ลันซ่าพ่อค้าแห่งกรีนยาร์ด -Black Merchant-

-

เขียนโดย claymask

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.35 น.

  3 ตอน
  3 วิจารณ์
  5,910 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) 3.เปลวไฟสีฟ้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
๓. เปลวไฟสีฟ้า
 
ป้อมแรกที่กลุ่มเดินทางของแอนเดรีย ลันซ่า และไอแซคเดินทางมาถึง ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน ผ่านเนินเขา แนวป่า หลบเลี่ยงเส้นทางเกวียนหลัก ออกห่างจากแม่น้ำ ถึงขั้นใช้ถุงผ้าหุ้มเท้าม้าเพื่อลดเสียงกีบเท้า       แอนเดีรยนั่งอยู่ด้านหลังไอแซคบนม้าศึกตัวพ่วงพี อัศวินที่บิดาของเธอมอบหมายงาน เธอเหมื่อลอย เงียบขรึม ไม่ปริปากพูดกับใครตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากเขตของตระกูลรอยส์  ลันซ่านั่งชมนกชมไม้ คุยอย่างออกรสชาติกับผู้ติดตามของไอแซคบนม้าลาดตระเวณ บางครั้งแอนเดรียก็ได้ยินเสียงลันซ่าหัวเราะเสียงดัง แต่เธอเรียนรู้แล้วว่าทั้งเสียงหัวเราะ ทั้งบุคลิกที่ดูเป็นกันเองเข้าถึงง่าย มันเป็นแค่หน้ากากที่ฉาบไว้ของพ่อค้าคนนี้เท่านั้น
 
                “รีบเดินทางเถอะครับท่านหญิง ก่อนที่จะพลบค่ำ ท่านโยฮัน รออยู่” ไอแซคพูดด้วยความสุภาพ เขาเปลี่ยนม้าเป็นม้าศึกอีกตัวสีน้ำตาลแดงที่พักผ่อนมาอย่างเต็มที่แล้วจึงหันไปคุยกับลันซ่า “คราวนี้เพื่อนร่วมทางคนใหม่ของเจ้าอาจจะคุยไม่สนุกเหมือนคนที่ร่วมทางมาด้วยแล้วนะ” ไอแซคยิ้มแล้วจัดแจงเตรียมอานม้าให้เรียบร้อย
 
                ผู้ติดตามที่ไอแซคพามาด้วยต้องเฝ้าป้อมพร้อมเป็นคนคุมเวรยาม ลันซ่าเห็นเพื่อนร่วมทางคนใหม่ที่ดูเงียบขรึม หน้าตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีเทาย่ามสะพายหลังของเขาเต็มไปด้วยแร่ต่างๆทีใช้ผลิตอาวุธและเกราะ  ชายผู้เรียบเฉยเดินไปที่รางเลี้ยงม้า ลับสายตาคน  แล้วลันซ่าจึงเห็นนกพิราบสองตัวบินขึ้นแถวๆคอกม้า คงเป็นสัญญาณบอกถึงการกลับบ้านอย่างปลอดภัยของ แอนเดรีย “สวัสดีเพื่อนร่วมทางคนใหม่ ข้าชื่อลันซ่า ท่านชื่ออะไรน่ะ”  ลันซ่ายิ้มอย่างเป็นมิตร ในขณะที่ชายผู้เย็นชาขึ้นหลังม้าอย่างไม่ใส่ใจ
 
                “เขาเป็นใบ้ พูดไม่ได้ เจ้าโง่!” ประโยคแรกหลังจากการเดินทางที่ยาวนานจาก แอนเดรีย
อย่างน้อยเธอก็ได้ระบายในอารมณ์อัดอั้นที่เจอมาตลอด “เจ้าจะปล่อยเหยี่ยวไปไหนน่ะ จะส่งอะไรไปฟ้องพ่อข้าอีก”  แอนเดรียสังเกตเห็นลันซ่าปล่อยเหยี่ยวก่อนที่จะขึ้นม้า
 
                “จะบอกกับพ่อท่านว่า ธิดาของเขาจูบไม่ได้เรื่องเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของตระกูลลาสทรอนเลยเชียวนะ” ลันซ่าเลียนเสียงแหลมเล็กเจ้าอารมณ์ พร้อมกระโดดขึ้นม้า
 
                “เจ้า!!”  แอนเดีรยรู้สึกเสียเหลี่ยมอีกครั้ง เสียงหัวเราะของไอแซคกับลันซ่าดังขึ้นพร้อมกัน  พร้อมกับเสียงทุบหลังบนเกราะของไอแซค หลังจากเสียงหัวเราะนั้น
 
 
 
 
 
                กำแพงหินสีเทาถูกคลุมไว้ด้วยผืนธง สัญลักษณ์ ค้อนและทั่งสีดำ พร้อมทั้งพื้นสีแดงเป็นตัวแทนของไฟ พื้นที่ด้านนอกของปราสาทตรงกำแพง  พ่อค้าแร่กำลังเจรจาต่อรองกับผู้ซื้อที่เป็นช่างตีเหล็กของปราสาท ลันซ่าเฝ้ามองร้านตีเหล็กที่ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่นในพื้นที่ปราสาทลาสทรอน  ตั้งแต่ช่างตีเหล็กผู้ได้รับพรจากบรรพบุรุษ ‘ซาเลม’ ค้นพบเหมืองแร่มิธริล และสร้างเตาหลอมทาทารัสขึ้นมา เมื่อนั้นการรบด้วยอาวุธและเกราะก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากเมืองเล็กๆ ก็กลายเป็นป้อม ล้อมไปด้วยกำแพงสุดลูกหูลูกตา ไม่นานนักมันก็กลายเป็นปราสาท การอวยยศด้วยลอร์ดเกิดขึ้นหลังจากที่ ซาเลม เสียชีวิตไปแล้วลูกหลานของช่างตีเหล็กสวมผ้าคลุมหนา หนวดเคราที่ผ่านการโกน แผลเป็นจากการตีเหล็กถูกสวมไว้ด้วยถุงมือแพร ว่ากันว่าศึก ’ มฤตยูเขียว’  นอกจากสีสัญลักษณ์ของราชวงศ์กรีนยาร์ดแล้ว แสงสะท้อนจากอาวุธมิธริลมันก็เป็นสีนั้นเช่นกัน  ชาวบ้านในละแวกนั้นเดินมาที่ขบวนของ แอนเดรีย และมอบดอกเดซี่ หลากสี ที่เป็นตัวแทนความอ่อนเยาว์ให้แด่ แอนเดรีย เธอรับมันมาด้วยรอยยิ้มเหงา เมื่อผ่านกำแพงจากชั้นนอก จึงถึงกำแพงชั้นในปราสาท  ความมืดโรยตัวลงอย่างช้าๆ
 
                หินสีเขียวหยาบ ขนาดมหึมา ตั้งตระหง่านจัดวางอย่างโดดเด่น ระหว่างทางเชื่อมของทางเดินและสะพานสู่ปราสาท  ข้างทางเป็นร่องน้ำที่ถูกขุดขึ้นอย่างตั้งใจ  แสงสีเขียวจากหินมิธริลสะท้อนกับพื้นน้ำดูวิจิตรบรรจง  เมื่อค่อยๆข้ามสะพานมา จึงเห้นรูปปั้นของชายร่างท้วม หนวดเคราเรียวยาว ใบหน้าเคร่งครึม กำลังถือคีมคีบกับแผ่นหนาในมือซ้าย ส่วนค้อนใหญ่ในมือขวาพร้อมกับ ทั่ง ที่เป็นอุปกรณ์คู่กันของสัญลักษณ์ประจำตระกูล ใต้ฐาน ทั่ง มีป้ายสำริดที่สลักไว้ว่า ‘ซาเลม แห่ง ลาสทรอน’ สั้นๆง่ายๆ แต่ดูยิ่งใหญ่และสง่างาม
 
                หญิงวัยกลางคนผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีดำขลับ สวมชุดผ้าไหมสีลูกพลัม คลุมยาวไปทั้งตัวมองผ่านก็คงจะพอรู้ว่าเป็นชุดนอน  รีบวิ่งมาที่ม้าของ ไอแซค นัยน์ตาของเธอรื้นจนราวกับน้ำตาถูกกลั้นไว้  “แอนเดรียลูกแม่…. แม่นึกว่าจะไม่ได้เจอหนูอีกแล้ว….”   เธอลูบหัวแอนเดรียอย่างช้าๆ และน้ำตาของแอนเดรียก็เริ่มไหล ลันซ่ามองไปที่ชายสูงวัยที่เดินตามมาข้างหลังเขาเป็นชายอาวุโส อายุประมาณห้าสิบปีและศีรษะเริ่มล้าน แต่ยังคงแข็งแรง และกระฉับกระเฉง สวมชุดขนสัตว์และหนังสัตว์สีดำโครงหน้าที่ผอมเกร็ง ดวงตาสีเขียวเป็นประกาย เย็นชาราวน้ำแข็งแกะสลัก “ซิด ของที่ให้รวบรวมมาหวังว่าคงได้ครบนะ”  เขาสั่งการด้วยเสียงเย็นเยียบ
ชายใบ้ที่ลันซ่าเพิ่งรู้ชื่อ ลงจากหลังม้า คุกเข่า จุดตะเกียงน้ำมัน แล้วจึงเทของในย่ามลงบนผ้าปูหนังสัตว์สีขาว
                “โยฮัน ท่านช่างใจจืดใจดำ ลูกสาวรอนแรมมาตั้งไกล คำทักทายปลอบโยนซักคำท่านก็ไม่มีให้” หญิงวัยกลางคนพูดเสียงตัดพ้อ
 
                “หน้าที่นั้นมันเป็นของเจ้าตั้งแต่วันแรกที่เจ้าแต่งเข้าในปราสาทข้าอยู่แล้วนี่ ซานดร้า หน้าที่หลักที่ให้กำเนิดบุตรที่ท่านทำไม่ได้ ก็น่าจะหาอะไรที่ตัดภาระข้าออกไปได้บ้างล่ะนะ” โยฮันหยิบหินแร่มาเพ่งพินิจ ทีละก้อน “ยังขาดอยู่สองสามชนิดนะ ซิด อีกสามวันหวังว่าคงครบ” เมื่อพูดสั่งการลูกน้องเสร็จ โยฮันจึงเดินมาที่แอนเดรียและ ซานดร้าเขาลูบไปที่ผมสีแดงเพลิงของแอนเดรียเจือจางความห่วงหาอาทรพร้อมก้มลงไปกระซิบด้วยน้ำเสียงอำมหิต
“ถ้าอยากจะหนี ข้าจะไม่ห้ามเจ้า แต่ขอให้เป็นหลังแต่งงานของเจ้าก่อน หลังจากที่สินสอดและทองหมั้นกองกันรวมเต็มห้องโถงของข้า ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าสาวของกรีนยาร์ด ขาด้วนหรอกนะ”
 
                มันเป็นคำขู่ที่แอนเดรียเชื่อว่าพ่อสามารถทำได้จริงๆ เธอพยักหน้าด้วยความกลัว กลั้นน้ำตาอีกประเภทไม่ให้ไหล ซานดร้าแม่เลี้ยงของเธอรีบพาเธอเดินเข้าไปในห้องโถงของปราสาท
 
          ลันซ่ารีบลงจากหลังม้าคุกเข่าและยกมือสองข้างวางลงบนพื้นในแนวราบคล้ายเป็นการบูชาเทพ “โยฮัน ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าลั่นซ่า พ่อค้าแห่งสมาพันธ์ ได้ช่วยเหลือและติดตามท่านหญิงแอนเดรียมาถึงลาสทรอน เป็นเกียรติ์ยิ่งนักที่ได้มาพำนัก ณ ที่แห่งนี้ ขอบคุณท่านด้วยในเนื้อจดหมาย ถึงการตบรางวัล” ลันซ่ารีบเปิดการเจรจาธุรกิจและเป็นการผูกมัดคำสัญญาที่โยฮันพูดไว้
 
                “ลันซ่า เจ้ามีเหยี่ยวของเจ้า ข้าก็มีนกพิราบของข้า เรารู้จักตัวตนผ่านหมึกและกระดาษ ไม่ว่าจะเป็น โยฮัน ผู้ทรยศ หรือว่าจะเป็น ลันซ่าพ่อค้ามืดแห่งสมาพันธ์ และวันนี้ข้าหวังว่าจะได้ทำความรู้จักกันผ่านช่องทางที่ถูกต้องเสียทีนะ ซิดจะนำทางเจ้าไปหอรับรองแขกเลือกห้องได้ตามใจชอบได้เลยอาคันตุกะของข้า” โยฮันยังดูให้เกียรติ์แขกของเขามากว่าลูกสาวตัวเองเสียอีก
 
          “หมายถึงห้องไหนก็ได้จริงๆหรือท่านโยฮัน?” ลันซ่ารีบถามอย่างออกอาการ
 
โยฮันเดินหันหลังให้ลันซ่าช้าๆ  พร้อมทั้งไอแซคเดินจูงม้าไปทางคอกด้านใต้ของปราสาท“คงไม่ใช่ห้องของเมียข้าที่ตายไปและที่มีผ้าคลุมสัญลักษณ์หมูป่านั่นหรอกท่านลันซ่า”
 
               อาณาจักรลาสทรอนดูจะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกในยุคของโยฮัน ผู้ที่ไม่สามารถมีอะไรเล็ดรอดสายตาเขาไปได้เลย การจัดการอย่างเด็ดขาด แยกแยะจำแนกผู้คนดั่งแร่ที่เขารอถลุง ลันซ่าเก็บสัมภาระ และเดินตามซิดไปยังห้องพักรับรองในตัวปราสาท แม้หิมะจะยังไม่ตกแต่เขารู้สึกหนาวยะเยือกอย่างประหลาด
 
-----------------------
 
หลังจากที่ได้ท่านอาหารร่วมโต๊ะช่วงมื้อค่ำ หมูย่างหมักน้ำผึ้ง ผลไม้หลากรสฉ่ำอวลในปาก พายเนื้ออบ เหล้าองุ่นในเหยือกสลักเสลาลายเถาไม้สวยงาม บนโต๊ะอาหารความเงียบและความเครียดก่อตัวอย่างช้าๆ ซานดร้า ราวกับผู้กำหนดจังหวะของดนตรี เธอแต่งแต้มมันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ปรนนิบัติโยฮันอย่างเอาใจ ชวนแอนเดรียพูดคุยถึงความสนุกของการเดินทาง สอบถามถึงราคาแร่ที่ลันซ่าได้เดินทางไปมาในที่ต่างๆ  และพยายามหัวเราะเมื่อไอแซค อัศวินพยายามเล่าเรื่องขำขันบนโต๊ะอาหาร
 
               ซานดร้า รอยส์ จากนามสกุลก็คงคาดเดาได้ไม่ยาก เป็นผลพวงของการแต่งงานทางการเมืองอีกคู่ เธอถูกแต่งเข้ามาได้หลังจากที่ โซเฟีย นาริสตัน เสียชีวิตในวันที่คลอด แอนเดรีย  ครบหนึ่งปี  ลูกสาวคนแรกของ มาร์โค รอยส์ ต้องถูกตระกูลที่อ้างความชอบธรรมและความสงบของแผ่นดินบังคับให้แต่งงาน แต่ซานดร้าก็เข้าใจและทำใจยอมรับมันอย่างดี ความคาดหวังในการให้กำเนิดบุตรชายของโยฮัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน  สวนทางกับอารมณ์ที่เคยนิ่งและมั่นคงของเขา และหลังจากที่โยฮันรับรู้ว่า ความผิดในการที่ไม่สามารถมีบุตรได้ ไม่ได้อยู่ที่คู่นอนของเขา เนื่องจากหลายค่ำคืนแห่งความฝันที่เขารอนแรมไปในตรอกราคะกับหญิงไม่ซ้ำหน้า เสียงหัวเราะในแต่ละคืนหวานฉ่ำ เดือนแล้วเดือนเล่าทั้งบุตรในการสมรสครั้งใหม่หรือบุตรนอกสมรสที่เขาคาดหวังไม่เคยมีตัวตนปรากฏออกมา ‘ผู้ที่ตายไปแล้วย่อมไม่มีอะไรต้องสูญเสีย’ โยฮันพูดมันต่อหน้าหลุมศพของโซเฟีย ดอกทิวลิปสีแดงวางอยู่บนป้ายหน้าหลุมศพ และหลังจากวันนั้นเขาสูดกลิ่นไหม้ของเหล็กที่ถูกหลอมราวอาหาร สะเก็ดประกายไฟแตกตัวปะทะผิวเขาทำให้เขารู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ ‘ข้อดีของความเจ็บปวดคือ มันทำให้เรารู้ว่าเรายังไม่ตาย’ เขาพูดมันอีกครั้งหน้าเตาหลอมทาทารัส  และซานดร้ายังคงยิ้มแย้ม สุภาพ เป็นกันเอง ห่วงหาอาทร ดูแลปราสาทแห่งสาลทรอน ราวกับเป็นบุตรที่เธอให้กำเนิดมันกับโยฮัน….
 
 
          “ข้าจะให้อัศวินฝึกหัดไปบอกเมื่อข้าพร้อมที่ห้องทำงานของข้า” โยฮันเช็ดปากและลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร ไม่รอใครและไม่กล่าวคำทักทายก่อนออกไปจากโต๊ะ ลันซ่ารู้แค่ว่า โยฮันพูดประโยคนั้นกับตัวเขา แล้วชายแก่ผู้เย็นชาก็เดินออกไปจากห้องอาหาร
 
 
          “สัญลักษณ์หลังผ้าคลุมของท่านหมายถึงอะไรน่ะ ลันซ่า” ไอแซคปรับอารมณ์คนบนโต๊ะอย่างชาญฉลาด แอนเดรียเองก็มีสายตาที่สงสัยแต่เธอยังคงปิดบังมันอย่างไว้เชิง เธอยังคงจำได้เมื่อทหารจากตระกูล รอยส์ พูดถึงอาทิตย์และจันทร์ รวมถึงดาวทั้ง 13 ดวงหลังผ้าคลุมนั้น
 
          “สมาพันธ์แบ่งประเภทของพ่อค้าไว้ เจ็ดประเภท ดิน น้ำ ลม ไฟ เหล็ก ทองคำ และไม้ ตัวผมเองเริ่มต้นด้วยประเภทไม้น่ะ เหล้า เกลือ น้ำมันหอมระเหย น้ำหอม แน่นอนก็อยู่ในประเภทของน้ำ, พ่อค้าที่ขายข้อมูลต่างๆ ก็เป็นประเภทของลม น้ำมันติดไฟ ถ่านไม้ ถ่านหิน ก็ประเภทไฟ อะไรที่มันงอกจากดินได้ก็นับรวม บางทีก็ขัดแย้งกันเพราะไม้ยืนต้นที่นำมาทำฟืนและสร้างที่พักอาศัย พ่อค้าไม้รับสิทธิ์นั้น แต่ก็มีพ่อค้าดินหัวหมอบางคนชี้ช่องโหว่ที่ ต้นไม้มันก็ขึ้นจากดิน หลังๆเขาจึงรวมไปเป็นประเภทเดียวกันเลย ว่าดินและไม้” ลันซ่าเฉือนหมูย่างชิ้นบางเข้าปากแล้วเริ่มจ้อ
 
          “แล้วพวกค้าทาสล่ะท่านลันซ่า” ซานดร้าเริ่มเข้าสู่การสนทนา
 
 
          “นั่นหลังจากได้รับสัญลักษณ์ครบถ้วนเจ็ดประเภทแล้ว จึงค่อยๆ แตกแขนงออกไปเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัดน่ะครับ เมื่อขายหรือเจรจาประเภทสินค้าได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว ทำการสอบโดยผู้คุมกฏแห่งพ่อค้า พร้อมทั้งยื่นมอบสิ่งของที่เรายืนยันในการหามาได้ด้วยตัวเองเสร็จแล้ว  แน่นอนว่าของทั้งเจ็ดประเภท พ่อค้าที่เริ่มต้นธรรมดาๆ ก็สามารถซื้อขายได้ในเมื่อมันเป็นสินค้าสามัญ ท่านไอแซคเดินทางบ่อยคงจะสังเกตเห็นสัญลักษณ์ของพ่อค้าที่ถนัดในแต่ละอย่าง บางท่านก็เห็นเป็นรูปข้าวสาลีบนตราชั่ง บ้างเป็นวัว บ้างเป็นเครื่องเทศหลากชนิด หรือแม้กระทั่งดาบ ส่วนการค้าทาสหรือสินค้าที่มีความซับซ้อนในการหามา ต้องผ่านการทดสอบก่อนจากสมาพันธ์ จึงทำการค้าทาสได้ครับ ส่วนพ่อค้าที่ลักลอบค้าขาย สมาพันธ์ก็มีบทลงโทษที่เด็ดขาดครับ”
 
 
                “แล้วท่านถนัดอะไรกันหรือ ลันซ่าถึงได้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาประดับผ้าคลุม” นั่นเป็นเสียงของไอแซค
 
                ลันซ่าหันไปรินเหล้าองุ่นจากเหยือกลงมาที่แก้วแล้วดื่มอย่างกระหาย”มันหมายความว่าข้าไม่ถนัดอะไรซักอย่างน่ะสิครับ ข้าเลยจ้างช่างเย็บผ้าหาสัญลักษณ์ที่มันสวยๆหน่อยมาปักแก้เขิน”  ลันซ่ายกแขนเสื้อเช็ดมุมปาก นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขาเริ่มเป็นประกาย เสียงหัวเราะพร้อมกันระหว่างไอแซคและซานดร้าเกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย
 
                โกหกหน้าตายได้เหมือนเดิม สำหรับพ่อค้าผู้ลึกลับคนนี้ แอนเดรียนึกในใจ ยังคงมีดาวอีกสิบสามดวงที่เธอยังคงกังขา แต่ถามออกไป ความจริงที่บ้วนออกมาจากปากพ่อค้าคนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ให้เธอเชื่อว่าโยฮัน พ่อของเธอห่วงหาอาทรเธอมาก ยังจะน่าเชื่อเสียกว่า
 
----------------
 
 
ห้องทำงานของโยฮัน กว้างใหญ่  บรรจุไปด้วยภูเขาของหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น ศาสตร์แห่งการหลอม เคล็ดลับการตีเหล็กขั้นสูง ประวัติศาสตร์ช่วงต้นของไฮแลนด์ อาวุธระยะประชิด บทสวดขอบุตรจากเทพแห่งไฟ เขานั่งอยู่บนโต๊ะใบหน้าเฉยเมย เซ็นเอกสารด้วยปากกาขนนกและประทับตราของตระกูลด้วยเทียนสีแดง ลันซ่าหันมองข้างซ้ายและขวา รูปภาพประดับฝาผนังเล่าเรื่องราวของศึก มฤตยูเขียวและศึกที่สร้างชื่อแก่โยฮัน ที่เนินกระซิบ ซิดชายผู้เป็นใบ้รับเอกสารแล้วจึงก้มหัวขอตัวเดินออกจากห้องทำงาน
 
               “เอาล่ะ ลันซ่า การเดินทางมายังลาสทรอนของท่านคงไม่ได้หวังแค่เงินรางวัลในการพาลูกสาวข้ากลับมาเท่านั้นใช่ไหม?” โยฮันนั่งประสานมือแล้วมองมาที่ลันซ่าซึ่งกำลังขยับนั่งบนเก้าอี้ไม้ต่อหน้าโยฮัน “ถ้าท่านหมายตาผ้าคลุมของนาริสตัน ก็ขอเชิญท่านนำมันไปได้เลย แต่สัญญากับข้าด้วยวาจาพ่อค้าแห่งสมาพันธ์ด้วยนะ ว่าขุมทรัพย์ที่ท่านเจอจากลายแทงบนผ้าคลุมข้าขอมีส่วนหนึ่งในสี่”
 
               ลันซ่าแทบตกเก้าอี้หลังจากได้ฟังคำของช่างตีเหล็กที่วางตัวราวกับพ่อค้าสมาพันธ์“เอ่อ นั่นมันก็ส่วนนึงล่ะนะท่านโยฮัน ที่ข้าอยากเจรจากับท่านมันเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น” ลันซ่ามองไปที่หนังสือบนโต๊ะของโยฮัน ‘แร่หายากแห่งลาสทรอน’ หน้าปกสีดำ เขียนด้วยตัวอักษรสีขาว “ข้าอยากให้ท่านตีอาวุธที่มีส่วนผสมสามอย่าง หนึ่งคือ มิธริล สองคือเหล็กที่มีส่วนผสมของผงถ่านและสามหินดวงดาวสีดำที่ท่านได้รับพรจากเทพเมื่อ 15 ปีที่แล้ว”
 
 
               โยฮันสูดหายใจเข้าปอดแล้วค่อยๆปล่อยมันพรั่งพรูออกมาช้าๆ 15 ปีที่แล้วเป็นวันเดียวกันกับที่โซเฟียเสียชีวิต โยฮันกลับจำในสิ่งที่สูญเสียแต่เพิกเฉยในสิ่งที่ได้มา ในวันนั้นเปลวไฟลุกแดงฉานพุ่งผ่านเหมืองแร่มิธริล สะเก็ดดวงดาวขนาดเท่าลูกวัวฝ่าหิมะลงไปในลำธารน้ำแข็ง แรงสั่นสะเทือนไม่เพียงจะทำให้เหมืองเสียหายแต่ผู้คนละแวกนั้นล้มตายราวใบไม้ร่วง จวบจนโยฮันจัดการศพของโซเฟียเสร็จสรรพ พร้อมน้ำตาครั้งสุดท้ายที่เขาให้คำสัตย์ไว้ เขาไม่แม้แต่จะอุ้มลูกสาวที่เกิดใหม่ด้วยมือของด้วยเองแต่กลับส่งให้แม่นมจัดการพร้อมกำชับด้วยน้ำเสียงของผู้ที่ไม่น่าจะใช่บิดาว่า ‘ทำให้มันเงียบด้วย’  เขาเดินทางไปเกือบครึ่งวันเพื่อเดินทางไปถึงเหมือง ตรวจความเรียบร้อยของเหมือง เยียวยาผู้ใต้บังคับบัญชา เกณฑ์คนงานมาใหม่จากปราสาท ใต้ธารน้ำแข็งวัตถุสีดำคล้ายเหล็กร้อนแต่สีของมันมืดสนิทราวกับกลางคืนของฤดูหนาว ผิวขรุขระราวกับมะนาวเพลิง  คนงานแถวเหมืองปรามเขาในการจะดึงมันขึ้นมา บ้างว่าเทพแห่งไฟพิโรธ บ้างว่าเป็นลางร้ายแห่งลาสทรอน โยฮันรวบรวมผู้ภักดี นำหินดวงดาวมาไว้ที่โรงหลอมทาทารัส อยู่ห่างจากเหมืองมิธริลไปไม่ไกลนัก  พร้อมกับตั้งชื่อให้หินนี้ว่า ‘โซเฟีย’ 
 
                “ข้าเคยตีมันจากวัสดุสามสิ่งที่ท่านพูดมา เป็นเศษหัวธนูที่ได้ลองวิชาเพราะกว่าจะหาวิธีหลอมมันได้ช่างยากเย็น กับโซ่ตรวนใหญ่ สองเส้น กับกุญแจที่ใช้ไขตรวนเท่านั้น อาวุธที่ท่านต้องการ จะนำไปฟันโซ่ให้ขาดหรือจะนำไปใช้ปลิดชีพไอ้สิ่งที่มันถูกพันธนาการจากโซ่อยู่ล่ะท่าน?”
 
 
               คราวนี้ลันซ่าถึงกับทึ่งในข้อมูลที่โยฮันได้รับรู้มา เขาเผลอเหลือบไปมองดูที่มือซ้ายของเขาและคราวนี้ไม่พ้นสายตาที่คมราวมีดมิธริลของโยฮันไปได้ และลันซ่าก็เห็นรอยยิ้มเหยียดๆของโยฮันมองมาที่เขา “ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าสิ่งที่ท่านขอมานั้น ข้าเคยแลกเปลี่ยนมันด้วยอะไรมาบ้าง โซ่สามกษัตริย์นั้นทำให้ข้าต้องถูกผู้คนนินทาลับหลังตลอดกาลว่า’โยฮันผู้ทรยศ’ ท่านคิดว่าราคาที่ข้ากล่าวถึง ท่านมีพอจ่ายหรือไม่?”
 
               “แต่มันก็ทำให้อาณาจักรของท่านมั่นคง ร่ำรวย และยืนนานมิใช่หรือท่าน?” สมองของลันซ่าเริ่มทำงานอีกครั้ง
 
               “หมายความว่าท่านมีข้อเสนอที่เทียบเท่าหรือมากกว่าสิ่งที่ข้าเคยได้รับมางั้นหรือ นั่นไม่ได้หมายถึงฉายาบ้าๆที่ข้านึกถึงหรอกนะ ข้าหมายถึงอาณาจักรของข้า!” โยฮันพูดเสียงเด็ดขาด
 
               “ข้าขอเสนอแผนรับมือที่ทำให้ท่านไม่ต้องสูญเสียอาณาจักรไปให้อินทรีย์ ซึ่งท่านมีเวลาไม่เกินเจ็ดวันนี้หรอก ท่านโยฮันอย่างที่บรรพบุรุษท่านเคยพูดไว้’ การตีเหล็กขึ้นรูปว่ายากแล้ว แต่การรักษาหลังจากมันกลายเป็นอาวุธยิ่งยากกว่า’ เช่นเดียวกับอาณาจักรของท่าน”
 
               หลังจากนั้นในห้องก็มีแต่เสียงกระซิบ นานๆครั้งจะมีเสียงทุบโต๊ะดังปัง และไม่ต้องสงสัยว่ามันมาจากโยฮันนั่นเอง  ลันซ่าค่อยๆเปิดประตูห้องทำงาน มองซ้ายและขวาเมื่อเห็นว่าปลอดคน เขาจึงค่อยๆย่องกลับไปที่ห้องรับแขก พร้อมกับจดหมายในมือและถุงห่อพับอย่างดี
 
 
----------------
 
โรงหลอมทาทารัสตั้งตระหง่านโดยมีภูผาเป็นกำแพงอยู่ด้านหลัง โยฮันสั่งการกับซิดให้เตรียมเตาหลอมทันการ เขารู้เคล็ดลับจากบรรพบุรุษว่า อาวุธที่ดีคมต้องแข็งและแกนต้องยืดหยุ่น แข็งไปก็แตกหักง่ายและเปราะ อ่อนไปก็ไร้คม การสอนสั่งคล้ายกับการปกครองอาณาจักร พ่อของเขาเคยสอนให้ฟังเสียงของไฟ แทนที่จะเอาแต่สวดบูชาเพียงอย่างเดียว ว่ากันว่าเตาหลอมนั้นก็เหมือนกับมนุษย์ มันกินเหล็กและถ่านหินเป็นอาหาร ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยเพียงพอ วันนี้เป็นวันแรกของซิดที่โยฮันอนุญาตให้เขารับรู้เคล็ดลับการหลอมเหล็กแห่งดวงดาว ตั้งแต่ซิดแสดงเจตจำนงขอเป็นศิษย์เรียนรู้การตีเหล็ก เขาเรียนรู้การหลอมอยู่ 5 ปี การตีเหล็กอีก 7 ปี และเมื่อถึงวันที่ต้องตัดสินใจรับเคล็ดลับสำคัญของการหลอมและตีมิธริล  โยฮันถามเขาด้วยน้ำเสียงนิ่ง’การแลกมาด้วยความลับของตระกูลข้า หวังว่าเจ้าคงรู้ว่าต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง’ 
 
               ซิดตอบด้วยเสียงหนักแน่น ‘ข้าเตรียมใจไว้แล้ว นายข้า ข้ายอมแลกแม้ชีวิตเพียงเพื่อจะได้ชื่อว่า ช่างตีเหล็กในตำนาน’  มันเป็นการพูดครั้งสุดท้ายของ ซิด ก่อนที่เขาจะได้เรียนรู้วิชาการหลอมและการตีดาบขั้นสูง
 
               “หลังจากการหลอมหินดวงดาว ตรงไหนที่แวววาวเป็นสีเงินก็เก็บมันไว้ ตรงไหนสีดำก็ทิ้งไป ส่วนตรงที่เป็นสีเงินเราจะนำไปหลอมรวมกับมิธริลและเหล็กผสมอีกที” โยฮันเริ่มการสอนหลังจากเขาและซิดนำหินสะเก็ดดาวขนาวเท่าแขนเข้าไปในเตาหลอม ซิดยืนมองดูเปลวไฟสีแดงเข้มสะท้อนเงาในดวงตา หลังจากยืนมองไปซักพักเขาก็เห็นโยฮันเดินไปหยิบค้อนตีเหล็กมาเคาะบนทั่งทดสอบแรงและดูผิวหน้าตัดของทั่งเพื่อเตรียมการตีเหล็กขึ้นรูป
 
               ซิดเองเก็บความสงสัยไว้ชั่วครู่ในเมื่อแร่ที่หลอมออกมาแล้วต้องทิ้งไว้อย่างน้อยสองถึงสามวันเพื่อรอดูเนื้อแร่ส่วนที่ใช้ได้ เหตุใดโยฮันถึงรีบนำค้อนและทั่งออกมาเตรียมการ  เมื่อยืนมองมาเป็นชั่วโมง เขาจึงหันไปหาโยฮัน ถ้าพูดได้เขาคงจะอยากถามว่าทำไมแร่จากดวงดาวถึงไม่หลอมเสียที โยฮันเหล่มองซิดนิดนึงแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงของอาจารย์และศิษย์ “ข้าใช้เวลาสามปีเพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่าเจ้าหินจากดวงดาวนี้ทำอย่างไรมันจึงหลอมเข้ากับเหล็กได้ ทั้งผงถ่าน ทั้งน้ำมันเครื่องเทศ ทั้งผงเหล็ก แม้กระทั่งมิธริล ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมหลอมเสียที  ซิด”
 
 
               โยฮันเดินมาด้านหลังของซิดมือแตะไปที่บ่า “เจ้าลองเข้าไปดูมันใกล้ๆซิ เผื่อเจ้าไขปริศนามันออกโดยที่ไม่ต้องใช้คำตอบจากข้า ศิษย์ที่ผ่านมาของข้าก็มีเจ้านี่แหล่ะ ที่มีความฉลาดมากที่สุด”
 
               ซิดเขยิบเข้ามาใกล้ถึงเตาหลอมชะโงกไปมองดูโดยเอามือบังไฟที่ร้อนแรงในเตา  โยฮันง้างค้อนเหนือหัวจนสุดและฟาดมันลงไปที่ท้ายทอยของซิด ก่อนที่ร่างของศิษย์ใบ้จะล้มลงโยฮันออกแรงถีบไม่แรงนักแต่ประคององศาให้ร่างทั้งร่างของซิดเข้าไปในเตาหลอม มีเพียงเสียง ผลัวะ ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการดิ้นรนและการบิดตัวในเตา โยฮันหยิบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของซิด ใจความในจดหมายนัดแนะกับตระกูล รอยส์ อย่างดิบดี ทั้งช่องทางการจู่โจม เวรยามป้อมไหนที่อ่อนแอ ทิศทางการเดินทัพ แม้กระทั่งการรอสัญญาณโจมตีในปราสาท  และจึงไม่น่าแปลกใจที่ทหารของรอยส์ได้ข่าวการเข้าเมืองของแอนเดรียเร็วยิ่งนัก ทั้งหลายทั้งปวงมาจากซิดนี่เอง  สิ่งที่เขายังคงสงสัยในตัวซิดคือการแฝงตัวมาเนิ่นนานเพื่อเป็นสายให้อินทรีย์ จงรักภักดีกระทั่งยอมโดนตัดลิ้นเพื่อทำให้เขาตายใจ การเสียสละขนาดนี้เขาจะมีอะไรได้รับการตอบแทนในเมื่อในความคิดของโยฮัน ’คุณธรรมและความภักดีมันก็เป็นกลวิธีประเภทหนึ่ง ของผู้มีความรู้สำหรับส่งคนโง่ไปตายและเป็นกุศโลบายต่ำช้าของผู้เป็นนายที่มีไว้เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นเอง’โยฮันจัดแจงโยนหลักฐานในจดหมายเข้าไปในเตาหลอมให้มอดไหม้ไปตามเจ้าของลายมือ
 
 
               ในขณะที่คิดคำนึงโยฮันเริ่มนั่งลงบนพื้น เพ่งมองไปในเตาหลอมเมื่อผ่านชั้นเนื้อไปแล้วก็เป็นชั้นกระดูก เปลวไฟที่เคยเป็นสีแดงเข้มกลับกลายเป็นแผดเผาแรงกล้า เปลวไฟเริ่มเปลี่ยนสีและลุกโชนอย่างน่ากลัว เปลวไฟสีฟ้า พวยพุ่งราวกับมีชิวิต คล้ายเต้นรำให้กับซากกระดูกของซิด แร่แห่งดวงดาวเริ่มการหลอมในเตา โยฮันเริ่มนึกไปถึงบทสนทนาของลันซ่าในห้องประชุม แผนขั้นแรกดำเนินขึ้นเมื่อพ่อค้าแห่งสมาพันธ์ดักจับจดหมายของซิดได้ด้วยเหยี่ยวของเขา
 
          ‘ข้าส่งสัยว่าทำไมเขาถึงส่งจดหมายสองฉบับและทิศทางที่เขาส่งจดหมายฉบับที่สองนั้นมันมุ่งไปยังตระกูลรอยส์’ แล้วลันซ่าจึงหยิบจดหมายพร้อมเนื้อความให้โยฮันได้อ่าน
 
           ‘แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้ปลอมจดหมายนี้ขึ้นมาเอง’ โยฮันแกล้งถามหยั่งเชิง
 
          ‘ท่านรู้อยู่แล้วว่าถ้าท่านตายไป ใครจะตีอาวุธให้ข้าล่ะ’ พ่อค้าและช่างตีเหล็กจึงยิ้มให้กันถึงแม้ต่างคนต่างรู้ว่ามันเป็นยิ้มที่ฝืดฝืนเสียนี่กระไร
 
          ‘แล้วแผนขั้นที่สองล่ะท่านลันซ่า’ โยฮันถามด้วยเสียงเรียบๆ
 
          ‘ข้าก็ได้ส่งจดหมายในลายมือของซิดเปลี่ยนแปลงสถานที่ เวลา และการจัดทัพซุ่มนิดหน่อยน่ะท่านโยฮัน เพียงแต่คราวนี้ข้าอยากให้ท่านเตรียมใจรับสถานการณ์ที่เหนือการคาดเดาไว้ด้วย ทัพที่ซุ่มและเคลื่อนพลอาจจะไม่เยอะเท่ากองกำลังของท่าน แต่มังกรไฟตัวเดียวก็สามารถล่มทัพได้เป็นหมื่น’ ลันซ่าตอบด้วยเสียงปกติซึ่งโยฮันก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อค้าได้กำหนดแผนเตรียมการซ้อนไปอีกขั้นแล้ว การพึ่งพาอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงอย่างเดียวนั้นจะทำให้เกิดจุดอ่อนที่ชัดที่สุดด้วย มุมมองที่เห็นพ้องต้องกันระหว่างโยฮันและลันซ่า กำหนดแผนที่ซ้อนทับกันไปมาอย่างแยบยล ‘ข้ากับท่านเราอาจจะเป็นคนประเภทเดียวกัน อาวุธหรือมนต์ที่วิเศษสุดในการทำศึกก็คือ ‘แผนการ’ นั่นเอง’ สิ้นเสียงของลันซ่าเขาทั้งคู่จึงเริ่มทบทวนแผนการและไตร่ตรองว่ามีรูรั่วที่จุดไหนอีกบ้างก่อนจะได้บทสรุป
 
 
          เปลวไฟสีฟ้ายังคงลุกโชน นัยน์ตาสีเขียวสดของโยฮันเพ่งมองไม่วางตา เขามีเวลาไม่มากที่เตาหลอมนี้ ยังไม่รวมการตีขึ้นรูป สงครามกำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาไม่แปลกใจการแก้แค้นของตระกูล รอยส์ แต่คาดไม่ถึงในเรื่องการใช้มังกรของอินทรีย์อย่างมาร์โค ในเมื่อมันเดิมพันด้วยการล้างตระกูล ก็ขอให้มันเป็นเช่นนั้นเถอะ มาร์โค  ‘ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง’ บทเรียนจากมาร์โค ในครั้งนี้ย่อมต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม
 
--------------------
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา