว่าผีสมัยนี้มีอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้   แต่เดี๋ยวก่อนนะ  หยางเจียน  เจ้านี่เรียกผมว่า หยางเจียน  เสียงอย่างนี้  หน้าอย่างนี้  ทำไมผมรู้สึกคุ้นมาก  มากเหมือนเพิ่งได้ยินและได้เห็นเมื่อไม่นานมานี้เอง

 

     “ต้องการอะไร?” 

     น่าประหลาด ทั้งที่ผมควรจะกลัวแต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยซักนิด นอกจากความหวาดระแวงและสับสนกับสิ่งที่พบเจอ  ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวไกลไปถึงเพียงนี้แล้วเท่านั้น  อาจจะเป็นเพราะว่าผมเคยเห็นสิ่งแปลก ๆ มาจนชินแล้วล่ะมั้ง  ดังนั้นคำถามของผมจึงถูกส่งออกไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ จนคนฟังต้องขมวดคิ้วนิ่งมองผมอย่างชั่งใจก่อนที่จะเอ่ยปากตอบออกมาได้

 

     “เจ้าต้องกลับไปกับพวกข้า”

 

     “ไปไหน?”   ผมพยายามถามให้สั้นและตรงประเด็นสุด ๆ  

     อยู่ ๆ ก็จะมาบอกว่าจะพาผมไป  หรือว่าเจ้าพวกนี้จะเป็นวิญญาณที่ต้องการตัวตายตัวแทน  แต่ดูจากการแต่งตัวที่ย้อนยุคได้ใจแถมแฟนตาซีซะขนาดนี้  ผมว่าอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่น่าจะหาตัวตายตัวแทนไม่ได้นะ

 

     “ข้าไม่ชอบพูดอะไรนาน ๆ และซ้ำหลายครั้ง  เพราะฉะนั้นฟังให้ดี!”  ชายคนนี้ยังคงใช้สายตาหาเรื่องจ้องผมไม่เลิกเหมือนไปตีหัวเขามาตั้งแต่ชาติปางไหน แต่เสียใจด้วยบอกแล้วว่านั่นไม่ทำให้ผมรู้สึกเกรงเลยแม้แต่นิด

     นอกจากเริ่มเมื่อยเพราะร่างกายที่เหมือนถูกสต๊าฟไว้นานสองนานแต่ดูเหมือนเจ้านั่นจะไม่ได้สนใจคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากัน  กับเหงื่อที่เริ่มซึมของผมนอกจากตั้งหน้าตั้งตาบอกความต้องการของตนเองต่อไป

 

     “หยางเจียน  ตัวตนจริง ๆ ของเจ้าคือ เทพเอ้อหลาง  เทพผุ้คุมกฎ จอมทัพแห่งสวรรค์ แต่เพราะเจ้าก่อกรรมทำเข็ญอาศัยความเป็นเทพทำเรื่องเลวร้ายมากมาย ข้าจึงต้องทำลายร่างเทพของเจ้า  แต่ดวงวิญญาณของเจ้ากลับหลบหนีมาจุติยังช่วงเวลาและผืนแผ่นดินอันห่างไกลนี้   ข้าเองก็ไม่อยากยุ่งด้วยถ้าหากไม่เป็นเพราะเหตุการณ์ร้ายบางอย่างเกิดขึ้น  และเราต้องการกำลังของเจ้าไปช่วย”

     เขาหยุดสูดหายใจก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงห้วนกร้าวขึ้นเล็กน้อย

     “เพราะฉะนั้นท่านต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองกับพวกเราเดี๋ยวนี้... ท่านลุง!”

 

     หะ  หา  อะไรนะ!?   คือ...  ช่วยพูดอีกทีได้ไหมฟังไม่ทัน..  ท่านลุงอะไร  ใครเป็นลุงใคร  แล้วหยางเจียนนี่เป็นใครนะ!? ขอร้องล่ะช่วยพูดให้รู้เรื่องที!!

 

     ผมอยากจะตะโกนประโยคนี้ออกไป  แต่ที่ทำได้ก็คืออ้าปากค้างอย่างงุนงงและอับจนปัญญาเท่านั้น   ดีที่เจ้าหมาน้อยซึ่งถูกเรียกว่าเห่าฟ้าตนนั้นคงจะสังเกตเห็นสีหน้าของผมจึงได้หันไปทำเสียงดุใส่ เจ้าคนพูดพล่ามที่ดูเหมือนจะชื่อ...

               เฉินเซียง…

 

     เฉินเซียง?  เฉินเซียง…  งั้นเหรอ?  คุ้นอีกแล้วแฮะ เคยได้ยินที่ไหนนะ!?

 

     “เจ้าทำอะไรเช่นนั้นเล่า แบบนี้จะให้นายท่านยอมรับง่าย ๆ ได้ยังไง  ยังไงเวลานี้นายท่านก็เป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตอยู่ที่โลกมนุษย์ในช่วงเวลาซึ่งผู้คนห่างเหินจากความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า  จะอธิบายทั้งทีก็ช่วยพูดให้ผู้อื่นฟังเข้าใจด้วยจะเป็นการดีกว่านี้  ไม่อย่างนั้นมันจะเสียเวลาเปล่า”

 

     “เสียเวลาเปล่า... ถูกต้อง  ข้าก็คิดว่ามันเสียเวลาเปล่า เพราะฉะนั้น ข้าว่า คงไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว  เวลาที่เสียไปแต่ละเสี้ยวยามล้วนมีค่า  เจ้าเตรียมตัวพาพวกเรากลับ  ไม่ต้องรอเวลาอะไรทั้งนั้น”

 

     ชายหนุ่มหันไปตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ทำให้เจ้าหมาน้อยทำท่าคิดหนัก... 

     ว่าแต่หมาทำท่าคิด??  เออ... ผมก็อยากจะขำอยู่หรอกนะ  ถ้าไม่ติดว่าที่เจ้าหมากำลังคิดตัดสินใจอยู่นั่นน่ะ มันคือชะตาชีวิตของผมเชียวนะ นี่ชีวิตผมขึ้นอยู่กับหมาตัวนึงงั้นเรอะ  มันน่าสมเพชเกินไปแล้ว!

 

     “แต่ว่า...”

 

     “จะเข้าใจ ยอมรับหรือไม่ เรื่องนั้นค่อยพูดกันในภายหลังก็ไม่สายจริงหรือไม่?  ที่สำคัญในตอนนี้คือพานายของเจ้ากลับไป  หรือเจ้าไม่คิดอย่างนี้ล่ะเห่าฟ้า”

 

     ชายหนุ่มนามเฉินเซียงยังคงพยายามเกลี้ยกล่อม  เจ้าหมาน้อยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าในที่สุด

 

     “ก็ได้”

 

     “เดี๋ยวก่อน  นี่พวกนาย  ถามฉันหรือยัง ว่าอยากไปไหนกับพวกนายด้วยหรือเปล่า อย่าคิดเองเออเองกันอย่างนี้นะ!”  ผมประท้วงอย่างอดไม่อยู่ 

     ไม่ว่านี่จะเป็นความจริง  ความฝัน  ภาพมายา หรืออะไรก็เถอะ  แต่อยู่ ๆ จะให้คนอื่นมากำหนดชีวิตผมดื้อ ๆ โดยไม่ถามความสมัครใจอย่างนี้ได้ยังไง!?

 

     “นายท่าน  ขออภัยด้วยเราจำเป็นต้องทำอย่างนี้  เอาไว้เมื่อเราไปถึง และหาเวลาที่เหมาะสมได้เราจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง”

     เมื่อหันมาพูดจบที่คอของเจ้าหมาน้อยก็ปรากฏวัตถุทรงกลมสีเขียวคล้ายแผ่นหยกขนาดเล็กขึ้น  นั่นยับยั้งปากที่กำลังจะร้องแรกแหกกระเชอขอความช่วยเหลือของผมได้ในทันที!

 

     แสงหลากสีบนแผ่นหยกทรงกลมหมุนวนอย่างรวดเร็วเสียจนยิ่งมองยิ่งตาลาย  และทุก ๆ ขณะที่ลำแสงนั้นเพิ่มความเร็ว  ผมก็รู้สึกและรับรู้ได้ว่าทัศนวิสัยรอบด้านค่อย ๆ เปลี่ยนไป

     ตรอกแคบ ๆ คล้ายกำลังถูกเมฆหมอกสีขาวเข้ามาปกคลุม  อากาศทั้งหนาวเย็นสลับอบอ้าวซะจนผมรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัวคล้ายกำลังจะเป็นไข้  

     

     นี่มันอะไรกัน!?  เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่  ถามหน่อยว่านี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย  เมื่อเช้า หลังจากถูกน้องสาวปลุกขึ้นมาผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วล้มหัวฟาดพื้นไปใช่หรือเปล่า  แล้วนี่ผมคงกำลังฝันอยู่  ใช่แล้ว  มันต้องเป็นฝันแน่ ๆ !

 

     พูดถึงฝัน...  ผมว่าผมจำได้แล้วล่ะว่าเจอเจ้าคนที่ชื่อเฉินเซียงนี่ที่ไหน  ในฝันก่อนหน้านั่นเอง  แถมเสียงที่ได้ยินบนรถเมล์ก็เป็นเสียงของเจ้านี่  ตกลงนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่นะเนี่ย!?

 

     ผมอยากจะขัดขืนสุดกำลังแต่ติดที่ตอนนี้ ไม่ว่ายังไงร่างกายผมไม่ฟังคำสั่งเอาซะเลย ขณะนั้นเองเมฆหมอกสีขาวรอบกายที่หนาแน่นก็ค่อย ๆ เจือจางลง อากาศเริ่มอบอุ่นและคงที่รวมทั้งสุนัขน้อยสีดำที่ขยับตัวและกลายร่างเป็นคน ไปต่อหน้าต่อตา  ทำให้ผมลืมดิ้นรนไปชั่วขณะ

 

     “เจ้าหมาน้อย ทำไม?...”

 

     “นายท่าน รออีกอึดใจเดียวท่านก็จะได้รู้ทุกอย่าง  ข้าขออภัยที่หลอกใช้ความเมตตาของท่านเป็นเครื่องมือบีบบังคับท่านเช่นนี้  ข้าเสียใจจริง ๆ แต่ข้าจำเป็นที่ต้องทำเช่นนี้หวังว่าท่านคงจะให้อภัยข้า”

 

     ชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิท หน้าตาดูดีไม่แพ้อีกคนที่ยืนอยู่ข้างตัว  เพียงแต่มีสิ่งที่ผิดแผกคือหูเรียวแหลมคล้ายหูปิศาจในหนังแฟนตาซีที่เคยดู เขาหันมาทางผมพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน เจือแววเคารพนบนอบ นั่นทำให้ผมกล้าพอที่จะพูดอะไรตอบไปบ้าง

 

     “ก็อยากจะอภัยอยู่หรอก  แต่ถ้าจะให้ดีพาฉันกลับไปส่งที่เดิมนั่นล่ะจะดีที่สุด แล้วฉันจะไม่โกรธเจ้าด้วยเจ้าหมาน้อย”

 

     “คงทำเช่นนั้นไม่ได้  เพราะเรามาถึงแล้ว”  เสียงเข้ม ๆ ขัดจังหวะ  ทำให้ผมต้องหันไปมองคนพูดที่ยืนตีหน้าขรึมส่งสายตารังเกียจมาที่ผมอย่างไม่ปิดบัง  เล่นเอารู้สึกสยองใจซะจนขนลุก  ก่อนที่หมอกรอบตัวจะสลายไปอย่างรวดเร็ว 

     ผมมองไปรอบด้าน รู้สึกถึงฝ่าเท้าได้รับสัมผัสอันนุ่มนิ่มของอะไรบางอย่างจึงก้มลงมอง  เพื่อที่จะพบว่าตนเองเหยียบอยู่บนปุยสีขาวของก้อนเมฆขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง  และที่ผมรู้ว่ามันคือก้อนเมฆก็เพราะมีสิ่งที่เหมือนกันนี้อยู่โดยรอบ  ซ้ำบนก้อนเมฆเหล่านั้น ยังมีร่างของผู้คนมากมายยืนเรียงรายพลางจ้องมายังตัวผม 

 

     ผู้คนมากมายแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบจีนโบราณต่างยุคต่างสมัยราวกับลอยออกมาจากหนังสือที่ผมเคยอ่าน สายลมพัดบางเบา กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ไม่เคยรู้จัก สิ่งก่อสร้างคล้ายพระราชวังจีนโบราณสีทองอร่ามซึ่งตั้งอยู่บนก้อนเมฆขนาดใหญ่เห็นอยู่ลิบ ๆ  รวมทั้ง ดวงจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าคล้ายใกล้แค่เอื้อม  และเงาร่างของหญิงสาวที่เห็นได้ไม่ชัดตาซ้อนทับอยู่บนนั้น

 

     ทั้ง ๆ ที่ร่างกายสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว  ทั้ง ๆ ที่ควรตกใจ  ทั้ง ๆ ที่ควรหวาดกลัว สติแตกควบคุมตนเองไม่ได้  หรือตีโพยตีพายไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็น...

     ทั้ง ๆ ที่ควรเป็นแบบนั้นตามปกติวิสัยของมนุษย์ที่ได้พบเจอกับสิ่งไม่คาดฝัน  แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร  สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อเหยียบย่างมาสู่สถานที่แห่งนี้ กลับมีเพียงปล่อยให้น้ำตาไหลหยดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้เท่านั้นเอง.

 

........................

 

 

     “เทพเอ้อหลางเป็นอย่างไรบ้าง!?”

 

     สุรเสียงทรงอำนาจดังก้องให้ได้ยินกันทั่ว 

     ตรงหน้าบัลลังก์แห่งสรวงสวรรค์คือ สุนัขเทพเห่าฟ้า  และเฉินเซียงที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ รอบข้างรายล้อมด้วยบรรดาเทพเซียนมากมายที่ต่างมาชุมนุมกัน เพื่อปรึกษาปัญหาใหญ่หลวงของสรวงสวรรค์โดยการนำขององค์ เง็กเซียนฮ่องเต้รวมทั้งเจ้าแม่ซีหวางหมู่** ฮองเฮาแห่งแดนสวรรค์ที่ประทับนั่งอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิ์

 

     “ยังไม่ฟื้นเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท”  เห่าฟ้าก้มหน้าตอบ 

     ย่างก้าวแรกที่มาถึงยังแดนนี้  นายของเขาก็ทรุดหมดสติไปแทบจะในทันที  สาเหตุนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด  ได้แต่คาดการณ์เอาว่าคงเป็นเพราะร่างกายของมนุษย์ไม่อาจปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของการก้าวผ่านห้วงเวลาระหว่างสรวงสวรรค์และแดนมนุษย์ที่ห่างไกลทั้งกาลเวลาและผืนแผ่นดินอันเป็นต้นกำเนิดแห่งนี้

     

     จักรพรรดิ์แห่งสวรรค์ถอนพระทัยเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางผู้เฒ่าเคราขาวยาว แต่งกายดังเช่นนักพรตลัทธิเต๋าผู้หนึ่ง 

     “ไท่ซ่างเหล่าจวิน***” 

 

     “พะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

     ท่านผู้นั้นตวัดแส้นักพรตในมือเล็กน้อยก่อนก้าวออกมาด้านหน้าและก้มหัวเพื่อรอรับสั่ง

 

     “ท่านจงไปดูแลรักษาอาการเทพเอ้อหลาง  ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาฟื้นขึ้นมาและฟื้นคืนอิทธิฤทธิ์โดยไว..”

 

     “พะย่ะค่ะ  กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ” ท่านผู้เฒ่ารับคำ นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีกครั้ง  “แต่ทว่า เรื่องคืนอิทธิฤทธิ์และความทรงจำแห่งเทพนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะทำได้โดยไว  เรื่องนี้ต้องอาศัยเวลา” 

 

     ไท่ซ่างเหล่าจวินเงยหน้าขึ้น สีหน้านั้นแสดงความหนักใจอย่างเห็นได้ชัด

 

     “แต่ว่าเรารอไม่ได้แล้ว  ยิ่งปล่อยเวลาเนิ่นนานข้าก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลกระทบใดขึ้นได้บ้าง  กลุ่มดาวจักรราศี ไม่เคยขาดผู้พิทักษ์  ลำพัง ไท่ไป่จินซิง**** ที่ข้าส่งให้ไปช่วยดูแลนั้นก็คงจะตึงมือนัก ด้วยตัวเขาเองก็มีภาระหน้าที่ของตนเองอยู่เช่นกัน”

 

     “แล้วพระองค์เห็นควรว่าอย่างไรเล่าพะย่ะค่ะ?”

 

     คำถามนั้นทำให้องค์จักรพรรดิ์แห่งสรวงสรรค์ต้องถอนพระทัยอีกครั้งก่อนจะหันไปยังผู้ที่ประทับนิ่งเงียบอยู่ข้างกาย

 

     “เจ้าแม่  เจ้าเห็นควรว่าอย่างไรบ้างในเรื่องนี้?”

 

     “ข้าคิดว่าเรื่องความทรงจำหรืออิทธิฤทธิ์นั้นเอาว่ากันทีหลังก็ย่อมได้  สิ่งสำคัญก็คือ เปิดตาที่สามให้เขาเสียก่อนซึ่งข้าคิดว่ามันคงไม่ยากนักหรอก  จริงหรือไม่ เหล่าจวิน”   นางเอ่ยตอบคำถามด้วยใบหน้ายิ้มละมัยพลางหันมาทางท่านผู้เฒ่าที่ก้มหัวรับคำในทันที

 

     “น่าจะเป็นเช่นนั้นกระหม่อม”

 

     “ดี...” เจ้าแม่พยักพักตร์พลางแย้มยิ้ม “หลังจากนั้น  เราก็ให้หยางเจียนใช้ตาที่สามและอำนาจของเทพปกครองเซียนเซิงเซียวเพื่อค้นหาพวกเขาและไปพาตัวกลับมา...”

 

     “ขออภัยเจ้าแม่  กระหม่อมขอพูดอะไรซักนิด” เห่าฟ้าที่ทนนิ่งฟังการตัดสินชะตากรรมของผู้เป็นนายมานานสองนานอดไม่ได้ต้องเอ่ยขัดขึ้น 

     แม้จะรู้สึกเกรงกลัวในอำนาจบารมีของจักรพรรดิ์และพระแม่แห่งแดนสวรรค์นี้ก็ตาม แต่ความห่วงใยในตัวนายเหนือหัวนั้นมีมากกว่าหลายเท่านัก

     “ถ้าหากให้นายท่านของกระหม่อมออกไปค้นหาเซียนเซิงเซียวทั้งที่ยังไม่ฟื้นฟูความทรงจำหรืออิทธิฤทธิ์ เช่นนั้นจะมิเป็นอันตรายหรอกหรือ  พระองค์ก็ทรงรู้ว่า เหล่ามารปิศาจจ้องจะหาโอกาสทำลายนายข้าอยู่ตลอดเวลา  ไหนจะร่างกายของเขาที่มีพลังหยาง(พลังด้านสว่าง)อยู่เต็มเปี่ยมคงจะดึงดูดมารร้ายที่ต้องการตัวเขาเพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเอง  ข้าเกรงว่า...”

 

     “เจ้าจะกังวลไปใยเล่าเห่าฟ้า  ใช่ว่านายเจ้าอยู่เพียงตัวคนเดียว  ยังมีตัวเจ้า  อิ๋นหลงมังกรเงิน  รวมทั้งเฉินเซียงอยู่อีกทั้งคน” 

 

     เจ้าแม่ยังคงว่ายิ้ม ๆ คล้ายไม่ถือสา ก่อนจะไล่สายตาไปจดจ้องยังร่างของชายหนุ่มผู้ยืนยิ่งงันคล้ายมิได้รับรู้หรือมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์มาตั้งแต่แรก  ซึ่งเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินรับสั่งเช่นนั้น

 

     “ข้าไม่ขอรับทำภารกิจนี้  ข้ารับปากว่าจะช่วยไปพาเขากลับมา  ข้าก็ทำแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”

 

     “เฉินเซียง... เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเหตุร้ายทั้งมวลที่เกิดขึ้นในเวลานี้มีมูลเหตุมาจากสิ่งใด หรือใคร?..”  พระนางยังคงกล่าวต่อด้วยสุรเสียงอ่อนโยนราวกับไม่รู้ถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงที่ส่งมาเช่นกัน แต่ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้เฉินเซียงเผลอสะอึก

     “เจ้าสังหารหยางเจียน  ทำให้เกิดผลพวงตามมามากมาย ยังไม่นับที่เจ้าเคยเข้าไปขโมยโอสถทิพย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน บุกรุกอาวาดบนสวรรค์ ถึงเจ้าจะชนะเดิมพันที่โพธิสัตว์กวนอิมได้ตั้งไว้ ช่วยแม่ของเจ้าออกมาจากเขาหัวซานและเปลี่ยนแปลงกฎสวรรค์ได้  แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง  หากข้าจะเอาผิดเจ้าก็ย่อมได้  หรือถ้าเจ้าไม่มีจิตสำนึก  ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลของการกระทำของเจ้า  แล้วเจ้าจะต่างอะไรกับลุงของเจ้าที่เจ้ากล่าวหาว่าเขาเป็นคนเลวร้ายต่ำทรามกันล่ะ”

 

     “ข้า... ”  เฉินเซียงอ้าปากค้างจนปัญญาที่จะหาข้อคัดค้านถ้อยคำเหล่านั้น  เขามองรอยยิ้มอย่างเป็นต่อของเทวีแห่งแดนสวรรค์  แล้วค่อยก้มหน้าลง  “ก็ได้ กระหม่อมจะทำตามประสงค์คุ้มครองหยางเจียนจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจนี้”

 

     น่าเจ็บใจที่เขาไม่อาจหาคำใดมาหักล้างคำสั่งนั้นของพระแม่แห่งแดนสวรรค์ได้ เนื่องจากทุกสิ่งที่พระนางรับสั่งล้วนเป็นความจริง 

 

     เดิมทีมารดาของเฉินเซียงคือ ซานเซิ่งหมู่ บุตรบุญธรรมของเทพมารดรหนี่วา และมีหน้าที่คอยดูแลโคมดอกบัวอันเป็นของวิเศษของแดนสวรรค์ แต่ทว่านางกลับไปหลงรักมนุษย์จนให้กำเนิดเขาซึ่งนั่นถือเป็นการผิดกฎสวรรค์ข้อที่ว่า ห้ามเทพไปมีความรักกับมนุษย์โดยเด็ดขาด

     ดังนั้นนางจึงถูกพี่ชายแท้ๆ นั่นก็คือเทพเอ้อหลาง เทพผู้คุมกฎและเป็นลุงของเขา ลงโทษโดยการกักขังเอาไว้ใต้เขาหัวซาน  เฉินเซียงต้องเพียรพยายามใช้เวลาเนิ่นนานเพื่อช่วยเหลือผู้เป็นมารดาออกมา 

     เขาต้องทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะลักขโมยยาทิพย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน บุกนรก อาละวาดสวรรค์เพื่อต่อต้านและเปลี่ยนแปลงกฎสวรรค์ที่ไร้ความยุติธรรม อีกทั้งยังต้องต่อสู้เข่นฆ่ากับสายเลือดเดียวกันอย่างเทพเอ้อหลาง 

     สุดท้ายเพราะพระโพธิสัตว์กวนอิมยื่นมือเข้าช่วยทุกอย่างจึงยุติลงได้ด้วยดี จะมีก็แต่เพียง สวรรค์ที่ต้องสูญเสียเทพคุมกฎไปด้วยน้ำมือของเขา  มาบัดนี้เมื่อทางสวรรค์เดือดร้อนเพราะการสูญเสียนั้นส่งผลกระทบ เฉินเซียงเองก็คงไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้

 

     “ดีมาก” เจ้าแม่แย้มรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปข้างกาย “ทำอย่างนี้พระองค์เห็นว่าเป็นเช่นไรเล่าเพคะฝ่าบาท?”

 

     “อืม... ข้าก็เห็นด้วยกับเจ้าแม่  ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”  จักรพรรดิ์แห่งแดนสวรรค์พยักพระพักตร์น้อยๆ  ก่อนจะหันกลับไปยังท่านผู้เฒ่าซึ่งยังคงยืนรอรับคำสั่งอยู่ที่เดิม 

     “ไท่ซ่างเหล่าจวิน  ท่านก็ไปทำตามที่เจ้าแม่ว่า  แล้วก็ให้ใครไปตาม อวี้ติงเจินเหริน มาด้วย  เขาเคยเป็นอาจารย์ของหยางเจียนคงจะช่วยอะไรได้บ้าง”

 

     “พะย่ะค่ะ”

 

     ไท่ซ่างเหล่าจวินรับคำก่อนจะหมุนตัวออกไป  พร้อม ๆ กับ เฉินเซียงที่ก้มหัวคาราวะแก่ผู้นำสูงสุดแห่งแดนเทพแล้วสะบัดตัวจากไปเช่นกัน  แต่กระนั้นเห่าฟ้าก็ทันเห็นแววตาไม่พอใจที่จ้องมองมา

 

     เห็นทีว่าคราวนี้นายท่านคงต้องลำบากทั้งกายและใจอีกเป็นแน่แท้  ท่านช่างน่าสงสารเหลือเกินนายข้า…

 

     เห่าฟ้าเผลอตัวส่ายหน้ากับตนเองเล็กน้อย  ก่อนจะผินตัวจากมาโดยไม่ลืมทำความเคารพผู้เป็นใหญ่แห่งแดนนี้ตามสมควรเช่นเดียวกัน 

     อย่างไรก็แล้วแต่คนที่เขาภักดีมีแต่เพียง เอ้อหลางเสิน หยางเจียนแต่เพียงผู้เดียว  หากมันผู้ใด บังอาจทำให้นายของเขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ หรือแม้แต่เจ็บปวดแม้เพียงปลายก้อย  คราวนี้  แม้จะเป็นเสียงห้ามจากผู้เป็นนายก็คงไม่อาจจะหยุดสุนัขจนตรอกตนนี้ได้อีกต่อไป  เขาสาบานเลยว่ามันผู้นั้นจะไม่มีที่ใดในสามภพนี้ให้ได้ใช้หายใจอีกอย่างแน่นอน.

 

 

........................

 

 

     “เอ้อหลาง...  เอ้อหลางเจ้าได้ยินข้าหรือไม่?”

 

     เอ้อหลางไหนกัน  เสียงใครกันนะหนวกหูชะมัด!

 

     “อย่ายุ่งน่าคนจะนอน...”  ผมรู้สึกได้อย่างลางเลือนว่าตัวเองพูดออกไปแบบนั้น

     ความอบอุ่นสบายทำให้ผมไม่อยากแม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นรับรู้สิ่งใด  ใช่แล้ว  เรื่องที่ผ่านมามันคงเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น อีกไม่นานทุกอย่างก็จะต้องผ่านไป มันต้องผ่านไปด้วยดีแน่ ๆ

 

     “หยางเจียน  ถ้าเจ้ายังไม่ลืมตาขึ้นมาล่ะก็ข้าจะจับเจ้าโยนลงจากเตียงเดี๋ยวนี้!”

 

     เอ๋...  เสียงแบบนี้  วิธีการพูดแบบนี้  นี่มัน...

 

     “เฉินเซียง!  มันจะมากไปแล้ว  คราวที่แล้วหากนายท่านไม่กักขังข้าไว้ แล้วเจ้าใช้วิธีหมาหมู่ล่ะก็ เจ้ากับข้าคงได้สะสางกันไปแล้ว  คราวนี้ถ้าข้ายังอยู่ตรงนี้เจ้าก็อย่าหวังจะทำอะไรนายท่านได้แม้แต่ปลายเล็บอีกเลย เพราะข้าจะดับลมหายใจของเจ้าซะ!”

     เสียงดุดันอีกเสียงดังขึ้นเต็มสองหู  และสิ่งที่ได้ยินก็เรียกสติผมให้กลับมาจากห้วงนิทราได้เป็นอย่างดี 

 

     นี่ผมกำลังเจอกับปรากฎการณ์ฝันซ้อนฝันอยู่รึไงนะ  แล้วผมควรจะลืมตาตื่นหรือควรจะหลับต่อไปเผื่อจะได้ตื่นมาที่โลกจริง ๆ ของผมกันล่ะ?

     คงไม่มีเวลาไหนที่ผมปรารถนาอยากใช้บริการปลุกเดลิเวรี่ของยัยน้ำตาลขมมากเท่าตอนนี้อีกแล้ว  เผื่อทุกอย่างจะกลับเป็นปกติได้เหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่นั่นก็คงเป็นได้แค่ความหวังล่ะนะ โดยเฉพาะตอนที่มีเสียงเอะอะ เอ็ดตะโลดังปะทะเข้ามาเต็มสองหูขนาดนี้

 

     “ถ้าคิดว่า ขัดขวางข้าได้ก็ลองดู เห่าฟ้า!”

 

     “เช่นนั้นก็เข้ามา!”

 

     “หยุด!!” 

 

     ผมลืมตาขึ้นพลางหันขวับไปมองสองคนที่ตั้งท่า จะกัดกัน  เอ่อ...  ผมหมายถึงสู้กัน  ปากตะโกนออกไปเต็มเสียง โดยไม่ทันคิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสติแตกหรือเพราะอะไรเหมือนกัน  แต่ถ้าใครลองมาเจออย่างผมถ้าไม่สติแตกก็ให้มันรู้ไป

 

     “อ้อ... ตื่นขึ้นมาได้ซะทีนะ คิดว่าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่...”  เฉินเซียงพึมพำ เหล่สายตามองผมชั่วครู่ก่อนจะเดินไปยืนกอดอกเก๊กหล่ออยู่ที่ประตูเหมือนเห็นผมเป็นตัวบุ้งตัวแมงอะไรซักอย่างซึ่งถ้าหากอยู่ใกล้แล้วจะคันคะเยอขึ้นมาถึงได้ทำท่ารังเกียจซะจริงจังขนาดนั้น 

     แต่ผมไม่ทันได้ให้ความสนใจเขามากนัก เมื่อเจ้าหมาน้อยในร่างมนุษย์นามเห่าฟ้าปราดเข้ามาข้างเตียงพลางละล่ำละลักด้วยน้ำเสียงห่วงใย

 

     “นายท่าน ท่านฟื้นแล้ว  รู้หรือไม่ พอมาถึงท่านก็ล้มฟุบลงไป ข้าตกใจแทบแย่นึกว่าท่านจะเป็นอะไรไปอีกเสียแล้ว”

 

     “อ้อ... เหรอ” 

     นี่คือคำตอบของผมที่มีให้กับคำพูดมากมายของเขา ตอนนี้ผมรู้สึกว่าสมองของตัวเองไม่ทำงานอย่างรุนแรง  มันทั้งตื้อทั้งตันจนคิดอะไรไม่ออก  ได้แต่พยักหน้าเออออออกไปก่อนจะชันศอกพยุงร่างของตัวเองลุกขึ้น

 

     “โอ๊ย! อะไรวะเนี่ย!?”  ผมเผลอสบถออกไปเป็นภาษาไทย เมื่อรู้สึกว่าหนังหัวคล้ายถูกฉุดกระชากอย่างรุนแรง จนต้องหงายหลังลงไปอีกครั้ง

 

     อูย... เจ็บขนาดนี้คงไม่ใช่ความฝันแน่แล้วล่ะ ไอ้ตรัยเอ๊ย!  ว่าแต่มันจะซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยซ่อนเงื่อนอะไรขนาดนี้ฟะเนี่ย!?

 

     ผมยกมือขึ้นคลำหัวพลางเหล่มองหาสาเหตุที่ทำให้ตัวเองเกิดอาการน่าขายหน้า  ในขณะที่เห่าฟ้ากำลังทำสีหน้างุนงงกับคำพูดของผมและเจ้าคนที่ประตูกำลังหัวเราะเบาๆ คล้ายเยาะเย้ย แต่ผมขี้เกียจจะสนใจมากไปกว่าสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้

 

     ผมสาวเอาเส้นผมสีดำยาวย้วยขึ้นมาตรงหน้า  ความรู้สึกหวาดหวั่นโจมตีเข้ามาทีละน้อยเมื่อค่อยๆ ขยับไล่นิ้วมือไปตามเส้นผมนั่นจนมันไปสิ้นสุดที่....

 

     หนังหัวของผมเอง!!

 

     ผมตะกายลุกขึ้นอีกครั้งขณะที่คอยระวังไม่ให้ไปเผลอทับเอาปลายผมยาวของตัวเองจนเจอเข้ากับสภาพน่าสมเพชเมื่อครู่นี้อีก 

 

     ว้ากกก!!  ใครทำอะไรกับหัวฉ้านน!!

 

     ผมตะโกนก้องอยู่ในใจขณะยกสองมือขึ้นขยุ้มเส้นผมที่ยาวสยายลงมาถึงบั้นเอวอย่างงุนงง  และที่ยิ่งกว่านั้นคือ  ตกใจ!!

 

     นี่ถ้ายัยน้ำตาลขมรู้ว่าทรงผมนักร้องเกาหลีสุดฮิตซึ่งคุณน้องสาวที่รักอุตส่าห์เสียสละกำลังเงินและกำลังแรงในการลากพี่ชายผู้รักสงบยิ่งชีพและไม่ชอบทำอะไรตามสมัยผู้นี้ไปจัดการแปลงโฉม  ต้องมาถูกทำให้อยู่ในสภาพนี้ ไอ้นายตรัยคงถูกน้องสาวจับกร้อนผมในฐานะที่ไม่ยอมรักษาหัวตัวเองเอาไว้ให้ดีแน่ 

     นอกจากนั้น  เสื้อผ้าสัมภาระของผม  กล่องข้าวของน้องสาวทุกอย่างตอนนี้มันอยู่ไหน!?  มันหายไปไหนหมด!?

 

     “สิ่งใดที่เป็นสิ่งของจากโลกเดิมของท่านนั้นไม่อาจนำผ่านเข้ามายังแดนแห่งนี้ได้  ตัวท่านเองก็ถูกไอทิพย์แห่งแดนสวรรค์ชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดตัวมามิให้ต้องแปดเปื้อนดินแดนแห่งนี้ สภาพภายนอกและเครื่องอาภรณ์ของท่านนั้นเกิดจากไอทิพย์แห่งแดนสวรรค์  โปรดวางใจมันไม่อันตรายอันใดกับท่านหรอกนายท่าน”

 

     ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่อันตรายหรือไม่อันตรายซะหน่อย  ช่วยเข้าใจซักนิดว่ามันตกใจเฟ้ย!   มีใครตื่นขึ้นมาอยู่ในสภาพนี้จะไม่ตกใจบ้าง  ยังไงฉันก็ยังเป็นคนปกติอยู่นะ  แต่เอาเถอะ  นี่คงไม่ใช่เวลามาตกใจกับเรื่องแบบนี้สินะ..

 

     ผมหันไปมองหน้าเจ้าเห่าฟ้าที่ยังคงคอยมองผมอย่างห่วงใยอยู่ข้างตัวแถมยังช่วยอธิบายไปด้วยแม้จะผิดสถานการณ์ไปหน่อย  อยากจะบอกออกไปอย่างที่คิดเหมือนกัน  แต่ก็ตัดสินใจเก็บอาการความอยากรู้มากมายสารพัดสิ่งก่อนจะถามออกไปสั้น ๆ และตรงประเด็นที่อยากรู้ที่สุดในตอนนี้

 

     “พวกเจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่?” 

 

     “อ้อ... พูดจาเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ก็เป็นนี่  ข้านึกว่าเจ้าไปจุติยังดินแดนใหม่แล้วเจ้าจะกลายเป็นคนซื่อบื้อพูดกับพวกข้าไม่รู้เรื่องซะอีก”  เสียงค่อนแคะที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นของใครถูกส่งมาทำให้ผมหันขวับไปทางด้านนั้นทันที

 

     “ข้าคิดว่าตัวเองพูดรู้เรื่องเสมอไม่ว่าจะกับสุนัขหรือมนุษย์หรือสัตว์ประเภทไหน หากพูดดีกับข้าข้าก็พูดได้ด้วยดี  แต่ถึงแม้จะเป็นมนุษย์ด้วยกันหากเสวนาด้วยถ้อยคำไร้การอบรมข้าเองก็เกรงว่า เสียเวลาที่จะพูดด้วย” 

 

     อะฮ้า  คิดได้ไงวะเนี่ย!?  ใครบอกอ่านนิยายไร้สาระ ไม่มีประโยชน์  นี่ไงล่ะประโยชน์..  อย่างน้อยก็ใช้ตอกกลับเจ้าคนที่ชอบพูดจากวนประสาทนี่ได้ล่ะน่า

 

     ผมไม่ยอมมองหน้าและสายตาซึ่งจ้องมองมาเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อนั่นอีก นอกจากหันกลับมาทางเห่าฟ้าที่กำลังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น จนผมอยากจะหัวเราะตามแต่ก็ต้องเก็บอาการตัวเองเอาไว้อย่างที่สุด 

ยังไงนี่ก็ไม่ใช่เวลามาหัวเราะสบายใจแน่สำหรับสถานการณ์ของผม

 

     “ว่ายังไงล่ะเจ้าหมาน้อย?”  ผมถามย้ำ  แต่นอกจากจะไม่ได้คำตอบจากสุนัขในร่างคนตัวนี้แล้วยังมีอีกเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

 

     “เรื่องพวกนั้นข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอง ว่าแต่  ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างแล้วล่ะ?”

 

     ผมเงยหน้าขึ้น มองไปทางต้นเสียงแหบแห้งอันบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงอยู่ในวัยชรานั้น  จำได้ว่านี่เป็นเสียงแรกที่ได้ยินก่อนจะลืมตาขึ้นมา  พลางสำรวจร่างนั้นอยู่ชั่วอึดใจ

 

     “ท่าน... ไท่ซ่างเหล่าจวิน”  ปากขมุบขมิบเอ่ยเรียกขาน  ทั้งที่สมองแทบจะคิดตามไม่ทัน 

     แต่หากว่า ที่นี่คือแดนสวรรค์ของเหล่าเทพในตำนานจีนที่ผมเคยอ่านแล้วล่ะก็  ผู้เฒ่าเคราขาวยาวย้วย  ซ้ำยังถือแส้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักพรตเต๋าอย่างนี้ก็มีไม่มากนัก  และสัญชาตญาณบางอย่างก็บอกผมว่าตนเองเดาไม่ผิด

 

     “ดีใจที่เจ้ายังจำข้าได้  เอ้อหลาง”  ท่านผู้เฒ่ายิ้มน้อย ๆ ขณะแววตาอ่อนโยนใจดีนั้นยังคงจับจ้องมาที่ผม

 

     “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยนะ  ว่าตัวเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”

 

     “เอ่อ  อ่า  ข้าน้อยไม่เป็นไรแล้วขอรับ แค่รู้สึกมึนหัวนิดหน่อย” ผมรวบรวมสติอีกครั้งพลางตอบกลับไปด้วยท่าทีนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

     กับเทพระดับสูงผู้มากอาวุโสในเทวตำนานเทพจีนที่ผมเคยศึกษา ตอนนี้กลับมายืนให้เห็นเป็นตัวเป็นตนแบบเป็น ๆ อยู่ตรงหน้า  ถ้าไม่เกร็งก็แปลกแล้ว

 

     “ดีแล้ว  ร่างกายเจ้าคงปรับสภาพไม่ทันเท่านั้นเอง อีกหน่อยก็คงชิน  แต่เจ้าดูพูดจาคล่องแคล่ว เหมือนไม่ได้หลงไปยังแดนไกลดังเช่นที่เห่าฟ้ากับเฉินเซียงบอกเลยนะ” 

 

     ก็แน่นอนล่ะ อย่างน้อยในกระแสเลือดของผมก็มีภาษาจีนกับพวกนิยายจีน  หรือหนังสือตำนานประวัติศาสตร์จีนอยู่เต็มหัว ไหน ๆ ก็อ่านมาแล้ว เอามาปรับใช้ในสถานการณ์อย่างนี้หน่อยจะเป็นอะไรไป

     บอกตามตรงว่าไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าของพวกนั้นมันจะมามีประโยชน์ในลักษณะนี้  แต่ผมก็แค่คิดไม่ได้พูดออกไปดังเช่นเคย  บอกแล้วว่าผมไม่ใช่พวกชอบพูดมาก ถ้าไม่สนิทสนมหรือจำเป็นแล้วล่ะก็  ผมก็คล้ายคนใบ้ดี ๆ นี่เอง  เผลอ ๆ จะถูกหาว่าหยิ่งเสียด้วยซ้ำไป  แต่ที่ไม่พูดก็เพราะไม่รู้จะพูดอะไร  หรือขี้เกียจพูดต่อความยาวสาวความยืดเท่านั้น  ไม่ใช่หยิ่งหรือรังเกียจอะไรใคร 

     แบบนี้คงไม่คิดว่าผมขี้เกียจจนเกินไปนะ ทำไงได้ล่ะ ก็มันกลายเป็นนิสัยส่วนตัว  แก้ไม่ได้ขายไม่ขาดหรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นสันดอนที่ขุดยากมาก ๆ ไปแล้วนี่นา

 

     “แม้ภายนอกจะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่จิตวิญญาณก็ยังคงเป็นเจ้าซึ่งยังเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเช่นเดิม  ไม่รู้ว่าข้าควรจะดีใจหรือเสียใจดีกันแน่นะ”  

     ท่านผู้เฒ่ารำพึงกับตนเองก่อนจะหันไปทางสองหนุ่มที่แม้จะยืนแยกห่างจากกันแล้วก็ยังคงไม่วายส่งสายตาฮึ่มแฮ่ใส่กัน  ทำเอาคนมองเผลอผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเรียบ

 

     “พวกเจ้าออกไปก่อน  ข้าจะคุยกับเอ้อหลางตามลำพัง”

 

     “ขอรับ”

     หนึ่งหมาน้อยกับอีกหนึ่งคน (รึเปล่า?) ก้มหัวรับคำอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะถอยออกไปตามคำสั่ง  โดยมีรอยยิ้มและสายตาใจดีของท่านผู้เฒ่าคอยมองส่งจนลับตา 

     ท่านสะบัดแส้ในมือเบา ๆ ตามหลังสองหนุ่ม ประตูบานใหญ่คล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นผลักปิดกั้นสรรพเสียงและสิ่งใดจากภายนอกจนมิดชิดในทันที  ก่อนที่ใบหน้าชราจะหันขวับมาทางผมอย่างกะทันหันเล่นเอาเผลอสะดุ้ง

 

     “เอ้อหลาง!  ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่าได้ทำอะไรเกินตัวเช่นนั้น  ตอนนี้เป็นอย่างไร เจ้าตายไปทำให้สวรรค์และแดนมนุษย์โกลาหลไปหมด  ไหนจะเซียนเซิงเซียวทั้ง 12 ที่ประท้วงหยุดงาน  แถมยังมาหายตัวไป ส่งผลให้การโคจรของดวงดาวคลาดเคลื่อน มีผลกระทบต่อทั้งสามภพ แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อไป  ไหนเจ้าบอกข้ามาซิ  เจ้านี่มันหาเรื่องยุ่งยากมาให้ข้าตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เตือนไม่เคยฟัง! เจ้านี่มัน..”

 

     ใบหน้า สายตาและรอยยิ้มใจดี เปลี่ยนเป็นใบหน้าถมึงทึงและเอาเรื่องขณะสะบัดหน้ามา  แม้แต่น้ำเสียงก็ห้วนกร้าว  เจ้าของร่างชราสาวเท้าเข้ามาใกล้จนผมต้องถดตัวออกห่างจนแทบจะตกเตียง

 

     “อ่า  เหล่าจวิน  คือข้าน้อยไม่เข้าใจว่าท่านพูดเรื่องอะไร?”

 

     ผมมองท่านผู้เฒ่าอย่างอับจนปัญญา ก็เล่นร่ายยาวใส่เอา ใส่เอา แล้วใครมันจะไปรู้เรื่องได้ 

 

     “อ้อ  ขอโทษด้วย ข้าลืมไปว่าเจ้าจำไม่ได้”  เหล่าจวินกระพริบตาปริบ ๆ พลางถอยออกไป กระแอมเล็กน้อยยกมือขึ้นสาวเครายาวแก้เก้อ แล้วล้วงบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ “เอาเป็นว่า... เจ้ากินนี่เข้าไปก่อน”

 

     “มันคือ...?”  ผมมองเม็ดสีดำทรงกลมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กในมือท่านผู้เฒ่าอย่างงุนงง  จะว่าไปผมยังงงกับท่าทีเมื่อครู่นี้ไม่หาย

 

     นี่คิดจะไม่ให้ผมพักสมองที่มีแต่ งอ งง เต็มหัวนี่บ้างหรือยังไง?

 

     “ยาทิพย์ของข้าเอง  เจ้าแม่หวังหมู่ทรงประทานลูกท้อจากสวนของพระองค์เพื่อเป็นส่วนผสมของโอสถทิพย์นี้และมอบมาให้เจ้าโดยเฉพาะ  มันจะช่วยให้ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่ง พลังฤทธิ์กลับมาได้บางส่วนนอกนั้นเจ้าต้องพยายามเรียกมันคืนมาเอง”

 

     “ตกลง ข้าคือ เทพเอ้อหลาง จริง ๆ เหรอครับ?”  ผมยังคงเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ  ลืมสนใจกับคำพูดผิด ๆ ถูก ๆ ของตนเองไปในทันที 

 

     ให้ตายวันละหลายร้อยรอบก็ยังเชื่อได้ยากว่าผมเป็น ท่านผู้นั้นจริง ๆ!!

 

     ผมเป็นคนธรรมดานะ  ธรรมดามาก ๆ ด้วย  ไม่ได้มีอะไรพิเศษ  เรียกว่าในบรรดาสามพี่น้อง ผมเนี่ยธรรมดาสุดแล้ว จะมีประหลาดอยู่หน่อยก็ตรงที่เห็นผีได้นี่ล่ะ  แต่ความสามารถประเภทนี้ก็ใช่ว่าในโลกจะมีแต่ผมคนเดียวนี่นา  หรือไม่ใช่กันล่ะ !?

 

     “ถูกต้อง  เจ้าคือ เทพเอ้อหลาง” ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าพลางจ้องมองผมอย่างจริงจัง “หยางเจียน  มาจนป่านนี้เจ้ายังจะสงสัยอะไรกันอีก” คำตอบที่แทบไม่เสียเวลาหยุดคิดของท่านเล่นเอาผมมึนตึ๊บไปอีกรอบ

     ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจในคำพูดเหล่านั้น  แต่เพราะมันเป็นอะไรที่ยากจะเชื่ออย่างที่บอกนั่นล่ะ  ทว่าเหล่าจวินก็ยังคงตั้งหน้าร่ายยาวต่อไปโดยไม่สนใจสีหน้าเอ๋อรับประทานของผมซักนิด 

 

     “เป็นเพราะเมื่อก่อนเจ้าคิดทำอะไรบ้าระห่ำยอมให้หลานตัวเองฆ่าตายเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎสวรรค์ เรื่องมันถึงได้เป็นอย่างนี้อย่างไรเล่า  ไม่นึกเลยว่าวิญญาณของเจ้าจะข้ามเส้นแห่งกาลเวลาไปจุติใหม่ยังดินแดนที่ห่างไกลเช่นนั้น  คงเป็นเพราะว่าเจ้าคงอยากหนีจากความทุกข์ทรมานที่เคยได้รับมาเนิ่นนานกระมัง  และถ้าหากเจ้ายังไม่เชื่อ เจ้าก็ลองมองไปรอบตัวดีๆ สิ คิดว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเจ้า  ข้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าคืออะไรกันล่ะ ภาพมายาหรือความฝันเช่นนั้นหรือ  เจ้าคงพิสูจน์ได้ด้วยตนเองแล้วไม่ใช่หรือว่ามันหาใช่สิ่งเหล่านั้นไม่”

 

     “อ่า เดี๋ยวนะครับ”  ผมพยายามรวบรวมข้อมูลอย่างสุดความสามารถ รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาตงิด ๆ ที่ต้องมาเจอกับสถานการณ์เกินรับอย่างนี้  แต่ถึงจะเกินรับยังไง มาจนถึงตอนนี้ ไม่รับก็คงไม่ได้แล้ว 

     “ข้า  เคยเป็น... เทพสามตาเอ้อหลางเสิน  เทพเจ้าสามตาองค์นั้น  แล้วที่สำคัญข้ายังถูกหลานชายฆ่าตาย แล้วหลานที่ว่าก็คือ เฉินเซียงคนเมื่อครู่  และที่ตามผมกลับมานี่ก็เพื่อจะให้ทำอะไรบางอย่างใช่มั้ยครับ?”

 

     “และอะไรบางอย่างที่ว่า ก็คือตามหาเซียนเซิงเซียวทั้ง 12 ให้พบและพากลับมาโดยไว”  ท่านผู้เฒ่าต่อคำพูดผมอย่างรวดเร็ว “ถูกต้องแล้ว  แต่ว่า... เจ้าไม่ได้เคยเป็นเทพเอ้อหลางหรอกนะ  ตอนนี้เจ้าก็ยังคงเป็น เพียงแต่ร่างใหม่ของเจ้ายังไม่อาจฟื้นฟูพลังฤทธิ์และความทรงจำกลับมาได้เท่านั้น”

 

     “ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วครอบครัวข้าที่โลกเดิมล่ะ  หลังจากนี้จะเป็นยังไง?” 

 

     นี่ล่ะที่ผมห่วงที่สุด  ผมพยายามค้นหาความทรงจำจากหนังหรือนิยายย้อนเวลาที่ผมเคยอ่าน ซึ่งก็มีไม่กี่เล่ม ส่วนใหญ่ ในโลกเดิมคนที่ย้อนเวลาจะต้องเกิดอุบัติเหตุเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงนิทราหรือไม่ก็ตายไปเลย  หวังว่าผมคงไม่มีสภาพแบบนั้นหรอกนะ 

     ว่าแต่ถ้าหากเป็นผมล่ะ  ในตรอกแคบ ๆ อย่างนั้นจะเกิดอะไรกับผมได้บ้าง  วิ่งตามหมาจนเป็นลมงั้นเรอะ  มันจะน่าอนาถเกินไปหน่อยแล้วมั้ง...

 

     “วางใจเถอะ หากเจ้าทำความดีความชอบ  ทำภารกิจนี้สำเร็จและยังคงต้องการกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม  พวกเราก็สามารถส่งไปยังช่วงเวลาเดียวกับที่พาเจ้ามาได้ ทุกอย่างจะดำเนินไปดังเช่นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  รอจนกว่าเจ้าจะหมดอายุขัยในภพนั้นแล้วจึงกลับมาทำหน้าที่ของตนเอง ณ แดนนี้ ต่อไปก็ได้ แต่หากเจ้าไม่ปรารถนาจะกลับไปเจ้าก็จะเป็นบุคคลที่หายสาบสูญจากที่แห่งนั้นตลอดกาล  ซึ่งนั่นก็แล้วแต่เจ้าจะเลือก”

 

     “ข้าต้องอยากกลับไปอยู่แล้วล่ะครับ  แต่ว่าพวกท่านทำแบบนั้นได้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ  แล้ว... ที่นี่  มันอยู่ยุคไหน ข้าย้อนเวลามาไกลแค่ไหน?”

 

     “เรื่องนั้นคงเป็นเรื่องที่ตอบยาก  แดนสวรรค์แห่งนี้อยู่เหนือกาลเวลาของมนุษย์ไปมากมายนัก เวลาแดนสวรรค์เพียงหนึ่งอึดใจ  เวลาของแดนมนุษย์อาจจะผ่านไปหลายร้อยหลายพันปีแล้วก็เป็นได้”

 

     “อ้าว แล้วแบบนี้พวกท่านจะพาข้ากลับไปได้ยังไงกัน?...”    ยิ่งฟังผมยิ่งงจริงๆ ให้ตายเหอะ ใครช่วยจูนสมองให้ผมที

 

     “อย่าได้รีบเร่งคิดถึงเรื่องนั้นเลย  เวลานี้เจ้าควรจะคิดเรื่องปัญหาเฉพาะหน้าก่อนจะดีกว่า”  

     ผมมองใบหน้าชรานั้นพลางพยายามเลิกคิดฟุ้งซ่านร้อยแปดเมื่อได้ยินคำเตือน

 

     ก็จริงอย่างที่เหล่าจวินว่า  ยังไงที่นี่ก็เป็นแดนสวรรค์ และเหล่าจวินเป็นถึงเทพผู้มีอาวุโสคงไม่มาล้อเล่นเรื่องอย่างนี้กับผมแน่  ที่สำคัญที่สุดก็คือ  ถ้าผมเรียบเรียงข้อมูลได้ไม่ผิด การที่ผมจะได้กลับบ้าน ผมจะต้อง..

 

     “ตามหาเซียนเซิงเซียว?”  

     เซียน 12 นักษัตรในตำนาน  เมื่อครู่ได้ยินว่าหายตัวไป  หายไปได้ยังไง  แล้วทำไมต้องเป็นผมเท่านั้นที่จะหาพบ

 

     “ถูกต้องแล้ว”  เหล่าจวินตอบเสียงเรียบ พลางขยับสาวเครายาวอีกครั้งด้วยท่าทางทรงภูมิ  ทำให้ผมนึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้งว่าทำไมคนจีนที่ไว้หนวดยาวถึงชอบสาวหนวดของตัวเองด้วยท่าทางแบบนี้กันนัก  แต่เพราะมันไม่สำคัญผมเลยตัดสินใจว่าจะไม่ถามดีกว่า

 

     “แล้วข้าจะทำอย่างนั้นได้ยังไง  ท่านก็เห็นว่าตอนนี้ข้าเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น?”

 

     “เจ้าไม่มีวันเป็นคนธรรมดาได้ ต่อให้เจ้าไปจุติเป็นมนุษย์ แต่พลังอำนาจของเจ้าก็ยังคงฝังอยู่ในจิตวิญญาณ แต่จะแสดงออกมามากหรือน้อยนั่นก็แล้วแต่เวลาหรือโอกาสเท่านั้นอย่างที่ข้าได้บอกไป”

 

     “แล้วพวกเขาหายไปไหนล่ะครับ  ได้ยินท่านว่า พวกเขาประท้วงหยุดงาน”

 

     มีด้วยเหรอเทพประท้วงหยุดงาน  มันแลดูล้ำเกินยุคไปหน่อยไหม แล้วประท้วงเรื่องอะไรกัน?

 

     “สาเหตุมันก็เป็นเพราะเจ้านั่นล่ะ!”  เหล่าจวินยกปลายแส้ขึ้นมาชี้หน้าจนเกือบจะทิ่มเอาดั้งจมูกของผม  ดีแต่ว่าหลบได้ทันไม่เช่นนั้นคงได้มีดั้งหักรับวันมหาซวยในวันนี้เป็นแน่แท้

 

     “ข้า?”   ผมยกนิ้วขึ้นชี้มาที่ตัวเอง  ด้วยความลนลานทำให้เกือบทิ่มเอารูจมูกตัวเองไปเหมือนกัน

     นี่ดวงผมกำลังเข้าสู่ปีชงหรือยังไง มันถึงได้มีแต่เรื่องอย่างนี้ เล็ก ๆ น้อย ๆ เจ้าความซวยก็ตามเก็บทุกเม็ดไม่มีเว้นจริง ๆ

 

     “ก็ใช่น่ะสิ  เซียนเซิงเซียวทั้ง 12 ต่างเป็นศิษย์และเป็นเซียนในปกครองของเจ้า พอเจ้าตายไปพวกเขาจึงได้หายตัวไป ทิ้งเพียงจดหมายบอกเอาไว้ว่า มีเพียงเจ้าเป็นนายหากไม่มีเจ้าแล้วก็จะไม่ขอรับใช้สวรรค์และจะตามไปรับใช้แต่เจ้าเท่านั้น 

     อันที่จริง เดิมทีเหล่าเทพเซียนต่าง ๆ ไม่เคยให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญกับพวกเขา  แต่พันปีหลังมานี้ อิทธิพลแห่งกลุ่มดาวในจักรราศี  เข้ามามีส่วนสำคัญในสามภพอย่างมาก  ไม่ว่าการ เกิด แก่ เจ็บตาย  ชีวิตประจำวันของเหล่ามนุษย์  หรือการผันแปรของโลกหรือจักรวาลล้วนได้รับอิทธิพลจากกลุ่มดาวจักรราศีที่เหล่าเซียนเซิงเซียวเฝ้าพิทักษ์ดูแลอยู่ทั้งนั้น  แล้วพอพวกเขาไม่อยู่ทุกอย่างก็สับสนวุ่นวายไปหมด  ยังดีที่สวรรค์ได้ส่งเทพเซียนที่พอมีความรู้ไปช่วยดูแลอยู่บ้าง  แต่ของเทียมมีหรือจะสู้ของแท้ได้  ไม่วันใดก็วันหนึ่งจักรวาลคงได้ปั่นป่วนลามไปถึงสามภพจนสวรรค์ไม่สามารถควบคุมได้แน่”

 

     “แล้วข้าจะทำอะไรได้ล่ะครับ?”   นั่นน่ะสิคนธรรมดาอย่างผมจะทำอะไรได้  ถึงจะบอกว่าผมคือเทพเอ้อหลางก็เถอะ  แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเอง คือไอ้ตรัยคนเดิมอยู่ดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

     “ตาที่สามของเจ้าอย่างไรเล่า  ใช้มันค้นหาพวกเขาและไปพาพวกเขากลับมา  ในห้วงเวลาที่ซับซ้อนและห้วงจักรวาลที่กว้างไกลนี้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำได้”

 

     ผมนิ่งเงียบไม่สามารถสรรหาถ้อยคำใดมาต่อความได้  มันเกินกว่าจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อเมื่อทุกอย่างเห็นชัดอยู่ตรงหน้า

     แต่ว่าคนอย่างผม  อย่างผมคนนี้น่ะเหรอจะทำอะไรแบบนั้นได้  ผมไม่มั่นใจในตัวเองเลยจริง ๆ ซ้ำยังไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ  แต่ถ้าหากทำแล้วจะทำให้ผมได้กลับบ้านได้ล่ะก็.. 

 

     “ข้าคงไม่มีทางเลือกสินะครับ?”

 

     “เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น...”  เหล่าจวินตอบพลางส่งยิ้มและสีหน้ายุ่งยากใจมาให้

 

     “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอคำชี้แนะจากท่านอีกมากมายเลยทีเดียว”  

     ในที่สุดผมก็ตัดสินใจตอบรับออกไป  ในเมื่อไม่มีทางเลือกผมจะทำอะไรได้นอกจากพยายามทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดเท่านั้น  หากผู้อื่นมั่นใจว่าผมทำได้  แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่เชื่อมั่นในตัวเองล่ะจริงหรือเปล่าครับ?

 

     “ไม่ต้องห่วงมีคนที่พร้อมจะให้คำชี้แนะแก่เจ้าทุกเรื่องอยู่แล้ว  แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องกินยานี่ซะ”  เหล่าจวินยิ้มอย่างมีเมตตาแล้วส่งยาในมือมาให้อีกครั้ง

 

     ผมเอื้อมมือไปรับพลางจ้องมองอย่างลังเลอยู่นานจนถูกสะกิดเตือนด้วยปลายแส้ที่หวดใส่หัวไหล่อย่างไม่มีปรานี  แต่แปลกที่มันก็ไม่ได้เจ็บซักเท่าไหร่ 

 

     “กินเข้าไปเถอะน่า ยาของข้าน่ะ ไม่ได้หากินได้ง่าย ๆ  ทั้งเทพเซียนหรือแม้แต่มาร ยังต้องการจะช่วงชิงมาเป็นของตน  เจ้าโชคดีแล้วที่ได้ลิ้มลองมัน”

     ผมส่งยิ้มแหย ๆ ไปให้เจ้าของคำพูด ก่อนจะโยนมันเข้าปากและกล้ำกลืนลงไป  รู้สึกถึงรสชาดหวานหอมราวกับกินขนมมากกว่ายาเม็ด ทำให้รู้สึกล่องลอยเสียยิ่งกว่าอยู่บนสวรรค์ซะอีก (ถึงตอนนี้ผมจะอยู่บนสวรรค์จริง ๆ ก็เถอะนะ)  

     ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผม... นายเนตรตรัยคนนี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่สามารถหวนคืนได้อีกตลอดกาล.

 

..........................

 

* เง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นคำเรียกที่คนไทยเรียกกันเกิดจากการผสมภาษาจีนระหว่าง 2 สำเนียง ฮกเกี้ยน กับ แต่จิ๋ว คือ เง็ก(แต้จิ๋ว) เซียน (ฮกเกี้ยน) ฮ่องเต้ (ฮกเกี้ยน) ชื่อ "เง็กเซียนฮ่องเต้" นี้เป็นการเรียกแบบไทย ชาวจีนโดยส่วนมากเรียก อวี่หวงต้าตี้ ซึ่งแปลว่า  สมเด็จพระจักรพรรดิหยก

 

**เจ้าแม่ซีหวางหมู่ หรือหวังหมู่เหนียงเหนียง  เจ้าแม่แดนสระทิพย์ ทรงเป็นฮองเฮาสวรรค์ซึ่งประทับอยู่ ณ วังตะวันตก เทือกเขาคุนหลุน ทำหน้าที่ปกครองคณะเทพฝ่ายหญิงทั้งหมด พระนางยังทรงมีความเกี่ยวข้องกับลูกท้อวิเศษ และยาทิพย์ที่ทำ ให้เป็นอมตะ ซึ่งทรงครอบครองไว้มากที่สุด

 

***ไท่ซ่างเหล่าจวิน  เทพระดับสูงบนสวรรค์ ที่มีรูปลักษณ์เป็นชายแก่ผมขาว หนวดเคราขาวยาว ถือแส้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักพรตในลัทธิเต๋า มีหน้าที่ทำยาวิเศษ มีชื่อเรียกหลายๆ อย่างอาธิ เหล่าจวิน, เหล่าจื่อ เป็นต้น  

 

****ไท่ไปจินซิง เทพระดับสูงบนสวรรค์ รูปลักษณ์เป็นชายแก่ผมขาว หนวดเคราขาวยาว ถือแส้นักพรต เป็นเทพที่ถือกำเนิดจากดาวศุกร์ หรือเทพประจำดาวประกายพรึก   

 

*****พลังหยาง  ในที่นี้ หมายถึง พลังด้านสว่าง ปล. คำว่า  ข้า/ ฉัน/ เรา/ ผม ในภาษาจีน ก็คือคำว่า หว่อ  ในขณะที่  คุณ/ เธอ / เจ้า  คือ  หนี่   ยกเว้นเป็นคำที่ใช้พุดกับผู้อาวุโสหรือคนที่มีฐานะสูงกว่าจะเป็นอีกแบบ ดังนั้นที่นายตรัยใช้คำแทนตัวเองว่า ข้า ได้คล่องปากจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนะคะ  เพราะ  จะ ข้า หรือ ผม  ก็คือ คำว่า หว่อ คำเดียวกันค่ะ ^_^

 

ปล.2 จริงๆ ข้าน้อยลงต้นฉบับเรื่องนี้ไว้อีกเว็บ และมาลงที่นี่เพื่อเป็นการรีไรท์ ดังนั้นจึงอาจมีมาแก้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาเป็นระยะๆ นะคะ ไม่นึกว่าจะมีคนติดตาม ขอบคุณมากๆ ค่ะ ^^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา