Gogyo no gadian no dense ตำนาน 5ผู้พิทักษ์แห่งธาตุ
6.3
เขียนโดย Ormsin2541
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.04 น.
10 ตอน
4 วิจารณ์
13.54K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559 03.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) หา!! ผมเนี่ยนะ? ผู้พิทักษ์แห่งธาตุ!? (Rewrite)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความTsubasa Talk
หลังจากที่ผมลงจากเนินเขามา ผมก็รีบเดินตรงกลับบ้านทันที เพราะอะไรนะเหรอ? เพราะนี้มันเย็นมากแล้วและอีกเหตุผลนึงคือ...ผมกลัวว่าบ้านผมจะโดยยกเค้าทั้งหลังนะสิ ให้ตายสิ! ทำไมไอ้พวกขโมยไม่สูญพันธุไปสักทีน่ะ!
ในระหว่างที่ผมกำลังสาปแช่ง(?)พวกโจรอยู่ผมก็มาถึงหน้าบ้านสองชั้นธรรมดาๆ ตัวบ้านทั้งหลังเป็นสีเขียวเข้มแต่ไม่ถึงขั้นเข้มจัด หลังคาสีแดงอ่อนและมีหน้าต่างอยู่สองบานอยู่บนชั้นสอง นี้แหละบ้านของผมและครอบครัว ผมหยิบกุญแจมาไขประตูหน้าบ้านแล้วปรากฏว่ามันยังล็อคอยู่และไม่มีร่องรอยงัดแงะอะไรเลยสักนิด
"เฮ้อ∼" ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกโชคดีที่ไม่มีขโมยเข้าบ้าน สงสัยเราจะคิดมากเกินไปแฮะ ผมเปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านที่เงียบสนิทสมควรเงียบอยู่หรอ...ก็ไม่มีใครอยู่นี้น่ะ ผมเดินมายืนตรงเกงคัง*แล้วถอดรองเท้านักเรียนออกแล้วเอาเก็บเข้าตู้รองเท้าแล้วจัดให้ดูเรียบร้อยแล้วปิดตู้
[เกงคัง คือ บริเวณหน้าบ้านที่เรามักจะเห็นในหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่น มีไว้สำหรับถอดรองเท้าก่อนขึ้นบ้าน By ไรเตอร์]
ผมเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเช็คว่ามีอะไรไม่อยู่ที่เดิมหรือหายไปบาง ในห้องนั่งเล่นมีโซฟาขนาดกลางที่พอนั่งได้ประมาณสี่ - หกคนได้ ตรงหน้าโซฟามีโต๊ะกระจกรูปทรงกลมขนาดกลางบนโต๊ะก็มีพวกหนังสือนิติยสารที่พี่ซากุระชอบอ่านว่างไว้แถมจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยซะด้วย
ส่วนข้างหลังโซฟาก็เป็นประตูกระจกที่เลื่อนได้และเชื่อมกับสวนดอกไม้ของพี่ซากุระด้วย ห่างจากโต๊ะกระจกไปนิดหน่อยนึงก็มีชั้นวางโทรทัศน์สีขาวสะอาดขนาดกลางตรงกลางของชั้นมีโทรทัศน์ขนาดสิบสองนิ้วว่างไว้ทางซ้ายกับทางขวามีลิ้นชักข้างละสามด้านล่างมีช่องว่างขนาดกลางพอใส่อะไรก็ได้
ผทเดินไปที่ประตูกระจกเพื่อเช็คดูว่ามีอะไรเปลี่ยนหรือเปล่า สิ่งที่ผมเห็นคือทางขวาคือสวนดอกไม้ของพี่ซากุระที่มีหลากหลายชนิดจนผมไม่สามารถบอกได้มีดอกอะไรบ้าง ส่วนทางซ้ายเป็นโรงจอดรถสีขาวและหลังคาก็สีน้ำเงินซึ่งที่จอดรถนี้เป็นของพ่อผม
ส่วนที่เหลือเป็นสนามหญ้าทั้งหมด ผมเห็นว่าไม่มีรอยเท้าหรืออะไรที่ผิดปกติที่สนามหญ้าผมก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นพอผมเดินออกมาผมก็เดินไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่ามีอะไรพอทำอาหารเย็นได้บ้าง ผมเดินไปที่เคาเตอร์แล้งวางกระเป๋านักเรียนไว้ ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิกของสองสามอย่างที่มาทำมื้อเย็นได้ ก็นะผมมันเป็นพวกกินอะไรก็ได้น่านะ
20 นาทีต่อมา
"ทานแล้วน่ะครับ" ผมพูดพร้อมพนมมือตามมารยาทแล้วเริ่มรับประทาน ส่วนมื้อเย็นที่ผมทำก็มีซุปเต้าหู้เพื่อสุขภาพ ปลาย่างขนาดเล็กแค่พออิ่ม และ ผัดผักธรรมดา ซึ่งทั้งหมดนี้ผมทำเผื่อให้พ่อกับพี่ซากุระไว้ด้วยนิดหน่อย
ผมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวในห้องครัวเล็กๆ บนโต๊ะกินข้าวที่มีเก้าอี้สำหรับสี่คน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปแล้ว เพราะพ่อทำงานที่บริษัทขนย้ายกว่าจะกลับก็ประมาณตีหนึ่งหรือไม่ก็ตีสามกว่าๆ บริษัทที่พ่อทำงานเป็นหนึ่งในสามบริษัทขนย้ายที่เยื่ยมที่สุดในเมืองนี้ เพราะฉะนั้นการจะมีลูกค้าที่มาใช้บริการขนย้ายเยอะก็ไม่ใช้เรื่องแปลกอะไรเท่าไร
ส่วนพี่ซากุระบ้างครั้งก็ต้องออกไปตรวจเมืองเพื่อเช็คความเรียบร้อย ไม่ก็ค่อยปราบพวกมอนสเตอร์ที่หลุดเข้ามาในเมืองกว่าจะกลับก็ตีสองหรือบ้างครั้งก็หกโมงเช้า พอกลับมาก็ต้องเรียนและออกไปตรวจเมืองต่อจนแทบหาเวลานอนแทบไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมพี่เขาถึงหน้ายังสวยและขอบตาไม่ดำเหมือนคนอดหลับอดนอนเลย? พี่เขาไปหาเวลานอนตอนไหนกันนะ?
ส่วนแม่ของผมก็ไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่ผมยังอยู่อนุบาลไม่มีกำหนดกลับ แต่ก็มีโทรบางอยู่หรอก.......แต่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งจนผมจำแทบไม่ได้แล้ว ว่าแม่มีหน้าแต่เป็นยังไง ใช้แล้ว..........สำหรับผมแล้วการกินข้าวคนเดียวมันเป็นเรื่องปกติ
"ขอบคุณสำหรับอาหารครับ" ผมพูดและพนมมือหลังว่างตะเกียบลง ผมกินมื้อเย็นเสร็จก็เอาจานชามไปเก็บไว้ในซิ้งล้างจาน ส่วนข้าวที่เหลือผมเอาพลาสติกแรปไว้ก่อนแล้วนำเข้าตู้เย็น ผมก็หยิบกระดาษโน็ตที่วางอยู่ในชั้นวางของแล้วฉีกมาแผ่นนึงแล้วก็เขียนข้อความไว้
‘มื้อเย็นวันนี้ผมทำ ซุปเต้าหู้ ปลาย่าง และผัดผัก อยู่ในตู้เย็น อุ่นกินกันเองนะครับ จากสึบาสะ’ ผมเขียนแค่นั้นแล้วผมก็หยิบสก็อตเทปมาติดที่หัวกระดาษโน๊ตแล้วแปะไว้ที่ตู้เย็น ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนเคาเตอร์ ผมเดินออกจากห้องครัวไปที่บรรไดเพื่อเดินไปห้องของผม
"เหมียว∼" ผมเดินไปได้สองสามขั้นผมก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าจะมาอยู่ในบ้านได้และบ้านผมก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงด้วย
'แมว? เข้ามาได้ยังไงกัน? ก็ก่อนที่เราจะออกจากบ้านเราก็ล็อคหน้าต่างในห้องแล้วนี่?' ผมคิดแค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบรรไดแล้วตรงมาที่หน้าห้องผม
ผมรีบหมุนลูกบิดแล้วเปิดประตูห้องออก สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือลูกแมวจำนวนสิบสองตัวมันกำลังเดินอยู่ในห้องผม!!! แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือบนเตียนผม....มีเด็กสาวอายุยื่สิบสองปี ใส่เสื้อกล้ามกับส่วนกางเกงขาสั้นจนแทบเหมือนกกน.กำลังนอนบนเตียนผม!!!!
"เฮ้ย! นี้คุณ!! ตื่นเดียวนี้เลย!!" ผมเดินข้ามพวกลูกแมวมาอย่างระวังแล้วตะโกนปลุกเธอในระยะประชิดแต่ก็ไม่ตื่น ผมลองเขย่าเธอดูหลายๆรอบ ผมเขย่าไปได้สักพักเธอก็ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่งคุกเข่า
"ฮ้าวววววววววว∼ หลับสบายจังเลย" เธอพูดอย่างงัวเงียแถมยังมีหน้ามาบิดขี้เกียดต่อหน้าผมอีก หนอย! ทำเป็นไม่เห็นผมงั้นเหรอ ผมมองเธออย่างไม่กระพริบตา เธอก็ยังไม่ยอมหันมามองผมอีก!!
"นี้! คุณเป็นใคร!? แล้วเข้ามาในบ้านผมได้ยังไงกัน!?" ผมถามเธออย่างจริงจัง ในที่สุดเธอหันมามองผมอย่างงัวเงีย แล้วจู่ๆเธอก็หายไปจากเตียนผม
ผมมองเตียงที่ว่างเปล่าอย่างตะลึก เธอหายไปไหนแล้ว!? ผมหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่เห็นเธอหรือว่าที่ผมเห็นเมื่อกี้จเป็นภาพลวงตากันหว่า?
"ให้ตายสิ∼ไม่เจอกันแค่สองอาทิตย์ก็ลืมกันแล้วเหรอไงจ้ะ สึบาสะจัง?" เฮ้ย!! มาไง! ผมหันหลังมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆเธอคนนั้นก็โผล่มายืนกอดอกพิงขอบประตูห้องน้ำอยู่ข้างหลังผมนะสิครับ อะไรกันสามารถมาข้างหลังเราโดยที่ไม่รู้ตัวได้ไงกัน? แต่เดียวก่อนนะ? ไม่เจอกันแค่สองอาทิยต์งั้นเหรอ? หมายความว่าไงกัน?
"ผมรู้จักคุณด้วยเหรอ?" ผมถามอย่างระวังเพราะไม่รู้เธอจะทำอะไรต่อไป แต่เด็กคนนั้นมองผมอย่างไม่พอใจ นี้ผม...ไปทำอะไรให้เธอโกรธละเนี่ย?
"นี้เธอจำฉันไม่ได้จริงๆเหรอจ๊ะ? สึบาสะจัง" เธอเอียงคอถามผม มาถามผมอย่างนี้แล้วผมจะไปถามใครเหล่า! ผมส่ายหน้าปฏิเสธไป พอเธอเห็นแบบนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจหนักว่าเดิม ก็ผมไม่รู้จริงๆนี้น่า
"โธ้∼ สึบาสะจังนี้ละก็ทำไมถึงลืมกันได้ลงคอแบบละจ้ะ แค่ไม่ได้เจอกันแค่สองอาทิตย์เองนะ ฉันเองไงจ้ะ วาตะจัง วา-ตะ-จังนะ จำได้หรือยัง?" เธอคนนั้นหรือวาตะจังพูดแนะนำตัวพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พอผมได้ยินชื่อเธอผมก็รู้สึกคุ้นๆชื่อของเธออยู่เหมือนกันแฮะ วาตะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนน่า
เดียวก่อนนะ? สองอาทิตย์ก่อน? เด็กผู้หญิงอายุยี่สิบสอง? ชื่อวาตะ? ระ..ระ..หรือว่า บ้าแล้ว ไม่หรอกน่า มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า นั้นมันก็แค่ความฝันเองนะ
"คุณคือวาตะจังที่เป็นวิญญาณธาตุใช้ไหมครับ?" ผมถามวาตะจัง เผื่อว่าเธอจะไม่ใช้อย่างที่ผมคิด แต่ปรากฏว่าเธออมยิ้มพร้อมพยักหน้าช้าๆ เธอก็เดินมาหาผม แต่เธอเดินแค่ก้าวเดียวก็เข้าประชิดผมได้แล้วโดยที่ผมไม่รู้ตัว (อีกแล้ว)
"จำฉันได้แล้วสินะจ้ะ สึบาสะจัง" วาตะตอบผมเป็นรูปแบบคำถามแบบนี้แสดงว่าไอ้ที่เราถามไปก็แปลว่า ใช้สินะ จากนั้นเธอก็อุ้มลูกแมวตัวนึงขึ้นมาแล้วลูบบหัวมันเบาๆอย่างอ่อนโยน
"อ้าว ไหนจู้ๆก็เข่าอ่อนแบบนั้นละจ้ะ สึบาสะจัง?" วาตะจังถามผมอย่างสงใส จะไม่ให้ผมเข่าอ่อนได้ยังไงกันเล่า! ก็วิญญาณแห่งธาตุตัวจริงเสียงจริงมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนี้นะเป็นใครเขาก็เข่าอ่อนทั้งงั้นแหละ
โครก∼∼∼∼
หืม? เสียงอะไรนะผมหันซ้ายหันขวาหาที่มาของไอ้เสียงเมื่อกี่นี้ ก็เท่าที่เห็นไม่น่าจะมีอะไรที่จะส่งเสียงนอกจาก..วาตะจัง?..ไม่หรอกมั้งคิดไปได้ยังไงกัน อีกฝ่ายเป็นถึงวิณญาณแห่งธาตุเชียวนะไม่มีทางเป็นไปไม่ได้หรอกน่า
"นี้ สึบาสะจัง ที่บ้านตอนนี้มีอะไรกินบ้างจ้ะ?" วาตะเอียงคอถามผมด้วยสายตาอ้อนเหมือนลูกแมว ผมได้ยินสิ่งที่เธอถาม ผมถึงกับกุมขมับเลยทีเดียว นี้น่านะ วิญญาณแห่งธาตุที่ เขาว่ากันว่าเป็นวิญญาณศักสิทธ์และน่านับถือน่ะ!!? โอ้ย! หมดกันความศรัทธาของโผมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!
35 นาทีต่อมา
"อ้า∼ อิ่มจังเลย" วาตะจังพูดด้วยท่าทางร่าเริงหลังจากที่พึ่งกิน(เขมือบ)อาหารที่ผมทำไปเสร็จ ตอนนี้เธอกลับใส่เสื้อชุดเดิม*แล้ว เธอหยิมผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดปาก พอเช็ดปากเสร็จเธอก้มหน้าพับผ้าเช็ดพร้อมกับฮำเพลงไปด้วย ส่วนพวกลูกแมววาตะจังก็ส่งพวกมันไปที่อยู่ของมันแล้ว
[ใครไม่รู้ให้กลับไปอ่านตอนที่ 1 เลยครับ By สึบาสะ ]
"แล้ว....ตกลงมาหาผมนี้มีธุระอะไรงั้นเหรอครับ?" ผมถามจุดประสงค์ที่วาตะจังมาหาผมถึงที่บ้าน พอเธอพับผ้าเช็ดหน้าเสร็จ เธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาที่เปลี่ยนไปจากที่สายตาสบายๆไม่คิดอะไรมากกลายเป็นสายตาจริงจนหน้ากลัวที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กผู้หญิงที่ทำตัวสบายๆตอนที่อยู่บนห้องผมกับเด็กสาวที่ดูจริงจังกับทุกที่อยู่หน้าผมตอนนี้จะเป็นคนๆเดียวกันนะ
"เหตุผลที่ฉันมาที่นี้นั้นก็เพราะ “เธอ” ไง สึบาสะจัง" วาตะจังพูดพร้อมกับชี้หน้าผม หา? เพราะผมเนี่ยนะ? ทำไมละ? นี้ผมไปพูดลบหลู่วิญญาณแห่งธาตุตอนไหนละเนี่ย?
"ผมเหรอ? ทำไมละครับ?" ผมถามวาตะจังไปอย่างอยากรู้เหตุที่เธอมาหาผมหรือว่าเธอจะมาลงโทษที่ผมพูดลบหลู่(ตอนไหนไม่รู้)วิญญาณแห่งธาตุ!? วาตะจังเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมโต๊ะมายืนอยู่ข้างๆตัวผม ผมกลืนน้ำจนเสียงดังเอือกแล้ววาตะจังก็ยืนหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าผมจนผมรู้สึกหน้ามันร้อนๆยังไงไม่รู้แฮะ
"ฉันอยากให้เธอ........" วาตะพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป ผมสับสนกับความรู้สึกตอนนี้จริงๆ เพราะตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกตื่นเต้นหรือกำลังกล้วกับแน่กับสิ่งที่เธอกำลังจะพูดต่อจากนี้
".........มาเป็นผู้พิทักษ์แห่งธาตุของฉันนะ" วาตะจังพูดต่อจากเมื่อกี้ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนจากจริงจังเป็นร่าเริงแทน ผมได้ยินสิ่งที่ต้องการจะบอกแล้วมันทำให้ช็อดมากเลยครับ!
"หาาาาาาาาาาาา!!! ผะ...ผะ...ผู้พิทักษ์แห่งธาตุ!? ผะ...ผะ...ผมเนี่ยนะ?" ผมถามวาตะจังด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้บอกผมเมื่อกี้นี้
"ใช้แล้วจ้า∼" วาตะจังตอบแบบลากเสียงยาว เธอก็หันหลังเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบพุดดิ้งของผมออกมานั้งกินที่โต๊ะอย่างหน้าตาเฉย
"มะ...มะ...หมายความยังไงครับ!? แล้วไอ้ผู้พิทักษ์แห่งธาตุนี้มันคืออะไรครับ?! ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!?" ผมถามเธอเป็นชุดใหญ่อย่างร้อนรน ก็นะ เป็นใครก็ถามกันก็ถ้าจู่ๆคนที่เป็นถึงวิญญาณศักสิทธ์มาพูดเองแบบนี้นะ วาตะจังหันมามองผมแปบนึงแล้วหันไปกินพุดดิ้งต่อโดยทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของผม
"อืม จะอธิบายยังไงดีละ?" วาตะจังพึงพำกับตัวเองเบาๆ เธอพึงพำแค่นั้นก่อนจะตักพุดดิ้งคำสุดท้ายเข้าปาก เธอก็หันหน้ามาแล้วชี้ผมด้วยช้อนตักพุดดิ้ง
"ผู้พิทักษ์แห่งธาตุก็คือ ผู้ถูกเลือกและเป็นตัวแทนของเหล่าวิญญาณแห่งธาตุ เพื่อรักษาสมดุลแทนเหล่าวิญญาณแห่งธาตุรุ่นเก่าและค่อยกำจัดสิ่งชั่วร้ายที่คิดจะทำลายสมดุลด้วย นอกจากนี้ผู้พิทักษ์แห่งธาตุนั้นยังมีหน้าที่อีกย่างนึงคือ เป็นผู้ที่จะเป็นวิญญาณแห่งธาตุรุ่นต่อไปในอนาคตยังละจ้ะ พอเข้าใจมั้ยจ๊ะ?" วาตะอธิบายจบ ผมไม่ได้ตอบคำถามเธอ ไม่สิ ไอ้อยากตอบมันก็อยากตอบอยู่หรอกแต่ตอนนี้มันช็อดยกกำลังสองจนเสียงของผมมันหาไปไหนไม่รู้แล้วครับ ผมนะเหรอ? ผู้พิทักษ์แห่งธาตุและก็จะเป็นวิญญาณแห่งธาตุรุ่นต่อไปงั้นเลย? ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆนะเนี่ย
"แล้วทำไม....ถึงเป็นผมละครับ? วาตะจัง?" หลังจากที่หายช็อด ผมก็ถามวาตะจังดูว่าเหตุผลที่เธอเลือกผมทำไหม ทั้งๆมีคนที่เก่งกว่าผมตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วทำไมถึงมาคนอย่างผมด้วยละ
"เพราะว่าเธอนะ....แตกต่างจากคนอื่นอยู่อย่างหนึ่งนะจ้ะ" วาตะจังตอบด้วยสีหน้าร่าเริ่ง แต่ตอบไม่ค่อยตรงคำถามเท่าไร แตกต่างงั้นเหรอ? ผมเนี่ยนะ!? แล้วผมแตกต่างจากคนอื่นตรงไหนกันละ?
"สิ่งที่แตกต่างก็คือ วิญญาณของเธอไงละจ๊ะ" วาตะตอบโดยที่ผมยังไม่ทันได้ถาม อย่างกับเธออ่านใจผมได้งั้นแหละ
"วิญญาณของผม?" ผมพึงพำกับตัวเองแล้วยกมือซ้ายมาทาบตรงกลางหน้าอกผม วิญญาณของผมแตกต่างจากคนอื่นงั้นเหรอ? มันก็แน่อยู่ที่ทุกคนวิญญาณมันจะไม่เหมือนกันนะ แล้วนี้มันคำตอบตรงไหนละเนี่ย!!
"ใช้จ้ะ วิญญาณของเธอนะแตกต่างจากคนอื่นนั้นก็เพราะว่าเธอมี-"
ตู้มมมมมม!!!
วาตะจังยังพูดไม่ทันจบจู่ๆก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น ผมรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอผมออกมาจากบ้านสิ่งที่ผมก็คือควันไฟที่ลอยขึ้นฟ้าเต็มไปหมด แล้วที่ๆควันไฟมันลอยขึ้นมาก็คือ....ทางห้างที่พวกพี่ซากุระอยู่กันนี้!!!
Tsuasa Talk End
แถมท้ายจ้า
โกสต์ที่หยืนหน้าโรงเรียนกาเดี่ยนกำลังมองไปทางควันไฟที่เริ่มมากขึ้นกว่าเมื่อกี้นี้เขามองมันด้วยสายที่ไม่แสดงอารมณ์อะไร
"เริ่มแล้วสินะ" โกสต์พึงพำกับตัวเองเสร็จเขาหันหลังเดินเข้าโรงเรียนอย่างสง่างาม พอเขาเดินมาถึงหน้าทางเข้าอาคาร A เขาก็หยุดเดิน
"มิซึกิคุง ฝากด้วยละ" โกสต์พูดออกมาลอยๆแล้วเดินเข้าไปในอาคารเรียน พอเขาเข้าไปแล้ว จู่ๆ มิซึกิก็ปรากฏตัวออกมาจากเงาหน้าประตูโรงเรียน
"รับทราบครับ ผอ."
หลังจากที่ผมลงจากเนินเขามา ผมก็รีบเดินตรงกลับบ้านทันที เพราะอะไรนะเหรอ? เพราะนี้มันเย็นมากแล้วและอีกเหตุผลนึงคือ...ผมกลัวว่าบ้านผมจะโดยยกเค้าทั้งหลังนะสิ ให้ตายสิ! ทำไมไอ้พวกขโมยไม่สูญพันธุไปสักทีน่ะ!
ในระหว่างที่ผมกำลังสาปแช่ง(?)พวกโจรอยู่ผมก็มาถึงหน้าบ้านสองชั้นธรรมดาๆ ตัวบ้านทั้งหลังเป็นสีเขียวเข้มแต่ไม่ถึงขั้นเข้มจัด หลังคาสีแดงอ่อนและมีหน้าต่างอยู่สองบานอยู่บนชั้นสอง นี้แหละบ้านของผมและครอบครัว ผมหยิบกุญแจมาไขประตูหน้าบ้านแล้วปรากฏว่ามันยังล็อคอยู่และไม่มีร่องรอยงัดแงะอะไรเลยสักนิด
"เฮ้อ∼" ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกโชคดีที่ไม่มีขโมยเข้าบ้าน สงสัยเราจะคิดมากเกินไปแฮะ ผมเปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านที่เงียบสนิทสมควรเงียบอยู่หรอ...ก็ไม่มีใครอยู่นี้น่ะ ผมเดินมายืนตรงเกงคัง*แล้วถอดรองเท้านักเรียนออกแล้วเอาเก็บเข้าตู้รองเท้าแล้วจัดให้ดูเรียบร้อยแล้วปิดตู้
[เกงคัง คือ บริเวณหน้าบ้านที่เรามักจะเห็นในหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่น มีไว้สำหรับถอดรองเท้าก่อนขึ้นบ้าน By ไรเตอร์]
ผมเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเช็คว่ามีอะไรไม่อยู่ที่เดิมหรือหายไปบาง ในห้องนั่งเล่นมีโซฟาขนาดกลางที่พอนั่งได้ประมาณสี่ - หกคนได้ ตรงหน้าโซฟามีโต๊ะกระจกรูปทรงกลมขนาดกลางบนโต๊ะก็มีพวกหนังสือนิติยสารที่พี่ซากุระชอบอ่านว่างไว้แถมจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยซะด้วย
ส่วนข้างหลังโซฟาก็เป็นประตูกระจกที่เลื่อนได้และเชื่อมกับสวนดอกไม้ของพี่ซากุระด้วย ห่างจากโต๊ะกระจกไปนิดหน่อยนึงก็มีชั้นวางโทรทัศน์สีขาวสะอาดขนาดกลางตรงกลางของชั้นมีโทรทัศน์ขนาดสิบสองนิ้วว่างไว้ทางซ้ายกับทางขวามีลิ้นชักข้างละสามด้านล่างมีช่องว่างขนาดกลางพอใส่อะไรก็ได้
ผทเดินไปที่ประตูกระจกเพื่อเช็คดูว่ามีอะไรเปลี่ยนหรือเปล่า สิ่งที่ผมเห็นคือทางขวาคือสวนดอกไม้ของพี่ซากุระที่มีหลากหลายชนิดจนผมไม่สามารถบอกได้มีดอกอะไรบ้าง ส่วนทางซ้ายเป็นโรงจอดรถสีขาวและหลังคาก็สีน้ำเงินซึ่งที่จอดรถนี้เป็นของพ่อผม
ส่วนที่เหลือเป็นสนามหญ้าทั้งหมด ผมเห็นว่าไม่มีรอยเท้าหรืออะไรที่ผิดปกติที่สนามหญ้าผมก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นพอผมเดินออกมาผมก็เดินไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่ามีอะไรพอทำอาหารเย็นได้บ้าง ผมเดินไปที่เคาเตอร์แล้งวางกระเป๋านักเรียนไว้ ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิกของสองสามอย่างที่มาทำมื้อเย็นได้ ก็นะผมมันเป็นพวกกินอะไรก็ได้น่านะ
20 นาทีต่อมา
"ทานแล้วน่ะครับ" ผมพูดพร้อมพนมมือตามมารยาทแล้วเริ่มรับประทาน ส่วนมื้อเย็นที่ผมทำก็มีซุปเต้าหู้เพื่อสุขภาพ ปลาย่างขนาดเล็กแค่พออิ่ม และ ผัดผักธรรมดา ซึ่งทั้งหมดนี้ผมทำเผื่อให้พ่อกับพี่ซากุระไว้ด้วยนิดหน่อย
ผมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวในห้องครัวเล็กๆ บนโต๊ะกินข้าวที่มีเก้าอี้สำหรับสี่คน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปแล้ว เพราะพ่อทำงานที่บริษัทขนย้ายกว่าจะกลับก็ประมาณตีหนึ่งหรือไม่ก็ตีสามกว่าๆ บริษัทที่พ่อทำงานเป็นหนึ่งในสามบริษัทขนย้ายที่เยื่ยมที่สุดในเมืองนี้ เพราะฉะนั้นการจะมีลูกค้าที่มาใช้บริการขนย้ายเยอะก็ไม่ใช้เรื่องแปลกอะไรเท่าไร
ส่วนพี่ซากุระบ้างครั้งก็ต้องออกไปตรวจเมืองเพื่อเช็คความเรียบร้อย ไม่ก็ค่อยปราบพวกมอนสเตอร์ที่หลุดเข้ามาในเมืองกว่าจะกลับก็ตีสองหรือบ้างครั้งก็หกโมงเช้า พอกลับมาก็ต้องเรียนและออกไปตรวจเมืองต่อจนแทบหาเวลานอนแทบไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมพี่เขาถึงหน้ายังสวยและขอบตาไม่ดำเหมือนคนอดหลับอดนอนเลย? พี่เขาไปหาเวลานอนตอนไหนกันนะ?
ส่วนแม่ของผมก็ไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่ผมยังอยู่อนุบาลไม่มีกำหนดกลับ แต่ก็มีโทรบางอยู่หรอก.......แต่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งจนผมจำแทบไม่ได้แล้ว ว่าแม่มีหน้าแต่เป็นยังไง ใช้แล้ว..........สำหรับผมแล้วการกินข้าวคนเดียวมันเป็นเรื่องปกติ
"ขอบคุณสำหรับอาหารครับ" ผมพูดและพนมมือหลังว่างตะเกียบลง ผมกินมื้อเย็นเสร็จก็เอาจานชามไปเก็บไว้ในซิ้งล้างจาน ส่วนข้าวที่เหลือผมเอาพลาสติกแรปไว้ก่อนแล้วนำเข้าตู้เย็น ผมก็หยิบกระดาษโน็ตที่วางอยู่ในชั้นวางของแล้วฉีกมาแผ่นนึงแล้วก็เขียนข้อความไว้
‘มื้อเย็นวันนี้ผมทำ ซุปเต้าหู้ ปลาย่าง และผัดผัก อยู่ในตู้เย็น อุ่นกินกันเองนะครับ จากสึบาสะ’ ผมเขียนแค่นั้นแล้วผมก็หยิบสก็อตเทปมาติดที่หัวกระดาษโน๊ตแล้วแปะไว้ที่ตู้เย็น ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนเคาเตอร์ ผมเดินออกจากห้องครัวไปที่บรรไดเพื่อเดินไปห้องของผม
"เหมียว∼" ผมเดินไปได้สองสามขั้นผมก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่น่าจะมาอยู่ในบ้านได้และบ้านผมก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงด้วย
'แมว? เข้ามาได้ยังไงกัน? ก็ก่อนที่เราจะออกจากบ้านเราก็ล็อคหน้าต่างในห้องแล้วนี่?' ผมคิดแค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบรรไดแล้วตรงมาที่หน้าห้องผม
ผมรีบหมุนลูกบิดแล้วเปิดประตูห้องออก สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือลูกแมวจำนวนสิบสองตัวมันกำลังเดินอยู่ในห้องผม!!! แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือบนเตียนผม....มีเด็กสาวอายุยื่สิบสองปี ใส่เสื้อกล้ามกับส่วนกางเกงขาสั้นจนแทบเหมือนกกน.กำลังนอนบนเตียนผม!!!!
"เฮ้ย! นี้คุณ!! ตื่นเดียวนี้เลย!!" ผมเดินข้ามพวกลูกแมวมาอย่างระวังแล้วตะโกนปลุกเธอในระยะประชิดแต่ก็ไม่ตื่น ผมลองเขย่าเธอดูหลายๆรอบ ผมเขย่าไปได้สักพักเธอก็ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่งคุกเข่า
"ฮ้าวววววววววว∼ หลับสบายจังเลย" เธอพูดอย่างงัวเงียแถมยังมีหน้ามาบิดขี้เกียดต่อหน้าผมอีก หนอย! ทำเป็นไม่เห็นผมงั้นเหรอ ผมมองเธออย่างไม่กระพริบตา เธอก็ยังไม่ยอมหันมามองผมอีก!!
"นี้! คุณเป็นใคร!? แล้วเข้ามาในบ้านผมได้ยังไงกัน!?" ผมถามเธออย่างจริงจัง ในที่สุดเธอหันมามองผมอย่างงัวเงีย แล้วจู่ๆเธอก็หายไปจากเตียนผม
ผมมองเตียงที่ว่างเปล่าอย่างตะลึก เธอหายไปไหนแล้ว!? ผมหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่เห็นเธอหรือว่าที่ผมเห็นเมื่อกี้จเป็นภาพลวงตากันหว่า?
"ให้ตายสิ∼ไม่เจอกันแค่สองอาทิตย์ก็ลืมกันแล้วเหรอไงจ้ะ สึบาสะจัง?" เฮ้ย!! มาไง! ผมหันหลังมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆเธอคนนั้นก็โผล่มายืนกอดอกพิงขอบประตูห้องน้ำอยู่ข้างหลังผมนะสิครับ อะไรกันสามารถมาข้างหลังเราโดยที่ไม่รู้ตัวได้ไงกัน? แต่เดียวก่อนนะ? ไม่เจอกันแค่สองอาทิยต์งั้นเหรอ? หมายความว่าไงกัน?
"ผมรู้จักคุณด้วยเหรอ?" ผมถามอย่างระวังเพราะไม่รู้เธอจะทำอะไรต่อไป แต่เด็กคนนั้นมองผมอย่างไม่พอใจ นี้ผม...ไปทำอะไรให้เธอโกรธละเนี่ย?
"นี้เธอจำฉันไม่ได้จริงๆเหรอจ๊ะ? สึบาสะจัง" เธอเอียงคอถามผม มาถามผมอย่างนี้แล้วผมจะไปถามใครเหล่า! ผมส่ายหน้าปฏิเสธไป พอเธอเห็นแบบนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจหนักว่าเดิม ก็ผมไม่รู้จริงๆนี้น่า
"โธ้∼ สึบาสะจังนี้ละก็ทำไมถึงลืมกันได้ลงคอแบบละจ้ะ แค่ไม่ได้เจอกันแค่สองอาทิตย์เองนะ ฉันเองไงจ้ะ วาตะจัง วา-ตะ-จังนะ จำได้หรือยัง?" เธอคนนั้นหรือวาตะจังพูดแนะนำตัวพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พอผมได้ยินชื่อเธอผมก็รู้สึกคุ้นๆชื่อของเธออยู่เหมือนกันแฮะ วาตะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนน่า
เดียวก่อนนะ? สองอาทิตย์ก่อน? เด็กผู้หญิงอายุยี่สิบสอง? ชื่อวาตะ? ระ..ระ..หรือว่า บ้าแล้ว ไม่หรอกน่า มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า นั้นมันก็แค่ความฝันเองนะ
"คุณคือวาตะจังที่เป็นวิญญาณธาตุใช้ไหมครับ?" ผมถามวาตะจัง เผื่อว่าเธอจะไม่ใช้อย่างที่ผมคิด แต่ปรากฏว่าเธออมยิ้มพร้อมพยักหน้าช้าๆ เธอก็เดินมาหาผม แต่เธอเดินแค่ก้าวเดียวก็เข้าประชิดผมได้แล้วโดยที่ผมไม่รู้ตัว (อีกแล้ว)
"จำฉันได้แล้วสินะจ้ะ สึบาสะจัง" วาตะตอบผมเป็นรูปแบบคำถามแบบนี้แสดงว่าไอ้ที่เราถามไปก็แปลว่า ใช้สินะ จากนั้นเธอก็อุ้มลูกแมวตัวนึงขึ้นมาแล้วลูบบหัวมันเบาๆอย่างอ่อนโยน
"อ้าว ไหนจู้ๆก็เข่าอ่อนแบบนั้นละจ้ะ สึบาสะจัง?" วาตะจังถามผมอย่างสงใส จะไม่ให้ผมเข่าอ่อนได้ยังไงกันเล่า! ก็วิญญาณแห่งธาตุตัวจริงเสียงจริงมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนี้นะเป็นใครเขาก็เข่าอ่อนทั้งงั้นแหละ
โครก∼∼∼∼
หืม? เสียงอะไรนะผมหันซ้ายหันขวาหาที่มาของไอ้เสียงเมื่อกี่นี้ ก็เท่าที่เห็นไม่น่าจะมีอะไรที่จะส่งเสียงนอกจาก..วาตะจัง?..ไม่หรอกมั้งคิดไปได้ยังไงกัน อีกฝ่ายเป็นถึงวิณญาณแห่งธาตุเชียวนะไม่มีทางเป็นไปไม่ได้หรอกน่า
"นี้ สึบาสะจัง ที่บ้านตอนนี้มีอะไรกินบ้างจ้ะ?" วาตะเอียงคอถามผมด้วยสายตาอ้อนเหมือนลูกแมว ผมได้ยินสิ่งที่เธอถาม ผมถึงกับกุมขมับเลยทีเดียว นี้น่านะ วิญญาณแห่งธาตุที่ เขาว่ากันว่าเป็นวิญญาณศักสิทธ์และน่านับถือน่ะ!!? โอ้ย! หมดกันความศรัทธาของโผมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!
35 นาทีต่อมา
"อ้า∼ อิ่มจังเลย" วาตะจังพูดด้วยท่าทางร่าเริงหลังจากที่พึ่งกิน(เขมือบ)อาหารที่ผมทำไปเสร็จ ตอนนี้เธอกลับใส่เสื้อชุดเดิม*แล้ว เธอหยิมผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดปาก พอเช็ดปากเสร็จเธอก้มหน้าพับผ้าเช็ดพร้อมกับฮำเพลงไปด้วย ส่วนพวกลูกแมววาตะจังก็ส่งพวกมันไปที่อยู่ของมันแล้ว
[ใครไม่รู้ให้กลับไปอ่านตอนที่ 1 เลยครับ By สึบาสะ ]
"แล้ว....ตกลงมาหาผมนี้มีธุระอะไรงั้นเหรอครับ?" ผมถามจุดประสงค์ที่วาตะจังมาหาผมถึงที่บ้าน พอเธอพับผ้าเช็ดหน้าเสร็จ เธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาที่เปลี่ยนไปจากที่สายตาสบายๆไม่คิดอะไรมากกลายเป็นสายตาจริงจนหน้ากลัวที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กผู้หญิงที่ทำตัวสบายๆตอนที่อยู่บนห้องผมกับเด็กสาวที่ดูจริงจังกับทุกที่อยู่หน้าผมตอนนี้จะเป็นคนๆเดียวกันนะ
"เหตุผลที่ฉันมาที่นี้นั้นก็เพราะ “เธอ” ไง สึบาสะจัง" วาตะจังพูดพร้อมกับชี้หน้าผม หา? เพราะผมเนี่ยนะ? ทำไมละ? นี้ผมไปพูดลบหลู่วิญญาณแห่งธาตุตอนไหนละเนี่ย?
"ผมเหรอ? ทำไมละครับ?" ผมถามวาตะจังไปอย่างอยากรู้เหตุที่เธอมาหาผมหรือว่าเธอจะมาลงโทษที่ผมพูดลบหลู่(ตอนไหนไม่รู้)วิญญาณแห่งธาตุ!? วาตะจังเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมโต๊ะมายืนอยู่ข้างๆตัวผม ผมกลืนน้ำจนเสียงดังเอือกแล้ววาตะจังก็ยืนหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าผมจนผมรู้สึกหน้ามันร้อนๆยังไงไม่รู้แฮะ
"ฉันอยากให้เธอ........" วาตะพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป ผมสับสนกับความรู้สึกตอนนี้จริงๆ เพราะตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกตื่นเต้นหรือกำลังกล้วกับแน่กับสิ่งที่เธอกำลังจะพูดต่อจากนี้
".........มาเป็นผู้พิทักษ์แห่งธาตุของฉันนะ" วาตะจังพูดต่อจากเมื่อกี้ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนจากจริงจังเป็นร่าเริงแทน ผมได้ยินสิ่งที่ต้องการจะบอกแล้วมันทำให้ช็อดมากเลยครับ!
"หาาาาาาาาาาาา!!! ผะ...ผะ...ผู้พิทักษ์แห่งธาตุ!? ผะ...ผะ...ผมเนี่ยนะ?" ผมถามวาตะจังด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้บอกผมเมื่อกี้นี้
"ใช้แล้วจ้า∼" วาตะจังตอบแบบลากเสียงยาว เธอก็หันหลังเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบพุดดิ้งของผมออกมานั้งกินที่โต๊ะอย่างหน้าตาเฉย
"มะ...มะ...หมายความยังไงครับ!? แล้วไอ้ผู้พิทักษ์แห่งธาตุนี้มันคืออะไรครับ?! ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!?" ผมถามเธอเป็นชุดใหญ่อย่างร้อนรน ก็นะ เป็นใครก็ถามกันก็ถ้าจู่ๆคนที่เป็นถึงวิญญาณศักสิทธ์มาพูดเองแบบนี้นะ วาตะจังหันมามองผมแปบนึงแล้วหันไปกินพุดดิ้งต่อโดยทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของผม
"อืม จะอธิบายยังไงดีละ?" วาตะจังพึงพำกับตัวเองเบาๆ เธอพึงพำแค่นั้นก่อนจะตักพุดดิ้งคำสุดท้ายเข้าปาก เธอก็หันหน้ามาแล้วชี้ผมด้วยช้อนตักพุดดิ้ง
"ผู้พิทักษ์แห่งธาตุก็คือ ผู้ถูกเลือกและเป็นตัวแทนของเหล่าวิญญาณแห่งธาตุ เพื่อรักษาสมดุลแทนเหล่าวิญญาณแห่งธาตุรุ่นเก่าและค่อยกำจัดสิ่งชั่วร้ายที่คิดจะทำลายสมดุลด้วย นอกจากนี้ผู้พิทักษ์แห่งธาตุนั้นยังมีหน้าที่อีกย่างนึงคือ เป็นผู้ที่จะเป็นวิญญาณแห่งธาตุรุ่นต่อไปในอนาคตยังละจ้ะ พอเข้าใจมั้ยจ๊ะ?" วาตะอธิบายจบ ผมไม่ได้ตอบคำถามเธอ ไม่สิ ไอ้อยากตอบมันก็อยากตอบอยู่หรอกแต่ตอนนี้มันช็อดยกกำลังสองจนเสียงของผมมันหาไปไหนไม่รู้แล้วครับ ผมนะเหรอ? ผู้พิทักษ์แห่งธาตุและก็จะเป็นวิญญาณแห่งธาตุรุ่นต่อไปงั้นเลย? ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆนะเนี่ย
"แล้วทำไม....ถึงเป็นผมละครับ? วาตะจัง?" หลังจากที่หายช็อด ผมก็ถามวาตะจังดูว่าเหตุผลที่เธอเลือกผมทำไหม ทั้งๆมีคนที่เก่งกว่าผมตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วทำไมถึงมาคนอย่างผมด้วยละ
"เพราะว่าเธอนะ....แตกต่างจากคนอื่นอยู่อย่างหนึ่งนะจ้ะ" วาตะจังตอบด้วยสีหน้าร่าเริ่ง แต่ตอบไม่ค่อยตรงคำถามเท่าไร แตกต่างงั้นเหรอ? ผมเนี่ยนะ!? แล้วผมแตกต่างจากคนอื่นตรงไหนกันละ?
"สิ่งที่แตกต่างก็คือ วิญญาณของเธอไงละจ๊ะ" วาตะตอบโดยที่ผมยังไม่ทันได้ถาม อย่างกับเธออ่านใจผมได้งั้นแหละ
"วิญญาณของผม?" ผมพึงพำกับตัวเองแล้วยกมือซ้ายมาทาบตรงกลางหน้าอกผม วิญญาณของผมแตกต่างจากคนอื่นงั้นเหรอ? มันก็แน่อยู่ที่ทุกคนวิญญาณมันจะไม่เหมือนกันนะ แล้วนี้มันคำตอบตรงไหนละเนี่ย!!
"ใช้จ้ะ วิญญาณของเธอนะแตกต่างจากคนอื่นนั้นก็เพราะว่าเธอมี-"
ตู้มมมมมม!!!
วาตะจังยังพูดไม่ทันจบจู่ๆก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น ผมรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอผมออกมาจากบ้านสิ่งที่ผมก็คือควันไฟที่ลอยขึ้นฟ้าเต็มไปหมด แล้วที่ๆควันไฟมันลอยขึ้นมาก็คือ....ทางห้างที่พวกพี่ซากุระอยู่กันนี้!!!
Tsuasa Talk End
แถมท้ายจ้า
โกสต์ที่หยืนหน้าโรงเรียนกาเดี่ยนกำลังมองไปทางควันไฟที่เริ่มมากขึ้นกว่าเมื่อกี้นี้เขามองมันด้วยสายที่ไม่แสดงอารมณ์อะไร
"เริ่มแล้วสินะ" โกสต์พึงพำกับตัวเองเสร็จเขาหันหลังเดินเข้าโรงเรียนอย่างสง่างาม พอเขาเดินมาถึงหน้าทางเข้าอาคาร A เขาก็หยุดเดิน
"มิซึกิคุง ฝากด้วยละ" โกสต์พูดออกมาลอยๆแล้วเดินเข้าไปในอาคารเรียน พอเขาเข้าไปแล้ว จู่ๆ มิซึกิก็ปรากฏตัวออกมาจากเงาหน้าประตูโรงเรียน
"รับทราบครับ ผอ."
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ