นางพญาปิศาจจิ้งจอก
8.0
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.
21 ตอน
11 วิจารณ์
29.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ตอนที่ 9 แปดหาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 9 แปดหาง
นางจิ้งจอก แกว่งหางที่เป็นพวงดุ๊กดิ๊กไปมา นางฝึกตัวเองให้ไม่มองหางบ่อยเกินไป เพราะนางจะรู้สึกโกรธอย่างรุนแรงทุกครั้งเมื่อเห็นหางๆหนึ่งซึ่งเคยมีขนนุ่มเส้นละเอียดดุจเส้นไหม – ขาดไป
นางจิ้งจอกแฝงกายอยู่บนหลังคาของบ้านตรงข้าม นางขดนั่งลงบนหางสองหาง สามหางบังแดด ถึงแม้มันจะไม่มีความหมายอะไร อีกหนึ่งหางพัดไปมาช้าๆเพื่อคลายร้อน และอีกหางที่เหลือ นางก็กอดไว้และลูบเล่นอย่างสบายใจ พลางมองลงไปยังผีผู้หญิงตนใหม่ ที่มาปกป้องทารกน้อย
นับดูวันนี้ก็วันที่ห้าแล้วที่นางจิ้งจอกนั่งมองอีกฝ่ายแผลงฤทธิ์ปกป้องทารกแบบสุดชีวิตก่อนจะนอนหมดแรง สักพักก็จะมีผีตนใหม่ซึ่งขึ้นมาผลัด ผีทุกตนมีลักษณะเหมือนกันอย่างหนึ่งคือเป็นหญิงที่ผูกหินขนาดใหญ่ติดกับท้องและน้ำตาไหลเป็นสายเลือด นางจิ้งจอกไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเมื่อดมจากกลิ่นแล้ว ผีทุกตนมีกลิ่นใกล้เคียงกับนางซึ่งเป็นปิศาจต่างจากเทพพิทักษ์หรือเจ้าที่เจ้าทาง แต่ผีทุกตนนั้นกลับปกป้องทารกน้อยที่มีกลิ่นหอมน่าทานคนนั้น
ก๊อกๆ
นางจิ้งจอกเอื้อมหางหนึ่งไปเคาะรั้วบ้านหลังที่นางซุ่มอยู่ สักพักควันสีขาวก็ลอยออกมาและก่อรูปร่างเป็นชายแก่มาคำนับนาง
“ท่านปิศาจผู้ทรงฤทธิ์ ท่านเรียกข้าน้อยหรือ” นางจิ้งจอกพ่นลมออกจมูก นางแสนจะเบื่อเทพที่มนุษย์อุตส่าห์กราบไหว้และยกย่องเป็นผีบ้านผีเรือน แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าปิศาจที่ทรงอำนาจอย่างนาง กลับยอมนอบน้อมแต่โดยดี
นั่นก็เพราะว่าบ้านที่ผีเรือนตนนี้อยู่ ไม่ได้ให้ความสำคัญกราบไหว้เท่าไหร่นัก ความศักดิ์สิทธิ์จึงห่างหาย กลายเป็นเทพที่ไร้ฤทธิ์ จนต้องยอมอ่อนน้อมต่อปิศาจเพราะต่างก็เกรงกลัวความตายไม่ต่างจากมนุษย์
“นั่นอะไร” นางจิ้งจอกใช้หางฟูชี้ไปที่ผีผู้หญิงตนเดิมที่แผลงฤทธิ์และจ้องนางไม่วางตา
“อ๋อ – นั่นผีขอรับ”
เผียะ!!
นางจิ้งจอกตบปากผีบ้านด้วยหาง จนผีบ้านกลิ้งไปตามหลังคาส่งเสียงดังแกรกๆ
“ท่านปิศาจโปรดเมตตา -- อย่าสังหารข้าน้อยเลย”
“ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” ต๋าจีบอกเสียงเยือกเย็นพลางแลตามองมนุษย์ผู้ชายที่วิ่งออกมาชะเง้อมองหลังคางงๆ
“ผีตนนั้นทำหน้าที่ปกป้องเด็กขอรับ เพราะพวกนางเป็นแม่ซื้อประเภทหนึ่ง”
“อะไรคือแม่ซื้อ”
“เทพที่คอยปกป้องทารกขอรับ ทารกมนุษย์ที่เกิดในเจ็ดวันแรกจะมีเทพคอยปกปักรักษา”
“พวกมันก็เป็นเทพหรือ” ต๋าจีเพ่งตอบผีนางนั้นก่อนจะยิ้มยั่ว
“มิได้ขอรับ นางคือหญิงทำแท้งขอรับ”
“หา”
“ขอรับ ผีหญิงพวกนี้ – ส่วนใหญ่เป็นอดีตนางโลม ที่เมื่อพอรู้ว่าตนตั้งครรภ์ก็ไปทำแท้ง เพราะอาชีพของนางนั้นจะเลี้ยงเด็กก็มิสะดวกขอรับ”
“ตั้งครรภ์ – อ๋อ ที่ว่าเป็นผลจากความรักของหญิงและชายน่ะหรือ”
“มิได้ขอรับ พวกนางโลมมิได้มีความรักกับชายที่ไปเที่ยวดอก พวกนางขายร่างกายเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องเท่านั้นขอรับ”
“อะไรกัน – ตอนที่พวกมนุษย์สืบพันธุ์กัน ไม่ได้เรียกว่ามีรักกันหรอกหรือ” ผีบ้านทำหน้าแสลงหูก่อนจะกัดฟันตอบว่า
“ตอนมนุษย์เสพสังวาสกันนั้นมิใช่ความกรักดอก หากแต่เรียกว่าความใคร่ขอรับ”
“อะไรคือความใคร่”
“เรื่องนั้นเกินปัญญาข้าน้อยแล้ว – ขอท่านปิศาจผู้ยิ่งใหญ่โปรดเมตตา”
นางจิ้งจอกขมวดคิ้วอย่างอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่มีอารมณ์ฆ่าผีเรือนที่ตัวสั่นงกงันนั้น “แล้วทารกนั่นเกิดได้กี่วันแล้ว”
“วันนี้ก็เจ็ดวันแล้วขอรับ ข้าน้อยคิดว่าเที่ยงคืนนี้ยมทูตคงมารับตัวนางไปรับโทษทัณฑ์ในนรกต่อ”
ต๋าจีสะบัดหางไล่ผีเรือน ผู้ซึ่งคำนับและรีบจากไปทันที
นางปิศาจลูบท้องอย่างใจลอย โดยที่ไม่รู้ตัว
โง่จริ๊ง กินทารกตัวหอมๆนั่นก็ได้ไอบุญแล้วแท้ๆ ดันมานั่งปกป้องให้เสียพลังวิญญาณเล่นทำไมยะเนี่ย
อืม ใกล้เที่ยงคืนแล้วนี่ ลงไปแหย่เล่นหน่อยดีกว่า
“สวัสดีจ้ะ เป็นไง เหนื่อยไหม”
“..................”
ต๊าย ถามไม่ตอบ หยิ่งนะยะ ดูซิจ้องข้าซะตาเหลือกขนาดนั้นเดี๋ยวก็หล่นออกมานอกเบ้าหรอกย่ะ
“ดูขาเจ้าสิ โถๆๆ สั่นพั่บๆเชียว ยอมให้ข้ากินทารกตัวแดงๆนั่นเถอะน่า หรือแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้ พอเจ้ามีไอบุญหน่อยจะได้หนียมทูตได้ไง”
เป็นข้าก็ไม่อยากไปหรอกย่ะ แหวะ ผู้ชายหัววัวหัวม้า หล่อตรงไหนไม่ทราบ
“..................”
แน๊ะ หยิ่งไปละ อ้าว ล้มลงแล้วเหรอ ฮิ ฮิ ก็เล่นยืนมาทั้งวันนี่ยะ
แน่ะ ยังถลึงตามองข้าอยู่อีก ไม่ปวดตามั่งรึไงยะ
“แก้หินที่ผูกท้องเจ้าออกสิ นั่นอาจจะทำให้เจ้าสบายขึ้นนะ” อ้าว ได้ผลแฮะ ก้มมองหินใหญ่เลย ดี ก้มมองนานๆนะ ขอข้าแอบไปฉกทารกมากินก่อนล่ะย่ะ
เปรี้ยง!!
กรี๊ด นิ้วสุดสวยที่เรียวงามของข้า ไหม้อีกละ ชิ เบื่อจริงๆ เมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นจะมาเนี่ย
อ้าว พูดถึงก็มาเลย
“ลุกขึ้น เจ้าหมดหน้าที่แล้ว” ใช่ ไปๆซะ
“นางปิศาจ” ต๊าย หยาบคาย ถึงจะจริงก็เถอะ
“หยุดก่อเวรเถอะ ข้าขอเตือน” พูดมากย่ะ รีบๆพาไปซะที ข้ารอจนไส้กิ่วมาหลายวันแล้ว
ยมทูตหัววัวหัวม้ามองนางปิศาจที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะส่ายหน้าอย่างสมเพชและพาผีนรกกลับไปรับโทษต่อ
นางจิ้งจอกมีสีหน้าตกใจสุดขีด ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดและเข้ามาในบ้าน และยื่นหน้าเข้าไปดมทารกใกล้ๆ
“อะไรกัน” นางปิศาจร้องออกมาอย่างสับสน “ทำไมไม่หอมแล้วล่ะ”
นางปิศาจลองกลืนทารกเข้าไปทั้งตัว แต่นางก็ไม่รู้สึกอะไร หลังจากยืนงงสักพักนางก็กระฟัดกระเฟียดออกจากบ้านและบันดาลพายุให้ถล่มบ้านหลังดังกล่าว จนคนในบ้านและผีบ้านตายเรียบ ก่อนนางจะเหาะกลับไปยังถ้ำฝานจวื่อด้วยอารมณ์เสียเต็มที
“ยินดีต้อนรับขอรับท่านต๋าจี” ฮึ อารมณ์เสียจริงๆ รอตั้งหลายวัน ปรี๊ดแตกย่ะ ปรี๊ดแตก!!
ข้ารับน้ำอะไรสักอย่างหอมๆมาและดื่มลงไป
“อืมมมมมม” เอ๊ะ กลมกล่อมดีนะยะเนี่ย แหม อารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น “นี่คืออะไรเหรอ”
“เลือดหญิงพรหมจรรย์ขอรับ ท่านต๋าจี” แหม ช่างเอาใจนะยะ มาหอมทีซิ
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ท่านต๋าจี ได้กินทารกตัวนั้นหรือเปล่า” เอ๊ะ อยู่ดีๆมากวนอารมณ์กันอีกละ ไม่ตอบย่ะ
“ฮะ ฮะ ท่าทางคงเลยเจ็ดวันก่อนสินะขอรับ – ไม่รู้ทำไมทารกมนุษย์ทุกตัวจะมีกลิ่นหอมมากในวันที่เกิดมาเจ็ดวันแรก แต่พอหมดเจ็ดวันแรกปุ๊บก็กลับจืดชืดไร้รสชาดซะอย่างงั้น”
วุ้ย รำคาญ
ข้าผลักเจ้าฬ่อล้มลงและเริ่มสิ่งที่ไม่ได้ทำมาเสียหลายวัน
“เจ้ารักข้าไหมเจ้าฬ่อ” นางจิ้งจอกลูบหูสีขาวที่โผล่ออกมาบนหัวของฬ่อก๊ก
“ข้าน้อยรักท่านต๋าจีที่สุดเลยขอรับ” ฬ่อก๊กตอบด้วยรอยยิ้มของหนุ่มน้อยน่ารักก่อนจะพลิกตัวและเลียขนหางของต๋าจีอย่างรักใคร่
“แต่ตอนนี้เจ้ากับข้าไม่ได้กำลังรักกันอยู่ซะหน่อย” นางจิ้งจอกดึงจิ้งจอกหนุ่มเข้ามาซบอก “เราเพิ่งจะรักกันเสร็จนี่”
“ท่านต๋าจีถามแปลกๆนะขอรับ” ฬ่อก๊กเงยหน้าและทำตาแป๋วมองต๋าจี ซึ่งนึกทบทวนคำถามก่อนจะลูบหูฬ่อก๊กค่อยๆ
“นั่นสิ ข้าถามแปลกจริงๆ” ต๋าจีพูดอย่างใจลอย “แล้ว – ถ้าเจ้ารักข้า ทำไมไม่รักกับข้าต่อล่ะ”
“นายท่าน การที่เรารักใครก็หมายถึงเราพร้อมจะทำทุกสิ่งให้กับคนๆนั้น” ฟ่อก๊กก้มลงเลียเท้าที่ต๋าจียื่นให้ ก่อนจะบอกว่า “ข้าน้อยเตรียมถ้ำให้น่าอยู่รอท่านกลับมา ข้าเตรียมเลือดหญิงพรหมจรรย์รอท่านเพื่อให้ท่านอารมณ์ดี ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านมีความสุข นั่นเพราะข้ารักนายท่านขอรับ”
“แต่ตอนที่เราสืบพันธุ์กัน มันไม่เรียกว่ารักหรอกหรือ”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความรักขอรับ – แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” ฬ่อก๊กกระดิกหางดุ๊กดิ๊กไปมา “มนุษย์เรียกว่า ร่วมรัก ขอรับ เป็นการแสดงออกซึ่งความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่ง – ก็สนุกดี”
ต๋าจีมองหนุ่มน้อยน่ารักก่อนจะดึงเข้ามากอดและยิ้มชั่วร้าย “ถ้างั้นมาร่วมรักกันต่อดีไหม” โดยไม่รอคำตอบ นางจิ้งจอกก็กอดร่างฬ่อก๊กด้วยหางทั้งเจ็ดอย่างทะนุถนอม
ย้อนกลับไปราวหนึ่งเดือน ณ. สวรรค์ ตำหนักเจ้าแม่หนี่วา
“ข้าพระองค์ เจียงไป่เทียนจิง แม่ทัพสวรรค์ประจำทิศพายัพ ถวายบังคมเจ้าแม่หนี่วา (หนึ่งวาสี) พระเจ้าค่ะ” แม่ทัพในชุดเกราะทองคุกเข่าคำนับเจ้าแม่หนี่วาที่นั่งบนบัลลังก์ด้วยพระพักตร์ที่งดงามและอ่อนโยน
“เจียงไป่เทียนจิง มนุษย์นั้นร่ำร้องอ้อนวอนขอความช่วยเหลือที่หุบเขาฝานเป่ย ว่า หูจิ้วเอ๋อ ปิศาจจิ้งจอกเก้าหางก่อกวนสร้างความเดือดร้อน ท่านจงนำทัพสวรรค์ลงไปปราบนางเถิด”
เจียงไป่เทียนจิง รับบัญชาและเตรียมทัพสวรรค์ ทั้งเทพหนึ่งแสนล้านพระองค์ เพื่อรบกับนางปิศาจจิ้งจอก หูจิ้วเอ๋อ
แต่เมื่อเจียงไป่เทียนจิง มาถึงหุบเขาฝานเป่ย และยืนทัพกับบรรดานายกองเทพหน้าถ้ำฝานจวื่อกลับไมได้กลิ่นปิศาจของ หูจิ้วเอ๋อเลย
“หมายความว่ากระไรหรือ ท่านแม่ทัพเจียงไป่เทียนจิง” นายกองเอ่ยปากถาม ซึ่งเจียงไป่เทียนจิงก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ท่านเจียงไป่เทียนจิง ท่านจะเข้าไปในถ้ำหรือ” นายกององค์หนึ่งท้วงเมื่อเห็นเจียงไป่เทียนจิงทำท่าจะเดินเข้าไปในถ้ำ “หากว่าเป็นกลลวงท่านจะทำประการใด ชอบที่ข้าน้อยจะเข้าไปดูก่อน”
เจียงไป่เทียนจิงเห็นด้วยและส่งนายกองเทพสิบองค์ เข้าไปสำรวจ
ต๊าย กลิ่นหอมๆ ที่น่าขยะแขยงนี่มันอะไรเนี่ย
“ท่านต๋าจี แย่แล้วขอรับ -- กองทัพสวรรค์มาเต็มถ้ำเลย” ต๊าย ของสูงมาเอง
“ท่านต๋าจีรีบหนีไปเถอะขอรับ ข้าน้อยจะถ่วงเวลาให้” อุ๊ย ทำหน้าตาหน้าหยิกอีกแล้ว งั้นหยิกทีนึง ฮิ ฮิ ฮิ
“อย่าเสียมารยาทน่า เจ้าฬ่อ แขกมาถึงบ้าน เราก็ควรไปต้อนรับนะ” ข้าลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้าที่เนรมิตออกมาอย่างหรูหราและส่งให้เจ้าฬ่อชุดหนึ่ง
อ๊ะ นั่นไง ว้าย มีแต่หนุ่มหล่อๆทั้งนั้นเลย
“คาราวะท่านแม่ทัพทุกท่าน – ข้าน้อย ต๋าจี เจ้าของถ้ำฝานจวื่อตนใหม่ มิทราบว่า พวกท่านมีธุระอะไรที่นี่หรือ” แน่ะ ทำหน้าเอ๋อกันทำไมยะ
“อะไรกัน แล้วนางปิศาจเก้าหางหูจิ้วเอ๋อเล่า”
“อ๋อ นางตายแล้วเจ้าค่ะ”
“หา นางจิ้งจอกเก้าหางตายแล้วหรือ” ก็เออสิยะ “เจ้าฆ่านางหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” แน่ะ ทำเป็นซุบซิบนินทากันนะยะ เสียดายที่ข้าหูไวไปหน่อยนะยะ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปกับเรา” รู้ตั้งนานแล้วย่ะ
“คาราวะท่านแม่ทัพ” กรี๊ด หนุ่มหล่อเพียบเลย เพิ่งรู้ว่าสวรรค์น่าอยู่ขนาดนี้นะยะเนี่ย
“เจ้าหรือที่สังหาร หูจิ้วเอ๋อ” เออสิยะ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” แน่ะ ซุบซิบกันอีกละ เป็นตุ๊ดกันรึไง
“เอาล่ะ ตามพระบัญชาของเจ้าแม่หนี่วาให้ปราบนางหูจิ้วเอ๋อซึ่งก่อความเดือดร้อนแก่มวลมนุษย์ ก็เสร็จสิ้นแล้ว ด้วยฝีมือของเจ้า -- ”
“ต๋าจีเจ้าค่ะ”
“ข้า เจียงไป่เทียนจิง จะไปกราบทูลต่อเจ้าแม่หนี่วา ว่าเจ้าจัดการหูจิ้วเอ๋อไปแล้ว ซึ่งนับเป็นผลงานที่เป็นคุณต่อมนุษย์และสนองโองการฟ้า เจ้าแม่หนี่วาย่อมพอพระทัยเป็นแน่”
พูดจาอะไรเข้าใจยากจัง
“เจ้าแม่หนี่วาอาจจะประทานรางวัลให้เจ้า จงประพฤติตนให้ดี อย่าเบียดเบียนมนุษย์ ระหว่างที่ข้าไปกราบบังคมทูลกับเจ้าแม่ เข้าใจหรือไม่”
ข้าพยักหน้าพร้อมค้อมตัว เอ – หวังว่าก่อนหน้านี้คงไม่นับนะ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
เจียงไป่เทียนจิงเข้าไปกราบบังคมทูลเจ้าแม่หนี่วาทุกประการตามที่ประสบมา เจ้าแม่จึงโปรดให้นางจิ้งจอกเข้าเฝ้า นางจิ้งจอกถูกนำไปเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ นางก็ถวายบังคมด้วยกิริยางดงามน่าเอ็นดู
“ตัวหรือ ที่สนองโองการฟ้าแห่งเรา กำจัดหูจิ้วเอ๋อที่ก่อกรรมทำเข็ญกับมนุษย์”
“ข้าน้อยไม่ทราบว่านางนั้นต้องโทษตามอาญาสวรรค์จึงด่วนกำจัดนางไปก่อน ขอเจ้าแม่โปรดอภัย ให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วยเถิด”
“ใช่เป็นดังนั้นไม่ เป็นตัวต่างหากที่ทำคุณต่อมนุษย์ สนองโองการแห่งเรา สมควรที่เราจะประทานรางวัลให้มากกว่า” เจ้าแม่หนี่วา แย้มพระโอษฐ์อย่างโอบอ้อมอารีและตรัสต่อว่า “อันเป็นปิศาจนั้น ย่อมหมุนอยู่ในกรรม กล่าวคือต้องประสบเกิดตายอยู่ เรามีความเมตตา จะรับตัวมาอยู่กับเราเป็นเทพรับใช้ ตัวยินดีจะอยู่กับเราฤาไม่”
“เป็นพระกรุณายิ่งล้นพ้นเพคะ” ต๋าจีคุกเข่าก้มกราบลงแนบพื้น
“ดังนั้น ตัวจงลงไปประจำศาลแห่งเราที่ ฮัวเห่ (จีนโบราณ) แคว้นเย่เถิด” ต๋าจีก้มกราบและบอกขอบคุณไม่ขาดปาก เจ้าแม่หนี่วาส่งตราตั้งและประสิทธิ์ประสาทพรให้ จู่ๆต๋าจีก็กลับร่างเป็นครึ่งจิ้งจอกที่มีขนหางฟูฟ่อง เจ้าแม่ทอดพระเนตรเห็นว่าหางของนางขาดไปหางหนึ่ง จึงพรมน้ำทิพย์ให้ และหางที่เคยขาดไปก็กลับมาแกว่งดุ๊กดิ๊กตามเดิม ต๋าจีคุกเข่าและร้องขอบคุณอย่างดีใจไม่ขาดปาก ก่อนจะกลับไปที่ถ้ำฝานจวื่อและกอดรัดฟัดเหวี่ยงหางที่งอกออกมาใหม่จนหนำใจ
นางปิศาจจิ้งจอกกลับไปมีแปดหางดังเดิมแล้ว
นางจิ้งจอก แกว่งหางที่เป็นพวงดุ๊กดิ๊กไปมา นางฝึกตัวเองให้ไม่มองหางบ่อยเกินไป เพราะนางจะรู้สึกโกรธอย่างรุนแรงทุกครั้งเมื่อเห็นหางๆหนึ่งซึ่งเคยมีขนนุ่มเส้นละเอียดดุจเส้นไหม – ขาดไป
นางจิ้งจอกแฝงกายอยู่บนหลังคาของบ้านตรงข้าม นางขดนั่งลงบนหางสองหาง สามหางบังแดด ถึงแม้มันจะไม่มีความหมายอะไร อีกหนึ่งหางพัดไปมาช้าๆเพื่อคลายร้อน และอีกหางที่เหลือ นางก็กอดไว้และลูบเล่นอย่างสบายใจ พลางมองลงไปยังผีผู้หญิงตนใหม่ ที่มาปกป้องทารกน้อย
นับดูวันนี้ก็วันที่ห้าแล้วที่นางจิ้งจอกนั่งมองอีกฝ่ายแผลงฤทธิ์ปกป้องทารกแบบสุดชีวิตก่อนจะนอนหมดแรง สักพักก็จะมีผีตนใหม่ซึ่งขึ้นมาผลัด ผีทุกตนมีลักษณะเหมือนกันอย่างหนึ่งคือเป็นหญิงที่ผูกหินขนาดใหญ่ติดกับท้องและน้ำตาไหลเป็นสายเลือด นางจิ้งจอกไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเมื่อดมจากกลิ่นแล้ว ผีทุกตนมีกลิ่นใกล้เคียงกับนางซึ่งเป็นปิศาจต่างจากเทพพิทักษ์หรือเจ้าที่เจ้าทาง แต่ผีทุกตนนั้นกลับปกป้องทารกน้อยที่มีกลิ่นหอมน่าทานคนนั้น
ก๊อกๆ
นางจิ้งจอกเอื้อมหางหนึ่งไปเคาะรั้วบ้านหลังที่นางซุ่มอยู่ สักพักควันสีขาวก็ลอยออกมาและก่อรูปร่างเป็นชายแก่มาคำนับนาง
“ท่านปิศาจผู้ทรงฤทธิ์ ท่านเรียกข้าน้อยหรือ” นางจิ้งจอกพ่นลมออกจมูก นางแสนจะเบื่อเทพที่มนุษย์อุตส่าห์กราบไหว้และยกย่องเป็นผีบ้านผีเรือน แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าปิศาจที่ทรงอำนาจอย่างนาง กลับยอมนอบน้อมแต่โดยดี
นั่นก็เพราะว่าบ้านที่ผีเรือนตนนี้อยู่ ไม่ได้ให้ความสำคัญกราบไหว้เท่าไหร่นัก ความศักดิ์สิทธิ์จึงห่างหาย กลายเป็นเทพที่ไร้ฤทธิ์ จนต้องยอมอ่อนน้อมต่อปิศาจเพราะต่างก็เกรงกลัวความตายไม่ต่างจากมนุษย์
“นั่นอะไร” นางจิ้งจอกใช้หางฟูชี้ไปที่ผีผู้หญิงตนเดิมที่แผลงฤทธิ์และจ้องนางไม่วางตา
“อ๋อ – นั่นผีขอรับ”
เผียะ!!
นางจิ้งจอกตบปากผีบ้านด้วยหาง จนผีบ้านกลิ้งไปตามหลังคาส่งเสียงดังแกรกๆ
“ท่านปิศาจโปรดเมตตา -- อย่าสังหารข้าน้อยเลย”
“ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” ต๋าจีบอกเสียงเยือกเย็นพลางแลตามองมนุษย์ผู้ชายที่วิ่งออกมาชะเง้อมองหลังคางงๆ
“ผีตนนั้นทำหน้าที่ปกป้องเด็กขอรับ เพราะพวกนางเป็นแม่ซื้อประเภทหนึ่ง”
“อะไรคือแม่ซื้อ”
“เทพที่คอยปกป้องทารกขอรับ ทารกมนุษย์ที่เกิดในเจ็ดวันแรกจะมีเทพคอยปกปักรักษา”
“พวกมันก็เป็นเทพหรือ” ต๋าจีเพ่งตอบผีนางนั้นก่อนจะยิ้มยั่ว
“มิได้ขอรับ นางคือหญิงทำแท้งขอรับ”
“หา”
“ขอรับ ผีหญิงพวกนี้ – ส่วนใหญ่เป็นอดีตนางโลม ที่เมื่อพอรู้ว่าตนตั้งครรภ์ก็ไปทำแท้ง เพราะอาชีพของนางนั้นจะเลี้ยงเด็กก็มิสะดวกขอรับ”
“ตั้งครรภ์ – อ๋อ ที่ว่าเป็นผลจากความรักของหญิงและชายน่ะหรือ”
“มิได้ขอรับ พวกนางโลมมิได้มีความรักกับชายที่ไปเที่ยวดอก พวกนางขายร่างกายเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องเท่านั้นขอรับ”
“อะไรกัน – ตอนที่พวกมนุษย์สืบพันธุ์กัน ไม่ได้เรียกว่ามีรักกันหรอกหรือ” ผีบ้านทำหน้าแสลงหูก่อนจะกัดฟันตอบว่า
“ตอนมนุษย์เสพสังวาสกันนั้นมิใช่ความกรักดอก หากแต่เรียกว่าความใคร่ขอรับ”
“อะไรคือความใคร่”
“เรื่องนั้นเกินปัญญาข้าน้อยแล้ว – ขอท่านปิศาจผู้ยิ่งใหญ่โปรดเมตตา”
นางจิ้งจอกขมวดคิ้วอย่างอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่มีอารมณ์ฆ่าผีเรือนที่ตัวสั่นงกงันนั้น “แล้วทารกนั่นเกิดได้กี่วันแล้ว”
“วันนี้ก็เจ็ดวันแล้วขอรับ ข้าน้อยคิดว่าเที่ยงคืนนี้ยมทูตคงมารับตัวนางไปรับโทษทัณฑ์ในนรกต่อ”
ต๋าจีสะบัดหางไล่ผีเรือน ผู้ซึ่งคำนับและรีบจากไปทันที
นางปิศาจลูบท้องอย่างใจลอย โดยที่ไม่รู้ตัว
โง่จริ๊ง กินทารกตัวหอมๆนั่นก็ได้ไอบุญแล้วแท้ๆ ดันมานั่งปกป้องให้เสียพลังวิญญาณเล่นทำไมยะเนี่ย
อืม ใกล้เที่ยงคืนแล้วนี่ ลงไปแหย่เล่นหน่อยดีกว่า
“สวัสดีจ้ะ เป็นไง เหนื่อยไหม”
“..................”
ต๊าย ถามไม่ตอบ หยิ่งนะยะ ดูซิจ้องข้าซะตาเหลือกขนาดนั้นเดี๋ยวก็หล่นออกมานอกเบ้าหรอกย่ะ
“ดูขาเจ้าสิ โถๆๆ สั่นพั่บๆเชียว ยอมให้ข้ากินทารกตัวแดงๆนั่นเถอะน่า หรือแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้ พอเจ้ามีไอบุญหน่อยจะได้หนียมทูตได้ไง”
เป็นข้าก็ไม่อยากไปหรอกย่ะ แหวะ ผู้ชายหัววัวหัวม้า หล่อตรงไหนไม่ทราบ
“..................”
แน๊ะ หยิ่งไปละ อ้าว ล้มลงแล้วเหรอ ฮิ ฮิ ก็เล่นยืนมาทั้งวันนี่ยะ
แน่ะ ยังถลึงตามองข้าอยู่อีก ไม่ปวดตามั่งรึไงยะ
“แก้หินที่ผูกท้องเจ้าออกสิ นั่นอาจจะทำให้เจ้าสบายขึ้นนะ” อ้าว ได้ผลแฮะ ก้มมองหินใหญ่เลย ดี ก้มมองนานๆนะ ขอข้าแอบไปฉกทารกมากินก่อนล่ะย่ะ
เปรี้ยง!!
กรี๊ด นิ้วสุดสวยที่เรียวงามของข้า ไหม้อีกละ ชิ เบื่อจริงๆ เมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นจะมาเนี่ย
อ้าว พูดถึงก็มาเลย
“ลุกขึ้น เจ้าหมดหน้าที่แล้ว” ใช่ ไปๆซะ
“นางปิศาจ” ต๊าย หยาบคาย ถึงจะจริงก็เถอะ
“หยุดก่อเวรเถอะ ข้าขอเตือน” พูดมากย่ะ รีบๆพาไปซะที ข้ารอจนไส้กิ่วมาหลายวันแล้ว
ยมทูตหัววัวหัวม้ามองนางปิศาจที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะส่ายหน้าอย่างสมเพชและพาผีนรกกลับไปรับโทษต่อ
นางจิ้งจอกมีสีหน้าตกใจสุดขีด ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดและเข้ามาในบ้าน และยื่นหน้าเข้าไปดมทารกใกล้ๆ
“อะไรกัน” นางปิศาจร้องออกมาอย่างสับสน “ทำไมไม่หอมแล้วล่ะ”
นางปิศาจลองกลืนทารกเข้าไปทั้งตัว แต่นางก็ไม่รู้สึกอะไร หลังจากยืนงงสักพักนางก็กระฟัดกระเฟียดออกจากบ้านและบันดาลพายุให้ถล่มบ้านหลังดังกล่าว จนคนในบ้านและผีบ้านตายเรียบ ก่อนนางจะเหาะกลับไปยังถ้ำฝานจวื่อด้วยอารมณ์เสียเต็มที
“ยินดีต้อนรับขอรับท่านต๋าจี” ฮึ อารมณ์เสียจริงๆ รอตั้งหลายวัน ปรี๊ดแตกย่ะ ปรี๊ดแตก!!
ข้ารับน้ำอะไรสักอย่างหอมๆมาและดื่มลงไป
“อืมมมมมม” เอ๊ะ กลมกล่อมดีนะยะเนี่ย แหม อารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น “นี่คืออะไรเหรอ”
“เลือดหญิงพรหมจรรย์ขอรับ ท่านต๋าจี” แหม ช่างเอาใจนะยะ มาหอมทีซิ
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ท่านต๋าจี ได้กินทารกตัวนั้นหรือเปล่า” เอ๊ะ อยู่ดีๆมากวนอารมณ์กันอีกละ ไม่ตอบย่ะ
“ฮะ ฮะ ท่าทางคงเลยเจ็ดวันก่อนสินะขอรับ – ไม่รู้ทำไมทารกมนุษย์ทุกตัวจะมีกลิ่นหอมมากในวันที่เกิดมาเจ็ดวันแรก แต่พอหมดเจ็ดวันแรกปุ๊บก็กลับจืดชืดไร้รสชาดซะอย่างงั้น”
วุ้ย รำคาญ
ข้าผลักเจ้าฬ่อล้มลงและเริ่มสิ่งที่ไม่ได้ทำมาเสียหลายวัน
“เจ้ารักข้าไหมเจ้าฬ่อ” นางจิ้งจอกลูบหูสีขาวที่โผล่ออกมาบนหัวของฬ่อก๊ก
“ข้าน้อยรักท่านต๋าจีที่สุดเลยขอรับ” ฬ่อก๊กตอบด้วยรอยยิ้มของหนุ่มน้อยน่ารักก่อนจะพลิกตัวและเลียขนหางของต๋าจีอย่างรักใคร่
“แต่ตอนนี้เจ้ากับข้าไม่ได้กำลังรักกันอยู่ซะหน่อย” นางจิ้งจอกดึงจิ้งจอกหนุ่มเข้ามาซบอก “เราเพิ่งจะรักกันเสร็จนี่”
“ท่านต๋าจีถามแปลกๆนะขอรับ” ฬ่อก๊กเงยหน้าและทำตาแป๋วมองต๋าจี ซึ่งนึกทบทวนคำถามก่อนจะลูบหูฬ่อก๊กค่อยๆ
“นั่นสิ ข้าถามแปลกจริงๆ” ต๋าจีพูดอย่างใจลอย “แล้ว – ถ้าเจ้ารักข้า ทำไมไม่รักกับข้าต่อล่ะ”
“นายท่าน การที่เรารักใครก็หมายถึงเราพร้อมจะทำทุกสิ่งให้กับคนๆนั้น” ฟ่อก๊กก้มลงเลียเท้าที่ต๋าจียื่นให้ ก่อนจะบอกว่า “ข้าน้อยเตรียมถ้ำให้น่าอยู่รอท่านกลับมา ข้าเตรียมเลือดหญิงพรหมจรรย์รอท่านเพื่อให้ท่านอารมณ์ดี ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านมีความสุข นั่นเพราะข้ารักนายท่านขอรับ”
“แต่ตอนที่เราสืบพันธุ์กัน มันไม่เรียกว่ารักหรอกหรือ”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความรักขอรับ – แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” ฬ่อก๊กกระดิกหางดุ๊กดิ๊กไปมา “มนุษย์เรียกว่า ร่วมรัก ขอรับ เป็นการแสดงออกซึ่งความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่ง – ก็สนุกดี”
ต๋าจีมองหนุ่มน้อยน่ารักก่อนจะดึงเข้ามากอดและยิ้มชั่วร้าย “ถ้างั้นมาร่วมรักกันต่อดีไหม” โดยไม่รอคำตอบ นางจิ้งจอกก็กอดร่างฬ่อก๊กด้วยหางทั้งเจ็ดอย่างทะนุถนอม
ย้อนกลับไปราวหนึ่งเดือน ณ. สวรรค์ ตำหนักเจ้าแม่หนี่วา
“ข้าพระองค์ เจียงไป่เทียนจิง แม่ทัพสวรรค์ประจำทิศพายัพ ถวายบังคมเจ้าแม่หนี่วา (หนึ่งวาสี) พระเจ้าค่ะ” แม่ทัพในชุดเกราะทองคุกเข่าคำนับเจ้าแม่หนี่วาที่นั่งบนบัลลังก์ด้วยพระพักตร์ที่งดงามและอ่อนโยน
“เจียงไป่เทียนจิง มนุษย์นั้นร่ำร้องอ้อนวอนขอความช่วยเหลือที่หุบเขาฝานเป่ย ว่า หูจิ้วเอ๋อ ปิศาจจิ้งจอกเก้าหางก่อกวนสร้างความเดือดร้อน ท่านจงนำทัพสวรรค์ลงไปปราบนางเถิด”
เจียงไป่เทียนจิง รับบัญชาและเตรียมทัพสวรรค์ ทั้งเทพหนึ่งแสนล้านพระองค์ เพื่อรบกับนางปิศาจจิ้งจอก หูจิ้วเอ๋อ
แต่เมื่อเจียงไป่เทียนจิง มาถึงหุบเขาฝานเป่ย และยืนทัพกับบรรดานายกองเทพหน้าถ้ำฝานจวื่อกลับไมได้กลิ่นปิศาจของ หูจิ้วเอ๋อเลย
“หมายความว่ากระไรหรือ ท่านแม่ทัพเจียงไป่เทียนจิง” นายกองเอ่ยปากถาม ซึ่งเจียงไป่เทียนจิงก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ท่านเจียงไป่เทียนจิง ท่านจะเข้าไปในถ้ำหรือ” นายกององค์หนึ่งท้วงเมื่อเห็นเจียงไป่เทียนจิงทำท่าจะเดินเข้าไปในถ้ำ “หากว่าเป็นกลลวงท่านจะทำประการใด ชอบที่ข้าน้อยจะเข้าไปดูก่อน”
เจียงไป่เทียนจิงเห็นด้วยและส่งนายกองเทพสิบองค์ เข้าไปสำรวจ
ต๊าย กลิ่นหอมๆ ที่น่าขยะแขยงนี่มันอะไรเนี่ย
“ท่านต๋าจี แย่แล้วขอรับ -- กองทัพสวรรค์มาเต็มถ้ำเลย” ต๊าย ของสูงมาเอง
“ท่านต๋าจีรีบหนีไปเถอะขอรับ ข้าน้อยจะถ่วงเวลาให้” อุ๊ย ทำหน้าตาหน้าหยิกอีกแล้ว งั้นหยิกทีนึง ฮิ ฮิ ฮิ
“อย่าเสียมารยาทน่า เจ้าฬ่อ แขกมาถึงบ้าน เราก็ควรไปต้อนรับนะ” ข้าลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้าที่เนรมิตออกมาอย่างหรูหราและส่งให้เจ้าฬ่อชุดหนึ่ง
อ๊ะ นั่นไง ว้าย มีแต่หนุ่มหล่อๆทั้งนั้นเลย
“คาราวะท่านแม่ทัพทุกท่าน – ข้าน้อย ต๋าจี เจ้าของถ้ำฝานจวื่อตนใหม่ มิทราบว่า พวกท่านมีธุระอะไรที่นี่หรือ” แน่ะ ทำหน้าเอ๋อกันทำไมยะ
“อะไรกัน แล้วนางปิศาจเก้าหางหูจิ้วเอ๋อเล่า”
“อ๋อ นางตายแล้วเจ้าค่ะ”
“หา นางจิ้งจอกเก้าหางตายแล้วหรือ” ก็เออสิยะ “เจ้าฆ่านางหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” แน่ะ ทำเป็นซุบซิบนินทากันนะยะ เสียดายที่ข้าหูไวไปหน่อยนะยะ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปกับเรา” รู้ตั้งนานแล้วย่ะ
“คาราวะท่านแม่ทัพ” กรี๊ด หนุ่มหล่อเพียบเลย เพิ่งรู้ว่าสวรรค์น่าอยู่ขนาดนี้นะยะเนี่ย
“เจ้าหรือที่สังหาร หูจิ้วเอ๋อ” เออสิยะ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” แน่ะ ซุบซิบกันอีกละ เป็นตุ๊ดกันรึไง
“เอาล่ะ ตามพระบัญชาของเจ้าแม่หนี่วาให้ปราบนางหูจิ้วเอ๋อซึ่งก่อความเดือดร้อนแก่มวลมนุษย์ ก็เสร็จสิ้นแล้ว ด้วยฝีมือของเจ้า -- ”
“ต๋าจีเจ้าค่ะ”
“ข้า เจียงไป่เทียนจิง จะไปกราบทูลต่อเจ้าแม่หนี่วา ว่าเจ้าจัดการหูจิ้วเอ๋อไปแล้ว ซึ่งนับเป็นผลงานที่เป็นคุณต่อมนุษย์และสนองโองการฟ้า เจ้าแม่หนี่วาย่อมพอพระทัยเป็นแน่”
พูดจาอะไรเข้าใจยากจัง
“เจ้าแม่หนี่วาอาจจะประทานรางวัลให้เจ้า จงประพฤติตนให้ดี อย่าเบียดเบียนมนุษย์ ระหว่างที่ข้าไปกราบบังคมทูลกับเจ้าแม่ เข้าใจหรือไม่”
ข้าพยักหน้าพร้อมค้อมตัว เอ – หวังว่าก่อนหน้านี้คงไม่นับนะ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
เจียงไป่เทียนจิงเข้าไปกราบบังคมทูลเจ้าแม่หนี่วาทุกประการตามที่ประสบมา เจ้าแม่จึงโปรดให้นางจิ้งจอกเข้าเฝ้า นางจิ้งจอกถูกนำไปเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ นางก็ถวายบังคมด้วยกิริยางดงามน่าเอ็นดู
“ตัวหรือ ที่สนองโองการฟ้าแห่งเรา กำจัดหูจิ้วเอ๋อที่ก่อกรรมทำเข็ญกับมนุษย์”
“ข้าน้อยไม่ทราบว่านางนั้นต้องโทษตามอาญาสวรรค์จึงด่วนกำจัดนางไปก่อน ขอเจ้าแม่โปรดอภัย ให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วยเถิด”
“ใช่เป็นดังนั้นไม่ เป็นตัวต่างหากที่ทำคุณต่อมนุษย์ สนองโองการแห่งเรา สมควรที่เราจะประทานรางวัลให้มากกว่า” เจ้าแม่หนี่วา แย้มพระโอษฐ์อย่างโอบอ้อมอารีและตรัสต่อว่า “อันเป็นปิศาจนั้น ย่อมหมุนอยู่ในกรรม กล่าวคือต้องประสบเกิดตายอยู่ เรามีความเมตตา จะรับตัวมาอยู่กับเราเป็นเทพรับใช้ ตัวยินดีจะอยู่กับเราฤาไม่”
“เป็นพระกรุณายิ่งล้นพ้นเพคะ” ต๋าจีคุกเข่าก้มกราบลงแนบพื้น
“ดังนั้น ตัวจงลงไปประจำศาลแห่งเราที่ ฮัวเห่ (จีนโบราณ) แคว้นเย่เถิด” ต๋าจีก้มกราบและบอกขอบคุณไม่ขาดปาก เจ้าแม่หนี่วาส่งตราตั้งและประสิทธิ์ประสาทพรให้ จู่ๆต๋าจีก็กลับร่างเป็นครึ่งจิ้งจอกที่มีขนหางฟูฟ่อง เจ้าแม่ทอดพระเนตรเห็นว่าหางของนางขาดไปหางหนึ่ง จึงพรมน้ำทิพย์ให้ และหางที่เคยขาดไปก็กลับมาแกว่งดุ๊กดิ๊กตามเดิม ต๋าจีคุกเข่าและร้องขอบคุณอย่างดีใจไม่ขาดปาก ก่อนจะกลับไปที่ถ้ำฝานจวื่อและกอดรัดฟัดเหวี่ยงหางที่งอกออกมาใหม่จนหนำใจ
นางปิศาจจิ้งจอกกลับไปมีแปดหางดังเดิมแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ