MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}
8.3
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.
11 ตอน
4 วิจารณ์
13.90K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) MEMORIES [9]: Decision
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [9]: Decision
แสงไฟนีออนที่สาดส่องเข้ามายังใบหน้าผม ราวกับบอกให้ผมอยู่ตรงนี้อย่าจากไปไหน ผมครุ่นคิดอยู่เสมอตลอดสองวันที่ผ่านมาว่าตัวผมกลายเป็นคนที่ขี้กระวนกระวายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมคนที่เคยเข้มแข็งหายไปไหน และทำไมผมต้องนึกถึงแต่เรื่องของปุ้นกันด้วยนะ
ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันไม่สามารถบอกได้ ทั้งที่ผมและปุ้นห่างกันมานานถึงสองปี แต่พวกเราก็ยังคุยกัน ทักทายกันแต่ทำไม ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไป การที่ผมมาสนิทกันอีกครั้งถ้ามันทำให้ผมต้องเสียเพื่อนที่ดีแบบนี้ไป ผมขอให้มันเป็นแบบเดิมดีกว่า ความนึกคิดและภาพที่มักจะเข้ามาในสมองผมตลอดครึ่งชั่วโมงมันจะเป็นภาพของปุ้นอยู่เสมอเพราะอะไรกันนะ
ราวสามชั่วโมงก่อนที่มือของปุ้นยังโอบกอดผมแน่ราวกับว่าอย่าไปไหน มันทำให้ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดอยู่เสมอว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่เมื่อวานและตอนเช้าปุ้นแทบจะไม่มองหน้าเลย สิ่งที่ผมคิดมันจะเรียกว่าความคิดไม่ได้หรอก ถ้าจะพูดให้ถูกเรียกมันว่าความสงสัยมากกว่า ปุ้นยังคงโอบกอบผมไว้อย่างนั้น ทำให้เรื่องราวต่างๆที่ผมจดได้ตั้งแต่ได้เจอกับปุ้นอีกครั้ง แล่นเข้ามาในหัวผมเหมือนกับโอนข้อมูลจากแฟลชไดรฟ์มายังตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ยังไงอย่างนั้น
“กูขอโทษนะ”
เสียงของปุ้นที่เอ่ยออกมา ขณะที่หัวของผมยังคงวกวนอยู่กับความคิดนั้นอยู่ เสียงของปุ้นเพื่อนที่ผมรู้จักดีช่างเป็นเสียงที่แผ่วเบาเหมือนคนหมดแรง และประโยคนี้ก็เป็นเพียงประโยคเดียวที่ออกมาจากปากของปุ้นในตอนนั้น ก่อนเขาจะคลายมือออกจากตัวผม ปลดอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นและเดินออกไปอย่างไม่หันกลับมา ทิ้งไว้แค่ผมที่ยืนอยู่กับความว่างป่าวอยู่อย่างนั้น
เสียงที่ผมได้ยินจากปากเขาในตอนนั้นมันมีแต่ทำให้ผมสงสัย ว่าสิ่งที่ปุ้นต้องการบอกผมมันคืออะไร “กูขอโทษนะ” คำนี้มันเริ่มมาแทนที่ความคิดในตอนเช้า แทนที่ความสงสัย และความลังเลของผม
“โอ้ยยยยยย เว้ย!!!!!! เอาอีกแล้วนะมึง มึงจำไว้ดิ มึงไม่ได้คิดไรกับมัน มึงจำไว้ ”
ความเครียดเข้าถาโถมผมขึ้นมาทุกที ผมยังคงต่อว่าตัวเองอยู่หน้ากระจกเหมือนเดิม เพียงเพราะแค่อยากไล่ความสับสนที่อยู่เต็มหัวไปเท่านั้น และท้ายที่สุดถึงแม้มันจะลืมไปได้เพียงชั่วคราว แต่มันไม่สามารถทำให้ผมลืมความสับสนไปได้ทังหมด ผมไม่รู้แล้วว่าตัวผมเป็นอะไรไปในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรไป สิ่งสุดท้ายที่ผมนึกได้ก็มีแต่ปุ้น
สิ่งที่นึกถึงมีแค่ปุ้น!!!!!
*****
สายลมพัดโชยโบกสะบัดต้นไม้ใบหญ้าในยามราตรี ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกดีชะมัด ผมได้เดินออกจากห้องนอนมายังบริเวณสวนหลังบ้าน บรรจงวางตัวเองลงบนม้านั่งที่แสนว่างปล่าวนั้น พร้อมกับเงยหน้ามองไปยังบนท้องฟ้ากว้าง มองเห็นหมู่ดาวที่ลอยเด่นอยู่เต็มท้องฟ้าระยิบระยับงดงามตา ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ
สิ่งที่ผมต้องการคืออะไรกันนะ? ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้? นาฬิกาชี้เวลา เลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่ว่าผมยังคงคิดมิตกกับเรื่องนั้นอยู่ คิดอยู่เพียงลำพัง ในหัวของผมคนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ผมควรจะทำไงดี บุกไปหาเลย? (ป่านนี้ทางบ้านคงจะหลับละ) ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป?(แต่สุดท้ายเราก็ต้องคิดมากอีก) หรือจะโทรไปหาดี? ผมนั่งคิดอยู่นานพอควร ก่อนที่จะหยิบโทรสับขึ้นมา
เอาวะ!!! แค่ครั้งเดียว ถ้าไม่รับก็คือจบ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสำหรับผมเพราะ ไม่ว่ายังไงความกล้าที่จะคุยกับเขามันยังมีไม่มากพอในตอนนี้ ซึ่งเมื่อถ้าผมโทรไปและเขารับ เรื่องที่มันค้างคาใจทั้งหมดอาจจะหายไป แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ เพราะว่าถ้าเขาไม่รับสายผม ผมเองก็ยังต้องคิดมากอยู่แบบนี้ต่อไป
ผมตัดสินใจไปที่จะเริ่มเป็นฝ่ายโทรไปหาก่อน แต่ผมก็ต้องตกใจที่สิ่งที่ผมคิดจะทำ มันกลับมีเหตุการณ์ที่เอื้ออำนวยให้ผมทำสำเร็จทุกครั้ง อย่างที่ผมต้องการที่จะเจอปุ้นเมื่อตอนเช้า ทั้งที่ตัดสินใจจะเข้าไปหาเขาในห้องสภานักเรียน แต่เขากลับมายืนอยู่ต่อหน้าผม และตอนนี้ก็เช่นกันผมคิดที่จะโทรไปหาเขา แต่โทรสับของผมกลับสั่นขึ้น พร้อมกับโชว์เบอร์คนทีผมไม่คาดฝันขึ้น
ปุ้น......
นี่เป็นเรื่องบังเอิญใช่หรือปล่าว? ทำไมพอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับปุ้น เรื่องมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ทุกทีเลยนะ? ผมจ้องมองโทรสับที่กำลังสั่นอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าโชคมันจะเข้าข้างผมเพียงไหน แต่ผมก็ยังคงลังเลอยู่ดี จนในที่สุดผมก็กดรับสาย
“ปุ้น”
ผมเผลอพูดชื่อปุ้นออกไป หรือบางทีผมอาจไม่ได้เผลอพูด แต่เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะพูดออกมาก็เป็นได้
“ไทค์” และคงเป็นเช่นเดียวกับผม ปุ้นพูดชื่อผมออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ (แล้วจะโทรมาทำไมถ้าไม่พูด) ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ปุ้น............. วันนี้มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ” เสียงปลายสายเงียบก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับพูดในสิ่งที่ผมแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
“ไทค์.............ตอนนี้กูเป็นอะไรไม่รู้วะ............... รู้สึกพักนี้กูจะทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ว่ากูจะทำอะไรกูก็พลาดเสมอ แต่มีอย่างหนึ่งที่ทำให้กูยิ้มได้ นั่นก็คือเปียโน ไม่ว่ากูจะเป็นแบบไหนเขาก็ทนกูได้เสมอ และไม่ว่าเขาจะทำผิดแค่ไหนกูเองก็ไม่เคยโกรธเขาเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แล้วมึงมาบอกกูทำไมวะ กูไม่ใช่เปียโนนะเว้ย” เสียงของผมในตอนนี้ราวกับว่าผมกลายเป็นคนเย็นชาไปซะอย่างงั้น
“กูแค่อยากให้มึงได้รู้ ว่ากูยอมเขาและกูก็รักเขามาก...............แต่ตอนนี้กูก็คิดทรยศเขา ทรยศเปียโนที่ดีกับกูทุกอย่าง.................หลายวันที่ผ่านมานี้กูทะเลาะกับเปียโน!!!! เขาไปเที่ยวกับกูก็จริงแต่เขาไม่พูดกับกูเลยซักคำ และไม่มองหน้ากูด้วย ตอนนั้นกูแทบจะยิ้มออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ว่านะไทค์............มันมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้กูยิ้มได้ในตอนนั้น...............นั่นก็คือมึง” เสียงของปุ้นหยุดลง และตอนนั้นเองผมก็ต้องเงียบไปเช่นเดียวกัน เพราะตัวผมเองไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะพูดประโยคไหนต่อไปดี
“ตั้งแต่มึงเข้ามาในชีวิตกูเหมือนทุกอย่างมันรวนไปหมด ความทรงจำที่เกี่ยวกับมึงค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้เองมันก็ชัดมากขึ้นกว่าตอนนั้นซะด้วยซ้ำ มึงมาทำให้ชีวิตกูไม่เบื่อ ทำให้กูยิ้มได้ และเวลาที่กูอยู่ใกล้ๆมึง กูต้องรู้สึกแปลกตลอดเวลา ทั้งเมื่อวาน........และตอนเช้านี้.............กูไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป กูรู้แค่ว่าตอนนี้กูไม่ใช่กูคนเดิมอีกแล้ว” เสียงที่เต็มไปด้วยความลังเลของปุ้นได้กล่าวระบายความในใจออกมาอย่างยาวเหยียดเป็นรอบที่สองหลังเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าเป็นความในใจที่เก็บเอาไว้มานานแสนนาน
“ปุ้น............คนเรามักจะหาเหตุมากมายมาพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี บางคนก็มักจะหาเหตุผลเพื่อมาหลอกตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันผิด............แล้วมึงละ!!! จะหาเหตุผลอะไรมาพูด เพื่อมาบอกว่าตัวเองก็คิดเหมือนกัน.............กูไม่รู้ว่าสิ่งที่มึงต้องการจะบอกคืออะไร หรือที่มึงคิดว่ามึงเปลี่ยนไปเป็นเพราะอะไร แต่กูแค่อยากจะรู้ ว่าเพราะเหตุผลอะไรที่ทำให้มึงรู้สึกแบบนั้น”
“ไทค์................ไม่ว่าจะหาเหตุผลทั้งหมดบนโลกใบนี้มาพูด แต่สิ่งที่กูบอกมึงได้มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น............ไม่ใช่ว่ากูอยากหลบหน้ามึงเพราะว่าอยากหรอก แต่ให้กูทำยังไงได้วะ ก็ในเมื่อเหตุผลที่กูอยากบอกนั้นมันบังคับกูให้ทำแบบนี้...........ไทค์..........กูกลัวที่จะต้องเจอกับมึง เพราะมึง.........ทำให้กูรู้สึกดีเวลาอยู่ด้วย กูกลัว..............ว่ากูจะคิดกับมึงมากไปกว่านี้” เสียงของปุ้นได้เงียบลงอีกครั้ง หลังจากที่ประโยคที่เขาพูดออกมาจบลง ตอนนั้นผมได้แต่นั่งเงียบก่อนที่จะเงยหน้าไปมองแผ่นฟ้าสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาว พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา
“ปุ้น....................พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน กูจะรอมึงอยู่ที่สนามบาสนะ มึงจะเลือกที่จะหลบหน้ากูต่อไปก็ได้ หรือมึงจะไปตามที่กูบอกก็ได้แล้วแต่มึง เพราะกูไม่อยากฝืนใจใคร...........แต่มึงจำไว้นะเว้ยกูจะรอมึงอยู่ที่นั่น ไอ้ปุ้นกูมีอะไรจะบอกมึง”
“กูจะรอมึงนะ ปุ้น”
*****
ถ้ามีชอยต์สองข้อให้เลือก คนเรามักจะเลือกข้อที่คิดว่ามันเป็นข้อที่ดีที่สุดเสมอ และนั่นก็รวมถึงตัวผมเอง เพราะผมมักจะเลือกข้อที่ดีกว่าเสมอ แต่สำหรับปุ้นแล้ว!!! ผมไม่รู้ว่าเขาจะเลือกข้อไหน? ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกที่จะมาเจอผม หรือเลือกที่จะหลบหน้าผมแบบนี้ต่อไป.........แต่ท้ายที่สุดในใจลึกๆของผมก็อยากให้เขามาเจอผมเหมือนกัน(ถ้าเป็นไปได้) เพราะสิ่งที่ผมจะทำหลังจากที่เจอเขาคือ ความจริงที่ผมตั้งใจจะพูดออกมา
เวลาในตอนนี้ชี้ชัดเป็นเวลา ตีหนึ่ง สิบสี่นาที ผมได้แต่จ้องหน้าจอโทรสับมือถืออยู่อย่างนั้นถึงแม้ว่าสายของปุ้นจะดับลงไปแล้วก็ตาม
ผมไม่กลัวหรอกว่าถ้าเจอปุ้นแล้วสิ่งที่ผมต้องการจะบอกไปผมจะพูดมันออกมาได้หรือป่าว แต่ผมกลัวที่จะไม่ได้บอกมันออกไปมากกว่า เพราะสิ่งที่ผมคิดมันก็ไม่ต่างจากที่ปุ้นคิดเหมือนกัน ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่ประกอบด้วยกลุ่มดาวน้อยใหญ่สลับกันไปมา ถ้าขอพรจากดวงดาวได้ ผมอยากจะขอให้ชีวิตของผมผ่านเรื่องที่แสนเลวร้ายไปให้หมดและพบเจอแต่เรื่องดีๆ ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะไม่ใช่เรื่องราวที่แสนเลวร้ายก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมสับสนอยู่ดี
พรุ่งนี้แล้วสินะ
*****
“เห้ย มีปัญหาอะไรวะ มึงอยากมีเรื่องกับกูเหรอ”
เสียงของเด็ก ม.ต้น ทะเลาะกันดังมาถึงที่พวกผมนั่งอยู่
“เห้ย เด็กตีกันวะ ไปดูมั๊ยวะ”
“โถ่.........เชี่ยนนท์ อยู่นี่ก็เห็นแม่งจะไปทำไมวะ เดี๋ยวถ้า อาจารย์มัณฑนามาเห็นเข้า เดี๋ยวก็หาว่าเรายุเด็กๆทะเลาะกันอีกหรอก อยู่เนี๊ยะแหละแหละดีแล้ว”
“เออ..........ไอ้ฟีคก็พูดถูกของมันนะ ขืนเราเข้าไปยุ่งมีหวังจบไม่สวยแน่ พวกมาสเซอร์และอาจารย์เขายิ่งมองเราแย่ๆ อยู่” เสียงสนทนาของไอ้นนท์ ไอ้ฟีคและไอ้มาเฟีย คุยกันซะดังลั่นเลย สงสัยว่าคงจะชอบนะเรื่องต่อยตีนี่
“เออ ดีแล้วที่ไม่ไป ดูอย่างปีแล้วดิ ไปเพื่อห้าม พวกมึงกลับก่อเรื่องซะเอง อยู่นี่แหละ ไอ้มาเฟียพูดถูกละพวกมึงนี่อยู่กันไม่สุขเลยจริงๆ”
“โถ่เจเค มึงก็เกินไปพวกกูไม่ใช่คนที่ไล่ไปหาเรื่องใครซักหน่อย” ไอ้ฟีคบ่นโวยเมื่อเจเคพูดถึงวีรกรรมที่ไอ้ฟีค ไอ้นนท์ และไอ้ทาม ก่อร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว
“เหรอ กูจำได้นะเว้ย ปีแล้วเกือบโดนไล่ออกทีหนึ่งละ เทอมหนึ่งนี่มีเรื่องไม่ต่ำกว่าสิบรอบ นับเป็นสถิติได้เลยนะนั่น”
“โห๋ ก็นั่นมัน............”
“พอเหอะว่ะ จะมาเถียงกันทำไมวะ เรื่องมันก็ผ่านๆไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งพวกมึงก็อย่าไปยุ่งด้วย อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆดีกว่า” เสียงของไอ้เก่งพูดขึ้นมา เพราะไอ้เก่งเป็นคนรักสงบไม่ค่อยชอบมีเรื่อง แต่มีทีนี่ไม่จบง่ายๆแน่
“เออ!!! กูหิวแล้ววะ ไปแดกข้าวกันป่าววะ” เสียงของอ้นบ่นขึ้นมา เมื่อทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องต่อยตี ก็โอนะ เรื่องต่อยตีจบต่อด้วยของกิน
“เออวะ กูก็หิว ป๊ะ ไปหาไรกินกัน” นั่นไงว่าแล้ว เมื่อพูดถึงของกินพวกนี้ไม่นิ่งเฉยหรอก เพราะว่าตอนนี้ไอ้นนท์ได้ลุกขึ้นเตรียมพร้อมจะมุ่งหน้าไปโรงอาหารเรียบร้อยละ
“เออ” เก่งตอบรับพร้อมผงกหัว ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับอ้น
“กูไปด้วย”
“กูด้วย” เสียงของไอ้ทามและมาเฟียต่อท้ายก่อนที่ไอ้ฟีคจะหันมาถามผมกับเจเคและวิ่งตามไป
“แล้วมึงสองคนไม่ไปเหรอวะ?”
“ไม่แหละกูยังไม่หิว แล้วมึงละ?” เจเคได้ตอบไอ้ฟีคกลับไปก่อนที่จะหันหน้ามาถามผม
“เออ!!! กูก็ไม่หิว มึงไปเหอะ” ผมพูดตอบพร้อมบอกไอ้ฟีคว่าไปกินเลย เพราะผมไม่รู้สึกหิวจริงๆ ปกตินั่งกินจนพุงกางไปแล้ว
“เออ!!! งั้นกูไปละนะ” ไอ้ฟีคตอบผมกลับก่อนจะตะโกนเรียนพวกไอ้นนท์ที่เดินไปก่อนและวิ่งตามไป “เห้ย!!!! รอกูด้วยดิ ไอ้พวกนี้ทิ้งกูนี่หว่า.........เห้ย รอกูด้วย”
พวกไอ้นนท์ ไอ้ฟีค และคนอื่นๆได้ลับสายตาของผมไปแล้ว ตอนนี้ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนมีเพียงผมและเจเคเพียงเท่านั้น บรรยากาศในตอนนี้ช่างสดชื่นกว่าทุกวัน ลมอ่อนๆพัดโชยเย็นสบายตัว ทำให้ผมนั่งรับลมที่แสนสบายนี้ได้อย่างเต็มที่ ช่างเป็นวันที่แสนวิเศษจริงๆ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาได้ ก็คือ เมื่อคืนผมได้พูดอะไรบางอย่างกับคนๆหนึ่งไว้ เมื่อคืนนี้ผมได้คุยโทรสับกับคนๆหนึ่งไว้และได้บอกกับเขาไว้ว่าจะรอที่สนามบาส หลังเลิกเรียนเย็นวันนี้ เพื่อจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา แต่ใจลึกๆของผมในตอนนี้ก็ยังคงเตรียมตัวเตรียมใจกับคำพูดนั้นอยู่ เพราะว่าต่อให้มีเวลาที่จะพูดมันออกมามากแค่ไหน แต่พอถึงเวลาจริงผมก็ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาอยู่ดี
เมฆสีขาวผุดผ่องดังปุยนุ่นกำลังลอยเล่นลมอยู่บนท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ช่างเป็นภาพที่ดูสวยงามเสียจริง แต่ใต้ฟ้ากว้างใหญ่ที่ดูสวยงามนั้นกลับมีคนที่กำลังต้องคิดมากอยู่กี่คนกันนะ อาจเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน หรืออาจเป็นล้านคนเลยก็ได้ ซึ่งถ้าถ้านับจำนวนผมก็คงเป็นหนึ่งในนั้น ที่ยังคงคิดมากอยู่อย่างนั้น ผมตัดสินใจที่จะถามทุกอย่างที่อยากรู้ ถามทุกสิ่งที่ยังคงสงสัย และจะบอกสิ่งที่ผมต้องการจะบอกออกไปในวันนี้ เพราะผมได้เตรียมใจที่จะพูดออกไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนที่พูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าจริง แต่การตัดสินใจของผมครั้งนี้จะเป็นความตั้งใจของผม เพราะคำตอบส่วนหนึ่งผมได้รับรู้มันมาแล้ว ผมยังคงนั่งมองท้องฟ้าและรอเวลามันผ่านไปอย่างช้าๆอยู่อย่างนั้น ยังรอคอยเวลาให้มันผ่านพ้นไป รอมัน ผ่านพ้นไป ซึ่งไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่ามันจะถึงเวลานั้นซักที
อีกนานแค่ไหนกันนะ?
#####################
แสงไฟนีออนที่สาดส่องเข้ามายังใบหน้าผม ราวกับบอกให้ผมอยู่ตรงนี้อย่าจากไปไหน ผมครุ่นคิดอยู่เสมอตลอดสองวันที่ผ่านมาว่าตัวผมกลายเป็นคนที่ขี้กระวนกระวายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมคนที่เคยเข้มแข็งหายไปไหน และทำไมผมต้องนึกถึงแต่เรื่องของปุ้นกันด้วยนะ
ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันไม่สามารถบอกได้ ทั้งที่ผมและปุ้นห่างกันมานานถึงสองปี แต่พวกเราก็ยังคุยกัน ทักทายกันแต่ทำไม ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไป การที่ผมมาสนิทกันอีกครั้งถ้ามันทำให้ผมต้องเสียเพื่อนที่ดีแบบนี้ไป ผมขอให้มันเป็นแบบเดิมดีกว่า ความนึกคิดและภาพที่มักจะเข้ามาในสมองผมตลอดครึ่งชั่วโมงมันจะเป็นภาพของปุ้นอยู่เสมอเพราะอะไรกันนะ
ราวสามชั่วโมงก่อนที่มือของปุ้นยังโอบกอดผมแน่ราวกับว่าอย่าไปไหน มันทำให้ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดอยู่เสมอว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่เมื่อวานและตอนเช้าปุ้นแทบจะไม่มองหน้าเลย สิ่งที่ผมคิดมันจะเรียกว่าความคิดไม่ได้หรอก ถ้าจะพูดให้ถูกเรียกมันว่าความสงสัยมากกว่า ปุ้นยังคงโอบกอบผมไว้อย่างนั้น ทำให้เรื่องราวต่างๆที่ผมจดได้ตั้งแต่ได้เจอกับปุ้นอีกครั้ง แล่นเข้ามาในหัวผมเหมือนกับโอนข้อมูลจากแฟลชไดรฟ์มายังตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ยังไงอย่างนั้น
“กูขอโทษนะ”
เสียงของปุ้นที่เอ่ยออกมา ขณะที่หัวของผมยังคงวกวนอยู่กับความคิดนั้นอยู่ เสียงของปุ้นเพื่อนที่ผมรู้จักดีช่างเป็นเสียงที่แผ่วเบาเหมือนคนหมดแรง และประโยคนี้ก็เป็นเพียงประโยคเดียวที่ออกมาจากปากของปุ้นในตอนนั้น ก่อนเขาจะคลายมือออกจากตัวผม ปลดอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นและเดินออกไปอย่างไม่หันกลับมา ทิ้งไว้แค่ผมที่ยืนอยู่กับความว่างป่าวอยู่อย่างนั้น
เสียงที่ผมได้ยินจากปากเขาในตอนนั้นมันมีแต่ทำให้ผมสงสัย ว่าสิ่งที่ปุ้นต้องการบอกผมมันคืออะไร “กูขอโทษนะ” คำนี้มันเริ่มมาแทนที่ความคิดในตอนเช้า แทนที่ความสงสัย และความลังเลของผม
“โอ้ยยยยยย เว้ย!!!!!! เอาอีกแล้วนะมึง มึงจำไว้ดิ มึงไม่ได้คิดไรกับมัน มึงจำไว้ ”
ความเครียดเข้าถาโถมผมขึ้นมาทุกที ผมยังคงต่อว่าตัวเองอยู่หน้ากระจกเหมือนเดิม เพียงเพราะแค่อยากไล่ความสับสนที่อยู่เต็มหัวไปเท่านั้น และท้ายที่สุดถึงแม้มันจะลืมไปได้เพียงชั่วคราว แต่มันไม่สามารถทำให้ผมลืมความสับสนไปได้ทังหมด ผมไม่รู้แล้วว่าตัวผมเป็นอะไรไปในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรไป สิ่งสุดท้ายที่ผมนึกได้ก็มีแต่ปุ้น
สิ่งที่นึกถึงมีแค่ปุ้น!!!!!
*****
สายลมพัดโชยโบกสะบัดต้นไม้ใบหญ้าในยามราตรี ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกดีชะมัด ผมได้เดินออกจากห้องนอนมายังบริเวณสวนหลังบ้าน บรรจงวางตัวเองลงบนม้านั่งที่แสนว่างปล่าวนั้น พร้อมกับเงยหน้ามองไปยังบนท้องฟ้ากว้าง มองเห็นหมู่ดาวที่ลอยเด่นอยู่เต็มท้องฟ้าระยิบระยับงดงามตา ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ
สิ่งที่ผมต้องการคืออะไรกันนะ? ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้? นาฬิกาชี้เวลา เลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่ว่าผมยังคงคิดมิตกกับเรื่องนั้นอยู่ คิดอยู่เพียงลำพัง ในหัวของผมคนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ผมควรจะทำไงดี บุกไปหาเลย? (ป่านนี้ทางบ้านคงจะหลับละ) ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป?(แต่สุดท้ายเราก็ต้องคิดมากอีก) หรือจะโทรไปหาดี? ผมนั่งคิดอยู่นานพอควร ก่อนที่จะหยิบโทรสับขึ้นมา
เอาวะ!!! แค่ครั้งเดียว ถ้าไม่รับก็คือจบ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสำหรับผมเพราะ ไม่ว่ายังไงความกล้าที่จะคุยกับเขามันยังมีไม่มากพอในตอนนี้ ซึ่งเมื่อถ้าผมโทรไปและเขารับ เรื่องที่มันค้างคาใจทั้งหมดอาจจะหายไป แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ เพราะว่าถ้าเขาไม่รับสายผม ผมเองก็ยังต้องคิดมากอยู่แบบนี้ต่อไป
ผมตัดสินใจไปที่จะเริ่มเป็นฝ่ายโทรไปหาก่อน แต่ผมก็ต้องตกใจที่สิ่งที่ผมคิดจะทำ มันกลับมีเหตุการณ์ที่เอื้ออำนวยให้ผมทำสำเร็จทุกครั้ง อย่างที่ผมต้องการที่จะเจอปุ้นเมื่อตอนเช้า ทั้งที่ตัดสินใจจะเข้าไปหาเขาในห้องสภานักเรียน แต่เขากลับมายืนอยู่ต่อหน้าผม และตอนนี้ก็เช่นกันผมคิดที่จะโทรไปหาเขา แต่โทรสับของผมกลับสั่นขึ้น พร้อมกับโชว์เบอร์คนทีผมไม่คาดฝันขึ้น
ปุ้น......
นี่เป็นเรื่องบังเอิญใช่หรือปล่าว? ทำไมพอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับปุ้น เรื่องมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ทุกทีเลยนะ? ผมจ้องมองโทรสับที่กำลังสั่นอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าโชคมันจะเข้าข้างผมเพียงไหน แต่ผมก็ยังคงลังเลอยู่ดี จนในที่สุดผมก็กดรับสาย
“ปุ้น”
ผมเผลอพูดชื่อปุ้นออกไป หรือบางทีผมอาจไม่ได้เผลอพูด แต่เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะพูดออกมาก็เป็นได้
“ไทค์” และคงเป็นเช่นเดียวกับผม ปุ้นพูดชื่อผมออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ (แล้วจะโทรมาทำไมถ้าไม่พูด) ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ปุ้น............. วันนี้มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ” เสียงปลายสายเงียบก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับพูดในสิ่งที่ผมแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
“ไทค์.............ตอนนี้กูเป็นอะไรไม่รู้วะ............... รู้สึกพักนี้กูจะทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ว่ากูจะทำอะไรกูก็พลาดเสมอ แต่มีอย่างหนึ่งที่ทำให้กูยิ้มได้ นั่นก็คือเปียโน ไม่ว่ากูจะเป็นแบบไหนเขาก็ทนกูได้เสมอ และไม่ว่าเขาจะทำผิดแค่ไหนกูเองก็ไม่เคยโกรธเขาเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แล้วมึงมาบอกกูทำไมวะ กูไม่ใช่เปียโนนะเว้ย” เสียงของผมในตอนนี้ราวกับว่าผมกลายเป็นคนเย็นชาไปซะอย่างงั้น
“กูแค่อยากให้มึงได้รู้ ว่ากูยอมเขาและกูก็รักเขามาก...............แต่ตอนนี้กูก็คิดทรยศเขา ทรยศเปียโนที่ดีกับกูทุกอย่าง.................หลายวันที่ผ่านมานี้กูทะเลาะกับเปียโน!!!! เขาไปเที่ยวกับกูก็จริงแต่เขาไม่พูดกับกูเลยซักคำ และไม่มองหน้ากูด้วย ตอนนั้นกูแทบจะยิ้มออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ว่านะไทค์............มันมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้กูยิ้มได้ในตอนนั้น...............นั่นก็คือมึง” เสียงของปุ้นหยุดลง และตอนนั้นเองผมก็ต้องเงียบไปเช่นเดียวกัน เพราะตัวผมเองไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะพูดประโยคไหนต่อไปดี
“ตั้งแต่มึงเข้ามาในชีวิตกูเหมือนทุกอย่างมันรวนไปหมด ความทรงจำที่เกี่ยวกับมึงค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้เองมันก็ชัดมากขึ้นกว่าตอนนั้นซะด้วยซ้ำ มึงมาทำให้ชีวิตกูไม่เบื่อ ทำให้กูยิ้มได้ และเวลาที่กูอยู่ใกล้ๆมึง กูต้องรู้สึกแปลกตลอดเวลา ทั้งเมื่อวาน........และตอนเช้านี้.............กูไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป กูรู้แค่ว่าตอนนี้กูไม่ใช่กูคนเดิมอีกแล้ว” เสียงที่เต็มไปด้วยความลังเลของปุ้นได้กล่าวระบายความในใจออกมาอย่างยาวเหยียดเป็นรอบที่สองหลังเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าเป็นความในใจที่เก็บเอาไว้มานานแสนนาน
“ปุ้น............คนเรามักจะหาเหตุมากมายมาพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี บางคนก็มักจะหาเหตุผลเพื่อมาหลอกตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันผิด............แล้วมึงละ!!! จะหาเหตุผลอะไรมาพูด เพื่อมาบอกว่าตัวเองก็คิดเหมือนกัน.............กูไม่รู้ว่าสิ่งที่มึงต้องการจะบอกคืออะไร หรือที่มึงคิดว่ามึงเปลี่ยนไปเป็นเพราะอะไร แต่กูแค่อยากจะรู้ ว่าเพราะเหตุผลอะไรที่ทำให้มึงรู้สึกแบบนั้น”
“ไทค์................ไม่ว่าจะหาเหตุผลทั้งหมดบนโลกใบนี้มาพูด แต่สิ่งที่กูบอกมึงได้มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น............ไม่ใช่ว่ากูอยากหลบหน้ามึงเพราะว่าอยากหรอก แต่ให้กูทำยังไงได้วะ ก็ในเมื่อเหตุผลที่กูอยากบอกนั้นมันบังคับกูให้ทำแบบนี้...........ไทค์..........กูกลัวที่จะต้องเจอกับมึง เพราะมึง.........ทำให้กูรู้สึกดีเวลาอยู่ด้วย กูกลัว..............ว่ากูจะคิดกับมึงมากไปกว่านี้” เสียงของปุ้นได้เงียบลงอีกครั้ง หลังจากที่ประโยคที่เขาพูดออกมาจบลง ตอนนั้นผมได้แต่นั่งเงียบก่อนที่จะเงยหน้าไปมองแผ่นฟ้าสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาว พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา
“ปุ้น....................พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน กูจะรอมึงอยู่ที่สนามบาสนะ มึงจะเลือกที่จะหลบหน้ากูต่อไปก็ได้ หรือมึงจะไปตามที่กูบอกก็ได้แล้วแต่มึง เพราะกูไม่อยากฝืนใจใคร...........แต่มึงจำไว้นะเว้ยกูจะรอมึงอยู่ที่นั่น ไอ้ปุ้นกูมีอะไรจะบอกมึง”
“กูจะรอมึงนะ ปุ้น”
*****
ถ้ามีชอยต์สองข้อให้เลือก คนเรามักจะเลือกข้อที่คิดว่ามันเป็นข้อที่ดีที่สุดเสมอ และนั่นก็รวมถึงตัวผมเอง เพราะผมมักจะเลือกข้อที่ดีกว่าเสมอ แต่สำหรับปุ้นแล้ว!!! ผมไม่รู้ว่าเขาจะเลือกข้อไหน? ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกที่จะมาเจอผม หรือเลือกที่จะหลบหน้าผมแบบนี้ต่อไป.........แต่ท้ายที่สุดในใจลึกๆของผมก็อยากให้เขามาเจอผมเหมือนกัน(ถ้าเป็นไปได้) เพราะสิ่งที่ผมจะทำหลังจากที่เจอเขาคือ ความจริงที่ผมตั้งใจจะพูดออกมา
เวลาในตอนนี้ชี้ชัดเป็นเวลา ตีหนึ่ง สิบสี่นาที ผมได้แต่จ้องหน้าจอโทรสับมือถืออยู่อย่างนั้นถึงแม้ว่าสายของปุ้นจะดับลงไปแล้วก็ตาม
ผมไม่กลัวหรอกว่าถ้าเจอปุ้นแล้วสิ่งที่ผมต้องการจะบอกไปผมจะพูดมันออกมาได้หรือป่าว แต่ผมกลัวที่จะไม่ได้บอกมันออกไปมากกว่า เพราะสิ่งที่ผมคิดมันก็ไม่ต่างจากที่ปุ้นคิดเหมือนกัน ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่ประกอบด้วยกลุ่มดาวน้อยใหญ่สลับกันไปมา ถ้าขอพรจากดวงดาวได้ ผมอยากจะขอให้ชีวิตของผมผ่านเรื่องที่แสนเลวร้ายไปให้หมดและพบเจอแต่เรื่องดีๆ ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะไม่ใช่เรื่องราวที่แสนเลวร้ายก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมสับสนอยู่ดี
พรุ่งนี้แล้วสินะ
*****
“เห้ย มีปัญหาอะไรวะ มึงอยากมีเรื่องกับกูเหรอ”
เสียงของเด็ก ม.ต้น ทะเลาะกันดังมาถึงที่พวกผมนั่งอยู่
“เห้ย เด็กตีกันวะ ไปดูมั๊ยวะ”
“โถ่.........เชี่ยนนท์ อยู่นี่ก็เห็นแม่งจะไปทำไมวะ เดี๋ยวถ้า อาจารย์มัณฑนามาเห็นเข้า เดี๋ยวก็หาว่าเรายุเด็กๆทะเลาะกันอีกหรอก อยู่เนี๊ยะแหละแหละดีแล้ว”
“เออ..........ไอ้ฟีคก็พูดถูกของมันนะ ขืนเราเข้าไปยุ่งมีหวังจบไม่สวยแน่ พวกมาสเซอร์และอาจารย์เขายิ่งมองเราแย่ๆ อยู่” เสียงสนทนาของไอ้นนท์ ไอ้ฟีคและไอ้มาเฟีย คุยกันซะดังลั่นเลย สงสัยว่าคงจะชอบนะเรื่องต่อยตีนี่
“เออ ดีแล้วที่ไม่ไป ดูอย่างปีแล้วดิ ไปเพื่อห้าม พวกมึงกลับก่อเรื่องซะเอง อยู่นี่แหละ ไอ้มาเฟียพูดถูกละพวกมึงนี่อยู่กันไม่สุขเลยจริงๆ”
“โถ่เจเค มึงก็เกินไปพวกกูไม่ใช่คนที่ไล่ไปหาเรื่องใครซักหน่อย” ไอ้ฟีคบ่นโวยเมื่อเจเคพูดถึงวีรกรรมที่ไอ้ฟีค ไอ้นนท์ และไอ้ทาม ก่อร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว
“เหรอ กูจำได้นะเว้ย ปีแล้วเกือบโดนไล่ออกทีหนึ่งละ เทอมหนึ่งนี่มีเรื่องไม่ต่ำกว่าสิบรอบ นับเป็นสถิติได้เลยนะนั่น”
“โห๋ ก็นั่นมัน............”
“พอเหอะว่ะ จะมาเถียงกันทำไมวะ เรื่องมันก็ผ่านๆไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งพวกมึงก็อย่าไปยุ่งด้วย อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆดีกว่า” เสียงของไอ้เก่งพูดขึ้นมา เพราะไอ้เก่งเป็นคนรักสงบไม่ค่อยชอบมีเรื่อง แต่มีทีนี่ไม่จบง่ายๆแน่
“เออ!!! กูหิวแล้ววะ ไปแดกข้าวกันป่าววะ” เสียงของอ้นบ่นขึ้นมา เมื่อทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องต่อยตี ก็โอนะ เรื่องต่อยตีจบต่อด้วยของกิน
“เออวะ กูก็หิว ป๊ะ ไปหาไรกินกัน” นั่นไงว่าแล้ว เมื่อพูดถึงของกินพวกนี้ไม่นิ่งเฉยหรอก เพราะว่าตอนนี้ไอ้นนท์ได้ลุกขึ้นเตรียมพร้อมจะมุ่งหน้าไปโรงอาหารเรียบร้อยละ
“เออ” เก่งตอบรับพร้อมผงกหัว ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับอ้น
“กูไปด้วย”
“กูด้วย” เสียงของไอ้ทามและมาเฟียต่อท้ายก่อนที่ไอ้ฟีคจะหันมาถามผมกับเจเคและวิ่งตามไป
“แล้วมึงสองคนไม่ไปเหรอวะ?”
“ไม่แหละกูยังไม่หิว แล้วมึงละ?” เจเคได้ตอบไอ้ฟีคกลับไปก่อนที่จะหันหน้ามาถามผม
“เออ!!! กูก็ไม่หิว มึงไปเหอะ” ผมพูดตอบพร้อมบอกไอ้ฟีคว่าไปกินเลย เพราะผมไม่รู้สึกหิวจริงๆ ปกตินั่งกินจนพุงกางไปแล้ว
“เออ!!! งั้นกูไปละนะ” ไอ้ฟีคตอบผมกลับก่อนจะตะโกนเรียนพวกไอ้นนท์ที่เดินไปก่อนและวิ่งตามไป “เห้ย!!!! รอกูด้วยดิ ไอ้พวกนี้ทิ้งกูนี่หว่า.........เห้ย รอกูด้วย”
พวกไอ้นนท์ ไอ้ฟีค และคนอื่นๆได้ลับสายตาของผมไปแล้ว ตอนนี้ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนมีเพียงผมและเจเคเพียงเท่านั้น บรรยากาศในตอนนี้ช่างสดชื่นกว่าทุกวัน ลมอ่อนๆพัดโชยเย็นสบายตัว ทำให้ผมนั่งรับลมที่แสนสบายนี้ได้อย่างเต็มที่ ช่างเป็นวันที่แสนวิเศษจริงๆ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาได้ ก็คือ เมื่อคืนผมได้พูดอะไรบางอย่างกับคนๆหนึ่งไว้ เมื่อคืนนี้ผมได้คุยโทรสับกับคนๆหนึ่งไว้และได้บอกกับเขาไว้ว่าจะรอที่สนามบาส หลังเลิกเรียนเย็นวันนี้ เพื่อจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา แต่ใจลึกๆของผมในตอนนี้ก็ยังคงเตรียมตัวเตรียมใจกับคำพูดนั้นอยู่ เพราะว่าต่อให้มีเวลาที่จะพูดมันออกมามากแค่ไหน แต่พอถึงเวลาจริงผมก็ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาอยู่ดี
เมฆสีขาวผุดผ่องดังปุยนุ่นกำลังลอยเล่นลมอยู่บนท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ช่างเป็นภาพที่ดูสวยงามเสียจริง แต่ใต้ฟ้ากว้างใหญ่ที่ดูสวยงามนั้นกลับมีคนที่กำลังต้องคิดมากอยู่กี่คนกันนะ อาจเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน หรืออาจเป็นล้านคนเลยก็ได้ ซึ่งถ้าถ้านับจำนวนผมก็คงเป็นหนึ่งในนั้น ที่ยังคงคิดมากอยู่อย่างนั้น ผมตัดสินใจที่จะถามทุกอย่างที่อยากรู้ ถามทุกสิ่งที่ยังคงสงสัย และจะบอกสิ่งที่ผมต้องการจะบอกออกไปในวันนี้ เพราะผมได้เตรียมใจที่จะพูดออกไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนที่พูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าจริง แต่การตัดสินใจของผมครั้งนี้จะเป็นความตั้งใจของผม เพราะคำตอบส่วนหนึ่งผมได้รับรู้มันมาแล้ว ผมยังคงนั่งมองท้องฟ้าและรอเวลามันผ่านไปอย่างช้าๆอยู่อย่างนั้น ยังรอคอยเวลาให้มันผ่านพ้นไป รอมัน ผ่านพ้นไป ซึ่งไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่ามันจะถึงเวลานั้นซักที
อีกนานแค่ไหนกันนะ?
#####################
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ