Gogyo no gadian no dense ตำนาน 5ผู้พิทักษ์แห่งธาตุ
เขียนโดย Ormsin2541
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.04 น.
แก้ไขเมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559 03.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) เริ่มต้นการเป็นผู้พิทักษ์แห่งวายุ (Rewrite)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความTsubasa Takl
ตอนนี้ผมกำลังยืนงงกับคำพูดของวาตะจังเมื่อกี้นี่ เธอพูดว่ายังไงนะ??? บินไป??? เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ผมจะบินได้หรอก จริงอยู่ที่ในหนังสือเรียนหรือนิตยสารรายเดือนเขียนไว้ว่า ถ้าควบคุมเพลิงวายุไปไว้ที่ส่วนเท้าโดยให้สมดุลจะสามารถบินได้ แต่ไม่ค่อยมีคนทำได้....แม้แต่คนที่เก่งๆตอนนี้ด้วย
"วาตะจัง......ผมรู้ ว่าคุณไม่อยากให้ผมเครียด แต่นี้ไม่ใช้เวลามาล้อเล่นนะครับ" ผมพูดอย่างจริงจังแล้ววิ่งผ่านวาตะไป แต่พอผ่านเธอมาจู่ๆก็รู้สึกเหมือนวิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมก้มมองดูแล้วปรากฏว่าเท้าผม ไม่สิ ตัวผมลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!!?
"แล้วใครบอกละว่าฉันพูดเล่นกันละจ้ะ ฉันกำลังจสอนวิธีบินให้เธออยู่นี้ไง" วาตะจังพูดอย่างสดใส เธอจับคอเสื้อผมแล้วดึงผมจนตัวลอยขึ้นเหนือพื้นแบบนี้ เธอปล่อยผมลงพื้นเหมือนเดินพร้อมยังจัดคอเสื้อให้กลับเรียบร้อยด้วย ผมหันไปมองเธอที่กำลังยิ้มอย่างมั่นใจเต็มที ผมเห็นสีหน้าเธอแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้จริงๆ เอาเถอะ ไม่มีเสียหายอยู่แล้วนี่นะ
"ก็ได้ครับ แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ?" ผมยกมือขึ้นมาขยี้ผมตัวเองแล้วถามเธอด้วยน้ำเสียงแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเท่าไร วาตะจังได้ยินคำตอบของผม เธอก็ยิ้มที่มุมปากแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปงจากนั่นหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เธอมองมันสักพักแล้วโยนสิ่งนั้นมาให้ผม ผมรับสิ่งนั้นแล้วก้มหน้าพร้อมแบมือออก สิ่งที่เธอโยนมาให้ผมคือคริสตัลสีเขียวมรกตที่มีรูปร่างเหมือนสายลม มีตัวอักษรรูปตัว T สีขาวอยู่ตรงกลางผลึก
"คริสตัล?"
"ใช้แล้วจ้ะ แต่มันไม่ใช้ผลึกธรรมดาน่ะ มันคือ คริสตัลการ์เดี้ยน"
"คริสตัลการ์เดี้ยน?"
"จ้ะ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเธอคือตัวแทนของใครและยังเป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างฉันกับเธอ อ้อ แล้วที่ตรงกลางมันเป็นรูปตัว T เพราะเอาชื่อตัวหน้าของเธอมาใส่ไว้นะ" วาตะจังอธิบายคุณสมบัติของผลึกผู้ทักษ์ให้ฟัน ผมมองคริสตัลอย่างไม่ละสายตาเพราะมันช่างสวยงามเหลือเกิน มันงามกว่าเพรชที่พี่ซากุระเคยใส่แล้วเอามาอวดให้ดูซะอีก
แว้บ~ ผมก็ชื่นชมความงามของคริสตัลได้ไม่กี่นาที จู่ๆหลังมือซ้ายผมมันก็เรืองแสงสีมเขียวออกมาจนน่าแสบตา แต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น แปลกแฮะ ปกติต้องแสบตาแล้วสิ? ผมพลิกหลังมือขึ้นมาแล้วที่หลังมือผมมีสัญลักษณ์รูปโล่อัศวินและมีรูปพายุอยู่ตรงกลาง
"วาตะจัง สัญลักษณ์นี้คือ?"
"นั้นคือ "สัญลักษณ์แห่งผู้พิทักษ์" มันจะเป็นสื่อกลางในการดึงพลังจากธรรมชาติรอบตัวมาใช่ร่วมกับพลังของเธอจ้ะ" วาตะอธิบายด้วยท่าทางสบายๆเหมือนเดิม ผมมองสัญลักษณ์แห่งผู้พิทักษ์แล้วหลับตาลงจากนั่นยกมือซ้ายทาบอกขวาแล้วรวมสมาธิทั้งหมดไปไว้ที่เท้า
'รู้สึกแล้ว...พลังเพลิงและพลังธรรมชาติจากมือซ้ายกำลังไหลไปที่เท้าของเรา' ผมคิดในใจเงียบๆแล้วเริ่มรู้สึกว่าเท้าผมตอนนี้......มันว่างเปล่า
แปะๆๆๆ "ว้าว! สุดยอดเลย สึบาสะจัง นี้ฉันแค่อธิบายไปนิดเดียว เธอก็จับทางได้แล้ว" วาตะพูดชมด้วยเสียงตื่นเต้นพร้อมตบมือเบาๆ ผมลืมตาช้าๆสิ่งที่ผมเห็นคือท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยประกายดวงดาวมากมาย ผมก้มมองลงไปแล้วเห็นเมืองผมที่เต็มไปด้วยแสงไฟหลากสีที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มไปหมด
ดูๆไปแล้ว...เราน่าจะลอยขึ้นมาซะประมาณ 40 เมตร พอผมเห็นตัวเมืองในตอนนี้แล้ว.....มันทำให้ผมนึกถึงวิวตรงริมหน้าผาที่ซากุเคยให้ผมดูเมื่อห้าปีก่อน แต่ต่างที่ผมตอนนี้ดูมันจากมุมสูงกว่าเมื่อตอนนั้นเยอะ
"เอาละ ไปกันเลยครับ" ผมพูดอย่างจริงจัง วาตะจังยักหน้าพร้อมยิ้มกว้างแล้วพุ่งนำไปโดยที่ผมมองตามแทบไม่ทัน ผมเห็นแบบนั้นก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตามเธอไปทันที รอก่อนนะครับพี่ ฮิคาริจัง โอกิจังผมกำลังไปหาแล้ว!!!
Tsubasa Takl End
ทางด้านโอกิ
Oki Talk
หลังจากที่ฉันกับคารินจังช่วยกันรักษาแขนซ้ายพี่ซากุระเรียบร้อยแล้ว ฉันก็บอกให้คารินจังช่วยออกไปหาน้ำและพวกผ้าสะอาดๆมาให้หน่อย จะได้เช็ดเลือดที่แขนและเอาผ้ามาพันหัวพี่ซากุระเพื่อไม่ให้เลือดไหลออกมามากกว่านี้ ส่วนฉันก็นั่งเฝ่าและค่อยระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่นี่ก็ผ่านมาได้เกือบชั่วโมงกว่าๆแล้ว พี่ซากุระยังไม่ฟื้นหรือขยับตัวเลย หรือว่า....พี่เขาจะ.....
"ไม่ๆ อย่าไปคิดแบบนั้นเชียวนะ!!" ฉันรีบส่ายหน้าพร้อมเคาะหัวตัวเองเบาๆไล่ไอ้ความคิดบ้าๆนั้นออกไปจากหัวแต่ต้องแลกกับความเจ็บที่ตามมา อูย~ ลืมไปเลยว่าหัวแตกอยู่ เจ็บง้า~ T-T
พี่ซากุระต้องไม่เป็นไรแน่นอน ขืนฉันยังนั่งอยู่ตรงนี้คงได้คิดมากจนจิตตกเปล่าๆแน่เลย ฉัลุกขึ้นแล้วเดินออกข้างนอกผ่านทางรูแล้วคิดว่าจะออกไปช่วยคารินจังหาของดีกว่าจะทำให้ฉันหยุดคิดมากเรื่องพี่ซากุระซะที แล้วคารินจังไปทางไหนละเนี่ย?
"กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!" ฉันชะงักกึกเมื่อก้าวพ้นรูมาก็มีเสียงของใครบ้างคนกรี้ดขึ้นมา ฉันหันไปทางขวาที่เป็นต้นเสียงอย่างสงสัย ยังมีคนอื่นรอดอีกเหรอ? ไม่สิ เสียงเมื่อกี้มัน
"หรือว่า...คารินจัง!!!!" ฉันคิดสักพักจนมั่นใจแล้วรีบวิ่งออกตัวไปตามเสียงนั้นไปทันที ขอล่ะ!!! อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเลยน่ะ!!!!
20 นาทีต่อมา
"คารินจัง!!!" ฉันตะโกนเรียกชื่อคารินจังเป็นรอบที่ 25 ได้แล้วมั้งหลังจากวิ่งมาตามทางจนมาถึงที่โล่งๆที่เต็มไปด้วยเศษคอนกรีตที่แตกออกมาจากเสาและแท่งเหล็กที่กระจัดกระจายเต็มที่ไปหมด ไม่ว่าจะเรียกยังไงก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีเสียงตอบกลับมาเลย วิ่งมาตั้งนานยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลย หายไปไหนของเขานะ!?
"คารินจั-"
"หายใครอยู่หรือ? สาวน้อย?"
"!!!" ฉันสะดุ้งไปทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงเย็นเยือกไปถึงขั้วหัวใจดังมาจากข้างหลัง ใครกันและมาตั้งแต่เมื่อไร!? หรือว่าจะเป็นคนที่วางระเบิดห้างนี้??! พอคิดอย่างงั้นฉันจึงหยุดวิ่งแล้วหันมามองข้างหลังอย่างรวดเร็วเพื่อดูหน้าเจ้าของเสียงนั้นให้เห็นชัดๆ แต่ปรากฏว่าข้างหลังฉันไม่มีใครอยู่เลย อะไรกัน!? งั้นเสียงเมื่อกี้...ของใครกัน!? และอยู่ที่ไปไหนแล้ว!!? ฉันหันซ้ายหันขวาอย่างระวังตัวแล้วค่อยๆถอยหลังช้าๆ
"มองไปทางไหนของเจ้า?" ฉันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนั้นอีกรอบจากด้านหลัง มะ มายืนข้างหลังเราอีกแล้วเหรอ!?? ฉันถามตัวเองในใจแล้วฉันค่อยๆหันไปมองช้าๆแล้วเจอ
ผู้ชายอายุประมาณ 29 - 30 ปีกว่าๆ ยืนอยู่ห่างไปประมาณ 10-15 ก้าวได้ เขาสวมหน้ากากสีดำสนิทจนแทบกลืนไปกับความมืดปิดหน้าสนิท เห็นแค่ตาสีเทาเข้มของเขาเท่านั้น เขาสวมชุดสูทสีดำที่คลุมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวไว้ ติดกระดุมสองเม็ดบน ไม่มีเนคไท สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลกับรองเท้าหนังสีดำเงาวับ มือของเขาทั้งสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ฉันแทบทรุดลงคุกเข่ากับพื้นเมื่อเห็นเขาคนนั้นอย่างเต็มสองตา ฉันรู้สึกถึงแรงกดดันมหาสารที่เขาปล่อยออกมา มหาสารจนฉันไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว.....แค่นิ้วเดียวก็ยังไม่กระดิกเลย
"คะ คุณเป็นใครค่ะ?"
"โห้? เจ้าเป็นคนแรกเลยนะ ที่ยังสามารถยืนอยู่ได้แถมยังพูดได้โดยที่ไม่ล้มลงไปก่อนหรือคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าข้า แถมยังมีสติอยู่ครบอยู่ซะด้วย" เขาพูดแค่นั้นแล้วก้าวเท้ามาหาฉันทีละก้าวอย่างช้าๆด้วยด้วยท่าทางนิ่งๆแต่สายตาของเขาฉายแววตาตื่นเต้นแปลกๆจนฉันขนลุกไปตทั้งตัวและดูเหมือนเขาจะไม่สนใจคำถามของฉันเลย "ช่างน่าสนใจจริงๆ"
"ยะ อย่าเข้ามาน่ะค่ะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเคลืออย่างกลัวๆแล้วเดินถอยหลังออกห่างจากเขาทีละก้าวอย่างช้าๆ ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้นแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามแต่อย่าง ตรงกันข้ามเขากลับเดินเร็วขึ้นและไม่ใช้แค่นั้นแรงกดดันก็เพิ่มขึ้นทุกก้าวที่เขาเข้ามาใกล้
"ฉะ ฉันถามว่าคุณเป็นใคร?" ฉันรวบรวมความกล้าถามเขาอีกครั้ง เขาหยุดเดินไปเฉยๆจนฉันถึงกับแปลกใจที่เขายอมหยุด ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากฉันแค่ 5-7 ก้าว เขาจ้องหน้าฉันผ่านหน้ากากนั้นด้วยสายตาเย็นชาราวกับคนไร้ชีวิตจนฉันอดรู้สึกขนลุกอย่างหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
"ขอโทษที่ข้าไม่ได้ตอบคำถามของเจ้านะ สาวน้อย" เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วเขาค่อยๆหลับตาลงแล้วดึงมือซ้ายที่สวมถุงมือหนังสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยกขึ้นทาบอกข้างขวาแล้วโค้งตัวนิดๆให้ฉัน ฉันมองการกระทำของเขาอย่างระวังตัวโดยไม่กระพริบตา
"ชื่อของข้าคือแบล็คมาส ผู้ใช้ ชิน โนะ โฮโนะ (เปลวเพลิงแห่งความตาย) " พขาพูดจบจู่ๆบรรยากาศรอบตัวฉันก็เย็นเฉียบขึ้นมาจนฉันรู้สึกขนลุกยิ่งกว่าเดิม เขาค่อยๆยืดตัวขึ้นช้าๆแล้วจ้องมองฉันด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
"ยินดีที่ได้รู้จักน่ะ สาวน้อย"
ตูม!!!!
Oki Talk End
พอแบล็คมาสพูดจบเขาก็สะบัดมือซ้ายอย่างแรงและเร็วจนมองตามไม่ทันพอมองอีกครั้งมันก็กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาแล้ว จากนั้นหลังสะบัดมือไปก็เกิดแรงลมขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาโอกิที่มัวแต่ตะลึกกับขนาดของแรงลมที่แบล็คมาสส่งมาอยู่นั่นก็ถูกแรงลมกระแทกเข้าเต็มๆจนกระเด็นลอยไปชนกำแพงข้างหลังเต็มๆจากนั้นกำแพงและเพดานที่ยังเหลืออยู่ก็พากันตกลงมาทับร่างกายของโอกิจนมิด เศษฝุ่นลอยไปมาจนไม่มองเห็นไม่ชัดว่าเธอตายหรือยัง
แบล็คมาสมองซากกำแพงและเพดานที่ทับร่างโอกิด้วยสายตาเย็นชาและไร้อารมณ์แต่ภายในใจของเขาตอนนี้นั้นกลับไม่ได้คิดเกี่ยวกับหญิงสาวที่ถูกแรงลมของเขาเล่นงานไปเมื่อกี้เลย แต่กลับคิดเรื่องเพื่อนของเขาที่เป็นเจ้าของระเบิดที่ใช้ทำลายห้างนี้และกำลังหงุดหงิดสุดๆ เขาหันหลังเดินกลับไปทางเก่าที่โดยนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาถามเพื่อนว่ามันจะได้ผลจริงๆหรือเปล่า แล้วเพื่อนก็ตอบมาว่า
"รับรองไม่มีใครรอดจากเจ้านี้แน่ๆ เชื่อสิ มาส"
'ไหนว่าไม่มีใครรอดไง!!' แบล็คมาสตะโกนขึ้นมาในใจอย่างหงุดหงิดสุดๆแต่ภายนอกยังคงนิ่งเงียบ เขาอุตส่าห์เชื่อใจแท้ๆแต่สุดท้ายเขาต้องมาทำอะไรแบบนี้ ตอนแรกแค่กะมาเดินเล่นรอให้ "พวกนั้น" หาของที่อยู่ข้างใต้ที่นี่ให้เจอแล้วจะได้รีบกลับ แต่เขาดันบังเอิญมา "สาวน้อย" คนนี้ที่รอดชีวิตจากระเบิดกของเพื่อนมาได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆที่มันออกจะรุงแรงแบบนั้นแท้ๆ
'เสร็จงานนี้เมื่อไหร่คงต้องไปเทศน์เจ้า "บีรัส" เรื่องระเบิดของมันกำจัด "พวกมดปลวก" ไม่หมดซะหน่อยแล้ว' แบล็คมาสคิดในใจอย่างหัวเสียสุดๆแล้วคิดคาดโทษเพื่อนหรือบีรัสเอาไว้
แกล๊บ
กึก แบล็คมาสหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงๆนึงดันมาจากข้างหลัง เขาหันหน้าไปมองกองซากหินที่ทับร่างของโอกิช้าๆด้วยสายตาไร้ความรู้สึกที่ฉายแว่วตาแปลกใจนิดๆ
"ยังมีชืวิตอยู่อีกหรือ...สาวน้อย?" แบล็คมาสพูดด้วยเสียงเย็นเยือก เมื่อเห็นว่าสาวน้อยที่เขาคิดว่าน่าตายไปในกองซากพวกนั้นแล้ว......กลับยืนจ้องเขาด้วยสายตาอ่อนล้าโดยสภาพเธอตอนนี้นั้นถือว่าย่ำแย่มาก ชุดนักเรียนขาดหลุดลุ้ยจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม พลังเปลวเพลิงของเธอก็เหลือไม่มากพอจะใช้สู้ได้เพราะเอาไปใช้รักษาแผลของซากุระและใช้ป้อนกันแรงลมเมื่อกี้จนแทบไม่เหลือต่อสู้แล้ว และมีแผลบาดทางยาวที่แขนขวากับขมับข้างซ้ายแตกจนเลือดไหลเข้าตาและแผลที่หัวที่เลือดหยุดไหลไปก่อนหน้าก็กลับมาไหลอีกครั้ง
"นะ แน่นอนคะ......ฉะ ฉันไม่ยอมตายหรือถูกฆ่าง่ายๆหรอกคะ.......จนกว่าทุกคนจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่ก่อน" โอกิพูดออกมาแล้วฝืนยิ้มมุมปากนิดๆด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แบล็คมาสเห็นท่าทางแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังแล้วหันมามองโอกิตรงๆด้วยแววตาไร้อารมณ์ 'สาวน้อยคนนี้......น่าสนใสดีแฮะ' แต่ในใจของเขานั้นกลับรู้สึกสนใจหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วภายใต้หน้ากากนั้น...เขากำลังยิ้ม อย่างถูกหลังจากไม่ได้ยิ้มมานาน
"สาวน้อย...คิดจะสู้งั้นเหรอ?" แบล็คมาสพูดด้วยแววตาไร้อารมณ์แล้วชักมือทั้งสองข้างออกมาแนบข้างลำตัวไว้โดยไม่ล่ะสายตาจากโอกิ โอกิพอเห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วเธอเองตั้งท่าเตรียมสู้ทันทีพร้อมจุดเพลิงวารีเฮือกสุดท้ายออกมาจากมือทั้งสอง
"คะ!!!" โอกิพูดจบทั้งสองคนก็พุ่งเข้าหากันแล้วเปิดฉากการต่อสู้ทันที
แถมท้ายจ้า
ทางด้านซากุระ
หลังจากโอกิออกไปรอบตัวซากุระก็มีแต่ความเงียบเชียบกับความมืดและแสงจันทราที่รอดผ่านรอยแตกร้าวของเพดานที่อยู่เป็นเพื่อนเธอ แต่จู่ๆเงาจากซากกำแพงข้างๆซากุระก็ค่อยๆนู่นขึ้นมาแล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นชายหนึ่งคนนึง เขาก็คือดาร์คไลท์ มิซึกิ
มิซึกิย่อเข่าลงข้างนึงพร้อมขยับแว่นตาให้เข้าทีนิดๆแล้วก้มหน้ามองหน้าหญิงสาวที่นอนหมดสติอยู่ตรงด้วยสายตาเป็นห่วง เขายกมือขึ้นมาบัดผมที่บังหน้าเธอเบาๆ
"ขอโทษ...ที่ฉันมาช้าเกินไป...จนเธอต้องได้รับบาดเจ็บแบบนี้" มิซึกิกระซิบเบาๆอย่างรู้สึกผิด เขาจ้องมองหน้าซากุระด้วยสายตาเจ็บปวดและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ลูบหน้าเธออย่างทะนุถนอมราวกับกลัวใบหน้าของเธอจะแตกสลายหายไป เขาลูบใบหน้าเธออยู่สักพักแล้วเขาก็ชักมือกลับแล้วค่อยๆอุ้มเธอขึ้นช้าๆ แต่แล้วเขาต้องชะงักค้างเมื่อเขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่คุ้นเคยที่แก้มของตัวเอง มิซึกิหันมามองก็เห็นมือซากุระแล้วกำลังแตะหน้าเขาอยู่
"มะ ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนต้องปลอดภัยแน่...ทุกคนต้องไม่เป็นไรแน่นอน" ซากุระละเมอออกมาเบาๆจากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับจะยืนยันคำพูดของตัวเอง มิซึกิได้ยินประโยคนั้นแล้วเขาก็อดยิ้มนิดๆให้เธอไม่ได้จริงๆ
"สภาพอย่างงี้ ยังมีหน้ามาพูดเป็นห่วงคนแบบนี้อีกเหรอ? ยัยเจ้าหญิงแห่งความสุขเอ๋ย" มิซึกิพึมพำเบาๆพร้อมยิ้มบางๆจากนั้นเขาก็เดินอุ้มซากุระหายไปในเงาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ