MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}
8.3
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.
11 ตอน
4 วิจารณ์
13.69K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) MEMORIES [8]: conceit:
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [8]: conceit:
เสียงข่าวจากโทรทัศน์ประกาศดังลั่นทำให้ผมเหลือบไป [ข่าวดังชายหนุ่มมั่นรักยกขันหมากสู่ขอ จัดเลี้ยงงานวิวาห์ชายคู่] ผมสะบัดหัวไปมาเมื่อกำลังคิดถึงเรื่องผมกับปุ้นเมื่อตอนเช้าอยู่ ผมเดินขึ้นห้องเหมือนหมดอะไรตายอยาก ถึงแม้ว่าตัวผมจะคลุบตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนอยู่บนเตียงที่แสนจะนุ่ม และแทนที่ๆผมจะหลับ แต่ภาพนั้นกลับชัดเจนเพิ่มขึ้นทุกนาทีที่ผมหลับตา
“นี่มึงเป็นอะไรไปวะเนี๊ยะไอ้ไทค์ ทำไมมึงต้องนึกถึงมันด้วยวะ มึงไม่เห็นเหรอยังไง มันเมินมึงไม่ใช่เหรอ แม้แต่หน้ามันยังไม่อยากเจอเลย โถ่เว้ย”
ตอนนี้ผมได้แต่ด่าตัวเองอยู่อย่างนั้น และผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรไป ได้แต่สะบัดหัวไปมา แน่นอนว่านอนไม่หลับ และยังคงวกวนถึงแต่เรื่องนั้นจะว่าหมกมุ่นมันก็ไม่ต่างจากคำนี้ซักเท่าไหร่ และทั้งที่ผมเกือบจะลืมเรื่องนี้แล้ว แต่ทำไมทุกครั้งที่เกือบจะลืมมันผมต้องไปเจอหน้ามันด้วย ทำไมกันนะ (รู้สึกว่าพักนี้จะตั้งคำถามให้กับตัวเองมากเกินไปหน่อยแล้ว) ความคิดที่เต็มหัวสมองของผมมันรวมกันมากมายจนกลายเป็นความเครียด และท้ายที่สุดมันก็ทำให้ผมเผลอหลับลงไป
******
กริ๊งงงงงงงง
นาฬิกาปลุกย้ำเวลาเช้าให้ผมตื่นนอนเพื่อที่จะทำกิจกรรมในยามเช้าก่อนจะไปเรียน ผมตื่นไปเรียนโดนที่สภาพเหมือนศพคนตายมีชีวิต แล้วอะไรคือศพคนตามมีชีวิตล่ะนั้น? ผีดิบเหรอ หรือซอมบี้ ช่างเหอะ!!! เพราะยังไง ผมก็ไม่เหลือสภาพเหมือนคนปกตกติอยู่แล้ว แถมขอบตาดันช้ำอีกนอนดึกมาหรือป่าววะเนี๊ยะ!!!
ผมเดินมายังห้องเรียนที่วันนี้คนเสือกอยู่กันเต็มห้อง แล้วบรรจงนั่งลงบนเก้าอี้ที่พึ่งเกิดเรื่องที่ผมไม่อยากนึกถึงมาเมื่อวาน แล้วก็ฟุบโต๊ะหลับลงไปก่อนที่ไอ้นนท์จะกระชากคอเสื้อผมขึ้นมา
“นี่มึงเป็นไรเนี๊ยะ ตายห่าแต่เช้าเลยนะมึงไปมุดโลงศพที่ไหนมาวะ” ผมเงียบไปสามวิได้ก่อนจะตอบโต้ไอ้นนท์ปากหมากลับ
“มุดโลงบ้านมึงดิ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่านั้นเอง”
“เออ ช่างเหอะ แต่พักนี้มึงแปลกๆวะ เห็นมึงหงอยมาตั้งแต่เมื่อวานละ เป็นไรโดนแฟนบอกเลิก หรือว่านกเขาไม่ขันวะ”
“มึงนี่ก็ถามแต่เรื่องเหี้ยๆวะ ช่างเหอะ กูไม่เป็นไรหรอก พักนี้แค่เหนื่อยนิดหน่อยวะ” ผมพูดพร้อมกับฟุบโต๊ะ เหมือนคนอดนอนมาจริงๆ
“เออ ยังไงมึงเองก็พักบ้างนะเว้ย เห็นแบบนี้แล้วกูสงสารวะ” มึงเนี๊ยะนะห่วงกู โอ้แม่เจ้า
“เออ ยังไงก็ปลุกกูด้วยละกัน” ว่าแล้วไอ้นนท์ก็เดินไปสังสรรค์เฮฮากับพวกไอ้ฟีค ปล่อยให้ผมได้มีช่วงที่ให้ตัวเองหลับอยู่ในนิทราต่อไป
ขอบใจวะนนท์ที่มึงเข้าใจกู
ถึงแม้ว่าเพื่อนผมแต่ละคนจะดูเป็นคนที่ขี้เล่น หาความจริงอะไรไม่ได้ ปากหมา เอาแต่ไร้สาระไปวันๆ แต่พวกนั้นกลับแคร์ความรู้สึกของเพื่อนแต่ละคน ให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก มีอะไรก็ช่วยเหลือกันเสมอ ถึงบางครั้งจะทะเลาะกันบ้างแต่ไม่ถึงวันก็คืนดีกันได้แล้ว และถึงแม้ว่าบางครั้งจะเจอปัญหาใหญ่ที่หนักหน่วงสักเพียงไหน แต่คำว่าเพื่อนสำหรับพวกนั้นก็คือสิ่งที่มีค่าอย่างหนึ่ง เพราะว่าคำสัญญาที่ให้ไว้ด้วยกันก็คือ จะไม่มีวันทิ้งกัน มาจนถึงวันนี้คำสัญญานั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม และคำสัญญานี้ไม่ใช่แค่พวกนั้น แต่มันก็รวมถึงตัวผมด้วย ที่จะไม่มีวันทิ้งเพื่อนนี่แหละเพื่อนของผม
นนท์ได้ปลุกผมขึ้นมาเรียนเมื่อมาสเซอร์เข้ามาสอน แต่ก็ยังดี เพราะว่าวันนี้มันยังเรียกผมตื่นคงเพราะเห็นผมเพลียๆ แหละมั๊ง ถ้าเป็นวันปกติคงให้อาจารย์หรือมาสเซอร์เข้ามาปลุกผมเองละ และแน่นอนถ้าโดนมาสเซอร์ปลุก รับรองผมต้องได้ไปยืนหน้าห้องเรียนหรือไปก็โดนทำโทษแหง๋เลย
และในวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมได้ใช้ชีวิตแบบขอไปที ชีวิตของผมที่มันไม่มีอะไร ก็ยังคงไม่มีอะไรอยู่อย่างนั้นต่อไป เว้นแต่ความคิดที่อยู่เต็มสมองทำไมมันถึงไม่ว่างเปล่าเหมือนกับชีวิตของผมบ้างนะ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมหลับตาลงความคิดนั้นก็วนเข้ามาในสมองทุกครั้ง
ปุ้น..................ทำไมกูต้องคิดถึงมึงด้วยวะ
ผมได้วกวนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับคำๆเดิมอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทำไมต้องคิดถึง? ทำไมต้องพูดถึง? ทำไมกันนะ? ทำไม? ผมเฝ้าแต่นึกคำถามที่มันค้างคาอยู่ในใจของผมอยู่อย่างนั้น ซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามายังหัวสมองผมเลย
และตอนนี้เองผมได้แต่เฝ้าถามตัวเองอยู่อย่างนั้น ว่าตัวผมเองเป็นอะไรไป ตัวผมเองกลายเป็นคนที่คิดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สลับกับคำถามเดิมซ้ำๆ จนทำให้ผมแทบจะกลายเป็นคนบ้า
“ไอ้เชี่ยปุ้น............ไอ้หน้าไม่อาย ทำไมกูต้องคิดถึงมึงวะ”
ผมตะโกนอยู่ในห้องน้ำอย่างดังลั่นทั้งที่ภาพของปุ้นยังวกวนเข้ามาในหัวของผมอยู่เสมอ ผมเหลือบไปมองใบหน้าของตัวเองในกระจกที่เต็มไปด้วยความลังเลและความสับสน ซึ่งผมในตอนนี้แทบจะไม่ใช่ผมคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ผมได้แต่ยืนอยู่กับเงาของตัวเองในกระจกแบบนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับผมด้วย ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ถึงเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับผมและคนๆเดิมแบบนี้ด้วย
ตึงงงง
ผมถอยตัวมาอิงกับกำแพง และได้แต่ครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น นี่เหรอที่เขาเรียกว่าความสับสน นี่เหรอที่เขาเรียกว่าปัญหา ผมพยายามนึกอีกทีแบบนี้ดีแน่แล้วเหรอ? จะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไปนะเหรอ? ผมกลับมามองยังเงาของตัวเองในกระจกอีกทีซึ่งตอนนี้เองผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองเป็นอะไรไป เพราะรู้ตัวอีกทีผมก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำแล้ว
นี่เราจะไปที่ไหนกันนะ?
คำถามนี้เป็นคำถามที่ฉุกคิดขึ้นมาเตือนสติผมว่าผมกำลังจะไปที่ไหน? และตอนนี้ผมกำลังจะทำอะไร? ทั้งๆที่ตัวผมเองยังคงสงสัย แต่ร่างกายกลับยังคงเดินต่อไปราวกับว่าสมองคิดอีกอย่าง แต่ร่างกายกลับทำอีกอย่าง จนในที่สุด ตัวผมก็ได้มายืนอยู่หน้าห้องที่ผมได้เข้าไปในวันแรกตอนเปิดเทอม ใช่!!! ห้องสภานักเรียน ห้องที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ห้องที่ทำให้ผมได้เจอกับปุ้น ห้องที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนิทกันอีครั้งและก็เป็นห้องที่ทำให้เขาเมินผมในวันนี้
ถ้าวันนี้ผมไม่เจอกับปุ้นในห้องสภานักเรียนในวันนั้น เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ ความคิดที่ถาโถมเข้ามาในสมองของผมในตอนนี้ทำให้ผมเริ่มหวั่น...... ผมควรจะทำยังไงต่อไปกันนะ
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำต่อไปหลังจากนี้คืออะไรแค่ผมรู้แค่ว่าผมควรจะทำให้เรื่องแบบนี้มันผ่านไปซักที ผมเอื้อมมือไปหยิบที่จับลูกบิดประตู เพราะความคิดของผมในตอนนี้รู้แค่ว่าปุ้นต้องอยู่ในนั้น
แต่นั่น ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง!!!
เพราะคำตอบมันได้เดินมาหาผมแล้วในตอนนี้
“ปุ้น”
ปุ้น..........คนที่วันนี้เมินผมทั้งวัน คนที่พยายามหลบหน้าผมทั้งวันแต่ตอนนี้เขากลับมายืนอยู่ต่อหน้าผม สายตาของปุ้นเพ่งเล็งมาที่ผมอย่างจริงจัง สายตาของปุ้นจ้องตรงมาที่ผมราวกับว่าต้องการที่จะบอกอะไรบางอย่างให้ผมได้รับรู้ เสียงอุทานชื่อของเขาจากปากผมทำเขาเดินเข้ามาหาผมและก็เข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีโดยที่ไม่พูดอะไรซักอย่าง
แต่แล้วสิ่งที่ผมนึกก็ผิดไปเพราะว่าปุ้นไม่ได้ที่จะเข้ามาหาผม แต่กลับเดินผ่านไปซะอย่างนั้นผ่านไปโดยที่ไม่คิดจะมองกลับมา และตัวผมเองก็ยังคงได้แต่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ความสับสนนับร้อยนับพันถาโถมเข้ามาบรรจุในหัวผมอีกครั้ง ผมสะบัดหัวพร้อมกับหันหลังให้ปุ้นที่เดินผ่านผมไปโดยที่ไม่ทักผมแม้แต่คำเดียว
ใช่!!! ไม่ทักผมเลย
ผมจะปล่อยให้ผ่านไปแบบนี้นะเหรอ? ที่มาที่นี่ก็เพื่อจะถามความจริงไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่ต้องการในตอนนี้คือการทำให้ความสับสนนี้หายไปไม่ใช่เหรอ? จะให้มันผ่านไปแบบนี้เพื่ออะไร ความคิดที่มันถาโถมเขามาหาผม และในตอนนั้นกลับทำให้ผมคว้ามือของปุ้นที่กำลังจะเดินหนีผมไปไว้อย่างเหนียวแน่น มือของปุ้นช่างเป็นมือที่อ่อนนุ่น รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ปุ้นเหลียวหน้ามองมาทางผมด้วยสายตาที่ดูจริงจังไปซะทุกเวลา ซึ่งมันมักจะทำให้ผมอดที่จะจ้องไม่ได้
“มึงจะไปไหนวะปุ้น”
เสียงของผมถามไปยังปุ้นที่เพ่งเลงสายตามาทางผม
“ทำไมมึงต้องหนีหน้ากูด้วยวะ มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี๊ยะ” ใช่ มึงเป็นเหี้ยอะไร เพราะไม่ว่าผมจะพยายามเข้าหาตัวมันเมื่อไหร่ สุดท้ายผมก็รู้สึกได้ว่ามันยิ่งหนีผมไปเท่านั้น
ปุ้น....ใบหน้าที่คนที่แสนจะดูดี เพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นกับดูหมองลงทันตา เพราะว่าคำถามของผมอย่างนั้นเหรอ หรือเพราะว่าผมดันไปถามสิ่งที่ไม่ควรถามเข้า เพราะไม่ว่ายังไงเจ้าตัวก็เอาแต่เงียบอยู่ดี
“ขอร้องแหละปุ้นมึงพูดกับกูซักคำก็ได้ ทำไมมึงต้องหนีหน้ากูด้วยวะ กูไปทำอะไรให้มึงเหรอ” คำพูดที่ออกมาจากผมราวกับว่าเป็นมนต์สะกดให้ปุ้นชะงัก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมที่จะปริปากออกมาคุยกับผมเลย
ผมเริ่มถอนหายใจเหมือนคนยอมแพ้
ใช่!!!! ผมยอมแพ้
เพราะไม่ว่าจะทำยังไง ผมก็มีมีทางจะทำให้ปุ้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เลย ผมก้มหน้าและฉุดคิด ซึ่งคำแรกที่ออกมาจากหัวของผมคือ [ช่างเหอะ] แต่คำนี้ผมก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างเต็มปาก
ผมมองไปยังใบหน้าที่ดูหงอยๆของปุ้น ก่อนที่จะตัดสินใจหันหลังกลับไปทั้งๆอย่างนั้น ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้คำตอบอะไรเลย
สุดท้าย................ผมก็ต้องตกอยู่ในภวังค์ที่ผมสร้างขึ้นมาเองอยู่อย่างนั้นต่อไป ตอนนี้ ร่างกายผมเหมือนคนหมดแรง ผมเดินก้าวเท้าออกจากตรงนั้นและเดินจากมาเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้รู้สึกเพียงแค่ว่าอยากจะเดินไปให้ไกลแค่นั้น แต่ท้ายที่สุดผมต้องหยุดชะงัก เมื่อตัวของผมรู้สึกว่าแผ่นหลังอุ่นวาบขึ้นมาทั้งๆอย่างนั้น
ปุ้น........... ใช่!!! ปุ้น ทำไมมึงต้องทำให้กูสับสนถึงเพียงนี้นะ ผมบ่นกับตัวเองในความคิดที่กำลังสับสนนั้น เมื่อปุ้นได้โอบมือเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังอย่างแน่นหนา ราวกับว่าอย่าเพิ่งจากไป ความรู้สึกของปุ้นส่งมาจากอ้อมกอดนั้น และผมเอาก็รับรู้แค่ว่ามันช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ปุ้น..............มึงต้องการอะไรกันแน่?
#####################
เสียงข่าวจากโทรทัศน์ประกาศดังลั่นทำให้ผมเหลือบไป [ข่าวดังชายหนุ่มมั่นรักยกขันหมากสู่ขอ จัดเลี้ยงงานวิวาห์ชายคู่] ผมสะบัดหัวไปมาเมื่อกำลังคิดถึงเรื่องผมกับปุ้นเมื่อตอนเช้าอยู่ ผมเดินขึ้นห้องเหมือนหมดอะไรตายอยาก ถึงแม้ว่าตัวผมจะคลุบตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนอยู่บนเตียงที่แสนจะนุ่ม และแทนที่ๆผมจะหลับ แต่ภาพนั้นกลับชัดเจนเพิ่มขึ้นทุกนาทีที่ผมหลับตา
“นี่มึงเป็นอะไรไปวะเนี๊ยะไอ้ไทค์ ทำไมมึงต้องนึกถึงมันด้วยวะ มึงไม่เห็นเหรอยังไง มันเมินมึงไม่ใช่เหรอ แม้แต่หน้ามันยังไม่อยากเจอเลย โถ่เว้ย”
ตอนนี้ผมได้แต่ด่าตัวเองอยู่อย่างนั้น และผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรไป ได้แต่สะบัดหัวไปมา แน่นอนว่านอนไม่หลับ และยังคงวกวนถึงแต่เรื่องนั้นจะว่าหมกมุ่นมันก็ไม่ต่างจากคำนี้ซักเท่าไหร่ และทั้งที่ผมเกือบจะลืมเรื่องนี้แล้ว แต่ทำไมทุกครั้งที่เกือบจะลืมมันผมต้องไปเจอหน้ามันด้วย ทำไมกันนะ (รู้สึกว่าพักนี้จะตั้งคำถามให้กับตัวเองมากเกินไปหน่อยแล้ว) ความคิดที่เต็มหัวสมองของผมมันรวมกันมากมายจนกลายเป็นความเครียด และท้ายที่สุดมันก็ทำให้ผมเผลอหลับลงไป
******
กริ๊งงงงงงงง
นาฬิกาปลุกย้ำเวลาเช้าให้ผมตื่นนอนเพื่อที่จะทำกิจกรรมในยามเช้าก่อนจะไปเรียน ผมตื่นไปเรียนโดนที่สภาพเหมือนศพคนตายมีชีวิต แล้วอะไรคือศพคนตามมีชีวิตล่ะนั้น? ผีดิบเหรอ หรือซอมบี้ ช่างเหอะ!!! เพราะยังไง ผมก็ไม่เหลือสภาพเหมือนคนปกตกติอยู่แล้ว แถมขอบตาดันช้ำอีกนอนดึกมาหรือป่าววะเนี๊ยะ!!!
ผมเดินมายังห้องเรียนที่วันนี้คนเสือกอยู่กันเต็มห้อง แล้วบรรจงนั่งลงบนเก้าอี้ที่พึ่งเกิดเรื่องที่ผมไม่อยากนึกถึงมาเมื่อวาน แล้วก็ฟุบโต๊ะหลับลงไปก่อนที่ไอ้นนท์จะกระชากคอเสื้อผมขึ้นมา
“นี่มึงเป็นไรเนี๊ยะ ตายห่าแต่เช้าเลยนะมึงไปมุดโลงศพที่ไหนมาวะ” ผมเงียบไปสามวิได้ก่อนจะตอบโต้ไอ้นนท์ปากหมากลับ
“มุดโลงบ้านมึงดิ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่านั้นเอง”
“เออ ช่างเหอะ แต่พักนี้มึงแปลกๆวะ เห็นมึงหงอยมาตั้งแต่เมื่อวานละ เป็นไรโดนแฟนบอกเลิก หรือว่านกเขาไม่ขันวะ”
“มึงนี่ก็ถามแต่เรื่องเหี้ยๆวะ ช่างเหอะ กูไม่เป็นไรหรอก พักนี้แค่เหนื่อยนิดหน่อยวะ” ผมพูดพร้อมกับฟุบโต๊ะ เหมือนคนอดนอนมาจริงๆ
“เออ ยังไงมึงเองก็พักบ้างนะเว้ย เห็นแบบนี้แล้วกูสงสารวะ” มึงเนี๊ยะนะห่วงกู โอ้แม่เจ้า
“เออ ยังไงก็ปลุกกูด้วยละกัน” ว่าแล้วไอ้นนท์ก็เดินไปสังสรรค์เฮฮากับพวกไอ้ฟีค ปล่อยให้ผมได้มีช่วงที่ให้ตัวเองหลับอยู่ในนิทราต่อไป
ขอบใจวะนนท์ที่มึงเข้าใจกู
ถึงแม้ว่าเพื่อนผมแต่ละคนจะดูเป็นคนที่ขี้เล่น หาความจริงอะไรไม่ได้ ปากหมา เอาแต่ไร้สาระไปวันๆ แต่พวกนั้นกลับแคร์ความรู้สึกของเพื่อนแต่ละคน ให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก มีอะไรก็ช่วยเหลือกันเสมอ ถึงบางครั้งจะทะเลาะกันบ้างแต่ไม่ถึงวันก็คืนดีกันได้แล้ว และถึงแม้ว่าบางครั้งจะเจอปัญหาใหญ่ที่หนักหน่วงสักเพียงไหน แต่คำว่าเพื่อนสำหรับพวกนั้นก็คือสิ่งที่มีค่าอย่างหนึ่ง เพราะว่าคำสัญญาที่ให้ไว้ด้วยกันก็คือ จะไม่มีวันทิ้งกัน มาจนถึงวันนี้คำสัญญานั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม และคำสัญญานี้ไม่ใช่แค่พวกนั้น แต่มันก็รวมถึงตัวผมด้วย ที่จะไม่มีวันทิ้งเพื่อนนี่แหละเพื่อนของผม
นนท์ได้ปลุกผมขึ้นมาเรียนเมื่อมาสเซอร์เข้ามาสอน แต่ก็ยังดี เพราะว่าวันนี้มันยังเรียกผมตื่นคงเพราะเห็นผมเพลียๆ แหละมั๊ง ถ้าเป็นวันปกติคงให้อาจารย์หรือมาสเซอร์เข้ามาปลุกผมเองละ และแน่นอนถ้าโดนมาสเซอร์ปลุก รับรองผมต้องได้ไปยืนหน้าห้องเรียนหรือไปก็โดนทำโทษแหง๋เลย
และในวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมได้ใช้ชีวิตแบบขอไปที ชีวิตของผมที่มันไม่มีอะไร ก็ยังคงไม่มีอะไรอยู่อย่างนั้นต่อไป เว้นแต่ความคิดที่อยู่เต็มสมองทำไมมันถึงไม่ว่างเปล่าเหมือนกับชีวิตของผมบ้างนะ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมหลับตาลงความคิดนั้นก็วนเข้ามาในสมองทุกครั้ง
ปุ้น..................ทำไมกูต้องคิดถึงมึงด้วยวะ
ผมได้วกวนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับคำๆเดิมอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทำไมต้องคิดถึง? ทำไมต้องพูดถึง? ทำไมกันนะ? ทำไม? ผมเฝ้าแต่นึกคำถามที่มันค้างคาอยู่ในใจของผมอยู่อย่างนั้น ซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามายังหัวสมองผมเลย
และตอนนี้เองผมได้แต่เฝ้าถามตัวเองอยู่อย่างนั้น ว่าตัวผมเองเป็นอะไรไป ตัวผมเองกลายเป็นคนที่คิดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สลับกับคำถามเดิมซ้ำๆ จนทำให้ผมแทบจะกลายเป็นคนบ้า
“ไอ้เชี่ยปุ้น............ไอ้หน้าไม่อาย ทำไมกูต้องคิดถึงมึงวะ”
ผมตะโกนอยู่ในห้องน้ำอย่างดังลั่นทั้งที่ภาพของปุ้นยังวกวนเข้ามาในหัวของผมอยู่เสมอ ผมเหลือบไปมองใบหน้าของตัวเองในกระจกที่เต็มไปด้วยความลังเลและความสับสน ซึ่งผมในตอนนี้แทบจะไม่ใช่ผมคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ผมได้แต่ยืนอยู่กับเงาของตัวเองในกระจกแบบนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับผมด้วย ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ถึงเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับผมและคนๆเดิมแบบนี้ด้วย
ตึงงงง
ผมถอยตัวมาอิงกับกำแพง และได้แต่ครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น นี่เหรอที่เขาเรียกว่าความสับสน นี่เหรอที่เขาเรียกว่าปัญหา ผมพยายามนึกอีกทีแบบนี้ดีแน่แล้วเหรอ? จะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไปนะเหรอ? ผมกลับมามองยังเงาของตัวเองในกระจกอีกทีซึ่งตอนนี้เองผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองเป็นอะไรไป เพราะรู้ตัวอีกทีผมก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำแล้ว
นี่เราจะไปที่ไหนกันนะ?
คำถามนี้เป็นคำถามที่ฉุกคิดขึ้นมาเตือนสติผมว่าผมกำลังจะไปที่ไหน? และตอนนี้ผมกำลังจะทำอะไร? ทั้งๆที่ตัวผมเองยังคงสงสัย แต่ร่างกายกลับยังคงเดินต่อไปราวกับว่าสมองคิดอีกอย่าง แต่ร่างกายกลับทำอีกอย่าง จนในที่สุด ตัวผมก็ได้มายืนอยู่หน้าห้องที่ผมได้เข้าไปในวันแรกตอนเปิดเทอม ใช่!!! ห้องสภานักเรียน ห้องที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ห้องที่ทำให้ผมได้เจอกับปุ้น ห้องที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนิทกันอีครั้งและก็เป็นห้องที่ทำให้เขาเมินผมในวันนี้
ถ้าวันนี้ผมไม่เจอกับปุ้นในห้องสภานักเรียนในวันนั้น เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ ความคิดที่ถาโถมเข้ามาในสมองของผมในตอนนี้ทำให้ผมเริ่มหวั่น...... ผมควรจะทำยังไงต่อไปกันนะ
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำต่อไปหลังจากนี้คืออะไรแค่ผมรู้แค่ว่าผมควรจะทำให้เรื่องแบบนี้มันผ่านไปซักที ผมเอื้อมมือไปหยิบที่จับลูกบิดประตู เพราะความคิดของผมในตอนนี้รู้แค่ว่าปุ้นต้องอยู่ในนั้น
แต่นั่น ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง!!!
เพราะคำตอบมันได้เดินมาหาผมแล้วในตอนนี้
“ปุ้น”
ปุ้น..........คนที่วันนี้เมินผมทั้งวัน คนที่พยายามหลบหน้าผมทั้งวันแต่ตอนนี้เขากลับมายืนอยู่ต่อหน้าผม สายตาของปุ้นเพ่งเล็งมาที่ผมอย่างจริงจัง สายตาของปุ้นจ้องตรงมาที่ผมราวกับว่าต้องการที่จะบอกอะไรบางอย่างให้ผมได้รับรู้ เสียงอุทานชื่อของเขาจากปากผมทำเขาเดินเข้ามาหาผมและก็เข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีโดยที่ไม่พูดอะไรซักอย่าง
แต่แล้วสิ่งที่ผมนึกก็ผิดไปเพราะว่าปุ้นไม่ได้ที่จะเข้ามาหาผม แต่กลับเดินผ่านไปซะอย่างนั้นผ่านไปโดยที่ไม่คิดจะมองกลับมา และตัวผมเองก็ยังคงได้แต่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ความสับสนนับร้อยนับพันถาโถมเข้ามาบรรจุในหัวผมอีกครั้ง ผมสะบัดหัวพร้อมกับหันหลังให้ปุ้นที่เดินผ่านผมไปโดยที่ไม่ทักผมแม้แต่คำเดียว
ใช่!!! ไม่ทักผมเลย
ผมจะปล่อยให้ผ่านไปแบบนี้นะเหรอ? ที่มาที่นี่ก็เพื่อจะถามความจริงไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่ต้องการในตอนนี้คือการทำให้ความสับสนนี้หายไปไม่ใช่เหรอ? จะให้มันผ่านไปแบบนี้เพื่ออะไร ความคิดที่มันถาโถมเขามาหาผม และในตอนนั้นกลับทำให้ผมคว้ามือของปุ้นที่กำลังจะเดินหนีผมไปไว้อย่างเหนียวแน่น มือของปุ้นช่างเป็นมือที่อ่อนนุ่น รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ปุ้นเหลียวหน้ามองมาทางผมด้วยสายตาที่ดูจริงจังไปซะทุกเวลา ซึ่งมันมักจะทำให้ผมอดที่จะจ้องไม่ได้
“มึงจะไปไหนวะปุ้น”
เสียงของผมถามไปยังปุ้นที่เพ่งเลงสายตามาทางผม
“ทำไมมึงต้องหนีหน้ากูด้วยวะ มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี๊ยะ” ใช่ มึงเป็นเหี้ยอะไร เพราะไม่ว่าผมจะพยายามเข้าหาตัวมันเมื่อไหร่ สุดท้ายผมก็รู้สึกได้ว่ามันยิ่งหนีผมไปเท่านั้น
ปุ้น....ใบหน้าที่คนที่แสนจะดูดี เพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นกับดูหมองลงทันตา เพราะว่าคำถามของผมอย่างนั้นเหรอ หรือเพราะว่าผมดันไปถามสิ่งที่ไม่ควรถามเข้า เพราะไม่ว่ายังไงเจ้าตัวก็เอาแต่เงียบอยู่ดี
“ขอร้องแหละปุ้นมึงพูดกับกูซักคำก็ได้ ทำไมมึงต้องหนีหน้ากูด้วยวะ กูไปทำอะไรให้มึงเหรอ” คำพูดที่ออกมาจากผมราวกับว่าเป็นมนต์สะกดให้ปุ้นชะงัก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมที่จะปริปากออกมาคุยกับผมเลย
ผมเริ่มถอนหายใจเหมือนคนยอมแพ้
ใช่!!!! ผมยอมแพ้
เพราะไม่ว่าจะทำยังไง ผมก็มีมีทางจะทำให้ปุ้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เลย ผมก้มหน้าและฉุดคิด ซึ่งคำแรกที่ออกมาจากหัวของผมคือ [ช่างเหอะ] แต่คำนี้ผมก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างเต็มปาก
ผมมองไปยังใบหน้าที่ดูหงอยๆของปุ้น ก่อนที่จะตัดสินใจหันหลังกลับไปทั้งๆอย่างนั้น ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้คำตอบอะไรเลย
สุดท้าย................ผมก็ต้องตกอยู่ในภวังค์ที่ผมสร้างขึ้นมาเองอยู่อย่างนั้นต่อไป ตอนนี้ ร่างกายผมเหมือนคนหมดแรง ผมเดินก้าวเท้าออกจากตรงนั้นและเดินจากมาเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้รู้สึกเพียงแค่ว่าอยากจะเดินไปให้ไกลแค่นั้น แต่ท้ายที่สุดผมต้องหยุดชะงัก เมื่อตัวของผมรู้สึกว่าแผ่นหลังอุ่นวาบขึ้นมาทั้งๆอย่างนั้น
ปุ้น........... ใช่!!! ปุ้น ทำไมมึงต้องทำให้กูสับสนถึงเพียงนี้นะ ผมบ่นกับตัวเองในความคิดที่กำลังสับสนนั้น เมื่อปุ้นได้โอบมือเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังอย่างแน่นหนา ราวกับว่าอย่าเพิ่งจากไป ความรู้สึกของปุ้นส่งมาจากอ้อมกอดนั้น และผมเอาก็รับรู้แค่ว่ามันช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ปุ้น..............มึงต้องการอะไรกันแน่?
#####################
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ