Black or White สองรักร้ายป่วนหัวใจยัยจอมมึน

9.8

เขียนโดย LazyGirl

วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.05 น.

  4 บท
  33 วิจารณ์
  8,749 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 22.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) น้องชาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
น้องชาย?
 
                “ไม่นะ!! >O<”
                เฮือกกกกกกกก O_O!!!
                ฉันเบิกตาโพลงเด้งตัวลุกขึ้นนั่งจนหน้ามืด ทุกอย่างเป็นสีดำสนิท มองอะไรก็ไม่เห็นเลย แต่สัมผัสนุ่มนิ่มแบบนี้ฉันมั่นใจว่ามันคือเตียง! อ้อ…เข้าใจล่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องนอน และเมื่อกี้คือความฝัน  โธ่! ตกใจหมด  นึกว่าจะต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้นจริง ๆ ซะแล้ว
               “ฮ้าววววว วันนี้มีอะไรให้กินบ้า-” ไม่ใช่สิ  ครอบครัวฉันเพิ่งล้มละลายมาได้ไม่นาน ไม่มีปัญญาซื้อเตียงนุ่ม ๆ แบบนี้หรอก!
 พอหายจากอาการหน้ามืด ทุกอย่างตรงหน้าก็เริ่มชัดขึ้น ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง เตียงขนเป็ด ทุกอย่างรอบตัวถูกตกแต่งด้วยเงิน ห้องกว้าง ๆ หรูหราแบบนี้ไม่ใช่ห้องนอนในบ้านเก่า ๆ หลังสวนที่ฉันอยู่แน่นอน
                ฉันอยู่ที่นี่จริง ๆ !! ที่คฤหาสน์สีเงิน!! O_O
                ก๊อก ก๊อก
                “คุณสุดที่รักตื่นหรือยังคะ?”
                เอ๊ะ เสียงนุ่มนวลละมุนละไมชวนเคลิ้มให้หลับอีกรอบแบบนี้เป็นเสียงของคุณคาร่านี่นา
                “ต…ตื่นแล้วค่ะ” ฉันรีบลงจากเตียงแล้วจัดทรงผมให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปเปิดประตู นี่ฉันตื่นสายถึงขนาดให้คุณแม่บ้านมาปลุกถึงห้องเลยเหรอ มาอยู่บ้านเขาวันแรกก็ทำเรื่องขายหน้าซะแล้ว >_<
                “แหม ตื่นเช้าจังเลยนะคะ นึกว่าคุณสุดที่รักจะตื่นสายกว่านี้ซะอีก ฮะ ๆ” พอฉันเปิดประตูออกมาก็พบกับรอยยิ้มน้อย ๆ ของคุณคาร่าทันที
                “เช้า?…ตอนนี้กี่โมงเหรอคะ? =_=”
                “7 โมงนิด ๆ ค่ะ จะรับอาหารเช้าเลยไหมคะ?” ดีนะที่ฉันฝันร้าย ไม่งั้นคงไม่ตื่นเช้าแบบนี้หรอก แต่มาอยู่ที่นี่เนี่ยดีจังนะ มีอาหารดี ๆ ให้กินแถมยังรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงอีกต่างหาก ชีวิตดี๊ดี >_<
                โอ๊ะไม่สิ! ฉันจะมีความสุขทั้งในขณะที่แม่กับพ่อกำลังทุกข์อยู่ไม่ได้! >_<
                “ทานเลยก็ได้ค่ะ”
                “จะทานในห้องหรือลงไปทานที่ห้องอาหารดีคะ?” มีบริการถึงห้องด้วย นี่คือโรงแรมระดับสิบดาวหรือเปล่าเนี่ย? *O*
                “ลงไปทานข้างล่างดีกว่าค่ะ” เพราะถ้าทานในห้องมันจะดูเป็นผู้หญิงขี้เกียจน่ะสิ เดี๋ยวก็โดนคนที่นี่นินทาเอาหรอก
                “ได้ค่ะ ^^”  
 หลังจากคุยเรื่องอาหารเช้าเสร็จ ฉันก็ปิดประตูจัดการอาบน้ำอาบท่าแต่งหน้าแต่งตัว แล้วเดินลงไปข้างล่างทันที ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะต้องมาอยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงเลยต่างหากว่าเมืองจน ๆ แบบนี้จะมีคฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้อยู่ด้วย ฉันไม่เข้าใจความคิดของผู้ครองเมืองหรือไอ้คนที่ชื่อ ‘มาโวล์ร’ อะไรนั่นเลย จะจับฉันมาทำไมทั้ง ๆ ที่แม่เป็นคนผิด นี่ไม่ได้ว่าแม่ตัวเองนะ แต่ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ -_-
                ตอนแรกฉันคิดว่าการที่ถูกจับมาขังไว้ที่นี่จะต้องมารับโทษแทนแม่ แต่เปล่าเลย! คนที่นี่ดูแลฉันดีมาก เสื้อผ้าสัมภาระอะไรต่าง ๆ ก็ยกขึ้นมาไว้บนห้องให้ ของเยอะแบบนั้นเห็นแล้วเกรงใจสุด ๆ ฉันบอกว่าจะจัดการเองแต่คุณลุงและคุณป้าทั้งหลายก็ไม่ยอม พวกเขาเอาแต่บอกว่า
                ‘ไม่ได้ครับ/ค่ะ คุณเลฟกี้สั่งมาว่าให้ดูแลคุณเป็นอย่างดี ให้พวกเราช่วยเถอะนะครับ/คะ’
                'คุณเลฟกี้' ที่พูดถึงนั่นหมายถึงใครกันนะ
                “สวัสดี เธอคือสุดที่รักใช่ไหม? ^^”  โอ๊ะ เดินถึงห้องรับประทานอาหารเฉยเลย แต่นั่น...ชายที่นั่งหัวโต๊ะคนนั้นคือคนที่ฉันเจอเมื่อวานไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ดูเป็นมิตรแปลก ๆ ไหนบอกว่าชื่อฉันมันห่วยแล้วไหงเรียกซะเต็มปากเลยล่ะ
                “ใช่” ฉันตอบสั้น ๆ แล้วเลือกที่นั่งท้ายโต๊ะ ก็ฉันไม่อยากอยู่ใกล้เขานี่นา กลัวได้คุยด้วยอ่ะ คนอะไรไม่รู้ปากร้ายชะมัด คุยกับฉันเหมือนคุยกับผู้ชาย เขามองเพศหญิงกับเพศชายไม่ออกหรือไงนะ L
               “ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะคะ ที่ของคุณอยู่ข้างหน้านะคะ” คุณป้าแม่บ้านที่ไม่ใช่คุณคาร่าก้มลงกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ ก็ฉันพอใจจะนั่งตรงนี้นี่ อย่ามายุ่งน่า! -_-
                “ฉันแค่ไม่อยากนั่งใกล้ผู้ชายคนนั้น” ฉันไม่ยอมอยู่ใกล้อีตาที่ต้อนรับแขกด้วยวาจาหยาบคายอย่างเมื่อวานเด็ดขาด! มาวันแรกก็สร้างความประทับใจแรกพบที่ไม่สมควรจะประทับใจแล้ว ใครมันจะไปอยากทำดีกับคนพรรค์นั้นล่ะ!
                “พ...พูดแบบนั้นได้ยังไงกันคะ” ป้าคนเดิมเสียงสั่นทันที ทำไมต้องกลัวชายที่อายุน้อยกว่าตัวเองตั้ง20กว่าปีขนาดนั้นด้วย นั่นรุ่นลูกป้าเลยนะ =_=
                “ไม่เป็นไร ป้าไปพักเถอะครับ” ชายคนเดิมกล่าวอย่างใจดี คุณป้าคนนั้นโค้งตัวให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป
                “เธอไม่หิวหรือไง?”
                จ๊อกกกกก…
                “หิวสิ ( =_=)” เสียงท้องร้องเมื่อกี้คือหลักฐาน T^T
                “งั้นก็มานั่งตรงนี้ ตรงนั้นที่เธอนั่งมันไม่มีอะไรให้ทานเลยนะ ^^” เขาพูดอย่างขำ ๆ และท่าทางก็ใจดีก็ผิดกับเมื่อวาน จะว่าไปบนโต๊ะตรงหน้าฉันมันไม่มีจาน มีช้อน หรือซ้อมอะไรเลย จานกับอาหารของฉันมันอยู่ข้างหน้านู่นต่างหาก เฮ้อ! ทำไมคุณป้าถึงใจร้ายจัดที่นั่งของฉันให้ใกล้กับอีตานั่นด้วยนะ L
                ฟึ่บ
                ฉันนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่ายทำให้นายหัวทองคนเดิมเผลอยิ้มออกมา แต่พอมองดูดี ๆ รอยยิ้มนั้นมันไม่ใช่รอยยิ้มชั่วร้ายอย่างที่ฉันเคยเห็น มันเป็นรอยยิ้มใจดี อ่อนโยน และอบอุ่น นี่ใช่คนเมื่อวานจริงเหรอเนี่ย -O- ?? เอ๊ะ…บางทีเมื่อวานที่เราเจอกัน เขาอาจจะอารมณ์เสียอยู่ก็ได้ แต่บอกตามตรงว่าตอนหมอนี่อารมณ์ดีแล้วน่ารักชะมัด! รอยยิ้มจากริมฝีปากบาง ๆ เข้ากับใบหน้าเรียวยาวของเขามาก! หล่อจัง ใช่เทวดาหรือเปล่าเนี่ย คิคิ >_<
                “งั้นเราทานกันเถอะ อ้อ อาหารพวกนี้ฉันเป็นคนทำกับมือเลยนะ เพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างสุดที่รักไง ^^” ชายตรงหน้าตักไข่ดาวรูปหัวใจเข้าปากของตัวเองแล้วส่งยิ้มให้ฉัน ว้าว…ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขานี่ดูดีชะมัด หล่ออกว่าพลูโตอดีตแฟนจ๋าของฉันซะอีก T^T
                “น้ำสตอเบอร์รี่ปั่นฉันก็ทำเองเหมือนกัน ทานเยอะ ๆ ล่ะ ^^” เขาดันแก้วใสทรงกระบอกที่บรรจุน้ำสีแดงไว้ด้านในให้ โอ้โห! อีตาปากร้ายเวลาอารมณ์ดีนี่อ่อนโยนชะมัด ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย อาหารตรงหน้าก็ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มันฟรุ้งฟริ้งเหมาะกับผู้หญิงน่ารัก ๆ อย่างฉันเป็นที่สุด ที่นี่มันสวรรค์ชัด ๆ >_<
                “ขอบคุณมากค่ะ”
                “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ทำตัวตามสบายเถอะ” พูดจาน่ารักแบบนี้เดี๋ยวก็กินคนแทนข้าวซะหรอก  >_<
                เฮ้อ ถ้าฉันรู้ว่าเขาเป็นคนดีแบบนี้ ฉันจะไม่ทำตัวแย่แบบเมื่อวานใส่เขาเด็ดขาด
                “คือ…เรื่องเมื่อวานฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ…”
                “หืม? เรื่องเมื่อวาน?” เขาทำหน้างงเหมือนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ อะไรกัน จำไม่ได้เหรอ?
                “ก็ที่ฉันทำตัวไม่สุภาพใส่คุณไงคะ”
                “งั้นเหรอ? แต่เมื่อวานเราไม่ได้เจอกันนะ” พูดเป็นเล่น! ก็เขายังว่าฉันหูหนวกอยู่เลย แกล้งลืมหรือไง? ฉันไม่ยอมนะ! >_<
                “เจอสิ จำไม่ได้เหรอ?”
                “…แล้วฉันพูดอะไรกับเธอบ้าง?”
                “คุณบอกว่าชื่อฉันห่วย!”  ฉันตอบแทบจะทันทีที่เขาถามคำถามจบ ใครก็ตามที่ล้อเลียนชื่อของฉัน ฉันจำได้หมดแหละน่า!
                “ฉันชื่อ..สุดที่รักค่ะ”
                “ชื่อห่วยชะมัด”
                 “ฮึ…” มีอะไรน่าขำไม่ทราบ?  หัวเราะแบบนี้แสดงว่าจำได้แล้วสินะ
                “ฮะ ๆ นั่นไม่ใช่ฉันสักหน่อย ไอ้คนที่เธอเจอเมื่อวานคือมาโวล์รต่างหาก ปากมันก็เสียอย่างนั้นแหละ ฮ่าๆ” เอ๊ะ? มาโวล์ร?? คนที่ฉันทะเลาะด้วยเมื่อวานคือมาโวล์รคนที่บอกว่าเป็นคนแรียกฉันมา และเป็นผู้ครองเมืองน่ะเหรอ แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าฉันล่ะใคร ผีเรอะ!! O_o
                “ง..งั้นคุณเป็นใครล่ะ?” ฉันถามด้วยความสงสัย บ้าน่า คนอะไรจะเหมือนกันทั้งสีผมสีคิ้ว แกล้งฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย อ้อ! นี่ต้องเป็นการแกล้งต้อนรับน้องใหม่อย่างฉันแน่ ๆ เลย  ฮ่า ๆ ^O^
                จะใช่แน่เหรอ? T^T
                “เธอคิดว่าฉันเป็นใครล่ะ”
                ก็ฉันไม่รู้ กำลังสับสนอยู่เนี่ย! TOT
                “ฝาแฝดเหรอคะ?”
                “ก็...ประมาณนั้น แต่นิสัยเราไม่เหมือนกันหรอกนะ ฮ่า ๆ ^^” ดูจากบุคลิคก็ต่างกันแล้ว คน ๆ นี้ดูร่าเริงและสดใส ส่วนคนเมื่อวานจะทำหน้าบูดเป็นตูดลิง เหมือนคนอารมณ์เสียเพราะไปเหยียบขี้หมามา -_-;;
                “เลิกหัวเราะเถอะน่า ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลย L” งอนแล้วนะ หัวเราะอยู่ได้ เดี๋ยวก็ปาข้าวใส่หน้าซะหรอก ฉันไม่ใช่ตัวตลกสักหน่อย T^T
                “ก็ตอนเธอตกใจมันตลกดีนี่นา ทำตาซะโตเชียว ฮ่าๆ”
                “ก็ฉันไม่รู้นี่! หน้าเหมือนกันขนาดนั้นฉันแยกไม่ออกหรอก สีผมก็เหมือนกัน ตาก็เหมือนกัน ปากก็เหมือนกัน จริง ๆ เป็นแฝดกันมันไม่น่าจะเหมือนกันขนาดนี้นี่นา” ฉันโวยวายด้วยความอาย ก็คนมันดูไม่ออกจริง ๆ จะหัวเราะทำไมเล่า ไม่เห็นจะน่าขำเลย L  
                “แต่ฉันหล่อกว่าหมอนั่นนะ”
                “ใช่ค่ะ >_<” ฉันตอบทันที! ไอ้นิสัยยิ้มง่ายและร่าเริงของเขานี่เเหละที่หล่อ!
                “ฮ่ะ ๆ ทานต่อเถอะ จะเย็นหมดแล้วนะ” ว่าแล้วเขาก็ทานต่อ อยู่กับคนคนนี้แล้วรู้สึกปลอดภัยจัง โชคดีชะมัดที่ถูกจับตัวมาอยู่ในดินแดนสวรรค์สีเงินแห่งนี้ เอ๊ะ ว่าแต่คุณเทวดาตรงหน้านี้ชื่ออะไรกันนะ
                “คุณชื่ออะไรเหรอคะ?”
                “อ้าว ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเหรอ”
                (- - )( - -)
                ฉันส่ายหัวแทนคำตอบทำให้เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อย คนอะไรสดใสชะมัด ฉันทำอะไรเขาก็หัวเราะไปซะหมด >_<
                “ฉันชื่อเลฟกี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ สุดที่รัก”
                “เช่นกันค่ะ แฮะ ๆ >_<” การถูกเรียกด้วยชื่อนี้จากผู้ชายหน้าตาดีนี่มันฟินชะมัด >,.<
               “นี่ห้องของฉัน ส่วนนี่ ที่อยู่ซ้ายมือถัดจากห้องของฉันคือห้องของมาโวล์ร” ตอนนี้ฉันเป็นลูกทัวร์ของเลฟกี้ล่ะ รู้สึกว่าเราจะสนิทกันขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ฉันสัมผัสได้  >_< เขาพาฉันเดินดูคฤหาสน์จนทั่ว แล้วจบด้วยห้องนอนของเขากับนายมาโวล์ร เอ๊~ แนะนำห้องนอนของตัวเองให้ผู้หญิงน่ารัก ๆ อย่างฉันแบบนี้ คิดอะไรหรือเปล่าเนี่ย >_<
                “ห้องของเธออยู่ตรงนั้นสินะ มีปัญหาอะไรเรียกได้เสมอ แต่อย่าเคาะผิดห้องล่ะ ^^”
                “เคาะผิดก็ซวยสิ -_-” ฉันทำหน้าเซ็งพลางมองประตูห้องของนายมาโวล์ร ทำไมห้องของพวกเขาสองคนถึงอยู่ติดกันแบบนี้นะ อาจเพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกันก็ได้คุณสถาปนิกก็เลยสร้างห้องให้อยู่ใกล้กัน เอ๊ะ ว่าแต่คุณทวดากับนายซาตาน คนไหนเป็นพี่เป็นน้องล่ะ
                “เลฟกี้ นายกับมาโวล์รใครเป็นพี่เหรอ?” ฉันเงยหน้าถามชายผมทองที่ตัวสูงจนหัวจะแตะเพดานอยู่แล้ว
                “มาโวล์รน่ะ หมอนั่นเกิดก่อนฉันหนึ่งนาที ^^” ความชั่วเกิดก่อนความดีสินะ แหม…แต่ไม่เป็นหรอก เพราะความดีจะเอาชนะความชั่วเอง ฮ่า ๆ  ^O^ (นี่ฉันเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย -O-;)
                “อ้อ…เขาหายไปไหนล่ะ วันนี้ฉันยังไม่เห็นหน้าเขาเลยนะ”
                “ทำไม เธออยากเจอหมอนั่นเหรอ?” เลฟกี้ถามฉันพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ อ๊ะ! ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ ฉันไม่ได้อยากเจออีตามาโวล์รปากจัดนั่นสักหน่อย คนที่ฉันอยากอยู่ด้วยตลอดคือนายต่างหากล่ะเลฟกี้ >_<
                “เปล่า แค่ถามเฉย ๆ”
                “หมอนั่นไมอยู่หรอก ชอบหายไปตั้งแต่เช้า กลับมาอกีทีก็ดึกดื่น ไปทำอะไรของมันก็ไม่รู้ทั้งวัน แต่ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสนใจ” หายตั้งแต่เช้า กลับมาอีกทีก็ดึก? คงจะเที่ยวกลางคืนเหล่มองสาว ๆ ในชุดวาบหวิวตามประสาผู้ชายล่ะมั้ง  เอ๊ะ แต่เมืองจน ๆ แบบนี้มีผับด้วยเหรอ =_=?
                เราเดินสำรวจห้องทีละห้องจนทั่วแล้ว แต่ไม่ยักจะเห็นคนอื่นเลยนอกจาก คุณลุงคุณป้าพ่อบ้านแม่บ้านหน้าซ้ำ ๆ ที่นี่มีคนอยู่แค่ไม่กี่คนเอง  บ้านกว้าง ๆ แบบนี้น่าจะมีคนเยอะกว่านนี้นะ
                “ที่นี่คนน้อยจังเนอะ บ้านหลังเก่าของฉันก็ใหญ่เหมือนกัน แต่ไม่มีคนน้อยขนาดนี้นะ อยู่เงียบ ๆ แบบนี้คนเดียวไม่เหงาหรือไง“ จริง ๆ ที่คฤหาสน์สีทอง บ้านหลังเก่าของฉันก็อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก แต่มันเยอะเพราะพวกคนรับใช้ต่างหาก
                “เพราะนี่เป็นคฤหาสน์ลึกลับ ไม่อยากให้มีคนรู้เรื่องภายในมาก ก็เลยมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถอยู่ในนี้ได้”
                “อ้าว ไม่อยากให้มีคนรู้เรื่องข้างในแล้วพาฉันมาทำไมล่ะ เดี๋ยวฉันก็เอาไปเล่าให้คนข้างนอกฟังหรอก”
                “เธอคิดว่าจะออกไปได้งั้นเหรอ? ^^” รอยยิ้มนั้นดูเย็นชาแปลก ๆ ทำให้ฉันคิดถึงคำพูดของนายซาตานคนนั้นขึ้นมา
                “ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์สีเงิน ฉันชื่อมาโวล์ร ผู้ครองเมืองแห่งความยากลำบากเฟอร์เรนดัมม์ ขอให้ใช้ชีวิตตลอดทั้งชีวิตของเธออยู่ที่นี่อย่างมีความสุขนะ ยัยมึน J”
                ฉันไม่ยอมอยู่ที่นี่ไปจนตายหรอก!
                “ฉันไม่มีสิทธิ์ออกไปข้างนอกเลยจริงเหรอ?” ฉันถามเสียงอ่อยแสดงความน่าเอ็นดู เผื่อเขาจะเห็นใจแล้วปล่อยฉันไป
                “ก็คงอย่างนั้น…เรื่องแบบนี้ถามคนที่จับเธอมาดีกว่านะ” ก็ที่นี่ไม่มีใครใจดีให้ถามเลยนี่นา ขืนเอาแต่ถามเลฟกี้ที่ไม่ยอมตอบคำถามตรง ๆ สักครั้ง ฉันคงไม่มีทางได้คำตอบที่แท้จริงแน่ มันต้องมีคนอื่นที่ตอบฉันได้บ้างแหละน่า!
                “นายอยู่ที่นี่กับมาโวล์รแค่สองคนเหรอ? แล้วพ่อแม่ของนายล่ะ?”
                “ไปทำงานน่ะ นาน ๆ จะกลับมาเยี่ยมที” คฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ของผู้ครองเมือง พวกเขามีเงินมากมายขนาดนี้ยังต้องทำงานอีกเหรอ? แค่รอกินเงินจากชาวบ้านก็พอแล้วนี่
                “เป็นถึงตระกูลผู้ครองเมืองแท้ ๆ ยังต้องทำงานอีกเหรอ?”
                “ความลับ ^^” ขอเบะปากแล้วมองบนแรง ๆ ทีเถอะ อะไร ๆ ก็เป็นความลับไปซะหมด อย่าให้ฉันได้สืบเองนะ!
                “นี่…จริง ๆ แล้วพ่อแม่ของนายเป็นผู้ครองเมืองตัวจริงใช่หรืองเปล่า?”
                “ผู้ครองเมืองตัวจริง?” เขายักคิ้วถามพลางเปิดประตูเข้าไปในห้องสมุดสุดไฮเทค เอ๊ะ! นี่เราคุยกันเพลินจนเดินมาส่วนที่สามของคฤหาสน์เลยงั้นเหรอ O_O
                อะแฮ่ม ขออธิบายคร่าว ๆ หลังจากที่ฉันเคยเข้าไปดูห้องนั้นมาแล้ว...
                ห้องสมุดห้องนี้ใหญ่โตเทียบเท่ากับห้องสมุดของมหาลัยโพรเพลสลิตาร์ในเมืองแห่งความรุ่งเรืองที่ฉันเคยอยู่ มันกว้างและล้ำสมัยมาก! ห้องทั้งห้องถูกตกแต่งอย่างอย่างสวยงามสบายตา ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน มันโล่ง แล้วก็เย็นมากด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นหนังสือมากมายเรียงรายอยู่บนชั้นแล้วไม่ง่วง เพราะมัวแต่ชื่นชมความงามของที่นี่ยังไงล่ะ *O*
                “ใช่ เพราะพ่อกับแม่ของนายออกไปทำงานข้างนอก คนเป็นพี่อย่างมาโวล์รก็เลยรับหน้าที่เป็นผู้ครองเมืองแทนใช่ไหมล่ะ?” ฉันพูดต่อก่อนจะหย่อนก้นสวย ๆ ลงนั่งบนโซฟาขนเฟอร์
                “ก็ประมาณนั้นแหละ” เขาตอบสั้น ๆ เหมือนไม่ใส่ใจในคำถามของฉัน โธ่! ช่วยตอบแบบจริงหน่อยเถอะ จู่ ๆ ฉันก็ถูกพามาที่นี่โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนะ ฉันต้องการความเป็นมา!
                “อ้อ! แล้วนายรู้หรือเปล่าว่าทำไมพี่ชายของนายถึงพาตัวฉันมา” นี่แหละ คำถามที่ฉันตั้งใจจะถามคุณคาร่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเธอ!
                “เรื่องนั้นเธอคงต้องไปถามหมอนั่นเอาเอง ^^” เขาตอบแล้วนั่งลงบ้าง เซ็งชะมัด ถามอะไรก็ไม่ตอบสักอย่าง แถมยังไล่ให้ฉันไปถามอีตาซาตานนั่นอีก อีคนหน้าบูดแบบนั้นขืนฉันไปถามตรง ๆ คงโดนด่ากลับมาว่า ‘หน้ามึน ๆ อย่างเธอไม่มีค่าพอที่จะให้รู้เรื่องพวกนี้หรอก!’ อะไรเทือกนั้น แล้วฉันก็ไม่ได้หน้ามึนนะ T^T  
                “เป็นความลับอีกแล้วเหรอ -3-”
                “แต่ฉันคิดว่าการที่เธอมาอยู่ที่นี่ มันจะเป็นผลดีต่อครอบครัวของเธอนะ” 
                “ยังไง?”
                “อืม…เรืองนั้นก็ฉันบอกไม่ได้เหมือนกัน ถึงมาโวล์รจะน่าหมั่นไส้จนอยากต่อยหน้าสักหมัดสองหมัดก็เถอะ แต่หมอนั่นก็เป็นคนมีเหตุผล ไม่ทำอะไรเรื่อยเปื่อยหรอกนะ ^^” เลฟกี้เน้นคำว่า ‘อยากต่อยสักหมัดสองหมัด’ แถมยังทำหน้าตาน่ากลัวอีก ให้ทาย พี่น้องคู่นี้ต้องไม่ถูกกันแน่ ๆ =_=
               “สุดที่รัก เธอชอบที่นี่หรือเปล่า?” หืม? จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องเฉย
  ถามว่าชอบที่นี่หรือเปล่างั้นเหรอ…อืม…
                “ชอบสิ ฉันชอบที่นี่มาก ๆ มันโล่ง แล้วอากาศเย็นสบาย ^O^” มันไม่ร้อนแล้วก็ไม่หนาว ฉันอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเลย แล้วถ้ามีเค้กให้ทานด้วยจะโอมาก >_<
                “ฉันชอบตรงที่มันเงียบนี่แหละ ก็เลยเอากีตาร์มาเล่นที่นี่บ่อย ๆ”
                “เล่นในห้องสมุดเนี่ยนะ? -_-”
                “ทำไม ไม่ได้เหรอ?”
                “ก็เปล่า แต่มันแปลก ห้องเก็บเสียงสำหรับซ้อมดนตรีที่นี่ก็มี ทำไมไม่ไปเล่นในนั้นล่ะ?” ที่นี่หรูหรา ล้ำค่า และไฮเทคมาก ฉันไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่จะกว้างใหญ่ขนาดนี้ เพราะมันมีทุกอย่างที่ตอบสนองทุกความประสงค์ ถ้าฉันจะเสนอให้สร้างห้องไร้แรงโน้มถ่วงบ้างจะว่าฉันปัญญาอ่อนไหมนะ ก็ฉันอยากลองเข้าไปเล่นดูสักครั้งนี่ >_<
                “ห้องนั้นไอ้มาโวล์รมันชอบไปร้องเพลงอยู่บ่อย ๆ เสียงก็เพี้ยน แถมยังมีโน้ตเปียโนกับกลองเกลื่อนไปหมด เห็นแล้วรกตา มันทำให้วุ่นวายจนไม่มีสมาธิจะเล่นกีตาร์น่ะ” โห…ไอ้คนที่ชื่อมาโวล์รอะไรนี่ไร้ระเบียบชะมัด เขาทำให้คุณเทวดาของฉันต้องเดือดร้อนล่ะ
                “อ้อ…นายก็เลยมาหาที่สงบเล่นว่างั้น?”
                “ใช่ ^^”
                “อืม…ดูจากที่นายเล่ามา นายมาโวล์รคนนั้นคงจะทำตัวน่ารำคาญน่าดู” เหมือนเลฟกี้จะไม่ค่อยชอบหมอนั่นสักเท่าไหร่ ออกแนวเกลียดขี้หน้าเลยด้วยซ้ำ
                “ใช่ หมอนั่นชอบทำเหมือนตัวเองยิ่งใหญ่ พูดจากวนประสาท มารยาทก็ไม่มี เผด็จการและเจ้าเล่ห์  หน้าตาใส่ซื่ออย่างเธอคงตามหมอนั่นไม่ทัน อะไรที่ยอมเขาได้ก็ยอมไปเถอะ ทางที่ดีอย่าไปมีเรื่องกับหมอนั่นเลย มันยิ่งขี้หงุดหงิดอยู่ด้วย ระวังจะเจ็บตัวเพราะมันล่ะ” เจ็บตัว!? เป็นโรคจิตหรือไงทำร้ายได้แม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็ก ๆ และบอบบางอย่างฉัน เอ๊ะ…แต่เขาเป็นผู้ชายนะ ไม่น่าจะกล้าทำรุนแรงแบบนั้น…
                “อย่าให้ถามซ้ำ หูหนวกหรือไง?” 
                อา…นั่นสิ คนที่พูดจาแบบนั้นกับผู้หญิงได้คงกล้าทำทุกอย่างอย่างที่เลฟกี้ว่ามา ฉันเริ่มจะกลัวจริง ๆ แล้วนะ TOT
                “ฮ่า ๆ ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นด้วยล่ะ?” เอ๊ะ! ฉันเผลอทำหน้าแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ O_O
                 “ม..ไม่ได้จะร้องไห้สักหน่อย >///<” ฉันรีบยกมือขึ้นบังหน้าตัวทันที น่าอายชะมัด ฉันเผลอทำหน้าทุเรศ ๆ แบบไหนให้เขาเห็นกันเนี่ย >_<
                 “ฮ่ะ ๆ ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ยอมให้หมอนั่นทำอะไรเธอหรอก ^^” ที่พูดนี่หมายความว่าไง? จะปกป้องฉันใช่ไหม? *O*  ว้าว!  รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเป็นเหมือนแสงสว่างแห่งความดีที่จะมากำจัดเงามืดแห่งความชั่วร้ายของซาตานมาโวล์ร โอ้วว!! สว่างเหลือเกิน สว่างจนตาฉันบอดอยู่แล้ว!! >_<
                “ขอบคุณมากนะ ฟังจากที่เล่ามา เหมือนพวกนายไมค่อยถูกกันเท่าไหร่เลย”
                “ทำนองนั้น เราอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ทะเลาะกันแล้ว ถ้าวันไหนฉันมีแผลขึ้นมาไม่ต้องตกใจเลย เป็นฝีมือของหมอนั่นนั่นแหละ -_-“ เขาทำหน้าเหนื่อยจนฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นเลย =_=
                “ฟังแล้วไม่อยากมีพี่เลยแฮะ=_=” ถ้าฉันมีพี่สาวขี้วีนก็คงไม่ทนเหมือนกันล่ะ แค่แม่คนเดียวก็เอาไม่อยู่แล้ว -_-;;
                “หืม? เธออยากมีพี่เหรอ?  ให้ฉันเป็นให้มั้ยล่ะ ^^” ตายจริง! ฉันจะมีพี่ชายเป็นเทวดา!! O_O ถ้าเขาเป็นพี่ฉันจริง ๆ มันคงวิเศษมาก เขาต้องเป็นพี่ชายที่น่ารักที่คอยปกป้องดูแลน้องสาวคนนี้ไม่ให้เป็นอะไร แต่ไม่ดีกว่า ฉันอยากให้เขาเป็นอย่างอื่นมากกว่านะ คิคิ >_<
                “ฮ่า ๆ มีน้องแบบฉันนายคงปวดหัวตาย เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้น่ะดีแล้ว จะได้คุยกันได้ทุกเรื่องไง ^^” ฮือ ๆ ฉันฝืนพูดคำว่า ‘เพื่อน’ ออกมาหรอก จริง ๆ ฉันอยากให้เขาเป็นแฟนจ๋าของฉันต่างหาก  T^T
                “ฮ่ะๆ เธอตัวเล็กเหมาะเป็นน้องสาวมากจริง ๆ ถึงเราจะอายุเท่ากันแต่เธอดูเด็กมากเลยนะ ^^” อะไรนะ ฉันโตพอที่จะดูแลแม่ได้แล้วนะ -3-!
                “นายวัดความเด็กจากอะไรไม่ทราบ” อย่าบอกนะว่าหน้าตา -_-
                “จากความมึนของเธอไง เธอชอบเหม่อ ชอบเผลอทำหน้าแปลก ๆ ไร้เดียงสาเหมือนเด็กเลย ฮ่า ๆ”
                “ไม่จริงน่า ฉันไม่เคยทำอะไรอย่างที่นายว่าสักหน่อย ฉันว่าเราเลิกคุยเรื่องหน้าของฉันเถอะ เมื่อกี้เห็นบอกว่าเล่นกีตาร์เป็น ไหนเล่นให้ฟังหน่อยสิ ^^” เลิกพูดเรื่องที่ฉันทำเรื่องน่าอายแล้วเข้าเรื่องของเขาดีกว่า เขาว่ากันว่า ผู้หญิงแพ้ผู้ชายเล่นดนตรี แต่ฉันไม่นะ ฉันแพ้คนหล่อที่ใจดีอย่างเขาต่างหาก >_<
                “อยากฟังเหรอ?”
                “อื้ม ^^” ฉันยิ้มตอบ เขาทำหน้าเขินนิดหน่อยก่อนจะลุกจากโซฟาแล้วเดินไปเคาะผนังสามที
                ครืดด…
                 โอ๊ะ!! ผนังเลื่อนออกมาเผยให้เห็นกีตาร์โปร่งสีน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ด้านใน ว้าว! ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอว่าง ๆ จะไปเคาะห้องนอนตัวเองเล่น เผื่อจะมีอะไรออกมาแบบนี้บ้าง >_<
                “เพลงอะไรดี?” เขาเดินมานั่งพร้อมกีตาร์ตัวนั้น
                “เอาแบบที่นายถนัดเลยแล้วกัน ^^”
               ...
“บอกให้รู้ไว้ หัวใจรักจริง
ไม่เคยทอดทิ้ง ให้ใครเสียใจ”
                ฉันนึกว่าเขาจะเป็นคนโรแมนติกกว่านี้ซะอีก -_-; เลือกเพลงนี้ไม่พอยังพยายามทำเสียงให้เหมือนเจ้าของเพลงอีกต่างหาก  นี่เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้คุณ ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ หรือเปล่าเนี่ย -O-
                แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เพราะนะ
                ฮ้าวววว~
               
                ...
                เอ๊ะ…นี่ฉันเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย =_=
                “อ้าว หายไปไหนแล้ว” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ คุณเทวดาของฉันหายไปซะแล้ว ไปไหนไม่บอกกันสักคำเดี๋ยวก็งอนซะหรอก -3-
                ฟึ่บ...                   
                เอ๊ะ นี่มันเสื้อแขนยาวของเลฟกี้ที่ใส่เมื่อเข้านี้ไม่ใช่เหรอ มันมาอยู่บนตัวฉันได้ไง? หืม? มีอะไรวางอยู่บนโต๊ะน่ะ?
                “กระดาษโน้ตนี่นา” ฉันหยิบกระดาษสีเหลืองที่แปะติดกับโต๊ะกระจกใสตรงหน้าขึ้นมา ใครมือบอนมาแปะไว้แถวนี้นะ เดี๋ยวก็ตัดมือทิ้งซะหรอก! -_-
                ‘ฉันต้องออกไปทำธุระข้างนอกแต่เห็นเธอหลับอยู่เลยไม่อยากกวน ห้องนี้อากาศเย็นมาก ฉันกลัวเธอจะเป็นหวัดก็เลยเอาเสื้อคลุมให้ เธอคงไม่ว่าอะไรนะ’
                 แหม ใครจะไปว่าลงล่ะ ทำตัวน่ารักแบบนี้อยากได้รางวัลอะไรจากฉันหรือเปล่านะ คิคิ >_<
                ‘ปล.ไม่ต้องซักเสื้อให้ก็ได้ ใช้เสร็จแล้วค่อยคืน’
                กรี๊ด! นี่กะจะเก็บกลิ่นของฉันเอาไว้ดมเองใช่มั้ยเนี่ย เห็นหน้าเงียบ ๆ ทะลึ่งจังเงียบนะจ้ะ >_<  
                เอ๊ะ ยังมีให้อ่านต่ออีกเหรอ เขียนอะไรไว้เยอะแยะเนี่ย
                ‘ปล.ของปล.อีกที ฉันทำน้ำแตงโมให้เธอน่ะ อยู่ในตู้เย็น กินด้วยนะ ^^’
                โห…ถ้าได้เป็นแฟนจ๋าก็คงดี เขาเป็นคนดีที่เทคแคร์ดูแลและใส่ใจคนอื่นเก่งจัง ทำตัวแบบนี้ไม่คิดว่าฉันจะหวั่นไหวบ้างหรือไง เฮ้! เขาอาจจะชอบฉันจริง ๆ ก็ได้นะ >_<  ไม่สิ เขาเป็นคนดี อาจจะใจดีแบบนี้กับทุกคนก็ได้ L ...แต่มันอดเข้าข้างตัวเองไม่ได้นี่นา ทั้งโน้ตบอกลา เสื้อแขนยาว และน้ำแตงโม ผู้หญิงน่ารัก ๆ แบบฉันถ้าไม่ดูแลสิจะเสียใจ! เขาต้องชอบฉันแน่  ๆ !
                ว่าแล้วก็ลงไปกินน้ำแตงโมแห่งรักดีกว่า ^O^ ฉันเปิดประตูห้องสมุดออกมาและพบกับท้องฟ้าสีน้ำเงินอมส้มที่ดูเหมือนพระอาทิตย์เพิ่งจะตกดินไปได้ไม่นาน นี่ฉันหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราไปกี่ชั่วโมงเนี่ย ป่านนี้น้ำแตงโมละลายไปแล้วมั้ง =_=
                ตึก ตึก
                ฉันเดินลงบันไดสีใสที่คุณแม่บ้านตั้งใจขัดจนมันแทบจะล่องหนได้อยู่แล้ว ฉันว่ามันต้องมีสักคนที่ก้าวพลาดตกลงไปหอหักตายบ้างล่ะ แต่ใครคนนั้นต้องไม่ใช่ฉันแน่ ๆ ฉันเป็นคนระวังจะตาย ไม่ซุ่มซ่ามนะ ^^
                พรืดดดด!!
                ตุ้บ!!
                “โอ๊ย!!” พูดยังไม่ทันขาดคำก็หักหลังคำพูดของตัวเองซะแล้ว ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้เนี่ย ดีนะที่ไม่มีใครเห็น ไม่งั้นได้อายเขาตายแน่ T^T
                ‘ข่าวสดข่าวใหม่วันนี้ ไอ้ด่าง ลูกไอ้ด้วน ข้างบ้านป้าลำดวน ตายแล้ว’
                นั่นเสียงผู้ประกาศข่าวนี่นา อ้าวเฮ้ย!! ที่นี่ดูทีวีได้ด้วยเหรอ?? ฉันนึกว่าไม่มีสัญญาณซะอีก! ไม่สิ ตอนนี้ฉันควรจะสนใจใครบางคนที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่ต่างหาก
                ด้วยความสงสัย ฉันจึงชะโงกหน้ามองดูมนุษย์ที่นั่งบนโซฟาสีแดงในห้องรับแขก คนคนนั้นตั้งอกตั้งใจดูข่าวไอ้ด่างตายมาก แล้วในมือของเขาก็ถือแก้วใสที่มีน้ำสีแดงอยู่ข้างในด้วย อ๊ะ นั่นมันน้ำแตงโมนี่ แล้วคนที่ถือแก้วนั้นอยู่ก็คือ...
                “เลฟกี้ ไปทำธุระกลับมาแล้วเหรอ?”  ฉันทักทายอย่างเป็นมิตรแล้วพยายามเดินเข้าไปหาอย่างเป็นปกติที่สุด ก็มันปวดก้นนี่นา ก้าวขาทีนึงสะเทือนไปถึงแก้มก้น มันช้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้ เจ็บชะมัด T^T
                “หืม?” เขาหันหน้ามามองฉันพลางถอดแว่นตาสีชาออก เท่ชะมัด >_<
                “ฉันก็กำลังจะลงมากินน้ำแตงโมอยู่พอดี ขอบคุณที่ทำให้นะ” ฉันยิ้มให้ชายผมทองคนนั้นก่อนจะเดินหาตู้เย็น เอ๊ะ ห้องครัวอยู่ไหนนะ ที่นี่มันกว้างจนฉันงงไปหมด วันหลังคงต้องขอแปลนมาดูแล้ว =_=;;
                “อ้าว น้ำแตงโมนี่ฉันทำให้เธอเหรอ ฉันกินมันไปหมดแล้วล่ะ” 
                อ...อะไรนะ -O-
                “หมดแล้ว?”
                “ใช่ หมดแล้ว ฉันจำไม่ได้ว่าไปทำให้เธอกินตอนไหน เห็นมันอยู่ในตู้เย็นก็เลยเอามากิน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
                “เปล่า ไม่มี ถ้านายกินไปแล้วก็ช่างมันเถอะ” แปลกแฮะ ตัวเองเป็นคนเขียนโน้ตชวนฉันกินน้ำแตงโมฝีมือของเขาเองแท้ๆ ทำไมถึงลืมเอาดื้อ ๆ แบบนี้ล่ะ แต่ช่างเถอะ เขาคงจะทำธุระมาเหนื่อย ๆ เห็นอะไรในตู้เย็นก็เลยหยิบมากินล่ะมั้ง
                ฉันนั่งบนโซฟา แล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้เลฟกี้อยู่ในเสื้อคอปกลายจุดกับกางเกงขาสั้นแฟชั่นชายเผยให้เห็นขาขาว ๆ สุขภาพดี เขาสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลคู่กับถุงเท้าสีเทาเข้มแถมยังใส่หมวกทั้ง ๆ ที่อยู่ในบ้านอีกต่างหาก อาจจะดูเหมือนคนบ้า แต่มันแนวมากจริง ๆ หล่อสุด ๆ ไปเลย >_<
                “มองทำไม? เคืองที่ฉันกินน้ำแตงโมของเธอไปจนเกลี้ยงเหรอ?”
                “ปล...เปล่า” คำพูดของเขาทำฉันหันหน้ากลับมาทันที โอ๊ย! เขาในลุคแบดบอยทก็เท่เหมือนกันนะ อยากจิกรี๊ด!! >_<
                “ถ้าอยากกินมากก็ให้ไอ้นั่นมันทำให้สิ” เขาโพล่งออกมาพลางกดรีโมทปิดโทรทัศน์  
                “ไอ้นั่น??”
                “ก็ไอ้เลฟกี้ไง ไม่รู้จักเหรอ? ทำหน้าเหมือนลาโง่ไปได้” ว่าไงนะ เขาบอกว่าฉันเป็นลาโง่?! -O-
                “ด...เดี๋ยวนะ นายไม่ใช่เลฟกี้เหรอ?!!” ฉันเด้งตัวลุกขึ้นยืนและพยายามถอยออกไปให้ไกลจากเขาที่สุด เริ่มจะแปลก ๆ แล้วนะ…
                 “ฉันเนี่ยนะ คือไอ้กระจอกเลฟกี้?  ใช้สายตาของเธอมองดูดี ๆ หล่อ ๆ อย่างนี้มีแค่คนเดียว” ไม่นะ…ฉันว่าหน้าตาแบบนี้มีอยู่สองคน
                “มาโวล์ร?” คำพูดของฉันทำให้คนตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมาทีละน้อย
                “ในสมองก็ยังมีรอยหยักอยู่นี่นา ใช่ฉันมาโวล์ล” รอยหยัก? หาว่าฉันโง่เรอะ!!
                “แล้วเลฟกี้ล่ะ!”  ในที่สุดฉันก็ได้สติสักที ชายตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่คุณเทวดาสักหน่อย! โอ๊ย! ฉันนี่มันซื่อบื้อชะมัด ถ้าเป็นเลฟกี้ตัวจริงไม่มีทางกินน้ำแตงโมนั่นหรอก TOT
               “จะไปรู้กับมันเหรอ ฉันไม่ใช่หมอนั่นสักหน่อย”  อีตานั่นไม่สนใจแล้วก้มมองดูโทรศัพท์ในมือของตัวเองอย่างไม่แยแส หา? ที่นี่มีสัญญาณด้วยเหรอ? เล่นโทรศัพท์ได้จริงดิ?? O_O
               “เอ้อ เธอชื่ออะไรนะ” เขาถามโดยไม่มองหน้า ไร้มารยาทอย่างที่เลฟกี้บอกจริง ๆ ด้วย
               “ความจำเสื่อเรอะ ฉันบอกนายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ -_-“
                “เธอนั่นแหละความจำเสื่อม -_-”  ใครกันแน่? ฉันจำได้ทุกคำ ว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง แล้วก็จำประโยคแต่ละอย่างที่นายพูดได้ด้วย!
                “ฉันบอกไปแล้ว!”
                “บอกแล้วบอกอีกไม่ได้หรือไง ถามแค่นี้ทำเป็นอารมณ์เสียไปได้”
                “ก็ได้ ครั้งนี้กรุณาตั้งใจฟังชื่อของฉันด้วย” พูดจบ หมอนั่นก็เงยหน้ามองฉันทันที
                “สุดที่รัก...ฉันชื่อสุดที่รัก”
                “ชื่อห่วยชะมัด”
                “ตั้งใจจะกวนประสาทหรือไง เมื่อวานนายก็พูดกับฉันแบบนี้นะ!!” ไม่ตลกด้วยนะเฟ้ย!!
                “อ้อนั่นสิ รู้สึกเหมือนเคยพูดอะไรแบบนี้ไปแล้วเหมือนกันนะ” อีตานั่นยกมือขึ้นจับคางทำหน้าเหมือนคิดอะไรออก
                “เธอไม่ได้ชื่อสุ…อืม..สุด… เฮ้อ พูดไม่ออกจริง ๆ คำนี้มันห่วยเกินไป ฉันพูดออกมาไม่ได้หรอก”  หมอนั่นพูดอย่างหนักใจ เหมือนชื่อของฉันมันทำให้เขาหายใจลำบากอย่างนั้นแหละ
                “นี่ นาย!!”
 “มึน”
                หา? -_-
                “มึน ชื่อของเธอคือมึนไม่ใช่เหรอ?” เขายักคิ้วกวน ทำเอาเส้นประสาทที่ขมับของฉันปูดออกมาหนึ่งเซ็นติเมตร 
                “ถ้านายยังไม่เลิกเรียกฉันแบ-”
                “คุณมาโวล์รคะ อาหารพร้อมแล้วค่ะ” คุณป้าเมื่อตอนเช้าเดินเข้ามาในห้องอย่างอ่อนน้อมพลางก้มหัวให้ไอ้คุณมาโวล์รนรกแตกนี่อย่างเคารพ ให้ตายเถอะ มาแทรกตอนฉันกำลังจะด่าอีตานี่ได้ยังไง เห็นไหม ฉันลืมไปหมดแล้วว่าจะพูดว่าอะไรต่อ >O<
                “อืม จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” หมอนั่นตอบแล้วลุกจากโซฟาพลางมองมาทางฉัน “จะกินข้าวไหม? ยัยมึน”
                “ไม่!”
                “แต่เธอต้องกิน” ไม่ฟังไม่พอ เขาลากเเขนฉันไปทางห้องทานอาหารด้วย บังคับแบบนี้เลยเหรอ!
                “ท..ทำไมฉันต้องกินด้วยล่ะ!”
                “เพราะเดี๋ยวเธอจะไม่มีแรงทำอะไรสนุก ๆ กับฉันน่ะสิ J”  
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา