นางพญาปิศาจจิ้งจอก

8.0

เขียนโดย จิ้งจอกมายา

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.

  21 ตอน
  11 วิจารณ์
  29.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ตอนที่ 8 แม่ซื้อ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 8 แม่ซื้อ
 
“ช่างน่าแปลก”
“สิ่งใดที่ว่าแปลกหรือท่านหยาง” หยินเต๋าเอ่ยถามหลังจากที่หยางเต๋ายกมือขึ้นมาไล่นิ้วเพื่อจับยามสามตา
“ปิศาจที่ทำลายลิขิตสวรรค์ตนนั้น ข้าพเจ้ามองไม่เห็น หาไม่เจอเลย” หยินเต๋าพยักหน้า เพราะรู้ดีว่าตนเองนั้นจับยามไม่เก่งเท่าหยางเต๋า แต่งานปราบปิศาจหยินเต๋าทำได้ดีกว่า ทั้งสองจึงแบ่งหน้าที่ค่อนข้างชัดเจน
“ท่านหยาง แม้กระนั้นแล้ว เราจักทำประการใด ในเมื่อแกะรอยตามไปก็ขัดสนดังนี้ หรือปิศาจตนนั้นมีเทียนมิ่ง(บัญชาสวรรค์)ให้สามารถกำจัดท่านจ้งเปียนได้” หยางเต๋าพยักหน้ารับความเห็นของหยินเต๋า
“ข้าพเจ้าก็ห่วงดังนั้นอยู่ ท่านจ้งเปียนแม้นเกิดใต้ฤกษ์จักรพรรดิ แต่กลับประพฤติตนเยี่ยงโจร คอยซ่องสุมกำลังปล้นฆ่าจับเชลยเพื่อการณรงค์แห่งสงคราม หากแม้นได้ครองราชย์ในวันข้างหน้านานไปคงไม่พ้นกลายเป็นทรราชเป็นแน่แท้ทีเดียว”
“แล้วเราจะทำกระไรได้ จะตามปิศาจตนนั้นต่อก็อับจน แลงานที่รับปากเขามาก็มิเสร็จสิ้นดังฉะนี้”
“อันทิศอีสานนั้น ปรากฏถ้ำฝานจวื่อ เป็นเขตในความดูแลแห่งนางจิ้งจอกเก้าหาง หูจิ้วเอ๋อ นางนั้นเลี้ยงสมุนจิ้งจอกมากมาย อาจจะพอรู้ข่าวสารของปิศาจตนนั้นบ้างก็เป็นได้” หยางเต๋ากล่าวแลสาวหนวดเป็นอาการใช้ความคิด
“แม้นหากนางไม่ร่วมมือเล่า เรามิแย่หรือ ลำพังเราท่านสองคนคงยากที่จะต่อกรกับนางเป็นแน่” หยินเต๋าท้วง
“เราคงต้องประนีประนอมเขาก่อน ใช้เวลาบ้างสักเล็กน้อย -- รีบเดินทางเถิดท่านหยิน อย่าให้เลยเทศกาลปีใหม่เลย”
นักพรตทั้งสองตกลงกันได้ดังนั้นจึงบ่ายหน้าสู่ทิศอิสานมุ่งสู่ถ้ำฝานจวื่อทันที
 
กล่าวถึงชาวบ้านละแวกถ้ำฝานจวื่อ ผ่านไปหลายเดือนไม่ปรากฏปิศาจจิ้งจอกออกมารังควาน ประกอบกับส่งผู้ใหญ่ไปสำรวจก็ไม่พบปิศาจเลย ราวกับว่าพวกมันย้ายไปที่อื่น ทุกคนทราบดังนั้นก็ร่าเริงยินดี จัดงานรื่นเริงสมโภชกันเป็นที่สำราญ โดยหารู้ไม่ว่าคู่ชายหญิงที่หน้าตาดีมีเสน่ห์ชวนหลงใหลที่เป็นแขกสองคนนั้น หาใช่มนุษย์แต่อย่างใดไม่
“เจ้าฬ่อ” สตรีที่แต่งชุดหรูหราราวกับบุตรีแห่งขุนนางใหญ่เรียกชายหน้าตาน่ารักที่เป็นคนรับใช้ ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ราวกับห่ออะไรบางอย่างไว้ให้ ชายผู้นั้นก็คำนับและรับผ้าเช็ดหน้าใส่อกเสื้อไว้
“เถ้าแก่ครับ” ชายหนุ่มน่าตาหน้ารักเดินเข้าไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยม เจ้าของรีบคำนับด้วยอาการตื่นตกใจ เพราะต่างก็เป็นชาวป่าชาวดอย ไม่เคยสัมผัสกับขุนนางชนชั้นสูง
“นายหญิงของข้าน้อย ขอเหมาโรงเตี๊ยมหลังนี้หมดในสามวันนี้ครับ” ชายหนุ่มล้วงห่อผ้าออกมาและวางลงกลางโต๊ะ เถ้าแก่แกะออกด้วยมืออันสั่นเทา และร้องออกมาด้วยความตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเจอตำลึงทองอันใหญ่ในห่อผ้าแพรผืนงามนั้น
“โอออออ นายท่าน เงินมากมายขนาดนี้พอจะซื้อโรงเตี๊ยมได้ทั้งหลังเลยทีเดียว” เถ้าแก่พูดแทบไม่หยุดหายใจ สายตาไม่อาจละจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้
“นายหญิงขอเหมาแค่สามวันเท่านั้น” ชายหนุ่มเงียบเสียงไป “หากบริการประทับใจนายหญิง ท่านอาจจะได้บำเหน็จเพิ่ม”
เถ้าแก่รับปากเสียงสั่น และสั่งบริวารให้เตรียมห้องที่ดีที่สุดและเตรียมสารพัดอาหารคาวหวานเท่าที่จะหาได้
แม่นางน้อยผู้เลอโฉมเดินลงจากห้องแล้วผินหน้าอันงดงามชุ่มชื่นนั้นไปยังเทศกาลด้านนอก ก่อนจะพยักหน้าเรียกชายหนุ่ม แล้วทั้งสองก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมที่เถ้าแก่สั่งปรับปรุงเป็นการใหญ่
แม่นางน้อยเดินนำชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่เดินตามด้วยสีหน้านอบน้อม อากัปกิริยาท่วงท่าการเดินของนางนั้นดูแช่มช้อยงดงามเกินกว่าการเดินของคนทั่วไป สะกดทุกสายตาให้หันไปมองราวกับต้องมนต์ ทุกคนมองแม่นางน้อยผู้นั้นราวกับว่าแม่นางผู้นั้นจะหายลับไปกับสายลมที่หอบเอาความงดงามสดใสมาสู่บ้านนอกคอกนาฉะนี้
“นี่คืออะไรเหรอจ๊ะ” แม่นางน้อยยิ้มและถามแม่ค้าที่หายใจกระตุกเมื่อประสานตากับแม่นางน้อยผู้งดงามนั้น
“ซาลาเปาค่ะ คุณหนู” แม่ค้าตอบออกไปได้ในที่สุดหลังจากทำปากพะงาบๆไปหลายครั้ง
“ขายเท่าไหร่จ๊ะ” แม่นางน้อยถามต่อด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ทุกคนประทับใจ
 
“ข้าน้อยไม่กล้าคิดเงินกับคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ แค่คุณหนูกรุณาแวะที่ร้านก็ถือเป็นบุญหนักหนาแล้ว” แหวะ ยัยป้า ทำหน้าปลื้มอะไรยะ ข้าไม่สนผู้หญิงหรอกย่ะ อ่ะ เอาเงินวางตรงนี้แล้วกัน
ต๊าย หน้าตาหน้าดูจริ๊ง ทำตาถลนมองไอ้ก้อนทองๆอย่างกับไม่เคยเห็น มนุษย์นี่มันตลกจริงๆ
“ขะ – ข้าน้อยรับไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เล่นตัวนะยะ
“รับไปเถอะจ๊ะ” แน่ะ ทำหน้าเคลิ้มอีกละ เห็นรอยยิ้มของข้าเข้าหน่อยล่ะเอ๋อกันทุกคนเชียว
“นายท่าน” ข้าเอียงหูให้เจ้าหมาน้อย ขณะลองแจกรอยยิ้มไปทั่วๆ พลางดูหน้าเอ๋อๆของมนุษย์เอาสนุก “เชิญทางด้านนี้เถิด”
“แหวะ จะอ้วก” ข้าส่งซา – อะไรสักอย่างให้เจ้าฬ่อหลังจากกัดไปคำหนึ่ง “ใส่เนื้อสัตว์เข้าไปด้วยเนี่ยนะ”
“ปิศาจอย่างเรากินอาหารอย่างมนุษย์ยังไงก็ไม่อร่อยหรอกขอรับ” เจ้าฬ่อบอกพร้อมกับค้อมหัว “แต่ถ้าฝืนก็คงกินได้อยู่” แน่ะ ยิ้มอีกละ น่าหยิกจริงเชียวเจ้าหมาน้อยตัวนี้ อะไรยะ จะฝืนกินให้ข้าเหรอ
เรื่องสิยะ ข้าโยนทิ้งทันที ก่อนจะเดินออกไปสู่งานเทศกาลอีกครั้ง และกระซิบคุยกับเจ้าฬ่อ
“ทำไมมนุษย์ชอบทำหน้าเอ๋อๆมองข้าจังนะ” ข้าพูดเสียงเบา คงมีแต่เจ้าฬ่อที่หูไวได้ยินอยู่คนเดียว หูผีจริงๆนะยะ
“วงศ์จิ้งจอกนั้นมีมนต์เสน่ห์แบบพิเศษขอรับ แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่มนุษย์ก็จะเผลอไผลหลงใหลโดยธรรมชาติ การที่คนทั่วไปหลงใหลท่านง่ายๆอย่างนี้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านมีพลังอำนาจมากมายนั่นแหละขอรับ” ต๊าย หน้าตายปากหวาน ชมกันทื่อๆแบบนี้ น่าหยิกจริงเชียว
อุ๊ย กลิ่นอะไรน่ะหอมจัง ว้าย นั่นทารกรึเปล่า
“นายท่าน” อะไรของเจ้าอีกล่ะยะ เจ้าหมาน้อยตัวนี้ ข้ามองตามและเห็นรูปตาแก่ถือหอกถือง้าวติดอยู่ที่ประตูบ้านหลังนั้น “บ้านหลังนี้เข้ามิได้หรอกขอรับ”
แหม ทารกนั่นทำไมกลิ่นห๊อม หอม แต่ท่าทางจะเข้าไปกินตอนนี้คงไม่ได้ ชิ ไว้ตอนกลางคืนแล้วกัน
“แม่นางน้อย” อะไรยะอีตาหนวดนี่ อืม กลิ่นหอมหน่อยๆนะยะเนี่ย
“ข้าน้อย หลี่จื้อตง ผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ ทราบว่าท่านมาจากต่างเมืองกระนั้นหรือ” อ๋อ รู้ที่มาของกลิ่นหอมๆนี่แล้ว
“เจ้าค่ะ ใต้เท้าหลี่ ข้าน้อย – ต๋าจีเจ้าค่ะ” แหมชอบจริงเชียว แค่แกล้งมารยาทดีนิดๆหน่อยๆ ตาเยิ้มกันทุกตัวเลยนะยะ
 
หลี่จื้อตง ออกปากต้อนรับขับสู้แม่นางน้อยผู้นั้นอย่างแข็งขัน และเชื้อเชิญแม่นางน้อยเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองเทศกาล ประเพณีการแสดงต่างๆนาๆ ด้วยเข้าใจว่าแม่นางที่กล่าวอ้างตนว่าชื่อต๋าจีนั้น เป็นบุตรีของขุนนางชั้นสูงที่มาท่องเที่ยว
“แม่นางโชคดีเหลือเกิน ที่เลือกเดินทางมาในช่วงนี้” หลี่จื้อตงกล่าวขณะเชิญต๋าจีนั่งในที่แขกบ้านแขกเมืองเพื่อชมการแสดงประจำท้องถิ่น
“เพราะเหตุใด ใต้เท้าจึงว่าข้าน้อยโชคดีหรือคะ” ต๋าจีทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย กระนั้นภาพแห่งความงามก็มิได้ลดน้อยลงแม้แต่อย่างใด กลับกลายเป็นภาพของหญิงสาวที่น่ารักประทับใจผู้มองยิ่งนัก
“ใกล้ๆนี้มีหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีถ้ำที่ถูกเรียกว่า ถ้ำฝานจวื่อ ถ้ำแห่งนั้นเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าปิศาจจิ้งจอก ชาวบ้านก็ถูกระรานอยู่เนืองๆ นักพรตเดินทางไปปราบก็ถูกนางปิศาจ หูจิ้วเอ๋อ ซึ่งเป็นนางพญาแห่งถ้ำนั้นสังหารเสียสิ้น แลคนต่างเมืองก็มิกล้าสัญจรผ่านมา ชาวบ้านก็ไม่กล้าออกไป บ้านนี้เองนี้จึงว่าได้ว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน ด้อยพัฒนาเป็นอย่างยิ่ง ขอแม่นางน้อยให้อภัย หากลูกบ้านของข้าน้อยไร้มารยาท” หลี่จื้อตง กล่าวพร้อมกับยกจอกสุราคำนับขอโทษ ต๋าจีทำเป็นตกใจ ประคองมือทั้งสองของผู้ใหญ่บ้านและรับสุราจอกนั้นมา
“ใต้เท้า อย่าได้กล่าวฉะนี้ ลูกบ้านทุกคนล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส น่ารักใคร่เป็นยิ่งนัก ข้าน้อยเสียอีกที่มิได้ทัศนา บ้านนี้เมืองนี้มาก่อน จึงไม่ประจักษ์ว่ามีบ้านที่งามพร้อมด้วยธรรมชาติ และผู้คนดังหมู่บ้านนี้”
“แม่นางน้อยกล่าวเกินความจริงไปนัก แม้นกระนั้นข้าน้อยและลูกบ้านจักขอเลี้ยงดูปูเสื่อแม่นางน้อยตามอัตภาพ ขอแม่นาง ชมชื่นรื่นเริงให้เต็มที่เถิด”
หลี่จื้อตงกล่าวเสร็จจึงเรียกให้ลูกบ้านขับโหมประโคมดนตรี เลี้ยงสรรพอาหารคาวหวานทั้งการแสดง เอาอกเอาใจแขกบ้านแขกเมืองเต็มที่ ก่อนจะชวนเชิญให้ต๋าจีดูการเต้นระบำขวัญข้าว
หญิงสาวนับสิบคนที่จัดว่ารูปงามแต่งในชุดสีขาวมือหนึ่งถือรวงข้าวมือหนึ่งถือกระจาดเปล่าออกมา และเริ่มร่ายรำ ก่อนชายหนุ่มที่ถือกระบี่จะออกมาและเต้นรำเข้าจังหวะกับบรรดาหญิงเหล่านั้นเป็นคู่ๆกันไป
“ช่างเป็นการแสดงอันวิจิตร ทั้งแฝงศิลปะทั้งความเชื่ออย่างประณีตลงตัวเสียยิ่งกระไร” ต๋าจีเอ่ยปากชม
“แม่นางน้อยว่าแฝงด้วยศิลปะแลความเชื่อประการใด โปรดชี้แจงให้ข้าน้อยได้แจ้งด้วยปัญญาแห่งแม่นางเถิด”
“ใต้เท้าหลี่ อย่าถ่อมตัวดังนี้เลย ข้าน้อยเพียงแค่ประทับใจในความแยบคายแห่งท่วงทำนองเท่านั้นเอง” ต๋าจีบอกและเอ่ยต่อเมื่อเห็นใบหน้าอิ่มเอิบแลใคร่รู้ของหลี่จื้อตง “ที่หญิงสาวถือรวงข้าว แต่มีกระจาดเปล่านั้นออกมาร่ายรำก่อนก็ประหนึ่งชาวบ้านที่ทำมาหากินแต่มิถนัดเต็มทีเพราะมีสิ่งรบกวน ดังกระจาดที่ว่างเปล่านั้น แลเมื่อมีชายหนุ่มที่ถือกระบี่ออกมาร่ายรำนั้นก็กล่าวถึงนักพรตที่มาช่วยทำให้ชาวเมืองสุขสมหวัง นี่คือสิ่งที่ข้าน้อยเข้าใจ หากผิดพลาดประการใด วอนใต้เท้าหลี่โปรดชี้แจงด้วย”
“แม่นางน้อยกล่าวถูกต้องราวกับเทพยดาเข้าดลใจ เนื้อหาของการแสดงเป็นดังที่แม่นางกล่าวทุกประการ” หลี่จื้อตง กล่าวอย่างเบิกบานก่อนจะเชิญแม่นางน้อยกินโต๊ะต่อจนใกล้พลบ ต๋าจีจึงขอตัวกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่ตกแต่งใหม่ดูดีกว่าในตอนแรกอย่างมหาศาล
 
“แหวะ” อี๋ มนุษย์กระเดือกของพรรค์นี้เข้าไปได้ยังไงยะเนี่ย
“นายท่าน” แหมรู้ใจ อ่ะยื่นหน้าให้เช็ดซะหน่อย ต๊าย ดูหน้าตาซิ น่ารักจริงเชียว “ท่านต๋าจี เก่งมากขอรับที่กลั้นใจกินได้มากขนาดนั้น”
“ขนาดครั้งแรกของข้านะเนี่ย”
“นายท่านพูดราวกับจะมีครั้งต่อไป”
ข้าได้พูดอย่างนั้นเหรอยะ
“เอาล่ะ ได้เวลา มื้ออาหารที่แท้จริงซะที” น่าจะเลยยามสองไปแล้วนะเนี่ย มนุษย์หลับเป็นตายไปหมดแล้ว
“ข้าไม่คิดว่านายท่านจะได้กินหรอกขอรับ” แน่ะ หางโผล่แล้วย่ะ หน็อย มาแกว่งหางดุ๊กดิ๊กๆอีก
“ทำไมล่ะ แค่เทพพิทักษ์ประตูแค่นั้นข้าไม่ยี่หระหรอก” อะไรยะ ทำเป็นคิด
“ข้าก็อธิบายไม่ถูก เชิญนายท่านไปดูด้วยตนเองเถอะขอรับ”
 
นางปิศาจพร้อมกับลูกสมุนกลับมายังบ้านหลังเดิม ที่ปิดประตูแน่นหนา นางจิ้งจอกเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงกรนของผู้ชายและเสียงผ่อนหายใจยาวๆของผู้หญิงที่คงจะสลบไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
นางจิ้งจอกสะบัดมือทีหนึ่ง ภาพของเทพพิทักษ์ประตูก็หลุดออกและปลิวหายไป นางลองยื่นมือเข้าไปในตัวบ้าน แต่ก็ถูกไฟไหม้นิ้วนั้น นางจิ้งจอกชักนิ้วกลับไปพิจารณา เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดผางออกมา
ปรากฏภาพของผีผู้หญิงผมยาวปรกหน้าน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือด ที่ท้องผูกหินก้อนขนาดใหญ่ไว้ ยืนโงนเงนราวกับจะล้มมิล้มแหล่ แต่ยังคงจ้องนางปิศาจอย่างอาฆาตมาดร้าย
“อะไรยะเนี่ย มีคนจ้องไว้ก่อนเหรอยะ” นางปิศาจกระซิบและหันไปมองจิ้งจอกหนุ่มผู้ติดตามซึ่งส่ายหน้าและบอกว่า
“เปล่าเลยขอรับนายท่าน”
“งั้น ยัยนี่คืออะไรล่ะ”
“เป็นสิ่งที่ข้าก็อธิบายมิได้เช่นกันขอรับ”
นางจิ้งจอกชายตามองผีตนนั้นที่จวนจะล้มแต่ยังคงจ้องนางมิวางตา นางจิ้งจอกนึกสนุกไล่สมุนกลับไปก่อนและมองดูผีตนนั้นเฝ้าทารกน้อย
นางปิศาจคอยจนใกล้สว่าง ผีตนนั้นก็มิได้ไปไหน นางจึงเร้นกายและคงเฝ้ามองต่อไปพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ มองผีตนนั้นดิ้นรนปกป้องทารกต่อไป เลยถึงยามค่ำคืน นางปิศาจก็ปรากฏกายแล้วยิ้มเหยียดใส่ผีที่ล้มลงหมดแรงที่จะปกป้องทารกในยามที่ใกล้เที่ยงคืนนั้นเอง
“เป็นอะไรไปล่ะ เจ้าผีชั้นต่ำ ข้าจะเข้าไปกินทารกแล้วนะยะ”
แต่ทว่า มีร่างเลือนๆปรากฏขึ้น ผีผู้หญิงตนใหม่ที่มีหินผูกท้องไม่ต่างกับผีตนเดิมปรากฏและแผลงฤทธิ์ปกป้องทารกต่อแทนผีตนเดิมที่หมดแรงนั้น นางจิ้งจอกมองเหตุการณ์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ในตอนเที่ยงคืนตรงนั้นเองก็ปรากฏทหารหัววัวหัวม้าออกมาและตรงเข้าไปหาผีตนแรกที่นอนพะงาบๆอยู่
“ลุกขึ้น เจ้าหมดหน้าที่แล้ว” ผีตนนั้นคุกเข่าคำนับและตรงเข้าไปลูบศีรษะทารกน้อยพร้อมกับร่ำไห้ปานจะขาดใจ ก่อนจะตามทหารหัววัวหัวม้านั้นไป ทารกร้องไห้เสียงจ้าเมื่อผีตนแรกนั้นจากไป แม่ที่เป็นคนก็วิ่งเข้ามาดูทารกที่ร้องไห้นั้น
นางจิ้งจอกดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด
ตอนที่ 8 แม่ซื้อ “ช่างน่าแปลก”“สิ่งใดที่ว่าแปลกหรือท่านหยาง” หยินเต๋าเอ่ยถามหลังจากที่หยางเต๋ายกมือขึ้นมาไล่นิ้วเพื่อจับยามสามตา“ปิศาจที่ทำลายลิขิตสวรรค์ตนนั้น ข้าพเจ้ามองไม่เห็น หาไม่เจอเลย” หยินเต๋าพยักหน้า เพราะรู้ดีว่าตนเองนั้นจับยามไม่เก่งเท่าหยางเต๋า แต่งานปราบปิศาจหยินเต๋าทำได้ดีกว่า ทั้งสองจึงแบ่งหน้าที่ค่อนข้างชัดเจน“ท่านหยาง แม้กระนั้นแล้ว เราจักทำประการใด ในเมื่อแกะรอยตามไปก็ขัดสนดังนี้ หรือปิศาจตนนั้นมีเทียนมิ่ง(บัญชาสวรรค์)ให้สามารถกำจัดท่านจ้งเปียนได้” หยางเต๋าพยักหน้ารับความเห็นของหยินเต๋า“ข้าพเจ้าก็ห่วงดังนั้นอยู่ ท่านจ้งเปียนแม้นเกิดใต้ฤกษ์จักรพรรดิ แต่กลับประพฤติตนเยี่ยงโจร คอยซ่องสุมกำลังปล้นฆ่าจับเชลยเพื่อการณรงค์แห่งสงคราม หากแม้นได้ครองราชย์ในวันข้างหน้านานไปคงไม่พ้นกลายเป็นทรราชเป็นแน่แท้ทีเดียว”“แล้วเราจะทำกระไรได้ จะตามปิศาจตนนั้นต่อก็อับจน แลงานที่รับปากเขามาก็มิเสร็จสิ้นดังฉะนี้”“อันทิศอีสานนั้น ปรากฏถ้ำฝานจวื่อ เป็นเขตในความดูแลแห่งนางจิ้งจอกเก้าหาง หูจิ้วเอ๋อ นางนั้นเลี้ยงสมุนจิ้งจอกมากมาย อาจจะพอรู้ข่าวสารของปิศาจตนนั้นบ้างก็เป็นได้” หยางเต๋ากล่าวแลสาวหนวดเป็นอาการใช้ความคิด“แม้นหากนางไม่ร่วมมือเล่า เรามิแย่หรือ ลำพังเราท่านสองคนคงยากที่จะต่อกรกับนางเป็นแน่” หยินเต๋าท้วง“เราคงต้องประนีประนอมเขาก่อน ใช้เวลาบ้างสักเล็กน้อย -- รีบเดินทางเถิดท่านหยิน อย่าให้เลยเทศกาลปีใหม่เลย”นักพรตทั้งสองตกลงกันได้ดังนั้นจึงบ่ายหน้าสู่ทิศอิสานมุ่งสู่ถ้ำฝานจวื่อทันที กล่าวถึงชาวบ้านละแวกถ้ำฝานจวื่อ ผ่านไปหลายเดือนไม่ปรากฏปิศาจจิ้งจอกออกมารังควาน ประกอบกับส่งผู้ใหญ่ไปสำรวจก็ไม่พบปิศาจเลย ราวกับว่าพวกมันย้ายไปที่อื่น ทุกคนทราบดังนั้นก็ร่าเริงยินดี จัดงานรื่นเริงสมโภชกันเป็นที่สำราญ โดยหารู้ไม่ว่าคู่ชายหญิงที่หน้าตาดีมีเสน่ห์ชวนหลงใหลที่เป็นแขกสองคนนั้น หาใช่มนุษย์แต่อย่างใดไม่“เจ้าฬ่อ” สตรีที่แต่งชุดหรูหราราวกับบุตรีแห่งขุนนางใหญ่เรียกชายหน้าตาน่ารักที่เป็นคนรับใช้ ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ราวกับห่ออะไรบางอย่างไว้ให้ ชายผู้นั้นก็คำนับและรับผ้าเช็ดหน้าใส่อกเสื้อไว้“เถ้าแก่ครับ” ชายหนุ่มน่าตาหน้ารักเดินเข้าไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยม เจ้าของรีบคำนับด้วยอาการตื่นตกใจ เพราะต่างก็เป็นชาวป่าชาวดอย ไม่เคยสัมผัสกับขุนนางชนชั้นสูง“นายหญิงของข้าน้อย ขอเหมาโรงเตี๊ยมหลังนี้หมดในสามวันนี้ครับ” ชายหนุ่มล้วงห่อผ้าออกมาและวางลงกลางโต๊ะ เถ้าแก่แกะออกด้วยมืออันสั่นเทา และร้องออกมาด้วยความตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเจอตำลึงทองอันใหญ่ในห่อผ้าแพรผืนงามนั้น“โอออออ นายท่าน เงินมากมายขนาดนี้พอจะซื้อโรงเตี๊ยมได้ทั้งหลังเลยทีเดียว” เถ้าแก่พูดแทบไม่หยุดหายใจ สายตาไม่อาจละจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้“นายหญิงขอเหมาแค่สามวันเท่านั้น” ชายหนุ่มเงียบเสียงไป “หากบริการประทับใจนายหญิง ท่านอาจจะได้บำเหน็จเพิ่ม”เถ้าแก่รับปากเสียงสั่น และสั่งบริวารให้เตรียมห้องที่ดีที่สุดและเตรียมสารพัดอาหารคาวหวานเท่าที่จะหาได้แม่นางน้อยผู้เลอโฉมเดินลงจากห้องแล้วผินหน้าอันงดงามชุ่มชื่นนั้นไปยังเทศกาลด้านนอก ก่อนจะพยักหน้าเรียกชายหนุ่ม แล้วทั้งสองก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมที่เถ้าแก่สั่งปรับปรุงเป็นการใหญ่แม่นางน้อยเดินนำชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่เดินตามด้วยสีหน้านอบน้อม อากัปกิริยาท่วงท่าการเดินของนางนั้นดูแช่มช้อยงดงามเกินกว่าการเดินของคนทั่วไป สะกดทุกสายตาให้หันไปมองราวกับต้องมนต์ ทุกคนมองแม่นางน้อยผู้นั้นราวกับว่าแม่นางผู้นั้นจะหายลับไปกับสายลมที่หอบเอาความงดงามสดใสมาสู่บ้านนอกคอกนาฉะนี้“นี่คืออะไรเหรอจ๊ะ” แม่นางน้อยยิ้มและถามแม่ค้าที่หายใจกระตุกเมื่อประสานตากับแม่นางน้อยผู้งดงามนั้น“ซาลาเปาค่ะ คุณหนู” แม่ค้าตอบออกไปได้ในที่สุดหลังจากทำปากพะงาบๆไปหลายครั้ง“ขายเท่าไหร่จ๊ะ” แม่นางน้อยถามต่อด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ทุกคนประทับใจ “ข้าน้อยไม่กล้าคิดเงินกับคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ แค่คุณหนูกรุณาแวะที่ร้านก็ถือเป็นบุญหนักหนาแล้ว” แหวะ ยัยป้า ทำหน้าปลื้มอะไรยะ ข้าไม่สนผู้หญิงหรอกย่ะ อ่ะ เอาเงินวางตรงนี้แล้วกันต๊าย หน้าตาหน้าดูจริ๊ง ทำตาถลนมองไอ้ก้อนทองๆอย่างกับไม่เคยเห็น มนุษย์นี่มันตลกจริงๆ“ขะ – ข้าน้อยรับไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เล่นตัวนะยะ“รับไปเถอะจ๊ะ” แน่ะ ทำหน้าเคลิ้มอีกละ เห็นรอยยิ้มของข้าเข้าหน่อยล่ะเอ๋อกันทุกคนเชียว“นายท่าน” ข้าเอียงหูให้เจ้าหมาน้อย ขณะลองแจกรอยยิ้มไปทั่วๆ พลางดูหน้าเอ๋อๆของมนุษย์เอาสนุก “เชิญทางด้านนี้เถิด”“แหวะ จะอ้วก” ข้าส่งซา – อะไรสักอย่างให้เจ้าฬ่อหลังจากกัดไปคำหนึ่ง “ใส่เนื้อสัตว์เข้าไปด้วยเนี่ยนะ”“ปิศาจอย่างเรากินอาหารอย่างมนุษย์ยังไงก็ไม่อร่อยหรอกขอรับ” เจ้าฬ่อบอกพร้อมกับค้อมหัว “แต่ถ้าฝืนก็คงกินได้อยู่” แน่ะ ยิ้มอีกละ น่าหยิกจริงเชียวเจ้าหมาน้อยตัวนี้ อะไรยะ จะฝืนกินให้ข้าเหรอเรื่องสิยะ ข้าโยนทิ้งทันที ก่อนจะเดินออกไปสู่งานเทศกาลอีกครั้ง และกระซิบคุยกับเจ้าฬ่อ“ทำไมมนุษย์ชอบทำหน้าเอ๋อๆมองข้าจังนะ” ข้าพูดเสียงเบา คงมีแต่เจ้าฬ่อที่หูไวได้ยินอยู่คนเดียว หูผีจริงๆนะยะ“วงศ์จิ้งจอกนั้นมีมนต์เสน่ห์แบบพิเศษขอรับ แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่มนุษย์ก็จะเผลอไผลหลงใหลโดยธรรมชาติ การที่คนทั่วไปหลงใหลท่านง่ายๆอย่างนี้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านมีพลังอำนาจมากมายนั่นแหละขอรับ” ต๊าย หน้าตายปากหวาน ชมกันทื่อๆแบบนี้ น่าหยิกจริงเชียวอุ๊ย กลิ่นอะไรน่ะหอมจัง ว้าย นั่นทารกรึเปล่า“นายท่าน” อะไรของเจ้าอีกล่ะยะ เจ้าหมาน้อยตัวนี้ ข้ามองตามและเห็นรูปตาแก่ถือหอกถือง้าวติดอยู่ที่ประตูบ้านหลังนั้น “บ้านหลังนี้เข้ามิได้หรอกขอรับ”แหม ทารกนั่นทำไมกลิ่นห๊อม หอม แต่ท่าทางจะเข้าไปกินตอนนี้คงไม่ได้ ชิ ไว้ตอนกลางคืนแล้วกัน“แม่นางน้อย” อะไรยะอีตาหนวดนี่ อืม กลิ่นหอมหน่อยๆนะยะเนี่ย“ข้าน้อย หลี่จื้อตง ผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ ทราบว่าท่านมาจากต่างเมืองกระนั้นหรือ” อ๋อ รู้ที่มาของกลิ่นหอมๆนี่แล้ว“เจ้าค่ะ ใต้เท้าหลี่ ข้าน้อย – ต๋าจีเจ้าค่ะ” แหมชอบจริงเชียว แค่แกล้งมารยาทดีนิดๆหน่อยๆ ตาเยิ้มกันทุกตัวเลยนะยะ หลี่จื้อตง ออกปากต้อนรับขับสู้แม่นางน้อยผู้นั้นอย่างแข็งขัน และเชื้อเชิญแม่นางน้อยเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองเทศกาล ประเพณีการแสดงต่างๆนาๆ ด้วยเข้าใจว่าแม่นางที่กล่าวอ้างตนว่าชื่อต๋าจีนั้น เป็นบุตรีของขุนนางชั้นสูงที่มาท่องเที่ยว“แม่นางโชคดีเหลือเกิน ที่เลือกเดินทางมาในช่วงนี้” หลี่จื้อตงกล่าวขณะเชิญต๋าจีนั่งในที่แขกบ้านแขกเมืองเพื่อชมการแสดงประจำท้องถิ่น“เพราะเหตุใด ใต้เท้าจึงว่าข้าน้อยโชคดีหรือคะ” ต๋าจีทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย กระนั้นภาพแห่งความงามก็มิได้ลดน้อยลงแม้แต่อย่างใด กลับกลายเป็นภาพของหญิงสาวที่น่ารักประทับใจผู้มองยิ่งนัก“ใกล้ๆนี้มีหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีถ้ำที่ถูกเรียกว่า ถ้ำฝานจวื่อ ถ้ำแห่งนั้นเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าปิศาจจิ้งจอก ชาวบ้านก็ถูกระรานอยู่เนืองๆ นักพรตเดินทางไปปราบก็ถูกนางปิศาจ หูจิ้วเอ๋อ ซึ่งเป็นนางพญาแห่งถ้ำนั้นสังหารเสียสิ้น แลคนต่างเมืองก็มิกล้าสัญจรผ่านมา ชาวบ้านก็ไม่กล้าออกไป บ้านนี้เองนี้จึงว่าได้ว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน ด้อยพัฒนาเป็นอย่างยิ่ง ขอแม่นางน้อยให้อภัย หากลูกบ้านของข้าน้อยไร้มารยาท” หลี่จื้อตง กล่าวพร้อมกับยกจอกสุราคำนับขอโทษ ต๋าจีทำเป็นตกใจ ประคองมือทั้งสองของผู้ใหญ่บ้านและรับสุราจอกนั้นมา“ใต้เท้า อย่าได้กล่าวฉะนี้ ลูกบ้านทุกคนล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส น่ารักใคร่เป็นยิ่งนัก ข้าน้อยเสียอีกที่มิได้ทัศนา บ้านนี้เมืองนี้มาก่อน จึงไม่ประจักษ์ว่ามีบ้านที่งามพร้อมด้วยธรรมชาติ และผู้คนดังหมู่บ้านนี้”“แม่นางน้อยกล่าวเกินความจริงไปนัก แม้นกระนั้นข้าน้อยและลูกบ้านจักขอเลี้ยงดูปูเสื่อแม่นางน้อยตามอัตภาพ ขอแม่นาง ชมชื่นรื่นเริงให้เต็มที่เถิด”หลี่จื้อตงกล่าวเสร็จจึงเรียกให้ลูกบ้านขับโหมประโคมดนตรี เลี้ยงสรรพอาหารคาวหวานทั้งการแสดง เอาอกเอาใจแขกบ้านแขกเมืองเต็มที่ ก่อนจะชวนเชิญให้ต๋าจีดูการเต้นระบำขวัญข้าวหญิงสาวนับสิบคนที่จัดว่ารูปงามแต่งในชุดสีขาวมือหนึ่งถือรวงข้าวมือหนึ่งถือกระจาดเปล่าออกมา และเริ่มร่ายรำ ก่อนชายหนุ่มที่ถือกระบี่จะออกมาและเต้นรำเข้าจังหวะกับบรรดาหญิงเหล่านั้นเป็นคู่ๆกันไป“ช่างเป็นการแสดงอันวิจิตร ทั้งแฝงศิลปะทั้งความเชื่ออย่างประณีตลงตัวเสียยิ่งกระไร” ต๋าจีเอ่ยปากชม“แม่นางน้อยว่าแฝงด้วยศิลปะแลความเชื่อประการใด โปรดชี้แจงให้ข้าน้อยได้แจ้งด้วยปัญญาแห่งแม่นางเถิด”“ใต้เท้าหลี่ อย่าถ่อมตัวดังนี้เลย ข้าน้อยเพียงแค่ประทับใจในความแยบคายแห่งท่วงทำนองเท่านั้นเอง” ต๋าจีบอกและเอ่ยต่อเมื่อเห็นใบหน้าอิ่มเอิบแลใคร่รู้ของหลี่จื้อตง “ที่หญิงสาวถือรวงข้าว แต่มีกระจาดเปล่านั้นออกมาร่ายรำก่อนก็ประหนึ่งชาวบ้านที่ทำมาหากินแต่มิถนัดเต็มทีเพราะมีสิ่งรบกวน ดังกระจาดที่ว่างเปล่านั้น แลเมื่อมีชายหนุ่มที่ถือกระบี่ออกมาร่ายรำนั้นก็กล่าวถึงนักพรตที่มาช่วยทำให้ชาวเมืองสุขสมหวัง นี่คือสิ่งที่ข้าน้อยเข้าใจ หากผิดพลาดประการใด วอนใต้เท้าหลี่โปรดชี้แจงด้วย”“แม่นางน้อยกล่าวถูกต้องราวกับเทพยดาเข้าดลใจ เนื้อหาของการแสดงเป็นดังที่แม่นางกล่าวทุกประการ” หลี่จื้อตง กล่าวอย่างเบิกบานก่อนจะเชิญแม่นางน้อยกินโต๊ะต่อจนใกล้พลบ ต๋าจีจึงขอตัวกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่ตกแต่งใหม่ดูดีกว่าในตอนแรกอย่างมหาศาล “แหวะ” อี๋ มนุษย์กระเดือกของพรรค์นี้เข้าไปได้ยังไงยะเนี่ย“นายท่าน” แหมรู้ใจ อ่ะยื่นหน้าให้เช็ดซะหน่อย ต๊าย ดูหน้าตาซิ น่ารักจริงเชียว “ท่านต๋าจี เก่งมากขอรับที่กลั้นใจกินได้มากขนาดนั้น”“ขนาดครั้งแรกของข้านะเนี่ย”“นายท่านพูดราวกับจะมีครั้งต่อไป”ข้าได้พูดอย่างนั้นเหรอยะ“เอาล่ะ ได้เวลา มื้ออาหารที่แท้จริงซะที” น่าจะเลยยามสองไปแล้วนะเนี่ย มนุษย์หลับเป็นตายไปหมดแล้ว“ข้าไม่คิดว่านายท่านจะได้กินหรอกขอรับ” แน่ะ หางโผล่แล้วย่ะ หน็อย มาแกว่งหางดุ๊กดิ๊กๆอีก“ทำไมล่ะ แค่เทพพิทักษ์ประตูแค่นั้นข้าไม่ยี่หระหรอก” อะไรยะ ทำเป็นคิด“ข้าก็อธิบายไม่ถูก เชิญนายท่านไปดูด้วยตนเองเถอะขอรับ” นางปิศาจพร้อมกับลูกสมุนกลับมายังบ้านหลังเดิม ที่ปิดประตูแน่นหนา นางจิ้งจอกเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงกรนของผู้ชายและเสียงผ่อนหายใจยาวๆของผู้หญิงที่คงจะสลบไปด้วยความเหนื่อยอ่อนนางจิ้งจอกสะบัดมือทีหนึ่ง ภาพของเทพพิทักษ์ประตูก็หลุดออกและปลิวหายไป นางลองยื่นมือเข้าไปในตัวบ้าน แต่ก็ถูกไฟไหม้นิ้วนั้น นางจิ้งจอกชักนิ้วกลับไปพิจารณา เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดผางออกมาปรากฏภาพของผีผู้หญิงผมยาวปรกหน้าน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือด ที่ท้องผูกหินก้อนขนาดใหญ่ไว้ ยืนโงนเงนราวกับจะล้มมิล้มแหล่ แต่ยังคงจ้องนางปิศาจอย่างอาฆาตมาดร้าย“อะไรยะเนี่ย มีคนจ้องไว้ก่อนเหรอยะ” นางปิศาจกระซิบและหันไปมองจิ้งจอกหนุ่มผู้ติดตามซึ่งส่ายหน้าและบอกว่า“เปล่าเลยขอรับนายท่าน”“งั้น ยัยนี่คืออะไรล่ะ”“เป็นสิ่งที่ข้าก็อธิบายมิได้เช่นกันขอรับ”นางจิ้งจอกชายตามองผีตนนั้นที่จวนจะล้มแต่ยังคงจ้องนางมิวางตา นางจิ้งจอกนึกสนุกไล่สมุนกลับไปก่อนและมองดูผีตนนั้นเฝ้าทารกน้อยนางปิศาจคอยจนใกล้สว่าง ผีตนนั้นก็มิได้ไปไหน นางจึงเร้นกายและคงเฝ้ามองต่อไปพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ มองผีตนนั้นดิ้นรนปกป้องทารกต่อไป เลยถึงยามค่ำคืน นางปิศาจก็ปรากฏกายแล้วยิ้มเหยียดใส่ผีที่ล้มลงหมดแรงที่จะปกป้องทารกในยามที่ใกล้เที่ยงคืนนั้นเอง“เป็นอะไรไปล่ะ เจ้าผีชั้นต่ำ ข้าจะเข้าไปกินทารกแล้วนะยะ”แต่ทว่า มีร่างเลือนๆปรากฏขึ้น ผีผู้หญิงตนใหม่ที่มีหินผูกท้องไม่ต่างกับผีตนเดิมปรากฏและแผลงฤทธิ์ปกป้องทารกต่อแทนผีตนเดิมที่หมดแรงนั้น นางจิ้งจอกมองเหตุการณ์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ในตอนเที่ยงคืนตรงนั้นเองก็ปรากฏทหารหัววัวหัวม้าออกมาและตรงเข้าไปหาผีตนแรกที่นอนพะงาบๆอยู่“ลุกขึ้น เจ้าหมดหน้าที่แล้ว” ผีตนนั้นคุกเข่าคำนับและตรงเข้าไปลูบศีรษะทารกน้อยพร้อมกับร่ำไห้ปานจะขาดใจ ก่อนจะตามทหารหัววัวหัวม้านั้นไป ทารกร้องไห้เสียงจ้าเมื่อผีตนแรกนั้นจากไป แม่ที่เป็นคนก็วิ่งเข้ามาดูทารกที่ร้องไห้นั้นนางจิ้งจอกดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา