นางพญาปิศาจจิ้งจอก

8.0

เขียนโดย จิ้งจอกมายา

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.

  21 ตอน
  11 วิจารณ์
  29.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) ตอนที่ 14 คำอธิษฐาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 14 คำอธิษฐาน

 

ข่าวการสวามิภักดิ์ของ ฮองเต๊กกระฉ่อนไปทั่วแคว้นเย่ สร้างความปลื้มปิติต่อชาวแคว้นเย่ และขัดเคืองต่อพระเจ้าโจ้วหลางเป็นอย่างยิ่ง ชาวแคว้นติวต่างหวั่นวิตกอยู่ไม่เป็นสุขเพราะแม่ทัพผมแดงฮองเต๊กเป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นติว ทั้งมีน้ำใจลูกผู้ชายและเป็นที่รักของชาวเมืองอีกด้วย ไม่นานนัก น้องของแม่ทัพฮองเต๊ก ชื่อฮองปิด ก็ได้พากองทัพสามหมื่นเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายไซ่เอวี๋ยนอ๋อง พร้อมทั้งครอบครัวทั้งปวงของตระกูลฮอง

เท่านั้นยังไม่พอ ราวกับสวรรค์สาปส่งแคว้นติว เกิดเหตุการณ์ประหลาด มีกองทัพตั๊กแตนนับล้านๆตัวบุกกินพืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวบ้านชาวเมืองในแคว้นติวเสียหายเป็นวงกว้าง ภาษีข้าวที่ต้องส่งทางการก็ขาดหายไป ติวอ๋องกล้ำกลืนฝืนทนเก็บความแค้นจุกอกไว้และส่งสารเจรจาสงบศึกไปให้เย่อ๋อง(ไซ่เอวี๋ยน – เป็นการเรียกตำแหน่งเจ้าตามชื่อแคว้น) ซึ่งเย่อ๋องก็มีศึกติดพันในทิศใต้จึงตอบตกลงไป และเรียกไซ่ฮัวไปกวาดล้างข้าศึกทิศใต้

จงเหลงจึงพา จงเซิ่น ฮองเต๊ก และ ฮองปิด กลับไปยังเมืองไป่เสวและให้จัดเลี้ยงรับขวัญฮองเต๊กและฮองปิดเป็นที่เอิกเกริก ฮองเต๊กนั้นจัดเป็นหนุ่มรูปงามผมออกสีแดงหน่อยๆตามเชื้อสายของภาคเหนือ จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของหญิงสาวและขุนนางทั่วไปจึงพากันหาเถ้าแก่ไปทาบทามยกลูกสาวให้เพราะอยากผูกดองกับฮองเต๊ก แต่ฮองเต๊กนั้นไม่อยู่ติดบ้าน ยังคงออกติดตามจงเซิ่นหนุ่มรูปงามที่สุดในแคว้นเย่เพื่อรับใช้ ทั้งสองพี่น้องรักใคร่ผูกพันกันราวกับพี่น้องคลานตามกันมา เมื่อจงเซิ่นยังมิได้แต่งงาน ฮองเต๊กก็ตอบปฏิเสธการทาบทามทั้งปวง

เหตุการณ์นี้สร้างความลำบากใจเล็กๆให้จงเหลงเพราะทราบดีว่าบุตรชายนั้นทั้งรูปกายและสมองเป็นเลิศ คงมิพึงใจกับลูกสาวขุนนางที่สวยใสแต่ไร้สมอง แต่ใจหนึ่งก็อยากอุ้มหลานเร็วๆจึงเรียกจงเซิ่นมาสนทนาในวันหนึ่ง

“ท่านพ่อ สบายดีหรือ” จงเซิ่นคำนับบิดาโดยมีฮองเต๊กคำนับอยู่เคียงข้าง

“อันว่า อายุลูกก็ถึงวัยอันสมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว พ่อนั้นอยากอุ้มหลานเต็มแก่ ทั้งใต้เท้าฉินก็ส่งเถ้าแก่มาทาบทามเป็นอาจิณตั้งแต่พ่อกลับมา ลูกจะให้พ่อขายหน้าอีกนานแค่ไหนเล่า” จงเหลงตัดพ้ออย่างไม่พิธีรีตอง เพราะวิสัยเป็นคนเถรตรง

“พี่ใหญ่นั้นฐานะก็ดี หน้าตาก็เป็นเลิศ ข้าทราบมาว่าบุตรีของใต้เท้าฉินก็งดงามราวนางสวรรค์ ทั้งเก่งโครงกลอนและเชี่ยวชาญขับขานดนตรีเป็นที่ต้องใจของชายหนุ่มทั้งปวง อีกทั้งนามนางก็ไพเราะ ชื่อว่า ฉิ่งเอ๋อ คู่ควรเหมาะสมกับพี่ใหญ่ทุกประการ” ฮองเต๊กกล่าวสนับสนุนเมื่อเห็นสายตาของจงเหลงที่ใจตรงกัน

“หากว่า แม่นางฉิ่งเอ๋อ งดงามอย่างเจ้าว่าไซร้ มิใยเจ้าควรสู่ขอนางเองเล่า” จงเซิ่นหันไปตอบฮองเต๊กเสียงเย็น

“เจ้ามิพึงใจกระไรฉิ่งเอ๋อเล่า ไหนลองบอกพ่อมาซิ” จงเหลงคาดคั้น เมื่อเห็นบุตรชายนิ่งเงียบก็เอ่ยรวบรัดต่อไปว่า “อายครูบ่รู้วิชา อายภรรยาบ่มีบุตร อันเจ้ามัวแต่เขินอายสตรีฉะนี้จะให้ตระกูลจง สิ้นผู้สืบทอดหรือกระไร เจ้าจะเอาหน้าที่ไหนไปมองบรรพชนได้เล่า – วันพรุ่ง ใต้เท้าฉินเชิญพ่อไปที่จวน พ่อจะพาเจ้าไปด้วยจะได้ทำความรู้จักกับบุตรีของใต้เท้าฉิน” กล่าวได้เท่านี้ จงเหลงก็รีบลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไป ไม่ให้โอกาสจงเซิ่นได้โต้เถียงต่อไป

จงเซิ่นเดินคอตกออกจากจวนโดยมีฮองเต๊กเดินตามติด ทั้งสองเดินไปยังที่ประจำที่จงเซิ่นไปทุกวัน – นั่นคือศาลเจ้าแม่หนี่วา

“ข้านั้นไม่เข้าใจว่าเหตุใด พี่ใหญ่ถึงกลัวสตรีนัก” ฮองเต๊กเอ่ยเย้าพี่ใหญ่ที่ใบหน้าขึงขัง “หรือท่านพี่มีนางใดในใจแล้ว จึงมิใฝ่ปรารถนานางใดในแคว้นนี้”

จงเซิ่นถอนหายใจอย่างหนักอก “เจ้าแม้นเป็นน้องร่วมสาบานของข้าไม่กี่วัน กลับเข้าใจข้าดียิ่งกว่าบิดาที่อยู่มานานนม”

“แล้วใยท่านไม่ส่งเถ้าแก่ไปทาบทามแม่นางนั้นเล่า หรือนางนั้นสูงศักดิ์กว่าท่าน” ฮองเต๊กถามต่อด้วยความสนใจ

“มิได้ดอก นางนั้นมิได้มีศักดิ์เหนือข้า”

“แล้วนางอยู่แห่งหนตำบลใดเล่า”

“ข้าไม่รู้”

“อะไรกัน แล้วพี่ใหญ่พบนางที่ไหนเล่า”

“เปล่า – ข้ามิได้พบนางดอก”

“หา -- ” ฮองเต๊กมีสีหน้างุนงง “ท่านตกหลุมรักนางโดยมิรู้ว่านางอยู่ที่ใด มิเคยพบนาง แล้วท่านรู้จักนางได้อย่างไร”

“อาจจะแปลกที่เป็นเช่นนั้น” จงเซิ่นยอมรับ “เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าเล่าให้ฟัง – ข้าไม่เคยพบตัวนาง ไม่เคยได้ยินเสียงนาง ไม่เคยแม้แต่จะได้พูดคุยกับนาง – แต่ข้าก็มีใจให้นางตั้งแต่ข้าเป็นเด็กหนุ่มแล้ว”

“แล้วนางอยู่ที่ใดเล่า” ฮองเต๊กเอ่ยถามน้ำเสียงเคลือบแคลง

“ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ – แต่ข้าตกหลุมรัก นางผู้นั้น” จงเซิ่นหันมองเข้าไปข้างในศาลของเจ้าแม่หนี่วา “แม้จะไม่แน่ใจ – แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่า มีนางผู้หนึ่งเฝ้ามองข้าจากหลังม่านนั้น”

“ท่านพี่โปรดระงับใจไว้ก่อน” ฮองเต๊กหน้าถอดสี “ศาลเจ้าแม่แห่งนี้ แม้นขุนนางก็เฝ้าได้เพียงหน้าศาล แม้นกษัตริย์ก็เฝ้าได้เพียงหน้าม่านทั้งแปดชั้นนั้น หากใครก้าวล่วงเข้าไปเกินกว่ายศศักดิ์ย่อมมีความผิดสถานหนักถึงประหารชีวิต คงเป็นไปมิได้ที่จะมีสตรีแอบมองท่านจากหลังม่านนั้น”

“ข้าก็เคยคิดเช่นนั้น” จงเซิ่นเดินนำฮองเต๊กไปถึงหน้าศาล “แต่ทุกคืนที่ข้าหลับฝันไป ข้าก็จะฝันว่านางนั้นนั่งมองข้าผ่านม่านนั้น – เมื่อม่านขยับข้าก็จะเห็นเงาลางๆของนางที่จ้องมองข้าด้วยความรู้สึกที่มิต่างกันเลย”

“แต่พี่ใหญ่” ฮองเต๊กเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “ท่านพี่แค่ฝันไปมากกว่า มิควรเลยที่จะยึดถือเป็นจริงเป็นจังฉะนี้”

“ใช่” จงเซิ่นก้าวเข้าไปและกราบไหว้เจ้าแม่ “แต่ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ข้าก็อดรู้สึกเช่นนั้นมิได้ – ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ข้าเคยแต่จะขอให้บิดาข้าและแผ่นดิน แต่ครานี้ ข้าจะขอให้ตัวเองบ้าง”

“อย่าบอกนะว่า -- ”

“ใช่” จงเซิ่นตอบอย่างหนักแน่น “ข้าจะขอให้ได้พบนางสักครั้ง -- ”

 

ตกวันรุ่งขึ้น จงเซิ่นก็ติดตามจงเหลงเพื่อไปยังจวนของใต้เท้าฉิน แต่กระนั้นก็ยังห่วงที่ไม่ได้ไปกราบไหว้ศาลเจ้าแม่ จึงฝากให้ฮองเต๊กช่วยไปแทน

ฮองเต๊กเองใจหนึ่งก็เหนื่อยหน่าย อีกใจหนึ่งก็เห็นใจพี่ร่วมสาบาน จึงยอมไปที่ศาลเจ้าแม่และกล่าวขอพรให้จงเซิ่นโดยดี แม้จะไม่รู้ว่าคำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ –

แต่ฮองเต๊กหารู้ไม่ว่าคำอธิษฐานของเขาได้ทำให้จิ้งจอกสองหางที่ทำหน้าที่บันทึกคำอธิษฐานขนลุกซู่

 

ฬ่อก๊กลูบขนที่ตั้งชันให้ราบเรียบลง – เมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้วที่จงเซิ่นได้ทำให้ขนฟูๆของเขาได้ลุกซู่ ฬ่อก๊กลังเลว่าจะเขียนรายงานนี้ส่งสวรรค์ดีหรือไม่ –

เพราะฬ่อก๊กตระหนักดีว่า ในชาติภพนี้จงเซิ่นไม่ควรจะพบกับเนื้อคู่ แต่เมื่อเจ้านายของเขาได้แก้อายุขัยให้จงเซิ่นแล้ว ลิขิตสวรรค์ก็น่าจะเปลี่ยนผันไป

ฬ่อก๊กนั่งกระดิกหูอย่างใจลอยโดยไม่สนคำบนบานของมนุษย์ตัวอื่นๆอีกต่อไป พลางนึกในใจว่าหากเจ้านายของตนได้รับรู้ข้อมูลนี้ เจ้านายจะดีใจเพียงใด –

ต๋าจีใจตรงกับ จงเซิ่น –

ความรู้สึกอิจฉาเล็กๆก่อขึ้นในใจของฬ่อก๊ก แม้ว่าเขาอยากเห็นเจ้านายมีความสุข – แต่เขาก็ไม่มีหน้าที่ๆจะต้องไปรายงานทุกเรื่องที่เจ้านายไม่ได้ถามนี่นะ –

ยิ่งตอนนี้ต๋าจีคงจะกำลังอยู่บนสวรรค์อยู่ –

ใช่ ฬ่อก๊กคิด ข้ากำลังทำหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย – คือฟังคำอธิษฐานของมนุษย์เพื่อรายงานต่อสวรรค์ ข้าไม่มีหน้าที่ ที่จะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชะตาของมนุษย์หน้าตาเห่ยๆอย่างจงเซิ่นซะหน่อย หล่อสู้ข้าก็ไม่ได้ ไม่รู้ท่านต๋าจีไปหลงรักเข้าตรงไหน – อีกไม่นานพอมันแก่ ขี้คร้านท่านต๋าจีเบื่อก็กลับมาเองนั่นแหละ

ฬ่อก๊กคิดพลางหัวเราะ แต่เมื่อคิดได้ว่าหน้าที่ของเขาคือการจดบันทึกทุกๆคำอธิษฐานของมนุษย์ส่งสวรรค์ – แล้วเขาควรจะจดคำอธิษฐานที่เป็นผลมาจากการฝืนลิขิตสวรรค์รึเปล่า

ฬ่อก๊กส่ายหางดุ๊กดิ๊กไปมาก่อนจะแสยะยิ้ม “อย่างไรเสีย ข้าก็เป็นปิศาจนี่นะ”

 

ฮองเต๊ก แม่ทัพหนุ่มผมแดงยังคงแวะเวียนไปกราบไหว้ศาลเจ้าแม่หนี่วาไม่ขาด – เพียงผู้เดียว เพราะจงเซิ่นยังคงต้องเดินสายไปตามจวนของขุนนางต่างๆกับจงเหลงเพื่อเฟ้นหาเจ้าสาวให้กับจงเซิ่นซึ่งก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนัก

ฮองเต๊กตรงเข้าไปกราบไหว้ที่หน้าศาลเพราะเป็นกังวล เนื่องจากมีสารเรียกให้ฮองปิดน้องชาย เป็นกองหนุนทัพของไซ่ฮัว ฮองเต๊กทราบดีถึงน้ำใจน้องชายที่ฝีมือยังอ่อนด้อยทั้งยังวู่วาม อาจเพราะถูกเปรียบกับฮองเต๊กบ่อยๆเลยทำให้ฮองปิดเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ นี่เป็นสาเหตุที่ฮองเต๊กมิได้ขัดขวางเมื่อมีสารมาเรียกตัวฮองปิดไป เขาได้ตักเตือนน้องชายให้เคารพและเชื่อฟังไซ่ฮัวทั้งกล่าวว่า “ตระกูลฮองเหลือเพียงสองคนหากน้องพลาดท่าเสียที พี่ก็ไม่ขออยู่ดูโลกต่อไปแล้ว”

ฮองปิดพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเพราะคาดว่าพี่ชายประมาทในฝีมือตน แต่ก็มิได้โต้เถียงประการใด

ฮองเต๊กบนบานเจ้าแม่หนี่วาด้วยความทุกข์ร้อนในใจ กล่าวบทสวดขอพรเจ้าแม่ผิดๆถูกๆอยู่แต่ผู้เดียวจนค่ำ จึงเดินคอตกออกจากหน้าศาลมา

“ใต้เท้า – ”

ฮองเต๊กเหลือบมองเห็นหญิงนางหนึ่งที่หน้าตาหมดจดแต่การแต่งตัวกลับซอมซ่อ สำนวนก็ชาวบ้านธรรมดาแต่กิริยาน่าเอ็นดู แม่นางนั้นคุกเข่าคำนับ ฮองเต๊กรีบบอกให้ลุกขึ้นแต่หญิงนางนั้นไม่ยอมลุกขึ้น

“ข้าน้อยรู้ว่า ข้าน้อยมีโทษถึงที่ตายที่รบกวนท่าน แต่ข้าน้อยเห็นท่านท่องบทสวดผิดถูกๆอยู่จนถึงค่ำ จึงอยากบังอาจขอบอกทำนองบทสวดของเจ้าแม่ให้เจ้าค่ะ”

“ดีจริงๆ ขอบคุณแม่นางมาก” ฮองเต๊กนั่งลงกับพื้นโดยไม่ถือตัวและส่งบทสวดให้แม่นางนั้นที่มีสีหน้าตกใจ

“ใต้เท้าเป็นขุนนาง ไม่ควรที่จะนั่งกับพื้นดังนี้ -- ” นางละล่ำละลัก

“เช่นนั้นเจ้าก็ลุกขึ้นและสอนข้าท่องบทสวดเจ้าแม่หนี่วาที่ศาลานั่นเป็นเช่นไรเล่า” ฮองเต๊กบอกน้ำเสียงร่าเริง ด้วยต้องใจกิริยาท่าทางของนางนั้น

ทั้งสองพากันไปนั่งที่ศาลานั้น แต่ฮองเต๊กยืนยันจะให้แม่นางนั้นนั่งระดับเดียวกัน ซึ่งนางก็ไม่ยินยอม “ข้าเป็นสามัญชน ไหนเลยจะตีตน นั่งเสมอท่านได้”

“แม่นางสอนบทสวดเจ้าแม่แก่ข้า มีศักดิ์เป็นถึงอาจารย์ ควรที่ข้าจะให้แม่นางนั่งสูงกว่าด้วยซ้ำ” ฮองเต๊กบอกอย่างสุภาพ “ฉะนั้นให้นั่งเสมอกันนี่ก็ถือว่าข้าไร้สัมมาคาราวะพอแล้ว แต่หากแม่นางดึงดันจะนั่งต่ำกว่าข้า ข้าก็จะอุ้มตัวแม่นางนั่งแท่นเสียเลย แม่นางจะได้สอนข้าเสียที”

ยิ่งทีกิริยาของแม่นางนั้นยิ่งต้องตาฮองเต๊กมากขึ้น –

 

“สกเกี้ยว” ฮองเต๊กเรียกหญิงนางหนึ่งซึ่งกำลังกวาดพื้นด้านหน้าศาลเจ้าแม่ “เจ้ามานานแล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ ใต้เท้า” สกเกี้ยวบอกและคุกเข่าคำนับฮองเต๊ก

“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าใต้เท้า แล้วก็อย่าคุกเข่าด้วย” ฮองเต๊กบอกพลางรีบพยุงหญิงสาวนางนั้น “เจ้าคุกเข่าเมื่อเจอเพื่อนเจ้าหรือกระไร”

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยมิอาจตีตนเป็นเพื่อนของใต้เท้าได้”

“เจ้านี่คงเส้นคงวา เสมอต้นเสมอปลายดีแท้ ข้าก็บอกแต่ทีแรกแล้วว่าอย่าได้ทำอย่างนี้ ถ้าเจ้าคุกเข่าเวลาเจอหน้าข้าอีก คราวหน้าข้าจะคุกเข่าคำนับแบบศิษย์พึงกระทำต่ออาจารย์บ้าง” ฮองเต๊กเสริมยิ้มๆ เมื่อเห็นสกเกี้ยวหัวเราะเบาๆด้วยใบหน้าเอียงอาย “แล้วนี่เจ้าไหว้เจ้าแม่หรือยัง”

“ยังเจ้าค่ะ -- ”

“เจ้ามาตั้งนาน ยังมิไหว้เจ้าแม่ หรือรอใครเล่า” ฮองเต๊กแสร้งถามแม้จะรู้จากสีหน้าเอียงอายนั้นแล้ว ฮองเต๊กจึงแกล้งต่อไปว่า “ข้านั้นยังสวดทำนองของเย่ไม่ถนัด ควรที่เจ้าจะสอนข้าข้างๆนะ”

“มิได้เจ้าค่ะ สามัญชนจะเข้าไปยังหน้าศาลมิ -- ”

โดยที่ไม่ฟังต่อฮองเต๊กจูงมือของสกเกี้ยวให้เดินตามเข้าไปด้วยใบหน้าแดงดุจอาทิตย์ยามสนทยา

“เจ้าในฐานะอาจารย์ต้องฟังให้ดีว่าศิษย์ท่องถูกหรือไม่ -- ห้ามบ่นห้ามเถียง”

สกเกี้ยวแย้มพราย กิริยาของฮองเต๊กนั้นต่างกับหนุ่มชาวกรุง ทั้งนี้เพราะฮองเต๊กนั้นเป็นลูกครึ่งเผ่าทางเหนือซึ่งปฏิบัติ – ออกจะซื่อตรงกับเพศหญิง

สกเกี้ยวกับฮองเต๊กสนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งที่อยู่ในใจของฮองเต๊กนั้นสุมอกจนแทบจะทะลุออกมา แต่กระไรได้ที่น้องจะแต่งงานก่อนพี่ ฮองเต๊กเองจึงได้เพียงแต่ไปเยี่ยมสกเกี้ยวที่บ้านอยู่เนืองๆ นำข้าวของมากมายไปมอบให้ สกเกี้ยวในตอนแรกนั้นไม่กล้าใส่ชุดที่ฮองเต๊กมอบให้ แต่เมื่อฟังคำรบเร้าจากบิดามารดาที่ว่าเขามอบให้แต่มิใส่นั้นเสียมารยาทและน้ำใจเขา สกเกี้ยวจึงยอมแต่งในชุดหรูหรานั้น

ฮองเต๊กเมื่อประสบกับสกเกี้ยวที่ทิ้งชุดแบบชาวบ้านมาแต่งองค์ทรงเครื่องที่ฮองเต๊กมอบให้แล้ว ก็ถึงกับอึ้งตะลึงงัน เพราะรูปร่างหน้าตาของสกเกี้ยวนั้นจากดูงดงามอยู่แล้ว เมื่อได้เสริมเติมแต่งก็ทำให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก

ทั้งสองต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น แต่ฮองเต๊กนั้นไม่อาจว่ากล่าวขอสกเกี้ยวแต่งงานได้ เพราะจงเซิ่นยังมิได้เป็นฝั่งเป็นฝา ครั้นจะบอกกล่าวเรื่องของสกเกี้ยวกับจงเซิ่นก็ละอายใจตัวที่แอบมีสาวก่อนพี่ชาย ฮองเต๊กจึงไม่ได้ปริปากเรื่องของสกเกี้ยวกับใคร

แต่ในวันหนึ่งก็มีสารด่วนแจ้งมา เรียกให้ฮองเต๊กนำทัพออกไปเสริมฮองปิดซึ่งตกอยู่ในที่ล้อม ฮองเต๊กร้อนใจทั้งอาลัยสกเกี้ยว แต่ด้วยเลือดรักชาติแลน้องชายสุมอก จึงรีบคุมทัพออกไป –

 

กล่าวถึงสกเกี้ยวเมื่อทราบว่าฮองเต๊กนำทัพออกไปก็หวั่นไหวเพราะเป็นห่วง นานไปไม่มีข่าวก็เป็นกังวล บิดามารดาก็ล้มป่วยอีกหน สกเกี้ยวจนปัญญาเพราะมิได้มีเงินทองส่วนตัวเก็บไว้ จึงตัดใจใช้เงินทองที่ฮองเต๊กมอบให้เพื่อรักษาชีวิตบิดามารดา กระนั้นอาการก็ไม่ได้ดีขึ้น ในวันหนึ่งนางจึงห่อชุดทั้งหมดที่เป็นผ้าแพรชั้นดี ซึ่งฮองเต๊กได้มอบให้เพื่อนำไปขายแลกเงินมารักษาบิดามารดา สกเกี้ยวรีบออกบ้านไปแต่เช้าตรู่เพื่อไปกราบขอพรที่ศาลเจ้าแม่หนี่วาให้ช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บให้บิดามารดา

เมื่อนางไปถึงนั่นไร้ผู้คนเพราะยังเป็นยามเช้า นางก็นั่งสวดมนต์บทสวดเจ้าแม่ไปเรื่อยๆ พลันตาเห็นลูกสุนัขตัวเปรอะเปื้อนดินโคลนวิ่งหลบเข้าไปในศาลและวิ่งลอดผ้าแพรนั้นเข้าไป สกเกี้ยวตกใจเป็นอันมาก เกรงว่าลูกสุนัขนั้นจะทำศาลเจ้าแม่เปรอะเปื้อนจึงอธิษฐานว่า

“ข้าน้อยขออภัยที่จะต้องฝ่าฝืนกฎ ที่ห้ามเข้าไปในผ้าม่านนั้น เพราะเกรงลูกสุนัขนั้นจะทำความสกปรกต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ขอพระแม่หนี่วาโปรดอภัยด้วยเถิด”

สกเกี้ยวอธิษฐานเสร็จเมื่อเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นผู้ใดก็หอบห่อผ้าและวิ่งลอดเข้าไปใต้ผ้าม่านนั้นเข้าไปด้านใน ก็เห็นลูกสุนัขนอนหมอบตัวสั่นอยู่แทบพระบาทของเจ้าแม่หนี่วา สกเกี้ยวเห็นว่าควรหาผ้ามาเช็ดลูกสุนัขก่อนปล่อยไป แลจะเอาผ้าที่ใดก็ไม่มี จึงเอาชุดที่ตัวใส่อยู่ถอดออกและเช็ดคราบโคลนและห่อตัวลูกสุนัขไว้

ลูกสุนัขเมื่อตัวแห้งแล้วก็นอนขดตัวในชุดเก่าของสกเกี้ยวนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย สกเกี้ยวเหลือแต่ชุดอ่อนเห็นว่าคงไม่เป็นการดีที่จะออกไปทั้งชุดนี้จึงแกะห่อผ้าและใส่ชุดที่ฮองเต๊กมอบให้

เมื่อแต่งตัวเสร็จสกเกี้ยวก็คุกเข่าคำนับเจ้าแม่หนี่วาต่อหน้า ก็พลันเกิดลมไหววูบหนึ่ง ผ้าแพรที่บดบังพระพักตร์ก็แย้มออกให้เห็นพระพักตร์แวบหนึ่ง

ใบหน้าพระพักตร์ของหุ่นเจ้าแม่นั้นงดงามกว่านางใดในโลก หรือแม้แต่นางสวรรค์ สกเกี้ยวเผลอมองรูปพระพักตร์นั้นอยู่นานเพราะความงดงามของพระแม่หนี่วานั้นสะกดนางไว้

สกเกี้ยวหลังจากคำนับเจ้าแม่แล้วก็เหลียวซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนก็อุ้มลูกสุนัขและรีบออกมา –

“เจ้า -- ”

สกเกี้ยวแทบสิ้นสติเมื่อได้ยินเสียงคนเรียก ชั่งใจว่าควรวิ่งหนีหรือไม่ดี แต่ก็ถูกวิ่งมาจนทัน จึงได้แต่ก้มคำนับร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วกล่าวว่า

“ข้าน้อยทำผิดไปแล้วโปรดอย่าสังหารข้าน้อยเลย -- ”

“เงยหน้าขึ้นสิ -- ” เสียงชายหนุ่มที่เอื้ออารีพูดขึ้นเบาๆแต่หนักแน่น “เจ้ามีเหตุผลใดจึงต้องเข้าไปในศาลเจ้าแม่หรือ”

สกเกี้ยวค่อยๆเงยหน้าขึ้น และก็พบชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแลดูมีชาติตระกูลลอยอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของชายหนุ่มผุ้นั้นมีแววทึ่งและดีใจเล็กๆ

“ข้าน้อยเห็นลูกสุนัขเปื้อนดินโคลนวิ่งเข้าไปในศาลเจ้าแม่ ด้วยเกรงว่าลูกสุนัขนั้นจะทำศาลเปื้อนเปรอะจึงฝ่าฝืนกฎเข้าไปในศาลและเอาลูกสุนัขตัวนี้ออกมาเจ้าค่ะ – ใต้เท้าจง -- ”

“นี่แม่นางรู้จักข้าด้วยหรือ?”

“รู้จักสิเจ้าคะ -- ”

 

จงเซิ่นมองลูกสุนัขที่นอนขดอยู่ในเสื้อผ้าเก่าๆ และมองแม่นางสาวผู้นั้น –

จู่ๆขนของจงเซิ่นก็ลุกซู่เมื่อประสานตากับแม่นางผู้นั้น – หรือว่า – คำอธิษฐานของเขาเป็นจริงแล้วหรือนี่ – 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา