"Be askew" ภารกิจ ขีดเส้นอันตราย...
เขียนโดย นอร์เวย์
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.22 น.
แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 19.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Intro
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทนำ
ค.ศ. 2069
ฟิล์มสีเทาที่ปิดทึบกระจกบานใหญ่ของห้องนอนในเพนท์เฮ้าส์ชั้นสี่สิบแปดเพื่อบังแสงไม่ให้เข้ามารบกวนชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงค่อยๆจางหายไปเมื่อถึงเวลาที่ถูกตั้งเอาไว้ เผยให้เห็นวิวของถนน วอล์คสตรีท ย่านการค้าสายสำคัญกลางเมืองเรสเพิร์ค รัฐเกรนดิกท์ ที่ถึงแม้ตอนนี้จะยังเช้าตรู่แต่ผู้คนก็เริ่มพลุกพล่านทั้งหนุ่มสาวในชุดทำงาน วัยรุ่นในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่บ่งบอกว่าพวกเขาเรียนโรงเรียนเอกชนที่อยู่ไม่ไกลจากย่านนี้ และคนสูงวัยในชุดลำลองสบายๆที่บ้างก็พาสัตว์เลี้ยงออกมาเดินเล่น บ้างก็ออกมาจับจ่ายข้าวของสำหรับนำไปประกอบอาหารในครัวเรือน แม้ในยุคสมัยนี้ผู้คนจะเลือกรับประทานอาหารสำเร็จรูปกันซะเป็นส่วนใหญ่แต่ความเพลิดเพลินจากการได้ทำอาหารก็ยังเป็นกิจกรรมที่หลายคนโปรดปราน
นัยส์ตาสีเขียวอ่อนค่อยๆเปิดขึ้นเมื่อถูกแสงแดดกระทบเข้าที่เปลือกตา คริส คอลลินส์ มองดูภาพของการจราจรทางอากาศที่คับคั่งกว่าทุกวัน ยานพาหนะรูปแบบต่างๆที่ขับเคลื่อนอยู่บนท้องฟ้าถ้าไม่นับรวมยานโดยสารประจำทางสีน้ำเงินที่เหลือก็ล้วนเป็นของบุคคลระดับสูงและอภิสิทธิ์ชนคนที่มีเงินหนาเท่านั้นที่พร้อมจะจ่ายเงินจำนวนมากให้กับรัฐบาลเป็นภาษีสำหรับการใช้เส้นทางการเดินทางทางอากาศ และเมื่อวันเปิดเทอมมาถึง แน่นอนว่าลูกหลานของผู้คนเหล่านั้นคงไม่เลือกไปใช้บริการรถโดยสารสาธารณะใต้ดินที่ครอบคลุมทั่งทั้งรัฐนี้หรือเส้นทางบนถนนในเมื่อมีตัวเลือกที่สะดวกสบายกว่า
เมื่อครั้งที่เพิ่งเริ่มมีการเดินทางทางอากาศเกิดขึ้น บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนทางอากาศและวิ่งบนท้องถนนตั้งแต่ราคาไม่แพงพอที่คนระดับชนชั้นกลางจะสามารถซื้อได้ไปจนถึงราคาแพงลิ่วชนิดที่สามารถซื้อบ้านเดี่ยวระดับกลางย่านชานเมืองได้ถึงสองหลัง และยิ่งนับวันก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนแทบมองไม่เห็นเมฆ ในที่สุดรัฐบาลก็ตัดสินใจออกมาประกาศว่านอกจากยานพาหนะที่มีไว้สำหรับโดยสารประจำทางแล้ว ทุกคนที่จะสามารถใช้เส้นทางการเดินทางทางอากาศได้ต้องเสียภาษีต่อเดือนเป็นจำนวนเงินแปดหมื่นดิลล์1 ซึ่งแรกๆก็มีคนออกมาไม่เห็นด้วยมากมายจนเกือบจะเกิดเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายอะไรๆก็เป็นไปอย่างที่รัฐบาลต้องการจะควบคุม อีกทั้งมีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับรัฐบาลเพราะรู้สึกไม่ชอบใจกับภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยรถยนต์วิ่งไปมาทำลายทัศนียภาพเบื้องบน
ทำให้ภาพที่คริสกำลังมองอยู่ตอนนี้ยังเหลือความสวยงามของท้องฟ้าและกลุ่มเมฆที่เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมเป็นของตกแต่งราวกับกล่องของขวัญสีต่างๆที่ประดับประดาอยู่บนต้นคริสมาสต์
คริสยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองที่นาฬิกาดิจิตอลเหนือจอโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้วที่ฝังติดไว้กับผนัง ตัวเลขบอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ใต้ตัวเลขบอกเวลามีรูปก้อนเมฆสีฟ้าอ่อนและตัวเลขบอกอุณหภูมิโดยประมาณของเมืองนี้ว่าตอนนี้อยู่ที่สิบห้าองศาเซลเซียส คริสได้กลิ่นแพนเค้กหอมฟุ้งเข้ามาจากนอกห้อง เขาลุกออกจากเตียงแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ
วิน มอเร็ตซ์ วางแก้วกาแฟว่างเปล่าลงบนโต๊ะทำงาน
เขานอนค้างที่นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ตั้งแต่กลับจากพักร้อนเมื่อกลางเดือนที่แล้ว การทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่มันก็ดีอยู่หรอก แต่ในเรื่องของสายสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวนี่สิที่เป็นปัญหา ตั้งแต่เขาอย่ากับ ลอเรนซ์ ภรรยาเก่าได้สองปี ผู้หญิงคนต่อๆมาที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถสานสัมพันธ์ต่อได้ยืนยาวสุดท้ายต่างก็ลาจากเขาไปด้วยเหตุผลเดียวกันคือเขาให้เวลากับงานมากเกินไป คนล่าสุดนี้ที่เขากำลังลองคบหาดูใจอยู่ก็มีที่ท่าว่าจะเกิดปัญหาเดิมๆขึ้นอีกแล้ว
วิลมองเนื้อความในเอกสารทางราชการที่บ่งบอกถึงปัญหาบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ภายในดูจะเป็นคำเปรียบเปรยที่เหมาะสมที่สุดเวลาเกิดปัญหาใดๆในรัฐนี้ ทุกๆครั้งที่มีชนวนเกิดขึ้น เมื่อหน่วยงานรัฐบาลประจำเกรนดิกท์เริ่มได้รับสัญญาณว่ามีสิ่งใดก็ตามที่อาจจะก่อปัญหาใหญ่ขึ้นได้ ทุกๆอย่างจะต้องถูกจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่อะไรๆจะบานปลายจนส่งผลต่อภาพลักษณ์ทางสเถียรภาพการทำงานของพวกเขา เห็นไหมหละว่างานนี้มันสำคัญขนาดไหน แล้วยิ่งช่วงนี้เกิดเรื่องไม่ค่อยดีขึ้นด้วย เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปใส่ใจดูแลความสัมพันธ์ส่วนตัวให้ราบลื่นได้ ถ้าจะให้เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งระหว่างงานที่เขารักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะคบกันได้ยืนยาวแค่ไหน แน่นอนว่าคำตอบมันก็เห็นๆกันอยู่แล้ว
โทรศัพท์มือถือของวินดังขึ้น ภาพหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏขึ้นบนอากาศตรงหน้าเขา เป็นสายจาก เคน มิลเลอร์ เจ้าหน้าที่หน่วยดูแลคดีอาชญากรรมประจำสำนักงานว่าการรัฐเกรนดิกท์และเป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกับวิน เขาแตะนิ้วกับอากาศตรงปุ่มรับสายและปุ่มลำโพงเพราะขี้เกียจจะหยิบตัวเครื่องขึ้นมาแนบหู สิ่งแรกที่ปลายสายเอ่ยถามคือเมื่อคืนเขาไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านใช่หรือเปล่า
“ใช่” วิลตอบ
“รองผู้ว่าการวิน มอเร็ตซ์ อยู่ทำงานหามรุ่งหามค่ำอีกแล้วนะครับ ถ้าเมดิสันรู้เข้าคงเป็นห่วงแย่” เคนพูดหยอกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้เป็นเรื่องปรกติ
“ถ้าเป็นอย่างที่นายว่าก็ดีสิ กำลังจะเข้ามาใช่ไหม ไม่เช้าไปหน่อยเหรอสำหรับเวลาเข้างานหนะ”
เมดิสัน มิลเลอร์ คือพี่สาวของเคน และเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่เคยมาหลงเสน่ห์วินตอนสมัยยังเรียนอยู่ปีเดียวกันที่มหาวิทยาลัย วินรู้ว่าหลังจากที่เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ เมดิสันเองก็คงไม่ได้คิดอะไรกับเขาเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่พอคิดดูอีกทีของแบบนี้มันก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะเธอเพิ่งอย่ากับสามีได้ปีกว่า พ่อม่ายกับแม่ม่ายก็เหมือนน้ำมันกับไฟเวลานึกถึง ในเมื่อบางเวลาวินเองยังเผลอคิดถึงเธอได้ แล้วทำไมบางเวลาเมดิสันอาจจะเผลอคิดถึงเขาบ้างไม่ได้
“ผมอยากรีบช่วยหน่วยสืบสวนกลางปิดคดีหญิงนิรนามให้ได้ซะที แล้วก็คิดว่าคุณคงจะอยู่ที่สำนักงานด้วย เลยจะเอาเอกสารบางอย่างเข้าไปให้ดู”
“เอกสารอะไร”
“ผมคิดว่าคุณน่าจะดูเองดีกว่า มันอธิบายยากหนะครับ”
คำว่าอธิบายยากของเคน คืออะไรก็ตามที่ต้องใช้เวลาในการอธิบายมากกว่าห้านาที “แล้วเรื่องคดีมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้วหละ”
“ก็ยังไม่ค่อยได้เรื่องอะไรเท่าไหร่หรอกครับ ยังไม่มีข้อสันนิษฐานอะไรที่นอกเหนือไปจากเดิม ยิ่งค้นก็ยิ่งไม่พบอะไร เป็นคดีที่ปิดยากเอาการเลย”
“คงเป็นเรื่องท้าทายในรอบสองปีของนายเลยสิ ชอบไม่ใช่เหรออะไรที่ยากๆหนะ”
“ถ้าเป็นสมัยตอนยังอยู่กับหน่วยสืบสวนก็คงชอบหละครับ แต่พอมาอยู่ในหน้าที่นี้ ผมอยากจะให้ทุกอย่างมันราบเรียบไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นมากกว่า”
วิลเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี ถึงเขาจะรักในการทำงาน แต่ถ้าทุกอย่างสงบเงียบจนแทบไม่มีอะไรให้ทำก็คงเป็นความรู้สึกที่สุขใจกว่าเยอะ หน้าที่ผู้รักษากฎหมายกับผู้รักษาความสงบเรียบร้อยของพื้นที่ในความดูแลมันเป็นภารกิจที่แตกต่างกันลิบลับ ถึงวินจะไม่เคยทำหน้าที่เป็นผู้รักษากฎหมายแต่เขาก็คิดว่าเคนคงจะรู้สึกแบบนั้น
“ฉันจะงีบรอนายละกัน หวังว่าคงไม่เกินสิบห้านาทีจากนี้ฉันจะเห็นนายมายืนอยู่หน้าห้องนะ”
“โถ่ท่านรอง วันนี้ทุกโรงเรียนเปิดเทอมนะครับ การจราจรต้องหนาแน่นกว่าปรกติเป็นธรรมดา”
“นี่แหละคือข้อเสียของเมืองนี้เวลาฉันไปตามนัดใครสาย เมืองที่ไม่เคยรถติด ฉันไม่เคยใช้เหตุผลนี้ขึ้นมาอ้างได้สักครั้ง”
เคนหัวเราะ “เอกลักษณ์อีกอย่างของเมืองก็คือผู้คนที่ขึ้นชื่อในเรื่องตรงต่อเวลา ไม่ต้องถึงสิบห้านาทีหรอกครับ แค่สิบนาทีผมก็คงไปถึงหน้าห้องของคุณแล้ว”
“ดี ถ้างั้นฉันคงจะไม่งีบแล้วหละ”
วินวางสายไป เขามองเอกสารบนโต๊ะอีกครั้งก่อนจะปิดมันลง แม้ว่าทุกวันนี้เอกสารต่างๆที่วิลได้รับส่วนใหญ่จะถูกส่งเข้ามาทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ตของเขา แต่กับเอกสารบางอย่างที่มีความสำคัญมากๆกลับใช้รูปแบบการพิมพ์ลงกระดาษแทนที่จะเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เหมือนกับว่ากลัวจะมีแฮกเกอร์มือดีคนไหนมาแฮกเอาข้อมูลไปอย่างงั้นแหละ ระบบรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในสำนักงานนี้รวมถึงแท็บเล็ตของเขาด้วยนั้นซับซ้อนซะยิ่งกว่าพิมพ์เขียวของคุกใต้ดินที่ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีกว่านักโทษคนไหนจะสามารถหลบหนีออกมาได้ซะอีก ไม่เคยมีนักโทษคนไหนทำได้หรอก เขาแค่คิดว่ามันน่าจะใช้เวลาประมาณนั้น
วินแตะโต๊ะสามครั้ง มีภาพเมนูปรากฎขึ้นมาบนโต๊ะให้เลือกหกช่อง วินแตะที่ช่องรูปลิ้นชัก มีเมนูให้เลือกว่าเขาต้องการจะเปิดลิ้นชักไหน วินแตะที่ช่องเอกสารสำคัญ มีช่องให้ใส่รหัสและแถบตัวเลขศูนย์ถึงเก้า วินแตะตัวเลขห้าตัวแล้วกดตกลง มีช่องใส่รหัสปรากฎขึ้นอีกครั้งเพื่อให้เขาใส่มันอีกรอบโดยที่รหัสรอบแรกกับรอบที่สองจะไม่เหมือนกัน ไม่ต้องห่วงหรอกมันไม่ได้ยุ่งยากแบบนี้กับลิ้นชักทุกชั้น ปรกติชั้นที่ไว้เก็บของทั่วๆไปและเอกสารที่ไม่ได้สำคัญอะไรเป็นพิเศษใส่รหัสเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถเปิดได้แล้ว วินใส่รหัสห้าตัวลงไปแล้วกดตกลง ลิ้นชักใต้โต๊ะด้านขวามือของวินเปิดออก มันมีแค่ลิ้นชักเดียวที่เปิดออกมาสำหรับรับเอกสารไปเก็บไว้ในชั้นที่เลือก เป็นลิ้นชักที่ว่างเปล่า เมื่อเราวางเอกสารใดๆลงไปแล้วออกแรงผลักเพียงนิดเดียวมันก็จะปิดตัวเองอย่างเบาๆไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน และกลไกภายในที่วินเองก็ไม่รู้ว่ามันรูปร่างเป็นยังไงจะนำเอกสารของเขาไปเก็บไว้ในช่องที่ถูกต้องเอง
วินชอบรูปแบบการใช้งานของโต๊ะตัวนี้มาก ในสำนักงานนี้ทุกคนจะมีโต๊ะทำงานที่มีระบบการใช้งานแบบเดียวกันทุกคน จะต่างก็แต่ดีไซน์การออกแบบที่จะดูหรูหรามีราคาสูงขึ้นไปตามตำแหน่งงานของผู้ใช้ เคนเคยบอกกับวินว่าเขาอยากจะเปลี่ยนโต๊ะทำงานของตัวเองให้เป็นโต๊ะกระจกธรรมดาที่ไม่ต้องมีความสามารถพิเศษอะไรเพราะรำคาญเวลาช่องเมนูมันโผล่ขึ้นมาทุกครั้งที่เคนเผลอเคาะโต๊ะเวลากำลังใช้สมองคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ตอนนี้นิสัยชอบเคาะโต๊ะของเคนจะหายไปหรือยัง
วินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆปล่อยออกมา ช่วงสองสามวันมานี้เขาต้องเครียดกับเรื่องงานและเรื่องไม่เป็นเรื่องจากคนรักของเขา คนรักงั้นหรือ ยังหรอก เคธี่ คอลลินส์ ยังไม่ใช่คนที่เขาจะใช้คำว่าคนรักด้วย ยังไม่ไกล้เคียงเลยสักนิด
คริส คอลลินส์ ผูกเน็คไทน์สีแดงเข้มลายเส้นเฉียงสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนเอกชนเวสต์คอลล์อย่างชำนาน เขาหยิบเสื้อสูทสีดำปักตราประจำโรงเรียนรูปนกอาฟริกัน เกรย์ที่อกด้านซ้ายขึ้นมาสวมทับเชิ๊ตขาวแขนยาวที่ติดกระดุมเม็ดบนถึงคอ คริสไม่ชอบปลดกระดุมเม็ดบนออกแบบที่นักเรียนคนอื่นๆชอบทำเพราะมันทำให้เขาต้องดึงเนคไทน์ให้หลวมขึ้นด้วย ซึ่งเขามองว่ามันดูไม่เรียบร้อย และถ้าจะให้ผูกเนคไทน์แน่นถึงคอแต่ไม่ได้ติดกระดุมเม็ดบน คริสก็มองว่ามันออกจะดูแปลกๆอีก ต่างจาก เด็กซ์เตอร์ คอลลินส์ น้องชายของเขาที่ไม่ชอบติดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดและชอบผูกเนคไทน์แบบหลวมๆ
คริสเงยหน้าขึ้นมองภาพเคลื่อนไหวจากมุมสูงของถนนสายที่หกซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเวสต์คอลล์ที่มุมซ้ายบนของกระจก นักเรียนหลายคนเริ่มทยอยกันเข้ามาในบริเวณโรงเรียนแล้ว ในเรสเพิร์คมีโรงเรียนไม่กี่แห่งที่มีกฎให้ใส่ยูนิฟอร์ม และล้วนแล้วแต่เป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียง คริสหยิบกล่องสี่เหลี่ยมกำมะหยี่สีเทาขนาดเท่ากล่องแหวนขึ้นมาเปิดดู เข็มกลัดสแตนเลสทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าสลักคำว่า chris collins ถูกซ่อมเรียบร้อยจนไม่เหลือรอยตำหนิ เข็มกลัดสลักชื่อตัวเองจะถูกแจกให้กับนักเรียนทุกคนเมื่อเริ่มเข้ารับการศึกษาที่เวสต์คอลล์ และจะได้รับอันใหม่ก็ต่อเมื่อเกิดการชำรุดจนเจ้าของไม่อยากจะใช้มันอีก ที่จริงคริสจะขอเปลี่ยนอันใหม่ก็ได้ถ้าต้องการ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้มันมีตำหนิกลับทำให้เขาอยากจะใช้อันเดิมต่อมากกว่า
คริสติดเข็มกลัดเข้าที่เสื้อสูทตรงบริเวณอกด้านขวา และยกมือขึ้นแตะที่มุมซ้ายบนของกระจกเพื่อปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อระบบซอฟต์แวร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานในห้องนอนของคริสและรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากที่เดียวกัน เขาสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองแล้วเดินออกมาจากห้องแต่งตัวที่มีประตูเชื่อมต่อกับทั้งห้องน้ำและห้องนอน ส่วนห้องน้ำก็สามารถเปิดเข้าไปได้ทั้งจากห้องนอนและห้องแต่งตัว
ห้องนอนของคริสถูกตกแต่งอย่างเรียบๆ เน้นสีขาวและสีเทา ของตกแต่งส่วนใหญ่คือรูปปั้นเครือบโลหะสีเงินรูปแลนด์มาร์กของประเทศต่างๆที่คริสเคยไป ตัวล่าสุดที่เขาสั่งทำคือปราสาท นอยชวานสไตน์ ประเทศเยอรมันนีที่เขาและพ่อไปเที่ยวด้วยกันเมื่อสี่ปีที่แล้ว เปียโนขนาดเล็กกว่ามาตรฐานหลังสีดำตั้งอยู่ใกล้ๆกับโต๊ะทำงานของเขา มันถูกเช็ดจนใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ คริสเป็นคนรักความสะอาดและมีระเบียบ นิสัยนี้เขาได้มาจากพ่อ
ทันทีที่เดินออกมาจากห้องคริสก็ได้ยินเสียงชาลล์ อ็อตโต ผู้ประกาศข่าวหนุ่มวัยสามสิบสองที่กำลังรายงานเรื่องต้นไม้ที่หักลงมาขวางทางถนนหมู่บ้านไหนสักแห่งดังมาจากในห้องครัว เขาเดินมาที่โต๊ะอาหารแล้วถอนหายใจ อาหารเช้าถูกเตรียมไว้สำหรับหนึ่งคนเท่านั้น
เคธี่ คอลลินส์ แม่ของเขาเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับถือกาแฟมาด้วยสองแก้ว
“เมื่อคืนเด็กซ์ไม่กลับบ้านเหรอครับ ” คริสถาม
“ ลองไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูสิ จะได้รู้ว่าเอาไปเยอะขนาดไหน” เคธี่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงถึงความเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ เธอวางแก้วที่ใส่กาแฟสีเข้มกว่าอีกแก้วลงข้างๆจานอาหาร และยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม
เด็กซ์เตอร์หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่บ้านเพื่อนอีกแล้ว ครั้งที่แล้วหายไปเกือบสองอาทิตย์ ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะไปอยู่นานเท่าไหร่
“ แล้วมันเอายูนิฟอร์มไปด้วยหรือเปล่า”
“ เอาไป แต่ก็เท่านั้นแหละ คงจะวางกองไว้ที่พื้นกลายเป็นผ้าเช็ดเท้า” เคธี่ตอบด้วยน้ำสียงไม่สบอารมณ์
เปิดเทอมทุกปีคริสต้องคอยมองตอนพักกลางวันว่าจะเจอเด็กซ์นั่งอยู่ในโรงอาหารหรือเปล่า ปีที่แล้วไม่ได้เจอ ปีก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้เจอ แต่สองปีที่แล้วเจอ
เมื่อจัดการอาหารในจานเรียบร้อยคริสก็ลงลิฟต์ไปที่ชั้นเก็บยานพาหนะส่วนบุคคลของห้องชั้นสี่สิบแปดซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดินของตึก รถออดี้ซีเอ็กส์เก้าจุดหนึ่งสีขาวสนิทของเขาจอดอยู่ติดกับรถคาดิลแลคเอฟเอ๊กซ์สีดำเทา เด็กซ์เตอร์ไม่ได้เอารถไป
สถานการณ์ที่เป็นอยู่ระหว่างแม่กับเด็กซ์ตอนนี้ย่ำแย่เต็มที เด็กซ์ไม่ยอมพูดกับเคธี่เลยหลังจากที่พ่อย้ายออกไป ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน การหย่าร้างเป็นเรื่องปรกติของสังคมยุคนี้ และเขาก็ไม่คิดว่าเด็กซ์จะไม่พอใจอะไรกับการที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน พวกเราโตเกินกว่าจะเรียกร้องหาครอบครัวแสนอบอุ่นแบบในนิทานก่อนนอนที่ได้ฟังสมัยเด็กๆแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นอะไรที่เข้าใจได้ แต่กับพฤติกรรมของเด็กซ์ คริสไม่สามารถจะเดาได้เลยว่าน้องชายของเขากำลังคิดอะไรอยู่ ครั้งแรกที่เด็กซ์หายออกไปจากบ้านคือหลังจากที่ทะเลาะกับแม่รุนแรงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ คริสยังจำภาพเหตุการณ์นั้นได้ดี ภาพที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะโทษใครดีระหว่างแม่หรือน้องชาย
วันที่เกิดเรื่องคริสไม่ได้อยู่ที่เพนท์เฮาส์ เขากลับมาตอนค่ำๆและไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไรกับการที่น้องชายหายออกไปจากบ้าน จนกระทั่งผ่านไปห้าวันเขาถึงได้ถามเคธี่ขึ้นมาว่าเด็กซ์ไปนอนค้างบ้านเพื่อนที่ไหน ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าจะได้คำตอบด้วยซ้ำ แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้เขารู้สึกเอะใจขึ้นมา สีหน้าของเคธี่ แววตาของความรู้สึกผิดที่ฉายออกมา ความนิ่งเงียบผิดปรกติจนเขารู้สึกได้ เคธี่ไม่ตอบอะไรแล้วเดินหนีเข้าไปในห้องนอน คริสรู้เลยว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เขาเปิดดูภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดของเมื่อห้าวันที่แล้ว วิดีโอที่ถูกถ่ายเอาไว้ในแต่ละวันจะถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ในไฟล์คอมพิวเตอร์ของทุกคนแล้วมันจะทำลายตัวเองทิ้งเมื่อมีอายุครบสามสิบวัน เขานั่งนิ่งมองภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ วิดีโอดำเนินไปเรื่อยๆจนเหตุการณ์เริ่มมาถึงจุดสำคัญ ในที่สุดคริสก็ได้รู้สาเหตุที่เด็กซ์หายออกไปจากบ้าน ภาพที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ทำให้เขารู้สึกหายใจติดขัด
เคธี่กำลังผลักเด็กซ์ติดผนังห้องและทุบไปที่อกของน้องชายเขาหลายครั้ง เด็กซ์หน้านิ่วและพยายามดันตัวเธอออก เคธี่เริ่มต้านแรงไม่ไหวและเซถลาไปข้างหลัง เธอคว้าขอบโต๊ะอาหารเอาไว้ เมื่อกลับมาตั้งหลักได้ก็กระโจนเข้าไปทุบที่ไหลซ้ายของเด็กซ์อย่างแรง น้องชายของเขายกมือขึ้นกุมไหล่ของตนไว้ สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก คริสยกมือขึ้นเท้าคางแล้วก้มหน้าลงไปใกล้จอคอมพิวเตอร์มากกว่าเดิม เด็กซ์เตอร์พยายามเบี่ยงตัวหลบแต่อีกฝ่ายยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เคธี่พยายามจะทุบไปตรงตำแหน่งเดิมอีกครั้งแต่ก็ถูกมือขวาของคนที่เริ่มมีน้ำตาคลอจับเอาไว้ซะก่อน เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่สักพักก่อนที่เคธี่จะถูกผลักออกและล้มลงกับพื้นอย่างแรง ศีรษะเธอกระแทกเข้ากับขาโต๊ะอาหาร ทุกอย่างเงียบไปชั่วขณะ คริสรู้สึกได้ว่าหัวใจเขาเหมือนหยุดเต้น เด็กซ์เริ่มเดินถอยห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็วิ่งออกไปจากห้องและไม่กลับมาอีกเลยเป็นเวลาสี่เดือน เคธี่ยังคงนิ่งอยู่สักพักก่อนที่จะค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้น
คริสกดปิดวิดีโอ เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และเอามือประสานไว้ที่ท้ายทอย ทุกอย่างชัดเจนเท่าที่คนๆหนึ่งต้องการให้ชัด คลิปถูกลบเสียงออกไป คริสไม่ใช่คนหวงพื้นที่ส่วนตัว เขาไว้ใจคนอื่นง่ายและคิดว่าทุกคนจะจริงใจและให้เกียรติในพื้นที่ส่วนตัวของเขา แต่เขารู้แล้วว่าสิ่งที่ตนคิดมันผิด มีคนเข้ามาลบเสียงวิดีโอนี้ในคอมพิวเตอร์ของเขา ใครสักคนหนึ่งในสองคนที่เขาไว้ใจ คริสไม่รู้ว่าคนที่ทำกลัวว่าเขาจะได้ยินอะไรจากเหตุการณ์ตอนไหน แต่เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นเหตุการณ์ตอนที่เด็กซ์เตอร์กับเคธี่นั่งคุยกันอยู่บนโต๊ะอาหารก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มมีปากเสียงกันและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คริสไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะค้นหาความจริงอะไร เขากลัว กลัวว่าอะไรๆมันจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ กลัวว่าความจริงอาจจะทำให้เขารู้สึกแย่กับใครคนหนึ่งมากกว่าเดิม หรือไม่เขาก็กลัวว่าความจริงอาจจะทำให้ใครบางคนเหินห่างเขาไปมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนบทสรุปมันก็ไม่ดีทั้งนั้น คริสเลยเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดถึงเหตุการณ์นี้กับใครทั้งสิ้น เขายังจำสายตาห่างเหินและการเดินหนีทุกครั้งเวลาเจอกันที่โรงเรียนในช่วงนั้นได้ สี่เดือนที่แสนอึดอัดและกระอักกระอ่วน แต่มันก็ผ่านไปเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้
หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นคริสก็ตั้งรหัสผ่านกับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งตัวเอง สายตาที่เขามองคนอื่นเริ่มเปลี่ยนไป เขาเริ่มไว้ใจใครๆน้อยลง เริ่มสร้างเกราะป้องกัน เริ่มสร้างรหัสผ่านที่ยากจะมีใครปลดล็อคได้ คริสไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันดีต่อตัวเขามากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ความสุขของเขาน้อยลงไปมากทีเดียว
คริสสตาร์ทรถและขับเข้าไปในลิฟต์ขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุรถที่ใหญ่กว่าคันนี้ได้อีกเท่าตัว แต่ไม่ใหญ่พอสำหรับรถสองคัน เขากดปุ่มสี่น้ำเงินบนแผงควบคุมเมื่อรถวิ่งออกมานอกตัวตึก คริสยกคันโยกขึ้นช้าๆเมื่อรถเริ่มวิ่งขึ้นไปบนทางที่ถูกออกแบบไว้สำหรับการนำรถทะยานขึ้นสู่อากาศ ล้อรถค่อยๆยกขึ้นจากพื้นดิน เขารู้สึกได้ถึงความเบาโหวงอย่างประหลาดที่แตกต่างจากตอนที่ล้อยังแตะอยู่บนพื้นถนนโดยสิ้นเชิง
เคน มิลเลอร์ จอดรถในลานจอดของสำนักงานว่าการรัฐเกรนดิกท์ใกล้ๆกับประตูทางเข้า เขาก้มลงมองซองพลาสติกสีเทาที่ใส่เอกสารบางอย่างไว้ข้างใน เคนไม่ชอบเลยเวลาได้รับเอกสารอะไรที่มาในรูปแบบนี้ เขารู้สึกว่าข้อมูลที่ถูกพิมพ์ลงบนกระดาษมักจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วย พวกของสำคัญๆมักจะอยู่ในความรับผิดชอบของบุคคลตำแหน่งสูง เจ้าหน้าที่ทั่วไปอย่างเคนไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม
เคนเดินลงมาจากรถแล้วตรงไปที่ประตูทางเข้า สำนักงานที่นี่แตกต่างจากที่ทำงานเก่าของเขาโดยสิ้นเชิง มันดูสาธารณะ คนทั่วไปสามารถเดินเข้านอกออกในได้เพียงแต่ต้องผ่านเครื่องตรวจอาวุธก่อนก็เท่านั้น สมัยที่เคนยังทำงานอยู่ที่หน่วยสืบสวนสอบสวนกลาง การที่เขาจะเข้าไปในสำนักงานสืบสวนได้นั้น จะต้องใส่รหัสผ่าน สแกนลายนิ้วมือ ตรวจค้นอุปกรณ์ไวรัสและตรวจหาคลื่นแม่เหล็กที่อาจส่งผลต่อระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ในสำนักงานได้
แม้จะมีการตรวจเข้มขนาดนั้นแล้วแต่ก็ยังเคยมีเกิดเหตุการณ์โจรกรรมข้อมูลทางคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นสมัยที่เคนยังทำงานอยู่ มีไวรัสเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์หลายเครื่องของสำนักงาน ข้อมูลสำคัญถูกขโมย รายชื่อผู้ต้องสงสัยในคดีใหญ่ๆถูกเผยแพร่สู่สายตาสาธารณะชน คลิปวิดีโอคำให้การของพยานในคดีฆาตกรรมหลายๆคดีถูกปล่อยลงอินเทอร์เน็ต เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายโกลาหนเกินจะสาธยายได้ มีนักข่าวมายืนออที่หน้าสำนักงานทุกวัน เจ้าหน้าที่ตำแหน่งน้อยใหญ่ต่างถูกไมโครโฟนจ่อปากระยะประชิดกันแทบทุกคน ความมั่นคงของหน่วยงานเริ่มสั่นคลอน การขุดคุ้ยคดีเก่าๆที่ยังปิดไม่ได้หรือปิดได้แต่ยังไม่สนิทกลายเป็นงานอันโปรดปรานของเหล่าคอลัมนิสต์ที่ไม่ได้อยู่ในสายนี้ตั้งแต่แรกแต่ขอถือโอกาสใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาอันเลวร้ายของพวกเขาเพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเองกันอย่างเพลิดเพลิน
กว่าทุกอย่างจะจบลง ไม่สิ เรียกว่าปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปเองมากกว่าก็ใช้เวลาเป็นปี ที่จริงมันไม่เคยเงียบสนิทเลย เหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นเหมือนบาดแผลรอยใหญ่แสนเหวอะหวะที่จะติดแน่นอยู่กับหน่วยงานรอวันที่จะมีอะไรสักอย่างที่เป็นเสมือนยารักษามาทำให้มันหายไป ยารักษาที่ว่าอาจจะเป็นการที่หน่วยงานจับตัวคนร้ายตัวจริงมารับโทษได้สักที เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือใคร ที่แย่ไปกว่านั้นคือการมีแพะรับบาปเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี่ด้วย และหนึ่งในแพะฝูงนั้นก็คือเคน
ประตูเลื่อนของสำนักงานยังคงปิดอยู่ ปรกติมันจะถูกเปิดเมื่อถึงเวลาแปดโมงสามสิบนาที แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เคนหยิบบัตรพลาสติกเนื้อแข็งขนาดเท่านามบัตรทั่วไปออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วสอดเข้าไปในเครื่องสี่เหลี่ยมที่ติดอยู่ข้างๆประตู หน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆมีขีดห้าขีดปรากฏขึ้น เขาแตะที่ตัวเลขห้าตัวเพื่อเป็นรหัสสำหรับเปิดประตู ปรกติประตูจะเปิดได้ต้องใช้การสแกนลายนิ้วมือของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มาเข้าเวรในวันนั้นๆ แต่สำหรับสิทธิพิเศษที่มีไว้ให้กับบุคคลตำแหน่งสูงๆ วิน มอเร็ตซ์ สามารถทำให้อะไรๆง่ายดายกว่านั้น บัตรใบนี้สามารถใช้แทนลายนิ้วมือได้
เคนได้รับมันเป็นของขวัญวันเกิดปีที่ยี่สิบแปดจากวินหลังจากที่เขาเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยดูแลคดีอาชญากรรมของที่นี่ได้ปีกว่าๆ วินบอกว่าเคยเห็นเขานั่งทำงานอยู่ในร้านกาแฟใกล้ๆสำนักงานรอเวลาประตูเปิดหลายครั้งแล้ว เลยคิดว่าบัตรนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับเขา ซึ่งมันก็เป็นประโยชน์มากจริงๆ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเคนถึงชอบมานั่งอยู่ในร้านกาแฟรอเวลาประตูเปิดบ่อยๆนั้นก็ไม่มีอะไรมากหรอก เขาแค่อยากจะอยู่บ้านให้น้อยที่สุดก็เท่านั้นเอง
เคนเดินเข้าไปในสำนักงานและล็อคประตูซึ่งใช้วิธีเดิมนั่นก็คือการสอดบัตรเข้าไปในเครื่องที่ติดอยู่ข้างๆประตูและใส่รหัสผ่าน ระบบไฟยังไม่เริ่มทำงานเพราะปรกติมันจะทำงานอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาแปดโมงก่อนที่ประตูจะเปิดครึ่งชั่วโมงทำให้ภายในนี้ยังคงมืดและอากาศก็ชวนให้รู้สึกอึดอัด เขาเดินขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานวิน เป็นห้องเดียวที่เปิดไฟสว่าง ที่นี่ผนังห้องทำงานทุกห้องจะเป็นกระจกใสทำให้สามารถมองเห็นกันได้หมด เขาเห็นวินนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ เมื่อเดินไปใกล้ๆก็เห็นว่าวินนอนหลับตา
เวลาแค่นี้ยังจะหลับอีกเหรอเนี่ย เคนคิด แต่เมื่อเขาผลักประตูเข้าไปข้างในคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ลืมตาขึ้นทันทีและขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้ดูภูมิฐานมากขึ้น
“มาเร็วนะ” วินเอ่ยทัก
“รถไม่ติดนี่ครับ” เคนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับวิน
ไม่ว่าคนตรงหน้าเขาจะงานยุ่งแค่ไหนแต่ห้องนี้ก็ไม่เคยมีแม้แต่เศษกระดาษเล็กๆหล่นอยู่บนพื้นพรมขนสั้นสี้น้ำตาลเข้มที่ดูจะสะอาดอยู่ตลอดเวลา วินเป็นคนมีระเบียบ เรียกได้ว่าเนี้ยบสุดๆ วินไม่ชอบให้อะไรอยู่ผิดที่ผิดทางแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามกับเคนที่กว่าจะรู้ว่าทำของหายไปสักชิ้นก็จนกว่าจะต้องหยิบมันขึ้นมาใช้นั่นแหละ
“ไหน มีอะไรจะให้ฉันดูเหรอ”
เคนวางซองพลาสติกสีเทาลงบนโต๊ะ “มันถูกใส่ไว้ในตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านผม ไม่มีจ่าหน้าซองอะไรเลย คนที่ส่งคงเอามันมาใส่ไว้เอง”
วินมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาฉงนก่อนจะหยิบขึ้นมาเปิดดู และนั่นยิ่งทำให้สีหน้าของเขาฉงนหนักขึ้นไปอีก
“นี่มันอะไรเนี่ย”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ถึงได้บอกไงว่ามันอธิบายยาก”
วินมองข้อความไม่กี่บรรทัดในกระดาษอย่างไม่เข้าใจ “ฉันคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยก็ได้นะ อาจจะเป็นฝีมือของพวกวัยรุ่นที่ชอบเล่นอะไรแผลงๆเอามาใส่ไว้เพื่อให้นายคิดว่านี่เป็นรหัสลับของ.... อะไรดีหละ อาจจะเป็นพวกผู้ก่อการร้ายหรืออะไรสักอย่าง เพื่อให้พวกเราวุ่นวายกันไปเอง”
“หมายความว่าผมไม่จำเป็นต้องสนใจมันเหรอครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่สันนิษฐานดู แต่ถึงยังไงเราก็ปล่อยให้มันเป็นแค่กระดาษเสียใบนึงไม่ได้หรอกถ้ายังไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไรหรือเปล่า” เสียงโทรศัพท์ของวินดังขึ้น ภาพหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏขึ้นบนอากาศตรงหน้าคนทั้งสอง “ขอโทษที” ปรกติวินจะไม่ตั้งโหมดหน้าจออัจฉริยะเวลามีคู่สนทนาอยู่ด้วย แต่เคนคิดว่าบางทีคนเราก็ต้องมีลืมกันบ้าง
วินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากลิ้นชักใหญ่ใต้โต๊ะที่อยู่ตำแหน่งเดียวกับเก้าอี้ เป็นลิ้นชักที่เขาจะไม่ตั้งระบบล๊อคเอาไว้เมื่อยังอยู่ในเวลาทำงาน วินจะล๊อกก็ต่อเมื่อเขากลับบ้านหรือไปธุระข้างนอกที่ต้องทิ้งห้องทำงานไว้หลายชั่วโมง
เคนรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่เพิ่งรับโทรศัพท์ได้ไม่ถึงครึ่งนาที วินพูดเพียงไม่กี่ประโยคและวางสายไป
“นายเชี่ยวชาญเรื่องคดีอาชญากรรมใช่ไหม” วินถามขึ้นน้ำเสียงเครียด
“ก็ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญหรอกครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“มีระเบิด” เสียงวินขาดหายไปครู่หนึ่งพอๆกับที่หัวใจของเคนแทบหยุดเต้น “เราจะไปที่เกิดเหตุกันเดี๋ยวนี้”
ตอนนี้ทั้งเคนและวินกำลังยืนอยู่บนถนนสายที่หก หน้าโรงเรียนเอกชนเวสต์คอลล์
ภาพเขม่าควันสีเทาจางๆยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ เจ้าหน้าที่กำลังเคลียร์พื้นที่ด้วยการดูดควันออกเพื่อไม่ให้นักเรียนหลายๆคนที่กำลังแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสำลักควันจนต้องปฐมพยาบาลกันให้วุ่นวายไปมากกว่าเดิม เพราะตอนนี้ก็มีนักเรียนหลายคนที่สูดดมควันเข้าไปเกิดอาการตาแดงและไอไม่หยุดจนบางคนต้องหามส่งโรงพยาบาล กลิ่นของมันไม่เหมือนกับควันไฟทั่วไป มันทั้งฉุนและแสบจมูกเหมือนมีสารเคมีที่เป็นพิษผสมอยู่เป็นจำนวนมาก
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่สวมหน้ากากกันสารพิษเดินเข้ามาหาพวกเขาและยื่นหน้ากากอนามัยแบบผ้าให้
“เราไม่ต้องสวมหน้ากากแบบคุณด้วยเหรอ” วินถามขึ้นและมองไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ดึงหน้ากากออกเพื่อให้พูดได้ “ตอนนี้ควันถูกดูดออกไปเยอะแล้ว แต่ถ้าพวกคุณอยากจะสวมหน้ากากแบบนี้ก็ได้นะครับ ผมไปเอามาให้ได้ หรือจะเอาที่กรองอากาศแบบอุดจมูกก็ได้ถ้าคุณต้องการ”
“งั้นผมขอที่กรองอากาศแล้วกัน” วินบอก
“ผมขอด้วยคนครับ” เคนเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยที่เจ้าหน้าที่คนนี้ยื่นให้กับเขาเหมือนกัน
“ฉันไม่ได้เจอเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้ในเกรนดิกท์มานานมากแล้ว” วินพูดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่เดินห่างออกไป “มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวยังไงก็ไม่รู้ “
“ผมก็เหมือนกัน” เคนมองไปที่นักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ถือผ้าปิดจมูกอยู่ ดวงตาแดงก่ำ ร่างสั่นเทิ้มไปด้วยแรงสะอื้น เขาเบือนหน้าหนี “ที่นี่ไม่ค่อยมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ผู้คนไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องแบบนี้ ประชาชนจะต้องตื่นตระหนกมากแน่ๆ ป่านนี้ข่าวคงกระจายไปทั่วแล้ว”
“เรื่องนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับที่เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วมีจุดประสงค์อะไร ที่สำคัญมันจะหยุดอยู่แค่นี้หรือเปล่า”
“ตอนนี้ผู้ว่าการอยู่ที่ไหนครับ”
“กำลังจัดการเรื่องข่าวและดูแลเรื่องผู้บาดเจ็บ ขออย่าให้มีใครเสียชีวิตเลย”
เจ้าหน้าที่คนเดิมเดินมาหาพวกเขาแล้วยื่นกล่องพลาสติกเล็กๆสองกล่องให้ วินและเคนรับมันมาเปิดออกแล้วหยิบเครื่องกรองอากาศมาใส่ไว้ที่จมูก วินเดินนำเข้าไปในโรงเรียน ตรงไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งที่กำลังพิมพ์อะไรบางอย่างลงบนแท็บเล็ต
“ขอโทษครับ”
นายตำรวจหยุดพิมพ์แล้วหันมามอง ก่อนจะยืดตัวขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่เอ่ยทักเป็นใคร
“สวัสดีครับ ผมเจ้าหน้าที่เทเลอร์ แฮงค์” นายตำรวจและวินจับมือทักทายกัน
“นี่เคน มิลเลอร์ เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลอาชญากรรมของที่นี่”
เคนยื่นมือไปจับ
“คุณเป็นตำรวจเหรอครับ” นายตำรวจแฮงค์เอ่ยถาม
“เปล่าครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่ประจำรัฐ ทำงานอยู่ที่สำนักงานว่าการ” เคนตอบ
เทเลอร์ แฮงค์ ยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมเพิ่งย้ายมาจากรัฐกรีนวิลล์ ยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่”
“คุณเป็นหัวหน้าดูแลคดีนี้เหรอ” วินถามขึ้น เคนจับน้ำเสียงได้ว่าวินต้องไม่ค่อยพอใจแน่ๆถ้านายตำรวจใหม่มาดูแลคดีใหญ่ๆแบบนี้
“เปล่าครับ ผมแค่มาตรวจดูสถานที่เกิดเหตุอีกรอบนึง เจ้าหน้าที่เวย์ สมิธ กำลังดูกล้องวงจรปิดอยู่ในอาคาร”
“แล้วพบอะไรที่ดูไม่ปรกติบ้างหรือเปล่าครับ” เคนถามขึ้น
“ยังเลยครับ ถ้าจะมีอะไรผิดปรกติก็คงเป็นเรื่องที่เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดไม่สามารถตรวจจับอะไรได้เลย เรากำลังตรวจสอบกันอยู่ว่ามีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับเครื่องรับสัญญาณหรือเปล่า หรือว่าระเบิดชนิดนี้ถูกทำขึ้นพิเศษ ซึ่งเป็นไปได้ยากมากเพราะ ถ้าจะมีใครสามารถสร้างสิ่งที่เลี่ยงเลี่ยงสัญญาณตรวจจับได้.... ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าจะทำได้ยังไง มันคงเป็นอะไรที่ไม่ใช่แค่อาชญากรรมธรรมดา”
เคนรู้สึกว่าตัวเองมือสั่น เหตุการณ์นี้ไม่ใช่อาชญากรรมธรรมดาแน่ๆ เพราะถ้าปัญหาอยู่ที่เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดก็หมายความว่าหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้เกิดความผิดพลาดกับระบบการทำงานอย่างใหญ่หลวง แต่สิ่งที่เคนคิดและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยคือมีคนในที่รู้เห็นและมีส่วนในการลงมือก่ออาชญากรรมครั้งนี้ด้วย
แต่ถ้าผลสรุปออกมาว่าระเบิดชนิดนี้ถูกทำขึ้นมาพิเศษจนสามารถหลีกเลี่ยงสัญญาณตรวจจับได้ มันจะยิ่งน่ากลัวกว่าการที่มีหนอนบ่อนไส้อยู่ในระบบตำรวจซะอีก
……………………………………………………………………………………………
1 ดิลล์ คือสกุลเงินที่ใช้ในยุคหลังการยกเลิกการใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ 1 ดิลล์มีค่าเท่ากับ 28.352 ดอลล่าร์สหรัฐโดยประมาณ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ