ปีศาจแสนกล กับคนจากฟ้า
3) ปราสาทสีหมอก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความSection 3
ปราสาทสีหมอก
อากาศยามดึกสงัดยิ่งหนาวเหน็บ ทำเอาฉันที่นอนคลุมโปงหลบไอเย็นถึงกับกัดฟันกรอดและเริ่มสั่น ให้ตายสิ บ้านคนรวยไม่มีฮีตเตอร์หรือไง แล้วนี่มันก็ประเทศไทยไม่ใช่หรอ ทำไมมันหนาวอย่างนี้นะ ผ้านวมผืนหนานี่ไม่ช่วยให้ฉันคลายหนาวเท่าไหร่นัก หรือเพราะพิษบาดแผลที่ทำให้ร่างกายฉันอ่อนแอถึงเพียงนี้ ไม่ได้การ ทนหนาวนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว คงต้องออกไปขอผ้าห่มเพิ่มจากเจ้าของบ้าน
คิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจลองลุกขึ้นนั่ง ค่อยยังชั่วแฮะ ดูเหมือนแผลที่กลางหลังจะเริ่มสมานตัวจนเบาเจ็บไปได้มากแล้ว ฉันค่อยๆพยุงตัวลงจากเตียง ตอนเท้าแตะพื้นก็มีอาการเซนิดหน่อย แถมระบมที่หลังนิดๆ ไม่เป็นไร สู้ๆนะ ไคลที >_<
ฉันค่อยๆเดินออกมาจากห้อง ภายนอกยิ่งมืดสลัว มีเพียงโคมไฟดวงเล็กติดอยู่ตามผนังทางเดินที่แสนวิเวกวังเวง ทางเดินแสนกว้างที่อีกฟากฝั่งเป็นประตูห้องบานใหญ่หลายห้อง ห้องที่ฉันออกมาเป็นห้องติดผนังท้ายสุด มองไปเป็นทางเดินที่แสนยาวไกล มีหมอกควันหนาลอยล่องทั่วไปหมด เสียงหวีดหวิวของสายลมยามดึกเรียกขนอ่อนในร่างกายให้ตั้งชันขึ้นมา ไม่เคยรู้สึกหวาดหวั่นเท่านี้มาก่อน แต่จะให้หันหลังกลับเข้าไปนอนหนาวในห้องเพราะความกลัวก็ดูจะปอดแหกไปหน่อย เพราะแรงฮึดในใจเลยทำให้เท้าเปล่าทั้งสองค่อยๆก้าวเดินต่อไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนเย็นเฉียบ!
บระ วู้!!!!
หมา หมาหอน! มาหอนทำไมตอนนี้ นางฟ้ายิ่งกลัวๆอยู่
บระ วู้!!!!!!!!
แน่ะ! ยังจะช่วยกันหอนอีก สงสัยแถวนี้เลี้ยงหมาหลายตัวนะ หอนส่งกันระงมเชียว ฉันไม่กลัว ฉันต้องไม่กลัว
ฮูก ฮูก ฮูก!!!
นกฮูก! พระเจ้า ที่นี่มีนกฮูกด้วยหรือ แค่หมาหอนยังเพิ่มความสยองให้ฉันไม่พอหรือไง หมอกหนาพวกนี้ก็เหมือนกัน เพราะยิ่งเดินเหมือนมันยิ่งก่อตัวเพิ่มความหนาจนฉันแทบมองทางข้างหน้าในระยะสองเมตรไม่เห็น
แกรก...! แกรก...! กรี๊ก...!
เสียงเหมือนเล็บขีดข่วนพื้นผนังที่ดังอยู่ใกล้แสนใกล้ทำให้ฉันถึงกับหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปมอง เสียงดังกล่าวเงียบหายไปเฉยๆเหลือเพียงหมอกควันประหลาดกับแสงไฟอันแสนสลัว ตอนนี้หัวใจฉันเต้นระทึกไปหมดเเล้ว ไม่เคยเจอมาก่อนกับสถานการณ์พิศวงแบบนี้ คงต้องตั้งสติให้ดี ฉันหายใจเข้าเรียกความกล้าในตัวแล้วหันกลับเดินหน้าต่อไป รู้แน่แก่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นในมือของฉันตอนนี้จึงค่อยๆปรากฎแสงสีฟ้าจางๆอย่างเตรียมพร้อม!
สองเท้าเปล่าเปลือยเร่งความเร็วขึ้น ตอนนี้ไม่คิดจะเจอเจ้าของบ้านแล้วล่ะ ความคิดเดียวในตอนนี้คือต้องรีบออกไปจากที่นี่ ลางสังหรณ์บอกกับฉันว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย รู้สึกได้เลยถึงกลิ่นอายของความอันตราย ทางออกอยู่ไหนนะ ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว!
เสียงขีดข่วนเล็บดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงลมที่แสนกรีดแทงโหยหวน กับหมอกควันหนาที่ราวกับกำลังไล่ตระคุบร่างฉันเอาไว้ทำให้ฉันเร่งความเร็วจนกลายเป็นวิ่งในที่สุด ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นกัมปนาทขึ้นมาราวฟ้าพิโรธ สายลมด้านนอกโหมกระหน่ำอย่างกับมีพายุเข้ากระทันหัน เสียงกิ่งไม้จากต้นไม้ใหญ่โหมตีกันรุนแรงราวกับบ้าคลั่ง ฉันวิ่งออกมาจนถึงด้านนอกในที่สุด หันกลับไปมองก็ให้ตกตะลึงในความใหญ่โตของบ้าน! นี่ไม่เรียกว่าบ้านแล้ว เรียกปราสาทคงจะเหมาะกว่า ทางที่ดีต้องเรียกว่าปราสาทสีหมอกคงจะเหมาะที่สุด เพราะปราสาททั้งหลังเป็นสีขาวขุ่นมัว อีกทั้งยังมีหมอกหนาล้อมรอบทั่วทั้งหลัง นี่ฉันอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย!
วี๊ด....!
เสียงลมหวีดร้องมาจากด้านหลังทำให้ฉันได้สติรีบหันกลับไปมอง ก่อนที่ตาจะเบิกกว้างตอนที่กิ่งไม้ใหญ่ปริศนายืดยาวออกมาฟาดหน้าจนฉันล้มลงกับพื้น รับรู้ความเจ็บแสบที่แก้มซ้ายก่อนที่จะได้กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่ดีตอนที่กิ่งไม้ใหญ่มันฟาดลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับมาพันรัดรอบขาซ้ายแล้วกระชากอย่างแรงจนร่างฉันลอยละลิ่วไปในอากาศ ในเสี้ยววินาทีมันก็ส่งร่างฉันไปกระแทกกับตัวปราสาทชั้นสองอย่างแรงแล้วปล่อยให้ร่างฉันไถลครูดลงมากองกับพื้นดินหยาบด้าน!
พายุยังคงโหมกระหน่ำ แล้วฝนเม็ดเป้งก็ตกลงมาสาดใส่ร่างราวกับซ้ำเติมกัน ฉันค่อยๆใช้แขนยันกายพยุงตัว สำลักเลือดออกมาจนเปราะพื้นแล้วเอาหลังมือเช็ดออกอย่างลวกๆ
"นี่มัน...อะไรกัน"
พลันพลังเวทย์ในกายก็ดิ้นพล่านจนน่าตกใจ สองมือปรากฎแสงสีฟ้าเจิดจ้า ฉันรีบเอามือชูขึ้นกลางอากาศ แล้วกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อสัมผัสได้ถึงโลหะศักดิ์สิทธ์ในมือ ปีกสีขาวค่อยๆขยายออกจากกลางหลัง แล้วกระพือเบาๆเพื่อพยุงร่างฉันให้ยืนขึ้น แต่ให้ตายเถอะ ปีกอีกข้างกลับมีขนาดเล็กจิ๋ว ราวกับเพิ่งงอกออกมาใหม่เลยทำให้ฉันต้องออกแรงขาเพื่อยืนให้ได้ด้วยตัวเอง บินหนีไม่ได้ แล้วคงต้องกำจัดให้หมดในทางเดียว!
ขณะเดียวกัน ใต้ผืนดินตรงหน้าก็สั่นสะเทือน มือหนาเล็บยาวเหยียดก็ผุดขึ้นมา ก่อนที่ร่างที่แท้จริงของมันจะกระโจนขึ้นมาเหยียบผืนดินเต็มความสูง อสุรกายร่างทะมึนหน้าตาน่าเกลียดที่มีลักษณะคล้ายต้นไม้หากแต่มีเขี้ยวแหลมคมกับเล็บที่ยาวเหยียดยืนปักหลั่นพร้อมเข้าจู่โจม เพียงแต่ว่ามันไม่ได้มีแค่ตนเดียว ยังมีพรรคพวกลักษณะคล้ายกันออกมาอีก 2 ตัว เป็น 3 ตัว! เมื่อมากันครบพวกมันก็กระโจนเข้าใส่ฉันทันที!
ฉันตั้งรับด้วยการเอามือประกบกันแล้วแยกดาบออกมาเป็นสอง อ้าแขนตั้งรับสองตัวที่มาจากซ้ายขวา แล้วถีบส่งอีกหนึ่งที่มาด้านหน้าจนมันกระเด็นไปไกล ออกแรงแขนเพื่อสลัดทั้งสองตัวแล้วหันหลังถีบตัวขึ้นไปเกาะอยู่บนหน้าต่างชั้นสองของปราสาท โดยใช้เท้าจิกขอบปูนที่ผุพังเอาไว้ อย่างน้อยปีกข้างที่เหลือก็ยังพอใช้การได้บ้าง พวกมันคำรามลั่นก่อนกระโจนขึ้นมาทีละตัว ตัวแรกถูกฉันฟันแขนขาดทันทีที่มันง้างกรงเล็บแหลมเข้ามา อำนาจของดาบศักดิ์สิทธ์ทำให้ปีศาจตนใดก็ตามที่ได้สัมผัสมอดไหม้ดับสลายไป ตัวที่สองถูกฉันสังหารด้วยการตัดหัว และตัวที่สุดท้าย ให้ตายยากหน่อย ฉันปล่อยเท้าแล้วใช้ขาเหนี่ยวคอมันเอาไว้แล้วเหวี่ยงลงกับพื้นดินอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น ในความรวดเร็วนั้นฉันรีบตามลงไปเหยียบอกเจ้าปีศาจชั้นต่ำแล้วเปลี่ยนดาบสองเล่มให้ประกบเข้าหากันแล้วกลายเป็นหอกแหลมสีเงินส่องแสงเจิดจ้า ส่งผลให้เจ้าปีศาจเกิดอาการลนลานด้วยอำนาจแห่งสวรรค์
"บอกนามของนายเจ้ามา เจ้าของปราสาทสีหมอกแห่งนี้ ผู้นั้นคือใคร!"
"อัก อัก..."
เจ้าปีศาจอึกอักไม่ยอมตอบ ทำให้ฉันจำเป็นต้องยื่นด้านแหลมคมหอกไปใกล้ๆคอหอย
"บอกไม่ได้ ไม่...!"
"งั้นเดี๋ยวหาคำตอบเอง จงรับโทษของเจ้าซะ!"
"อ้าก!!!!"
ยังไม่ทันที่จะได้ลงคมหอก ปีศาจใต้เท้าฉันก็เกิดมอดไหม้ดิ้นทุรนทุรายแล้วlลายหายไปกับอากาศธาตุ! มีคนต้องการปิดปากมัน แต่ใครกัน !?
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังก้องมาจากด้านบนปราสาท ฉันรีบหันกลับไปมอง แต่แล้วก็ถูกหมอกควันเข้าโจมดี ห้อมล้อมร่างไว้ ทำให้ไม่ทันเห็นเจ้าของร่างทะมึนที่ยืนเด่นอยู่ที่หน้ามุกระเบียงชั้นสาม เจ็บใจนัก!ขยับร่างกายไม่ได้เลย
....เป็นใครกันนะ เจ้าของความชั่วร้ายเหล่านี้ ฮะ! หรือว่า นิโคลัส เบล ซามัวล์!
พร้อมกับสติที่ดับไปอย่างยากจะต้านทาน...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ