นางพญาปิศาจจิ้งจอก
8.0
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.
21 ตอน
11 วิจารณ์
29.49K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ตอนที่ 5 ให้กำเนิด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 5 ให้กำเนิด
ชีวิตของพระนางนั้นมีความสุขเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พระนางต้องการสิ่งใด ก็ต้องได้สิ่งนั้น คนทั้งนครสินธุต่างสรรเสริญและยินยอมพร้อมใจกันที่จะปรนนิบัติพระนางตาลจี เพราะคิดว่าพระนางนั้นทรงพระครรภ์ขององค์ศิวะ ผู้ที่จะเกิดมานั้นต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสากลโลกเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะยามตื่นหรือยามนอน พระนางก็จะได้รับการเอาอกเอาใจสารพัด พระนางรู้สึกพอพระทัยเป็นอันมาก แต่ที่พอพระทัยที่สุดเห็นจะเป็น ปานรูปสัตว์ที่เคยขดนอนอยู่ตรงสะเอวนั้นหายไป และก็ไม่เคยมีเสียงรบกวนใดๆในหัวของพระนางให้เป็นที่รำคาญใจอีก พระนางคิดว่าเมื่อมันได้เสพเนื้อของเครื่องเซ่นนั้นจึงเกิดความพึงพอใจและออกไปจากร่างของพระนางแล้วนั่นเอง
พระครรภ์ของพระนางก็โตวันโตคือและต้องลักษณะพระครรภ์ที่ดีคือ
หนึ่ง หน้าท้องมิลาย
สอง ทรงของครรภ์เป็นทรงกลม ไม่โย้หรือเอียงข้าง
สาม สะดืออยู่ใจกลางครรภ์พอดี
สี่ สีผิวหน้าท้องนวลเนียนเปล่งปลั่ง
ห้า ไม่เคยเจ็บพระครรภ์ หรือรู้สึกสบายในการทรงพระครรภ์
ด้วยลักษณะอันเป็น เบญจกัลยานี ดังนี้พระนางก็ยิ่งได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน หมอตรวจพระอาการอยู่ทุกวัน หมอตำแยติดตามพระวรกายไม่ห่าง
จนในที่สุดก็ครบกำหนดคลอด
ทั้งหมอหลวง หมอตำแยก็ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า วันรุ่งขึ้นยามเย็น จะเป็นเวลาประสูติ บรรดาพราหมณ์ต่างสรรเสริญเพราะยามเย็นนั้นเป็นเวลาที่พระนารายณ์ปางค์นรสิงห์ อวตารมาเพื่อปราบหิรัญยกศิปุ
ชาวนครสินธุต่างทิ้งบ้านเรือน เดินทางเข้ามาที่พระนครเพื่อรอชื่นชมราชบุตรแห่งนครสินธุ ต่างคนต่างผูกคาถาเจริญภาวนาองค์เทพต่างๆไม่ขาดปาก
ในตอนเที่ยงคืนนั้นเอง พระจันทร์ก็เปล่งประกายราวกับกลางวัน ดวงดาวร่วงหล่นจากฟ้าราวกับฝน ชาวนครสินธุต่างตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พราหมณ์เฒ่าผู้เดิมจึงร้องสรรเสริญว่า อันราชบุตรที่จะประสูติขึ้นมานั้นจะมีพระฤทธิ์มาก แม้นเปรียบกับพระจันทร์ที่มีแสงน้อย ก็จะเปล่งแสงราวกับดวงอาทิตย์เพราะมีฤทธิ์มาก อันดวงดาวที่ร่วงหล่นจากฟ้ามหาศาลนั้น คือบรรดาเทพเทวาที่ลงมาส่งเสด็จองค์เทพผู้เป็นใหญ่ ชาวเมืองได้ยินดังนั้นก็ยิ่งปลื้มปีติเป็นล้นพ้น
แล้วยามกลางวันก็มาถึงต่างเมืองก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ไม่ส่องแสงเมื่อเพ่งมองไปก็เห็นพระอาทิตย์ราวกับมืดบอดไป พราหมณ์ผู้เฒ่าก็ร้องอีกว่า นี่คือสุริยคราส อันพระอาทิตย์นั้นประดุจดังดวงเนตรดวงที่สามของพระศิวะที่แม้นลืมตามองเมื่อใดสามโลกก็จะไหม้เป็นจุล ดังนั้นพระศิวะจึงหลับตาสามตลอดเวลา การที่เกิดสุริยะคราสดังนี้เป็นเพราะบุญญาธิการของพระราชบุตรเป็นแน่
แล้วทั้งวันนั้นก็เกิดฝนตกทั้งๆที่แดดออกและไม่มีเมฆสักก้อน พราหมณ์ก็บอกว่า เราชาวนครจะได้รับการดูแลและปลดปล่อยจากบาปดังฝนที่เป็นน้ำทิพย์ชโลมใจดังนี้
เมื่อถึงยามเย็น ทั่วท้องฟ้าก็เป็นสีแดงฉานประดุจดั่งโลหิต หมู่ไก่ก็ตีปีกขัน หมู่สุนัขก็เห่าหอนขึ้นพร้อมกัน พราหมณ์ก็บอกอีกว่า ที่ฟ้าเป็นสีแดงนั้นเพราะตอนนี้สามโลกเปิดขึ้นเพราะรับรู้ถึงการประสูติราชบุตรนี้ ไก่ขันเพราะเห็นเทพ หมาหอนเพราะเห็นผี ราชบุตรที่จะประสูตินั้นจะเป็นผู้ช่วยรอดแก่ทั้งสามโลกเป็นอย่างแน่นอน
ชาวนครสินธุต่างซาบซึ้งในคำทำนายทุกคน -- ยกเว้นพระนางตาลจี
ไม่ว่าจะเป็นนิมิตแบบไหนก็ไม่เคยทำให้พระนางพอพระทัยเลย กลับกันพระนางยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเท่านั้น เหตุการณ์ที่ผิดธรรมชาติทั้งหมดนั้นดูจะเป็นสิ่งวิปริตผิดปกติไปเสียสิ้นสำหรับพระนาง
แต่ในที่สุดกำหนดคลอดก็มาถึง พระนางอยู่ในห้องบรรทม รู้สึกว่าในท้องนั้นดิ้น แต่ไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย พอหมอหลวงทราบก็ให้ดำเนินการคลอดทันที ชาวเมืองที่อยู่รอบนอกต่างตื่นเต้นยินดีและสวดมนต์กันขรม
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงหวีดร้องของพระนางดังราวแทบกับขาดใจ พวกหมอหลวงต่างวิ่งหนีกันออกมา พระเจ้าสินธุราชสิทธิ์และเจ้าชายสินธุราชกัณฑ์ เห็นดังนั้นจึงพากันวิ่งเช้าไปในห้องบรรทม
และก็พบพระนางตาลจีที่ท้องพองออกมาใหญ่โตราวกับอุ้มท้องทารกนับร้อยคน
“ท่านพราหมณ์ นี่เกิดอะไรขึ้น” สินธุราชกัณฑ์ถามอย่างร้อนรน
แต่พราหมณ์เฒ่าไม่ตอบ กลับถอดร่างเหี่ยวยับออกและเนรมิตกายใหญ่โตเป็นนาคเจ็ดเศียรขนดตัวล้อมพระนครไว้ ชาวนครสินธุทั้งหมดอยู่ในวงล้อมของพญานาคนั้น ต่างก็ร้องเสียงหลงเพราะไม่รู้จะหาทางออกประการใด บรรดาพราหมณ์ อื่นๆต่างวิ่งหนีบ้าง เหาะหนีบ้างก็โดนเศียรของพญานาคฉกกิน แล้วพญานาคก็ยื่นเศียรหนึ่งเข้ามาในพระราชวัง
“ขอบพระทัยที่ทรงโง่เง่า เชื่อคำโป้ปดข้าพระองค์ซะหมดอย่างนี้ ข้าพระองค์คงอิ่มไปหลายวันทีเดียว” แล้วหัวนั้นก็หัวเราะดังลั่นจนราชวังสั่นสะเทือน
พระนางตาลจีร้องกรี๊ดอีกครั้งก่อนท้องจะถูกแหวะออกมา
นางจิ้งจอกครึ่งมนุษย์เดินออกมาจากพระครรภ์ เลือดแดงฉานชโลมผิวที่เปลือยนั้นทุกสัดส่วน หางทั้งเจ็ดกวัดแกว่งตวัดดิ้นไปมา
“จะ -- เจ้า” พระนางตาลจีมองนางจิ้งจอกตาถลน
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
นางจิ้งจอกส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นไปทั่ว ดังเสียยิ่งกว่าเสียงร้องระงมของชาวเมือง ดังจนทำให้ทุกคนสลบไม่ได้สติไปทั้งมวล ยกเว้นพระนางตาลจีและสินธุราชกัณฑ์
“หนวกหู นางบ้า เอ็งจะส่งเสียงดังหาอะไร” เศียรของนาคนั้นคำรามตอบ
“อ้าว เจ้างูเขียวนี่เอง”
“อ้าว แกมันจิ้งจอกหินตัวนั้นไม่ใช่เหรอ”
“เพราะเจ้าเลยนะยะ ทำเอาข้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาตั้งหลายปี” นางจิ้งจอกส่ายหางไปมา
“อะไร จะสู้กันเหรอ” พญานาคขู่ฟ่อ
“เปล่า ขอบใจต่างหากย่ะ อยู่เป็นหมาขาหินแบบนั้นข้าเบื่อออออออออออออออ จะแย่” นางจิ้งจอกหยิบหางที่เปื้อนเลือดมาเลียทำความสะอาด “ว่าแต่ -- เจ้าใช่ไหมยะ ที่ล้วงตับไตไส้พุงของพระเจ้าสันติอะไรนั่นกิน” นางจิ้งจอกหันขวับไปมองพญานาค
“เออ ใช่ โทษทีละกัน ทำเจ้าเดือดร้อนนะ”
“แล้วเจ้ากำลังจะทำอะไรนี่ยะ” นางจิ้งจอกเอาหางเปื้อนเลือดชี้ไปทั่วบริเวณนั้น
“บอกไว้ก่อนนะว่า นี่มันเหยื่อของข้าทั้งหมด” เศียรทั้งหกด้านนอกรีบฉกกินมนุษย์ที่นอนสลบอย่างรีบร้อน
“ไม่แย่งหรอกย่ะ แต่ข้าเคยได้ยินว่าพวกที่มีหัวเยอะๆอย่างเจ้าต้องบำเพ็ญศีลไม่ใช่เหรอยะ”
“เออ แต่นี่วิธีลัดโว้ย เสพไอบุญของมนุษย์มากๆเข้าใช้เวลาน้อยกว่าเยอะเลย แต่ก็ต้องระวังพวกที่มาตามล่าน่ะนะ”
“งั้นข้าขอเวลาสำหรับครอบครัวกับมนุษย์สักคนได้ไหมล่ะ” พญานาคมีสีหน้าไม่พอใจ “แลกกับที่เจ้าทำข้าเดือดร้อนนะยะ”
“เออๆ คนเดียวนะโว้ย”
เชอะ ขี้เหนียวเป็นบ้า เจ้างูเขียวนี่ แต่ช่างมันเถอะ ไหนดูซิ
“ว่าไงจ๊ะ พระนางตาลจี” ข้าขดหางและนั่งลงข้างๆ นางที่ข้าแอบอยู่ในร่างมานานนม “ขอโทษนะ พอดีว่าลูกของเจ้ามันน่าอร่อย จนข้าอดใจไม่ไหว” ข้าพยายามทำหน้าสำนึกผิด แต่ทำยังไงยะ ทำไม่เป็น ฮิ ฮิ
“จะ – เจ้า” อู้ววววว เลือดกบปาก อุตส่าห์พะงาบๆพูดมาได้
“แหม ก็ข้าก็เลยมาเป็นลูกของเจ้าแทนไง ไม่ดีใจเหรอ” ต๊าย ทำตาถลน แน่ะทำเป็นจ้อง
“ตายแล้ว งั้นข้าก็ต้องเจ้าว่าแม่สิเนี่ย” ข้าทำเป็นเขินอายด้วยการบิดเนื้อที่ฉ่ำเลือดของแม่ข้าเล่น ต๊าย น้ำตาคลอ อย่างนี้เรียกว่าความสุขล่ะสิ ก็แม่สอนข้ามาอย่างนี้นี่นา ฮิ ฮิ ฮิ
“เอ เวลาแสดงความรักต้องหอมแก้มกันใช่ไหมยะ” ข้าหันไปหาพ่อข้าที่นั่งตัวสั่นแต่กุมมือแม่ข้าอยู่ “ก็ข้าได้ยินว่าถ้าข้าเกิดมาจะหอมแก้มข้านี่ยะ เอ้า” ข้ายื่นแก้มที่เปื้อนเลือดให้ พ่อข้าก้มหมอบลง อะไรยะ แบบนี้เรียกว่าเขินรึเปล่า
“อ๊ะ งั้นข้าหอมเองก็ได้” แล้วข้าก็ก้มลงเอาปากแตะที่แก้มของแม่ข้า อู๊ยยยยย แก้มหอมมาก
แคว่กกก
ตายแล้วนี่ข้าเผลอกัดจนได้ ฉีกหนังออกมาซีกนึงเลย
แคว่กกกกก
ไหนๆก็ไหนๆ ฉีกข้ามมาอีกฝากละกัน ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
ว้ายยยยย ตอนแก้มของแม่ข้า ถูกกัดและฉีกออกเป็นรอยยาวพาดไปยังแก้มอีกด้าน เลือดอาบอย่างนี้สวยน่าดูเลยนะเนี่ย ข้าก้มลงเลียเลือดแผล่บๆ แหม อร่อยใช่เล่นนะยะ
“เอ้า พ่อ มานี่สิยะ” ข้าหอมแก้มแม่จนทั่วใบหน้าและปล่อยให้นอนตัวสั่นไป แล้วกระชากแขนพ่อให้ลุกขึ้น
ปึด
“อ๊ากกกกกกกกกก” อ้าว ขาดเลย
“เฮ้ยๆ เจ้าจะเอาเหยี่อข้าไปไหน ไหนบอกจะเอาแค่ตัวเดียวไง” เจ้างูเขียวร้องบอก
“ก็ข้าได้บอกรึยังยะ ว่าจะเอาคนไหน” ข้าหัวเราะแล้วให้หางพันตัวพ่อ ก่อนจะบินขึ้นฟ้า
“ข้าจำได้ว่า พ่อชอบเมฆใช่ไหมล่ะยะ เดี๋ยวข้าจะพาไปแตะ ดีไหม” อู๊ยยยยย อย่าดิ้นสิยะ
“เอ้า นั่งดีๆสิยะ” อ้าว เอาแขนจับให้พ่อข้าตั้งตรงๆ เออ นั่งตรงแล้ว แต่เอ๊ะมองอะไรอยู่น่ะ
ข้าก้มลงมองตามพ่อข้าที่มองมาตรงหน้าอกของข้า เลยไปยังท้องและขาของข้า
“อ๋อ อยากทำเหมือนตอนอยู่กับแม่ล่ะสิ” เพิ่งถึงบางอ้อนะเนี่ย “เอ้า รักๆๆๆ” ชอบพูดคำนี้ใช่ไหมยะ ข้าจำได้
กร๊อบ!! เป๊าะ!! กร๊อบ!! กร๊อบ!! กร๊อบ!! กร๊อบ!!
“อ้าว ตายซะแล้วเหรอยะ” อะไรกันยะข้าก็ทำเหมือนๆกับตอนที่พวกเจ้าทำนี่นา ทำไมเนื้อตัวแหลกเหลวเป๋วอย่างนี้ล่ะเนี่ย
ข้าลอยลงมาหาเจ้างูเขียวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินคนอยู่
“เอ้า เจ้างูเขียว กินพ่อข้าไหม” เจ้างูเขียวฉกไปทั้งแขนของข้า ข้าดึงแขนออกมา อี๊!! ขยะแขยง
“ทำไมเจ้าไม่กินล่ะ”
“แล้วทำไมต้องกินล่ะ”
“ก็หลายๆอย่าง ประทังความหิว หรือไม่ก็เพิ่มพลัง” เจ้างูเขียวกินต่อไปสักพักและมองข้าที่เดินไปส่ายหางดุ๊กดิ๊กไปหาแม่ “แล้วเจ้าเอาเจ้าชายไปทำอะไร กระดูกกระเดี้ยวแหลกหมดเลย”
“กอด” ล่ะมั้ง
“เจ้านี่มัน – เออ เจ้าคงไม่เข้าใจมนุษย์ล่ะสิ จะบอกอะไรให้ ถ้าเจ้าอยากรู้ความคิดของมนุษย์ก็กินสมองของมันสิ จะได้รู้ว่ามันมีอะไรหมายความว่าไงบ้าง”
“งั้นข้ากินแม่ข้าได้ไหม” ข้าถามพลางใช้หางฟูๆชี้ไปที่แม่ข้าที่นอนอยู่
“มันตายรึยังล่ะ ถ้าตายแล้วกินก็ไม่มีประโยชน์”
ข้ามองใบหน้าที่ฉ่ำเลือดของแม่ข้า “อืม แม่ข้ายังหายใจอยู่เลย” ข้าอ้าปากกว้างและกลืนแม่เข้าไปทั้งอย่างนั้น
สักพักอะไรมันๆก็ซ่านไปทั่วท้องและไหลขึ้นมาบนหัวของข้า
“ต๊ายยยยย ที่แท้ข้าคงใส่แรงเยอะไปล่ะสิเนี่ย” โถๆ ก็ข้าไม่รู้นี่นา ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
“เจ้ามันเพิ่งเกิดใหม่ ไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก” เจ้างูเขียวที่กินหมดแล้วแปลงร่างเป็นชายหนุ่มมานอนลงที่เตียง ตีพุงและเลียปาก
น่าเกลียดจริงเชียว
“อิ่มแล้วเหรอยะ” ข้าถามและนั่งลงบนขนหางฟูๆของข้า
“เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ กินสมองมนุษย์มากๆก็รู้เองแหละ” ทีตัวเองยังแบ่งให้ข้าแต่ตัวเดียวเองนะยะ
“ข้าต้องเรียนรู้เพื่ออะไรล่ะยะ”
“มนุษย์มันก็โง่งมงาย ควรจะเป็นอาหารให้เราก็จริง แต่มนุษย์มันก็มีบางทีที่จะมีเทพใช้ร่างกายมนุษย์เพื่อฆ่าเราไงล่ะ ถ้าเรากินมากเกินไป”
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่มาฆ่าเราล่ะยะ”
“ก็ให้เราฆ่ามนุษย์ก่อนน่ะสิ”
“แล้วให้ฆ่าไปทำไมล่ะยะ”
“เจ้าเนี่ยนะ – เอ้า ลองคิดดู ถ้าในป่า มันมีแต่สัตว์กินพืช จะเป็นยังไง”
“พืชก็หมดป่า”
“ใช่ แล้วทีนี้ก็ต้องมีการควบคุมไม่ให้สัตว์กินพืชมันเยอะเกินไปใช่ไหม ก็ต้องมีสัตว์กินเนื้อ แต่ถ้าสัตว์กินเนื้อมีมากไปมันก็ต้องโดนกำจัดจริงไหมล่ะ เพราะฉะนั้นต้องกินอยู่อย่างฉลาดถึงจะปลอดภัย เจ้าเข้าใจไหม”
“ไม่เข้าใจย่ะ” พูดอะไรวกวนเยิ่นเย้อ อยู่ได้น่ารำคาญ
“เออ สรุปก็คือถ้าไม่อยากตายก็อย่ากินมนุษย์มากแล้วก็อย่าทำตัวเด่น เข้าใจไหม”
“ตายคืออะไร”
“ก็ไม่มีชีวิตอยู่ไง ไม่ได้กิน ไม่ได้เที่ยว ไม่ได้เล่น ไม่ได้สนุก ประมาณนั้นแหละ”
“อ๋อ” ต้องงี้สิยะ เข้าใจง่ายกว่าเยอะ “เลยต้องกิน พอแค่ประทังชีวิตใช่ไหมยะ”
“เออ ฉลาด” ต๊าย ไม่สุภาพเลยนะยะ “แล้วเจ้าจะไปไหนต่อ”
“ไม่รู้สิ คงไปเรื่อยๆมั้ง หาอะไรสนุกๆทำ”
“ถ้าคิดจะปลอมตัวล่ะก็ เจ้าหาอะไรใส่ให้เหมือนมนุษย์ซะ แล้วก็ต้องมีชื่อด้วย”
“งั้นข้าชื่อ ตาลจีเนี่ยแหละ” ข้าเลียขนหาง “ชื่อแม่ข้าเอง เพราะไหม”
“เรื่องของเจ้า” เจ้างูเขียวผงกหัว “คราวหน้าถ้าเจอกันเรียกข้าว่า ชเตสิญย์ ละกัน”
“ทำไมข้าต้องเจอเจ้าด้วยยะ” ข้าหันไปมองเจ้างูเขียวที่ยิ้มกะลิ้มกะเลี่ย
“แหม จะว่าข้ากินมนุษย์มากไปก็ไม่แปลกหรอก เลยทำให้ข้ามีความอยากแบบมนุษย์เลย” ต๊ายยยยยย ทำตัวน่าเกลียดอีกแล้ว
“เจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกมนุษย์สืบพันธุ์กันยังไง” เจ้างูเขียวเดินเข้ามาจูงมือข้า “ลองดูไหมล่ะ”
อุ๊ยต๊ายตาย พูดจาซะน่าเกลียดเชียว ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
เสียงสุนัขเห่าหอนไปทั่วชมพูทวีป ในยามเย็นจนถึงสว่าง ชาวชมพูทวีปได้ยินเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ดังกึกก้องทั่วทวีป เกิดภัยพิบัติต่างๆทั่วชมพูทวีปหลายประการ ผู้คนล้มตายเป็นเบือ ซากศพกองรวมกันได้เป็นภูเขา
ว่ากันว่าภัยพิบัตินั้น เป็นเพราะเสียงหัวเราะของปิศาจหญิงและชายที่หัวเราะดังกึกก้องในราตรีนั้น
นี่เป็นภัยพิบัติครั้งแรกของนางจิ้งจอกที่นำมาสู่โลกมนุษย์ แม้จะเพิ่งเกิดแค่วันเดียวก็ตาม
ชีวิตของพระนางนั้นมีความสุขเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พระนางต้องการสิ่งใด ก็ต้องได้สิ่งนั้น คนทั้งนครสินธุต่างสรรเสริญและยินยอมพร้อมใจกันที่จะปรนนิบัติพระนางตาลจี เพราะคิดว่าพระนางนั้นทรงพระครรภ์ขององค์ศิวะ ผู้ที่จะเกิดมานั้นต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสากลโลกเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะยามตื่นหรือยามนอน พระนางก็จะได้รับการเอาอกเอาใจสารพัด พระนางรู้สึกพอพระทัยเป็นอันมาก แต่ที่พอพระทัยที่สุดเห็นจะเป็น ปานรูปสัตว์ที่เคยขดนอนอยู่ตรงสะเอวนั้นหายไป และก็ไม่เคยมีเสียงรบกวนใดๆในหัวของพระนางให้เป็นที่รำคาญใจอีก พระนางคิดว่าเมื่อมันได้เสพเนื้อของเครื่องเซ่นนั้นจึงเกิดความพึงพอใจและออกไปจากร่างของพระนางแล้วนั่นเอง
พระครรภ์ของพระนางก็โตวันโตคือและต้องลักษณะพระครรภ์ที่ดีคือ
หนึ่ง หน้าท้องมิลาย
สอง ทรงของครรภ์เป็นทรงกลม ไม่โย้หรือเอียงข้าง
สาม สะดืออยู่ใจกลางครรภ์พอดี
สี่ สีผิวหน้าท้องนวลเนียนเปล่งปลั่ง
ห้า ไม่เคยเจ็บพระครรภ์ หรือรู้สึกสบายในการทรงพระครรภ์
ด้วยลักษณะอันเป็น เบญจกัลยานี ดังนี้พระนางก็ยิ่งได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน หมอตรวจพระอาการอยู่ทุกวัน หมอตำแยติดตามพระวรกายไม่ห่าง
จนในที่สุดก็ครบกำหนดคลอด
ทั้งหมอหลวง หมอตำแยก็ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า วันรุ่งขึ้นยามเย็น จะเป็นเวลาประสูติ บรรดาพราหมณ์ต่างสรรเสริญเพราะยามเย็นนั้นเป็นเวลาที่พระนารายณ์ปางค์นรสิงห์ อวตารมาเพื่อปราบหิรัญยกศิปุ
ชาวนครสินธุต่างทิ้งบ้านเรือน เดินทางเข้ามาที่พระนครเพื่อรอชื่นชมราชบุตรแห่งนครสินธุ ต่างคนต่างผูกคาถาเจริญภาวนาองค์เทพต่างๆไม่ขาดปาก
ในตอนเที่ยงคืนนั้นเอง พระจันทร์ก็เปล่งประกายราวกับกลางวัน ดวงดาวร่วงหล่นจากฟ้าราวกับฝน ชาวนครสินธุต่างตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พราหมณ์เฒ่าผู้เดิมจึงร้องสรรเสริญว่า อันราชบุตรที่จะประสูติขึ้นมานั้นจะมีพระฤทธิ์มาก แม้นเปรียบกับพระจันทร์ที่มีแสงน้อย ก็จะเปล่งแสงราวกับดวงอาทิตย์เพราะมีฤทธิ์มาก อันดวงดาวที่ร่วงหล่นจากฟ้ามหาศาลนั้น คือบรรดาเทพเทวาที่ลงมาส่งเสด็จองค์เทพผู้เป็นใหญ่ ชาวเมืองได้ยินดังนั้นก็ยิ่งปลื้มปีติเป็นล้นพ้น
แล้วยามกลางวันก็มาถึงต่างเมืองก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ไม่ส่องแสงเมื่อเพ่งมองไปก็เห็นพระอาทิตย์ราวกับมืดบอดไป พราหมณ์ผู้เฒ่าก็ร้องอีกว่า นี่คือสุริยคราส อันพระอาทิตย์นั้นประดุจดังดวงเนตรดวงที่สามของพระศิวะที่แม้นลืมตามองเมื่อใดสามโลกก็จะไหม้เป็นจุล ดังนั้นพระศิวะจึงหลับตาสามตลอดเวลา การที่เกิดสุริยะคราสดังนี้เป็นเพราะบุญญาธิการของพระราชบุตรเป็นแน่
แล้วทั้งวันนั้นก็เกิดฝนตกทั้งๆที่แดดออกและไม่มีเมฆสักก้อน พราหมณ์ก็บอกว่า เราชาวนครจะได้รับการดูแลและปลดปล่อยจากบาปดังฝนที่เป็นน้ำทิพย์ชโลมใจดังนี้
เมื่อถึงยามเย็น ทั่วท้องฟ้าก็เป็นสีแดงฉานประดุจดั่งโลหิต หมู่ไก่ก็ตีปีกขัน หมู่สุนัขก็เห่าหอนขึ้นพร้อมกัน พราหมณ์ก็บอกอีกว่า ที่ฟ้าเป็นสีแดงนั้นเพราะตอนนี้สามโลกเปิดขึ้นเพราะรับรู้ถึงการประสูติราชบุตรนี้ ไก่ขันเพราะเห็นเทพ หมาหอนเพราะเห็นผี ราชบุตรที่จะประสูตินั้นจะเป็นผู้ช่วยรอดแก่ทั้งสามโลกเป็นอย่างแน่นอน
ชาวนครสินธุต่างซาบซึ้งในคำทำนายทุกคน -- ยกเว้นพระนางตาลจี
ไม่ว่าจะเป็นนิมิตแบบไหนก็ไม่เคยทำให้พระนางพอพระทัยเลย กลับกันพระนางยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเท่านั้น เหตุการณ์ที่ผิดธรรมชาติทั้งหมดนั้นดูจะเป็นสิ่งวิปริตผิดปกติไปเสียสิ้นสำหรับพระนาง
แต่ในที่สุดกำหนดคลอดก็มาถึง พระนางอยู่ในห้องบรรทม รู้สึกว่าในท้องนั้นดิ้น แต่ไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย พอหมอหลวงทราบก็ให้ดำเนินการคลอดทันที ชาวเมืองที่อยู่รอบนอกต่างตื่นเต้นยินดีและสวดมนต์กันขรม
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงหวีดร้องของพระนางดังราวแทบกับขาดใจ พวกหมอหลวงต่างวิ่งหนีกันออกมา พระเจ้าสินธุราชสิทธิ์และเจ้าชายสินธุราชกัณฑ์ เห็นดังนั้นจึงพากันวิ่งเช้าไปในห้องบรรทม
และก็พบพระนางตาลจีที่ท้องพองออกมาใหญ่โตราวกับอุ้มท้องทารกนับร้อยคน
“ท่านพราหมณ์ นี่เกิดอะไรขึ้น” สินธุราชกัณฑ์ถามอย่างร้อนรน
แต่พราหมณ์เฒ่าไม่ตอบ กลับถอดร่างเหี่ยวยับออกและเนรมิตกายใหญ่โตเป็นนาคเจ็ดเศียรขนดตัวล้อมพระนครไว้ ชาวนครสินธุทั้งหมดอยู่ในวงล้อมของพญานาคนั้น ต่างก็ร้องเสียงหลงเพราะไม่รู้จะหาทางออกประการใด บรรดาพราหมณ์ อื่นๆต่างวิ่งหนีบ้าง เหาะหนีบ้างก็โดนเศียรของพญานาคฉกกิน แล้วพญานาคก็ยื่นเศียรหนึ่งเข้ามาในพระราชวัง
“ขอบพระทัยที่ทรงโง่เง่า เชื่อคำโป้ปดข้าพระองค์ซะหมดอย่างนี้ ข้าพระองค์คงอิ่มไปหลายวันทีเดียว” แล้วหัวนั้นก็หัวเราะดังลั่นจนราชวังสั่นสะเทือน
พระนางตาลจีร้องกรี๊ดอีกครั้งก่อนท้องจะถูกแหวะออกมา
นางจิ้งจอกครึ่งมนุษย์เดินออกมาจากพระครรภ์ เลือดแดงฉานชโลมผิวที่เปลือยนั้นทุกสัดส่วน หางทั้งเจ็ดกวัดแกว่งตวัดดิ้นไปมา
“จะ -- เจ้า” พระนางตาลจีมองนางจิ้งจอกตาถลน
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
นางจิ้งจอกส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นไปทั่ว ดังเสียยิ่งกว่าเสียงร้องระงมของชาวเมือง ดังจนทำให้ทุกคนสลบไม่ได้สติไปทั้งมวล ยกเว้นพระนางตาลจีและสินธุราชกัณฑ์
“หนวกหู นางบ้า เอ็งจะส่งเสียงดังหาอะไร” เศียรของนาคนั้นคำรามตอบ
“อ้าว เจ้างูเขียวนี่เอง”
“อ้าว แกมันจิ้งจอกหินตัวนั้นไม่ใช่เหรอ”
“เพราะเจ้าเลยนะยะ ทำเอาข้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาตั้งหลายปี” นางจิ้งจอกส่ายหางไปมา
“อะไร จะสู้กันเหรอ” พญานาคขู่ฟ่อ
“เปล่า ขอบใจต่างหากย่ะ อยู่เป็นหมาขาหินแบบนั้นข้าเบื่อออออออออออออออ จะแย่” นางจิ้งจอกหยิบหางที่เปื้อนเลือดมาเลียทำความสะอาด “ว่าแต่ -- เจ้าใช่ไหมยะ ที่ล้วงตับไตไส้พุงของพระเจ้าสันติอะไรนั่นกิน” นางจิ้งจอกหันขวับไปมองพญานาค
“เออ ใช่ โทษทีละกัน ทำเจ้าเดือดร้อนนะ”
“แล้วเจ้ากำลังจะทำอะไรนี่ยะ” นางจิ้งจอกเอาหางเปื้อนเลือดชี้ไปทั่วบริเวณนั้น
“บอกไว้ก่อนนะว่า นี่มันเหยื่อของข้าทั้งหมด” เศียรทั้งหกด้านนอกรีบฉกกินมนุษย์ที่นอนสลบอย่างรีบร้อน
“ไม่แย่งหรอกย่ะ แต่ข้าเคยได้ยินว่าพวกที่มีหัวเยอะๆอย่างเจ้าต้องบำเพ็ญศีลไม่ใช่เหรอยะ”
“เออ แต่นี่วิธีลัดโว้ย เสพไอบุญของมนุษย์มากๆเข้าใช้เวลาน้อยกว่าเยอะเลย แต่ก็ต้องระวังพวกที่มาตามล่าน่ะนะ”
“งั้นข้าขอเวลาสำหรับครอบครัวกับมนุษย์สักคนได้ไหมล่ะ” พญานาคมีสีหน้าไม่พอใจ “แลกกับที่เจ้าทำข้าเดือดร้อนนะยะ”
“เออๆ คนเดียวนะโว้ย”
เชอะ ขี้เหนียวเป็นบ้า เจ้างูเขียวนี่ แต่ช่างมันเถอะ ไหนดูซิ
“ว่าไงจ๊ะ พระนางตาลจี” ข้าขดหางและนั่งลงข้างๆ นางที่ข้าแอบอยู่ในร่างมานานนม “ขอโทษนะ พอดีว่าลูกของเจ้ามันน่าอร่อย จนข้าอดใจไม่ไหว” ข้าพยายามทำหน้าสำนึกผิด แต่ทำยังไงยะ ทำไม่เป็น ฮิ ฮิ
“จะ – เจ้า” อู้ววววว เลือดกบปาก อุตส่าห์พะงาบๆพูดมาได้
“แหม ก็ข้าก็เลยมาเป็นลูกของเจ้าแทนไง ไม่ดีใจเหรอ” ต๊าย ทำตาถลน แน่ะทำเป็นจ้อง
“ตายแล้ว งั้นข้าก็ต้องเจ้าว่าแม่สิเนี่ย” ข้าทำเป็นเขินอายด้วยการบิดเนื้อที่ฉ่ำเลือดของแม่ข้าเล่น ต๊าย น้ำตาคลอ อย่างนี้เรียกว่าความสุขล่ะสิ ก็แม่สอนข้ามาอย่างนี้นี่นา ฮิ ฮิ ฮิ
“เอ เวลาแสดงความรักต้องหอมแก้มกันใช่ไหมยะ” ข้าหันไปหาพ่อข้าที่นั่งตัวสั่นแต่กุมมือแม่ข้าอยู่ “ก็ข้าได้ยินว่าถ้าข้าเกิดมาจะหอมแก้มข้านี่ยะ เอ้า” ข้ายื่นแก้มที่เปื้อนเลือดให้ พ่อข้าก้มหมอบลง อะไรยะ แบบนี้เรียกว่าเขินรึเปล่า
“อ๊ะ งั้นข้าหอมเองก็ได้” แล้วข้าก็ก้มลงเอาปากแตะที่แก้มของแม่ข้า อู๊ยยยยย แก้มหอมมาก
แคว่กกก
ตายแล้วนี่ข้าเผลอกัดจนได้ ฉีกหนังออกมาซีกนึงเลย
แคว่กกกกก
ไหนๆก็ไหนๆ ฉีกข้ามมาอีกฝากละกัน ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
ว้ายยยยย ตอนแก้มของแม่ข้า ถูกกัดและฉีกออกเป็นรอยยาวพาดไปยังแก้มอีกด้าน เลือดอาบอย่างนี้สวยน่าดูเลยนะเนี่ย ข้าก้มลงเลียเลือดแผล่บๆ แหม อร่อยใช่เล่นนะยะ
“เอ้า พ่อ มานี่สิยะ” ข้าหอมแก้มแม่จนทั่วใบหน้าและปล่อยให้นอนตัวสั่นไป แล้วกระชากแขนพ่อให้ลุกขึ้น
ปึด
“อ๊ากกกกกกกกกก” อ้าว ขาดเลย
“เฮ้ยๆ เจ้าจะเอาเหยี่อข้าไปไหน ไหนบอกจะเอาแค่ตัวเดียวไง” เจ้างูเขียวร้องบอก
“ก็ข้าได้บอกรึยังยะ ว่าจะเอาคนไหน” ข้าหัวเราะแล้วให้หางพันตัวพ่อ ก่อนจะบินขึ้นฟ้า
“ข้าจำได้ว่า พ่อชอบเมฆใช่ไหมล่ะยะ เดี๋ยวข้าจะพาไปแตะ ดีไหม” อู๊ยยยยย อย่าดิ้นสิยะ
“เอ้า นั่งดีๆสิยะ” อ้าว เอาแขนจับให้พ่อข้าตั้งตรงๆ เออ นั่งตรงแล้ว แต่เอ๊ะมองอะไรอยู่น่ะ
ข้าก้มลงมองตามพ่อข้าที่มองมาตรงหน้าอกของข้า เลยไปยังท้องและขาของข้า
“อ๋อ อยากทำเหมือนตอนอยู่กับแม่ล่ะสิ” เพิ่งถึงบางอ้อนะเนี่ย “เอ้า รักๆๆๆ” ชอบพูดคำนี้ใช่ไหมยะ ข้าจำได้
กร๊อบ!! เป๊าะ!! กร๊อบ!! กร๊อบ!! กร๊อบ!! กร๊อบ!!
“อ้าว ตายซะแล้วเหรอยะ” อะไรกันยะข้าก็ทำเหมือนๆกับตอนที่พวกเจ้าทำนี่นา ทำไมเนื้อตัวแหลกเหลวเป๋วอย่างนี้ล่ะเนี่ย
ข้าลอยลงมาหาเจ้างูเขียวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินคนอยู่
“เอ้า เจ้างูเขียว กินพ่อข้าไหม” เจ้างูเขียวฉกไปทั้งแขนของข้า ข้าดึงแขนออกมา อี๊!! ขยะแขยง
“ทำไมเจ้าไม่กินล่ะ”
“แล้วทำไมต้องกินล่ะ”
“ก็หลายๆอย่าง ประทังความหิว หรือไม่ก็เพิ่มพลัง” เจ้างูเขียวกินต่อไปสักพักและมองข้าที่เดินไปส่ายหางดุ๊กดิ๊กไปหาแม่ “แล้วเจ้าเอาเจ้าชายไปทำอะไร กระดูกกระเดี้ยวแหลกหมดเลย”
“กอด” ล่ะมั้ง
“เจ้านี่มัน – เออ เจ้าคงไม่เข้าใจมนุษย์ล่ะสิ จะบอกอะไรให้ ถ้าเจ้าอยากรู้ความคิดของมนุษย์ก็กินสมองของมันสิ จะได้รู้ว่ามันมีอะไรหมายความว่าไงบ้าง”
“งั้นข้ากินแม่ข้าได้ไหม” ข้าถามพลางใช้หางฟูๆชี้ไปที่แม่ข้าที่นอนอยู่
“มันตายรึยังล่ะ ถ้าตายแล้วกินก็ไม่มีประโยชน์”
ข้ามองใบหน้าที่ฉ่ำเลือดของแม่ข้า “อืม แม่ข้ายังหายใจอยู่เลย” ข้าอ้าปากกว้างและกลืนแม่เข้าไปทั้งอย่างนั้น
สักพักอะไรมันๆก็ซ่านไปทั่วท้องและไหลขึ้นมาบนหัวของข้า
“ต๊ายยยยย ที่แท้ข้าคงใส่แรงเยอะไปล่ะสิเนี่ย” โถๆ ก็ข้าไม่รู้นี่นา ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
“เจ้ามันเพิ่งเกิดใหม่ ไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก” เจ้างูเขียวที่กินหมดแล้วแปลงร่างเป็นชายหนุ่มมานอนลงที่เตียง ตีพุงและเลียปาก
น่าเกลียดจริงเชียว
“อิ่มแล้วเหรอยะ” ข้าถามและนั่งลงบนขนหางฟูๆของข้า
“เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ กินสมองมนุษย์มากๆก็รู้เองแหละ” ทีตัวเองยังแบ่งให้ข้าแต่ตัวเดียวเองนะยะ
“ข้าต้องเรียนรู้เพื่ออะไรล่ะยะ”
“มนุษย์มันก็โง่งมงาย ควรจะเป็นอาหารให้เราก็จริง แต่มนุษย์มันก็มีบางทีที่จะมีเทพใช้ร่างกายมนุษย์เพื่อฆ่าเราไงล่ะ ถ้าเรากินมากเกินไป”
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่มาฆ่าเราล่ะยะ”
“ก็ให้เราฆ่ามนุษย์ก่อนน่ะสิ”
“แล้วให้ฆ่าไปทำไมล่ะยะ”
“เจ้าเนี่ยนะ – เอ้า ลองคิดดู ถ้าในป่า มันมีแต่สัตว์กินพืช จะเป็นยังไง”
“พืชก็หมดป่า”
“ใช่ แล้วทีนี้ก็ต้องมีการควบคุมไม่ให้สัตว์กินพืชมันเยอะเกินไปใช่ไหม ก็ต้องมีสัตว์กินเนื้อ แต่ถ้าสัตว์กินเนื้อมีมากไปมันก็ต้องโดนกำจัดจริงไหมล่ะ เพราะฉะนั้นต้องกินอยู่อย่างฉลาดถึงจะปลอดภัย เจ้าเข้าใจไหม”
“ไม่เข้าใจย่ะ” พูดอะไรวกวนเยิ่นเย้อ อยู่ได้น่ารำคาญ
“เออ สรุปก็คือถ้าไม่อยากตายก็อย่ากินมนุษย์มากแล้วก็อย่าทำตัวเด่น เข้าใจไหม”
“ตายคืออะไร”
“ก็ไม่มีชีวิตอยู่ไง ไม่ได้กิน ไม่ได้เที่ยว ไม่ได้เล่น ไม่ได้สนุก ประมาณนั้นแหละ”
“อ๋อ” ต้องงี้สิยะ เข้าใจง่ายกว่าเยอะ “เลยต้องกิน พอแค่ประทังชีวิตใช่ไหมยะ”
“เออ ฉลาด” ต๊าย ไม่สุภาพเลยนะยะ “แล้วเจ้าจะไปไหนต่อ”
“ไม่รู้สิ คงไปเรื่อยๆมั้ง หาอะไรสนุกๆทำ”
“ถ้าคิดจะปลอมตัวล่ะก็ เจ้าหาอะไรใส่ให้เหมือนมนุษย์ซะ แล้วก็ต้องมีชื่อด้วย”
“งั้นข้าชื่อ ตาลจีเนี่ยแหละ” ข้าเลียขนหาง “ชื่อแม่ข้าเอง เพราะไหม”
“เรื่องของเจ้า” เจ้างูเขียวผงกหัว “คราวหน้าถ้าเจอกันเรียกข้าว่า ชเตสิญย์ ละกัน”
“ทำไมข้าต้องเจอเจ้าด้วยยะ” ข้าหันไปมองเจ้างูเขียวที่ยิ้มกะลิ้มกะเลี่ย
“แหม จะว่าข้ากินมนุษย์มากไปก็ไม่แปลกหรอก เลยทำให้ข้ามีความอยากแบบมนุษย์เลย” ต๊ายยยยยย ทำตัวน่าเกลียดอีกแล้ว
“เจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกมนุษย์สืบพันธุ์กันยังไง” เจ้างูเขียวเดินเข้ามาจูงมือข้า “ลองดูไหมล่ะ”
อุ๊ยต๊ายตาย พูดจาซะน่าเกลียดเชียว ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ
เสียงสุนัขเห่าหอนไปทั่วชมพูทวีป ในยามเย็นจนถึงสว่าง ชาวชมพูทวีปได้ยินเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ดังกึกก้องทั่วทวีป เกิดภัยพิบัติต่างๆทั่วชมพูทวีปหลายประการ ผู้คนล้มตายเป็นเบือ ซากศพกองรวมกันได้เป็นภูเขา
ว่ากันว่าภัยพิบัตินั้น เป็นเพราะเสียงหัวเราะของปิศาจหญิงและชายที่หัวเราะดังกึกก้องในราตรีนั้น
นี่เป็นภัยพิบัติครั้งแรกของนางจิ้งจอกที่นำมาสู่โลกมนุษย์ แม้จะเพิ่งเกิดแค่วันเดียวก็ตาม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ