MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) MEMORIES [3]: Remembrance
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [3]: Remembrance
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดตอนเช้าตรู่ ตอนนี้เหมือนว่าทุกอย่างได้หยุดนิ่งลงไปไม่มีแม้ความเคลื่อนไหวใดๆเลย ผมเหลือบมองไปยังใบหน้าที่ยิ้มร่าของสตางค์ ซึ่งนั่นเองก็ทำให้ผมมีความสุขเหมือนกัน ที่สามารถทำให้เธอยิ้มออกมาได้ ทันใดนั้นเธอก็วิ่งโผลตัวเข้ากอดผม ก่อนจะพูดออกมาด้วยความดีใจ
“ขอบใจนะไทค์ วันนี้ไทค์เป็นคนแรกเลยนะที่มอบของขวัญและบอก Happy Birthday สตางค์”
“อื้ม” ตอนนี้ผมได้แต่ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกำลังโอบกอดเธอให้นานทีสุด เพราะผมไม่เคยลืมเลย คำสัญญาที่ผมได้ให้กับสตางค์ไว้
“ไม่ว่าจะเกิดอะไร ฉันยังจะอยู่ตรงนี้เสมอ จะดูแลเธอให้ดีที่สุด จะไม่ทิ้งเธอไปไหน จะทำให้เธอยิ้มจนกว่าเธอจะพบคนที่เธอรอคอย”
นี่เป็นคำสัญญาที่ผมได้ให้กับเธอไว้ ผมไม่นึกเลยว่าตอนนั้นจะพูดออกมาแบบนี้ได้ คำพูดของเด็ก ม.1 ในตอนนั้นจะเชื่อได้ขนาดไหนกัน แต่สำหรับสตางค์เธอมักจะเชื่อในคำพูดผมเสมอ ตั้งแต่ผมได้เจอกับเธอที่สนามเด็กเล่นตอน ป.1 เธอกำลังนั่งร้องไห้อยู่กับไอติมที่ตกลงอยู่กับพื้น ทำให้ผมอดที่จะคิดถึงมันไม่ได้ ตอนนั้นผมได้เดินเข้าไปหาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่กำลังร้องไห้และได้เอาไอติมในมือของผมยื่นให้เธอ และนั่นก็เป็นวันแรกที่ผมได้รู้จักเธอ ได้เห็นรอยยิ้มของเธอเป็นครั้งแรก ตอนนี้ผมก็กำลังมีความสุขที่ได้เห็นเธอยิ้มอีกครั้ง และอยากจะให้เธอยิ้มไปตลอด
*****
สตางค์ค่อยๆคลายมือออกจากอ้อมกอดของผม แล้วก็เปลี่ยนมามองใบหน้าของผมแทน ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกันมันทำให้ผมยิ้มอยู่ตลอดเวลาที่เห็นหน้าของเธอ หรืออาจเป็นเพราะว่าผมอาจเริ่มชอบเพื่อนสนิทคนนี้จริงๆแล้วก็ได้ ทั้งที่เคยสัญญาไว้ว่าถ้าคนที่เขารอคอยกลับมา ผมก็จะยอมถอยห่างออกไป แต่ตอนนี้ผมกับคิดทรยศตัวเอง ผมอยากจะเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ชายที่สามารถดูแลเธอได้แต่ผมกลับคิดไปไกลเกินกว่านั้น และตัวของสตางค์เองไม่ว่าคนอื่นจะมองว่าผมกับเธอจะอยู่กันในฐานะไหน เธอก็ไม่เคยสนใจเลยเพราะเธอรู้ว่าจริงๆแล้วฐานะของเราสองคนคืออะไร คงเป็นได้แค่เพื่อนสนิทสินะ เป็นเพียงแค่แฟนชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ถึงจะรู้แบบนั้นผมก็ยังยิ้มได้และยังยิ้มให้เธอได้เสมอ
“เย็นนี้เราไปเลี้ยงฉลองกันดีรึปล่าว” คำพูดของผมตอนนี้ทำให้เธอฉีกมุมปากยิ้มมากกว่าเดิม
“ไปสิ ไปกันเยอะๆเลยนะ” ความร่าเริงสดใสของเธอช่างเป็นภาพที่แสนวิเศษมันทำให้ผมอยากเก็บภาพนี้ไว้นานๆซะแล้ว
“เอาดิ ไปกันหลายคนจะได้สนุก” ผมพูดออกมาเพราะว่ารู้อยู่แล้วเมื่อเอ่ยคำว่าฉลองเธอมักจะคิดว่าเราจะไปกันหลายคนเอาตามตรงแห่กันไปมากกว่า
“อื้ม งั้นสตางค์บอกเพื่อนสตางค์มาด้วยนะ ถ้าสตางค์ชวนรู้สึกว่าพวกเขาจะพาแฟนมาด้วย งั้นงานนี้ไทค์ไปในฐานะแฟนสตางค์ก็แล้วกัน” คำพูดที่ชวนให้ผมคิดไปไกลของเธอมักจะทำให้ผมยิ้มเสมอแม้แต่ตอนนี้เอง
“คับๆ งั้นเลิกเรียนแล้วเดี๋ยวไทค์โทรหานะ”
“คับ” เธอพูดด้วยท่าทางทะเล้นๆก่อนจะยกมือโบกลาผม ก่อนที่ผมจะเดินจากมา ตอนนี้คนเริ่มเข้ามายังโรงอาหารเยอะแล้ว ผมเองก็กลับไปยังห้องเรียนที่แสนสงบสุขของผมเหมือนเดิม ซึ่งตอนนี้ในห้องมีไอ้นนท์เพิ่มขึ้นมาอีกคน แต่บรรยากาศในห้องก็ยังเงียบสงัดอยู่ดี เมื่อผมก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เจเคก็ได้เอ่ยปากพูดกับผม
“เออ ไอ้ไทค์ เมื่อกี๊ข้าวปุ้นเข้ามาหามึงวะบอกว่ามึงลืมของไว้ ให้ไปเอาด้วย”
ของเหรอ เออ จริงสิผมลืมไปเลยว่าเมื่อคืนลืมเสื้อกันหนาวไว้ที่บ้านมันเผอิญขาไปบ้านปุ้นผมดันเอามาใส่ ปกติจะใส่ตอนเช้าขาไปโรงเรียนและได้ถอดเก็บไว้ในเป้
“เออ กูลืมไปเลย เดี๋ยวกูมานะ”
ว่าแล้วผมก็รีบวิ่งไปหาปุ้นจนผมต้องมาหยุดชะงักน้าระเบียง จะว่าไปมันอยู่ที่ไหนวะ ผมสะบัดหัวไปมา และเดินไปยังห้องสภาที่ตึกเรียน 3 เผื่อว่าจะอยู่ในนั้น แต่เมื่อขึ้นไปก็พบแค่ประธานนักเรียนสุดกวนเท่านั้น
“ว่าไง มาหาไอ้ปุ้นเหรอ”
เสียงประธานนักเรียนเอ่ยขึ้นมาขณะที่กำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกองกระดาษ จะว่าไปแม่งพูดเหมือนรู้เลย
“มันไม่อยู่หรอก เมื่อกี๊บอกว่าจะไปสนามบาส และยังบอกอีกว่าถ้ามีคนมาหาให้บอกว่ามันอยู่ที่นั่น แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นมึง” แหม่ๆๆ ไอ้นี่ดูพูดเข้า
“เออ ขอบใจว่ะ จะว่าไปแล้วเป็นกูแล้วมันผิดเหรอวะ พอดีกูลืมเสื้อไว้บ้านมันเมื่อวาน มันเองก็บอกให้มาเอาก็แค่นั้น”
“อื้ม กูก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า เออ และขาออกไปฝากปิดประตูด้วยนะ” แหม่ๆ ดูมันใช้ นี่เห็นเป็นประธานนักเรียนเฉยๆนะ ไม่งั้นมีเฮแน่ๆ ว่าแล้วผมก็เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูตามที่ท่านประธานนักเรียนสั่งก่อนจะเดินลงไปสนามบาส จะว่าไปมันฝากเจเคคืนให้ผมตั้งแต่แรกก็จบละ จะให้ผมหอบสังขารมาเพื่ออะไรละนี่
เมื่อมาถึงผมก็พบว่ามันกำลังนั่งคุยโทรสับอยู่แต่เมื่อมันเห็นผม ก็รีบวางโทรสับแล้วตะโกนชื่อผมอย่างดัง
“อ่าว ไทค์มาแล้วเหรอ เมื่อวานไทค์ลืมเสื้อไว้ที่บ้านผม” เออ กูลืมเองกูผิด
“กูรู้แล้วคร๊าบ เลยมาเอานี่ไง” ผมบอกกลับไป
“อ่าวเหรอ ว่าแต่วันนี้ผมไม่ได้อยู่บ้านนะ พอดีติดธุระนิดหน่อย ถ้าจะไปบ้านผมก็ไปกับเจเคเลยนะ ผมโทรบอกน้องข้าวฟ่างไว้แล้ว”
“เออ กูเองก็ไม่ได้ไปเหมือนกันแหละวันนี้ติดธุระเหมือนกัน”
“อ่าวเหรอ งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนนะ เพราะโรงเรียนจะเข้าแล้วเดี๋ยวผมต้องติดต่อเลขาสภานักเรียนเรื่องกิจกรรมในเดือนนี้อยู่” ปุ้นได้ยื่นเสื้อคืนมาให้ผมพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าสภานักเรียนคิวงานจะเต็มเลย เพราะปีที่แล้วผมก็เคยช่วยงานอยู่ หนักมาก
“งานเยอะจริงนะ ยังไงก็อย่าหักโหมล่ะ เอองั้นกูไปก่อนละ” ผมพูดประโยคสุดท้ายก่อนบอกลาปุ้นและเดินออกมา ส่วนปุ้นเองก็เดินไปทางตึกเรียน 3 เหมือนกัน ผมได้เดินออกมาเพื่อจะไปเรียนยังตึกเรียนของผม ตึกเรียน 5 ซึ่งสองตึกนี้อยู่กันคนละทางเลย ผมเองตอนนั้นก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนมาเดินชนกับคนๆหนึ่ง เข้าอย่างจัง
แพล้งงงง!!
เสียงแก้วน้ำที่เขาถือมาได้ตกลงแตกอย่างจังทำให้ผมถึงกับหน้าเสีย จึงรีบช่วยเขาเก็บเศษแก้วที่ตกอยู่ “ผมขอโทษนะครับ เป็นอะไรหรือปล่าวครับ” ผมถามเขาด้วยความหวังดี
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” เขาเองก็ตอบกลับผมมาทั้งๆที่กำลังก้มเก็บเศษแก้วอยู่ จะว่าไปถ้าเก็บแค่ใบเดียวก็เสร็จนานแล้ว แต่นี่ดันถือมาพร้อมกันสามใบ เศษมันเลยตกเยอะหน่อย จนพวกผมสองคนเก็บเศษจนหมด แต่เขาดันโดนเศษแก้วบาดมือ จนทำให้ผมตกใจ “โอ้ย” เสียงของเขาดังขึ้นมาพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่ไหลมาเป็นทาง
“เห้ย” เลือดไหลมาไม่หยุดผมจึงเอาผ้าเช็ดหน้าของผมพันมือเขาไว้ แล้วรีบบอกให้เขาไปทำแผล “รีบไปทำแผลเถอะครับ เดี๋ยวจะเป็นบาทยักษ์เอา” แต่เมื่อผมพูดถึงคำนี้กับคิดถึงหน้าของปุ้นขึ้นมาซะงั้น นี่เราเป็นอะไรไปวะนี่ “งั้นเดี๋ยวผมพาไปเอง” เขายังไม่ทันตอบอะไรเลยผมก็คว้ามือของเขาและรีบพาไปยังห้องพยาบาล แต่ตอนนั้นอาจารย์ดันไม่อยู่ซะงั้น ผมเลยต้องอาสาทำแผลให้เขาจนเสร็จ “ผมต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้ต้องมีแผล” ผมพูดพลางกับพันผ้าพันแผลที่มือของเขา “จะว่าไปชื่ออะไรเหรอ”
“ชื่อท็อปครับ อยู่ ม.6/3”
เห้ย ม.6 รุ่นพี่เรานี่หว่า
“อ๋อ ครับ ผมไทค์ครับ อยู่ ม.5 ครับ และต้องขอโทษด้วยนะที่เรียกพี่ห้วนๆ”
“ไม่เป็นรัยหรอกครับก็ถือว่าน้องไม่รู้ละกัน และเรื่องที่พี่เองมีแผลเนี๊ยะ เป็นความผิดของพี่เองเพราะว่าพี่ดันไม่ระวังเลยโดนบาดเอา”
“เห้ย ได้ไงล่ะพี่ เพราผมเดินชนพี่ต่างหาก” ตอนนี้พวกผมได้แต่เกี่ยงกันว่าใครผิดใครถูก
“เพราะพี่เดินไม่ระวังเองต่างหาก” ทันใดที่ผมกะจะพูด พี่เขากลับพูดแทรกผมก่อน “พอละ งั้นเอาเป็นว่าถ้ารู้สึกผิดจริงๆ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวพี่มื้อหนึ่งเป็นไงโอเครึปล่าว” ผมนิ่งคิดประมาณ 4 วิ ก่อนจะเอ่ยปากตอบตกลงพี่เขา
“ได้ครับ งั้นตอนพักเที่ยงพี่มารอผมที่ตึกเรียน 2 นะผมเลิกเรียนละจะตามไป”
ว่าแล้วผมก็โบกมือลาพี่เขาก่อนจะเดินออกจากห้องพยาบาล แต่พอมาถึงหน้าห้องเท่านั้นแหละ ก็ดันเจอกับคิวเข้า แต่ผมก็ว่าแปลกเมื่อผมเจอคิดเมื่อไหร่เขามักจะเข้ามาทักผมก่อนเสมอ ตอนนี้เองก็เหมือนกัน ถ้าเขาไม่มาทักผม ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเดินผ่านมา
“อ่าว ไทค์ หวัดดี”
“อ่าว คิว หวัดดี” บทสนทนาของผมตอบกลับไปเหมือนเคยๆ
“ว่าแต่ ไทค์มาทำอะไรที่ห้องพยาบาลเหรอ หรือว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” คิวได้ยิงคำถามมาหาผมเหมือนว่าจะเป็นห่วงรึปล่าววะ
“อ๋อ พอดีว่าเมื่อกี๊เราเดินชนรุ่นพี่จนทำแก้วที่พี่เขาถือมาตกแตก และตอนเก็บมันบาดมือพี่เขาก็เลยพามาทำแผลนี่แหละ ว่าแต่ยังไงเราไปก่อนนะ โชคดี”
“อื้ม” คิวผงกหัวให้กับผมก่อนที่ผมจะวิ่งขึ้นไปเรียน
*****
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องพบเจอกับเรื่องมากมายแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องดีมาก่อนที่จะเจอเรื่องร้ายๆ แหละนะ ตอนนี้ผมกำลังนั่งจ้องนกที่กำลังโผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าสีครามผ่านหน้าต่างกระจกบานเล็กๆ ในห้องเรียน จนกริ่งเตือน สัญญาณแห่งการพักเที่ยงเริ่มขึ้นผมจึงรีบเดินลงมาและเดินไปยังตึกเรียน 2 เพื่อ ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ท็อป ซึ่งตอนนั้นพี่เขาก็ได้มารอผมก่อนแล้ว
“อ่าวพี่ รอนานหรือปล่าวครับ” ผมถามพี่เขา ซึ่งตอนนี้เขากำลังเอามือกุมแผลของเขาอยู่
“พี่พึ่งมาเหมือนกันครับ มาก่อนหน้าน้องไทค์ได้นิดเดียวเอง” ตอนนั้นผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่เขาพึ่งมาหรือมานานแล้วเพราะว่าผมเห็นพี่เขายืนอยู่ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่บนตึกเรียนแล้ว
“แล้วแผลพี่ยังเจ็บอยู่มั๊ยครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง (เอาจริงๆรู้สึกผิดมากกว่า)
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่เรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวคนจะเยอะ” จู่ๆพี่เขาก็จับมือผมพร้อมเดินเข้าไปในโรงอาหาร ถ้าคนอื่นมาเห็นคงคิดว่าผมโดนฉุดแน่เลย หลังจากนั้นผมและพี่เขาก็ได้นั่งคุยสนทนาเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกว่าเริ่มสนิทกับพี่เขามากขึ้น เพราะว่าพี่ท็อปเองก็เป็นคนที่ไม่ถือตัว และเป็นกันเอง ทำให้พวกเรานั่งคุยกัน จนกริ่งได้ดังขึ้นมาทำให้ผมต้องรีบบอกลาพี่เขาและเข้าเรียน
*****
ในบ่ายวันนี้เวลาก็ผ่านไปเช่นดังตอนเช้าที่ผ่านมา ภายในห้องที่มีบรรยากาศที่แสนเงียบขรึม มีเพียงเสียงของอาจารย์ที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับวาดเขียนลงบนไวท์บอร์ดหน้าห้องเท่านั้น ตัวผมเองก็ได้เพียงแต่เหม่อมองเมฆลอยข้างหน้าต่างเหมือนเดิม เพียงแค่รอเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ปกติตัวผมเองก็ไม่ใช่เด็กเรียนอะไร มานั่งเรียนก็เรียนแบบขอไปที อาจารย์สั่งงานมาก็มักจะไปเป็นกาฝากเกาะเขาลอกมั่ง หรือไม่ก็ให้พวกเขาทำให้ และที่มาติดสายวิทย์ได้นี่ถือว่าดวงผมโคตรดีเลย และในที่สุดเวลาที่ค่อยๆเคลื่อนไปอย่างช้าๆ จนเสียงกริ่งเตือนทำให้นักเรียนในห้องพากันทยอยออกจากห้องไป ตอนนี้ประตูห้องเรียนเหมือนกับเป็นรถไปสายด่วนที่ผู้คนรีบเร่งขึ้นยังไงอย่างงั้นเลย ผมได้นั่งเหม่ออยู่ในห้องซักพัก และได้หยิบกระเป๋าเดินออกห้องมาพร้อมหยิบโทรสับขึ้นมาโทร
≈≈ แล้วฉันจะทำอย่างไรต่อจากนี้ วันเวลาดีๆที่มีหมดความหมาย แล้วฉันจะทนได้นานสักเพียงไหน ช่วงเวลาที่มันเดียวดายไม่มีเธอ ≈≈
เสียงเพลงรอสายที่แสนจะคุ้นเคยที่ผมได้ยินประจำ มักทำให้ผมคิดเสมอว่าเธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ ไม่ว่าเธอเคยรอคอยใครเธอก็ยังคงรอเขาคนนั้นดังเดิม เธอเคยบอกผมเสมอว่านี่เป็นบทเพลงที่เธอชอบฟังเวลาที่คิดถึงเขา เธอมักจะเปิดเพลงนี้เสมอและมักบอกกับผมว่า
“ความเหงาที่มีมันไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าเทียบกับการรอคอย และเมื่อวันหนึ่งถ้าได้เจอกันมันคงคุ้มค่าสำหรับความเหงานี้ เพราะตอนนั้นมันคงมีแต่ความยินดีและความสุขที่ได้เจอกัน”
นั่นเป็นคำพูดที่เธอได้บอกกับผม และมันก็ทำให้ผมคิดอยู่ในใจเสมอว่า ผมเองจะสามารถเป็นคนที่เธอรอคอยได้หรือปล่าว ตัวผมอยากจะรู้แค่นั้น แต่ผมก็พยายามห้ามใจไว้และยังคงคิดเสมอ ว่าผมและสตางค์เราเป็นมากได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น ผมรอเสียงเพลงรอสายเธอพักหนึ่ง เสียงที่ฟังดูช่างอ่อนโยนของเธอก็ได้ตอบกลับผมขึ้นมา
“ว่าไงไทค์ เลิกเรียนแล้วเหรอ ตอนนี้สตางค์อยู่ที่ร้านแล้วนะ ว่าแต่ไทค์อยู่ไหนเหรอ??” น้ำเสียงของสตางค์ที่ตอบผมมาถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เสียงแต่มันกลับทำให้ผมยิ้มได้เสมอ
“ไทค์อยู่โรงเรียนอยู่เลย ว่าแต่สตางค์ไปที่ไหนเหรอ จะได้ไปถูก” จะว่าไปสตางค์เป็นคนแรกเลยที่ผมเรียกชื่อตัวเองแทนคำว่าผม
“ก็ร้านเดิมแหละ ร้านที่เราไปกินกันบ่อยๆ เอาเป็นว่าสตางค์กับเพื่อนจะรอไทค์นะ รีบๆมานะ” ตอนนี้ผมได้แต่ยิ้มและรีบไปยังที่ร้านเนื้อย่างที่ผมกับเธอมักจะไปกันเสมอๆ
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็ไปถึงที่นัดหมายไว้แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าผมก็ต้องตกใจ นิดหน่อย แหละ มั๊ง บรรยากาศในร้านตอนนี้ที่ผมสังเกตเห็นได้ โดยสะดุดตาที่สุดคือเด็กนักเรียนกว่าสิบคนนั่งล้อมโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางร้าน แถมยังเป็นเป็นนักเรียนจากโรงเรียนหญิงล้วนที่อยู่ติดกันแถมใช้โรงอาหารเดียวกันกับโรงเรียนผมอีก ผมได้เดินเข้าไปอย่างหวาดระแวง ไม่สิ เดินเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆมากกว่า แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งเรียกชื่อผม
“ไทค์”
“เห้ย ปุ้น มาได้ไงวะ” ผมตกใจเมื่อท่ามกลางวงล้อมสาวๆมีเด็กหนุ่มโรงเรียนเดียวกับผมนั่งอยู่ แถมนั่งอยู่กับเด็กสาวที่รู้สึกว่าผมจะคุ้นๆ หน้าอยู่
“อ๋อ พอดีเปียโนชวนเรามา บอกว่าวันนี้วันเกิดเพื่อนและบอกให้มาเป็นเพื่อนหน่อย เราเลยมาด้วยเท่านั้นเอง” ปุ้นพูดพร้อมหันไปส่งยิ้มให้เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างกัน “มานั่งด้วยกันนี่ดิ”
“เออๆ” ว่าแล้วผมก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆปุ้น ความจริงอีกข้างหนึ่งก็เป็นสตางค์จะบอกว่ามานั่งข้างปุ้นมันก็พูดไม่ถูกแหละ บรรยากาศตอนนี้มันทำให้ผมและปุ้นเองพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะว่าผู้หญิงเขาคุยกัน เราจะคุยแทรกก็ยังไงๆอยู่ จนปุ้นเริ่มกระซิบเข้ามาข้างหูผม
“แฟนน่ารักดีหนิ” ปุ้นเหลือบมามองผมพร้อมสะกิด
“อื้ม ว่าแต่มึงเหอะ ไหง๋มาที่นี่ได้วะเนี๊ยะ มากับแฟนอะดิ”
“อื้ม เปียโนเขาชวนผมมา” มากับแฟนนี่เอง มิน่าล่ะสตางค์ถึงพูดว่ามาจะเอาผมมาเป็นแฟนงานนี้ “ตอนแรกผมเองก็ยังกลัวๆเหมือนกันเพราะว่ามีแต่ผู้หญิงจนต้นเขามา และทีนี้ไทค์มาอีกคนก็เลยหายเกร็งนิดๆละ”
“อ๋อ ต้น ว่าแต่ต้นไหนวะ” ผมถามเพราะความสงสัยจะว่าไปผู้ชายที่ผมเห็นแค่ปุ้นคนเดียว ไหนวะคนชื่อต้น
“เมื่อกี๊เขาไปเข้าห้องน้ำ อ่ะ นั่นไงมาพอดีเลย” ปุ้นโบกมือให้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เดินออกมาจากห้องน้ำ
“ต้นเหรอ ฟังชื่อคุ้นๆว่ะ ว่าแต่เป็นใครวะ”
“เอาน่าเดี๋ยวก็รู้ เออนี่ต้นไทค์เพื่อนผม ไทค์นี่ต้น” ปุ้นพูดพร้อมกับแนะนำให้เราทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ใช่ไทค์ที่เป็นประธารชมรมกีฬารึปล่าว”
“อื้ม ใช่ ยินดีทีได้รู้จักนะ” ผมทำความคุ้นเคยโดยใช้คำพูดปกติที่มักจะใช้ ตามมารยาท
“ได้มาเจอคนดังนี่ก็ ใช่ย่อยเหมือนกันนะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” จะว่าไปผมดังขนาดนั้นเลยเหรอแต่ก็นะคนรู้จักผมก็เยอะอยู่หรอกเพราะว่าชมรมกีฬาเป็นเครือใหญ่ชมรมย่อยเลยถือว่าเป็นชมรมที่มีคนรู้จักอย่างมาก
พวกผมนั่งคุยกันจนทานกันอิ่มหมดทุกคนแล้ว จึงออกเช็คบิลและออกจากร้านกัน ผมและสตางค์ได้มานั่งคุยกัน ซักพัก ก่อนที่เธอจะเดินไปกับเพื่อนเพราะว่ามีนัดเรียนพิเศษกันต่อ ผมและปุ้นจึงกลับพร้อมกัน เพราะตอนนั้นเองเหมือนว่าปุ้นจะคุยกับเปียโนเสร็จพอดี ผมสองคนจึงเดินกลับบ้านพร้อมกัน ตอนนี้ผมมายืนยังบ้านหลังใหญ่ ที่พึ่งมาเมื่อวาน ก่อนที่เจ้าของบ้านจะชวนเข้าไปด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศในบ้านยังเงียบสงบเหมือนเดิม ผมเองยังสงสัยอยู่ว่าคงหายไปไหนหมด จนเดินเข้าไปในครัวเท่านั้นแหละก็พบว่าเจเคและน้องข้าวฟ่างกำลังเอาวิปครีบ ไล่ป้ายหน้าตากันอยู่ วิ่งซะทั่วห้องครัวเลยนะ ผมจึงได้แอบดูอย่างห่างๆ จนถึงช่วงที่เจเคพลิกตัวกลับมาเท่านั้น ทำให้น้องข้าวฟ่างที่กำลังวิ่งอยู่ไปชนกันเข้า จึงทำให้ใบหน้าของทั้งสองชนกัน และภาพที่ผมมองเห็นในตอนนี้คือริมฝีปากของสองคนห่างกันไม่ถึง 1 นิ้ว สายตาของทั้งสองคนจดจ้องอยู่โดยไม่กระพริบ และดูเหมือนว่าสายตาที่เจเคมองข้าวฟ่างจะเป็นสายตาที่แสนอ่อนโยน และเช่นเดียวกัน ตัวของข้าวฟ่างก็ได้มองมายังเจเคด้วยสายตาแบบเดียวกัน ถ้าให้ผมพูดคงเหมือนกันหนังรักโรแมนติกเลย จนบรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อปุ้นเข้ามาทางหลังของผมแบบเงียบๆ คงคิดจะแกล้งให้ผมตกใจ ปุ้นจึงได้พูดออกมาขณะที่ผมกำลังแอบดูทั้งสองอยู่อย่างดังลั่น
“ทำอะไรอยู่เหรอ”
เมื่อเสียงของปุ้นดังขึ้นทำให้ทั้งคู่ผละตัวออกจากกัน และได้เหลียวมามองทางประตูที่มีผมกับปุ้นยืนอยู่และยิ้มให้ ก่อนที่ข้าวฟ่างจะพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่เขินอาย
“พี่ข้าวปุ้นพี่ไทค์”
#####################
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ