The Smoking Gun ควันปืนฝ่าแดนทมิฬ

6.0

เขียนโดย marston

วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 02.15 น.

  1 ตอน
  4 วิจารณ์
  5,217 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 23.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ควันปืนฝ่าแดนทมิฬ ep 1 - 10

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ปล.ผมลบตอนเก่า และขอรวมตอน 1 - 10 ไว้ทีเดียวนะครับ
เนื่องจากกลับไปแก้ไขต้นฉบับ เกลาแล้วเกลาอีก
พร้อมทั้งเพิ่มรายละเอียดบางส่วน
เพราะผมตั้งใจเมื่อจบโปรเจค จะส่งสนพ.ครับ
 
The Smocking Gun ควันปืนฝ่าแดนทมิฬ
               ในปี 1861 สงครามกลางเมืองของสหรัฐได้อุบัติขึ้น การเสียเลือดเนื้อในสงครามกลางเมืองในครั้งนี้ พลเมืองอเมริกันสู้รบกันเองล้มตายไปกว่า 6 แสนคน ทรัพย์สินบ้านเรือนเสียหายประเมินความเสียหายย่อยยับทั้งฝ่ายเหนือ และ ฝ่ายใต้ โดยปมขัดแย้งนั้นมาจากแรงงานทาสแอฟริกัน โดยฝ่ายเหนือซึ่งตั้งแต่ยุคเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม มีรถหัวจักรไอน้ำ ฝ่ายเหนือใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน จึงไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานทาส ในขณะที่ฝ่ายใต้ซึ่งปลูกฝ้ายเป็นหลักยังต้องใช้แรงงานทาสอยู่ ปมขัดแย้งจริงๆเริ่มมาจาก ปี 1846 ลินคอร์นได้รับเลือกจากสมาชิกสภาคองเกรส อันเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้มีนโยบายในการเลิกทาสคนผิวดำ ซึ่งแน่นอน ฝ่ายใต้ไม่เห็นด้วย เศรษฐีและผู้มีอันจะกินในภาคใต้ ไม่ยอมคืนเสรีภาพให้คนผิวดำ ซึ่งเป็นตัวทำเงินทำทองให้แก่พวกเขา มูลเหตุนี้จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นตั้งแต่ปี 1861 สู้รบกันมาจนสิ้นสุดในปี1864 สงครามได้ยุติ ชัยชนะเป็นของฝ่ายเหนือ หลังจากนั้น วันที่ 14 เมษายน 1864 หลังประธานาธิบดีลินคอร์นได้ถูกลอบสังหารในขณะชมละคร ณ.โรงละครฟอร์ด และได้ปิดฉากสงครามกลางเมืองได้ในที่สุดการเลิกทาส และเสรีภาพได้เริ่มต้นจากวันนั้นเป็นต้นมา 
          แต่เสรีภาพและความเท่าเทียมนั้นมีจริงหรือ 
          ปี 1874 สิบปีหลังสงครามกลางเมือง ณ. ทางตอนเหนือของรัฐเท็กซัส ยังคงเป็นเขตพื้นที่ของชาวอินเดียนแดง Indian Territory (พื้นที่รัฐโอกลาโฮม่าในปัจจุบัน) ซึ่งดินแดนกว้างใหญ่แห่งนี้ ยังเป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับใคร
          ณ.บริเวณทุ่งหญ้าแพร์รี่ทางตอนตะวันตกของเขตพื้นที่อินเดียนแดง สายลมแห่งทุ่งหญ้าได้พัดผ่านมา ทำให้ต้นหญ้าพลิ้วไหวตามแรงลม ฝูงควายไบซันนั้นยังอยู่เต็มทุ่ง ชายผู้หนึ่งในวัยกลางคน อายุประมาณ 35 ปี ใบหน้าหยาบกร้านผิวเข้ม ตัดกับหมวกคาวบอยใบใหญ่สีน้ำตาล บุรุษผู้นี้ได้เดินทางอยู่บนหลังม้ามานานหลายสัปดาห์ ค่ำตรงไหนก็นอนตรงนั้น ซึ่งวันนี้นั้นเขาได้เดินทางมาหลายชั่วโมงตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ในขณะนี้ ตะวันคล้อยบ่าย คาวบอยหนุ่มกระโดดลงมาจากหลังม้า แล้วก็นำเศษไม้มาก่อกองฟืนเพื่อต้มกาน้ำ และ ย่างเนื้อที่เขานำติดตัวมา
และในขณะนั้นเอง ความเงียบสงบของทุ่งหญ้าแพร์รี่นั้น ก็ได้ถูกขัดจังหวะขึ้นมา
               “จะหนีไปไหน ไอ้เด็กเวร”
          เสียงควบม้ามาจากชายป่าสลับกับทุ่งหญ้าทางทิศตะวันออก ชายผิวขาวสองคนขี่ม้าไล่เด็กผิวชายดำคนหนึ่งซึ่งวิ่งหนีมาด้วยเท้าเปล่า เด็กชายคนนั้นอายุประมาณ 11-12 ปี ชายผิวขาวบนหลังม้าสีน้ำตาล มันได้โยนคล้องบ่วงบาศคล้องไปที่ตัวของเด็กคนนั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ห่างจากบุรุษนิรนามแค่สิบกว่าหลาเท่านั้นเอง
               “ปล่อยฉันนะ ไอ้บัดซบเอ้ย”
          เด็กชายผิวดำผู้นั้นสบถด่าออกมา
          เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติหลังสงคราม โดยเฉพาะดินแดนแถบตะวันตก หลังสงคราม บรรดาคนที่เคยเป็นทาสพยายามอพยพขึ้นเหนือ บ้างก็ถูกจับบ้าง บ้างก็ถูกฆ่าบ้าง ส่วนดินแดนทางใต้ กลายเป็นดินแดนเถื่อน โดยเฉพาะ เท็กซัส และ นิวเม็กซิโก การปล้น และ ฆ่าเป็นเรื่องปกติของดินแดนแถบนี้ไปแล้ว
          บุรุษนิรนามหันไปมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าอันราบเรียบ เขายันตัวลุกขึ้น แล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาชายผิวขาวสองคนนั้น
               “ฉันว่าพวกแกปล่อยเด็กไปดีกว่านะ”
          เสียงราบเรียบบนใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมได้พูดออกมา
               “แล้วแกเสือกอะไรด้วยวะ”
          ชายผิวขาวคนหนึ่ง มันมีฟันเหลืองอ๋อยเป็นสีทอง ได้โพล่งออกมา
               “ฉันไม่อยากมีเรื่อง ปล่อยเด็กไปดีกว่าน่า”
          บุรุษนิรนามกล่าวย้ำ
          ไอ้ฟันเหลืองได้ยินแบบนั้น มันก็ของก็ขึ้นทันที มันชักมีดออกมาจากซองหนังข้างเอว
               “แต่ตอนนี้ข้าอยากมีเรื่องว่ะ”
          ไอ้ฟันเหลืองไม่พูดพร่ำทำเพลง มันใช้มีดเล่มนั้นแทงตรงมาที่บุรุษนิรนาม คาวบอยหนุ่มใช้มือขวาจับมือข้างที่ถือมีดของไอ้ฟันเหลือง เขาถอยออกก้าวหนึ่งเพื่อตั้งหลัก แล้วเตะผ่าหมากไปเต็มๆเป้า ไอ้ฟันเหลืองหน้าเขียว มันจุกจนทำมีดในมือหล่น แล้วลงไปฟุบลงไปนอนเอามือกำเป้า คาวบอยหนุ่มจึงเตะมีดให้ออกไปไกลๆ
               “แกเปิดช่องว่างเบ้อเร่อเลยว่ะ”
          บุรุษนิรนามได้พูดออกมา
               ส่วนชายผิวขาวอีกคนนึงนั้น มันเป็นคนร่างผอมเกร็ง เมื่อเห็นเพื่อนของมันลงไปกอง ไอ้ผอมเกร็งจึงเอื้อมมือหยิบปืนที่อยู่ข้างเอว และในช่วงวินาทีนั้นเอง คาวบอยหนุ่มเห็นศัตรูกำลังชักปืน ด้วยสัญชาติญาณ เขาจึงรีบเอื้อมมือไปคว้ารีวอลโว่ที่อยู่ข้างเอว
               “ปังง”
          แค่เสี้ยววินาทีนั้นเอง ได้มีเสียงกระสุนได้ลั่นไกออกจากลูกโม่
          ความ เงียบในชั่วเพียงเสี้ยววินาที ที่แม้แต่เสียงเข็มตกก็ยังได้ยิน ปืนของชายร่างผอมได้กระเด็นหลุดออกไปจากมือ บุรุษนิรนามชักปืนเร็วกว่ามันแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง โดยกระสุนนัดนั้น พุ่งตรงไปโดนที่ข้อมือของชายร่างผอมเกร็ง
               “แกช้าไป”
          เสียงราบเรียบจากปากของชายนิรนาม
          แล้วชายนิรนามผู้นั้นเดินไปนั่งคุกเข่าข้างๆเด็กผิวดำ
               “ไอ้หนู นายชื่ออะไร”
          เด็กผิวดำผมหยิกผู้นี้เป็นแอฟริกันแท้ๆอย่างแน่นอน เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้จ้องทำร้ายเด็กผู้นี้เพื่ออะไร แต่ตอนนี้เด็กคนนี้ปลอดภัยแล้ว
               “ผมชื่อวิคเตอร์ ครับ วิคเตอร์ อาชามู”
          เด็กน้อยได้ตอบกลับไป
               “ส่วนฉันชื่อ คลินท์ เวสต์ฟิลด์”
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ได้เดินตรงไปที่ม้า เขาพูดกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
               “มา เจ้าหนู ขึ้นม้า”
          เด็กน้อย และ และชายผู้ลึกลับได้ปีนขึ้นหลังม้า และเขาก็ควบม้าตะบึงออกไปในทุ่งกว้างทันที
               “บ้านนายไปทางไหน”
          บุรุษหน้าเหี้ยมเกรียมได้ถามเด็กน้อย
               “ทางตะวันออก ที่เมืองเฮย์ลี่ย์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆครับ”
          เด็กน้อยได้ตอบชายผู้ลึกลับ
               “ไอ้หนู แล้วพวกนั้นตามไล่จับนายทำไม”
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ถาม
               “หลังสงคราม ผม กับ แม่ ได้หนีมาจากอลาบาม่า พวกเราอพยพ และได้มาอาศัยที่ดินแดนแห่งนี้ เพราะเป็นดินแดนของชาวอินเดียนแดง เราไม่คิดว่าพวกนั้นจะตามมาได้”
          วิคเตอร์ได้ตอบกลับไป
               “แล้วพวกนั้นล่ะ เป็นใครกัน”
          บุรุษลึกลับยิงคำถามกลับไป
               “พวกมันเป็นพวกฮันเตอร์ ตามจับทาสที่หนีมาเพื่อส่งกลับไปครับ เพราะแท้ที่จริงแล้วในบางพื้นที่ในตอนใต้ก็ยังไม่ได้มีการเลิกทาส ผมและแม่ยังต้องหลบๆซ่อนๆ ผมรับจ้างเลี้ยงม้า ส่วนแม่ก็ต้องรับทำงานทุกอย่างที่เขาว่าจ้าง และตอนนี้พวกมันรู้แล้วว่าผมกับแม่อยู่ที่ไหน สงสัยผมกับแม่ต้องหนีลงใต้เข้าเม็กซิโกถึงจะปลอดภัยกระมัง”
          เด็กน้อยตอบคำถามอย่างน้ำเสียงระทม
               “ทำไมนายไม่ขึ้นเหนือล่ะ ทางเหนือคนดำอย่างนาย ได้เป็นเสรีชน”
          เด็กน้อยเงยหน้ามองไปที่ดวงตะวัน ในขณะที่ม้าได้วิ่งตัดผ่านทุ่งหญ้าแพร์รี่ไป
               “มันคงยากที่จะเดินทางไปถึงได้ โดยที่ไม่โดนจับไปซะก่อน”
          แล้วทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผ่านไปสักยี่สิบนาที ม้าก็ได้ควบมาถึงหน้าหมู่บ้านของเด็กน้อย
               “ถึงหมู่บ้านของฉันแล้วล่ะ ขอบใจนายมากนะ คาวบอย”
         เจ้าหนูกล่าวขอบคุณจากใจจริง
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ชายผู้ลึกลับยิ้มเล็กๆ แล้วเอามือแตะไปที่ปีกหมวก คาวบอยหนุ่มก็สั่งม้าให้ค่อยๆเดินเข้าไปในเมืองเฮลี่ย์ในทันที
     เมืองเฮลี่ย์นั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีบ้านสร้างอยู่อย่างหลวมๆไม่เกินสองร้อยหลังคาเรือน เมืองนี้อยู่ในใจกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ของแผ่นดินอเมริกา เวสต์ฟิลด์ดูรอบๆแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองที่มีผู้คนหลากหลายมาก่อร่างสร้างเมือง ทั้งคนผิวดำ ไอริช เม็กซิกัน และ คนจีน
          วิคเตอร์พาเดินไปที่บ้านของเขาซึ่งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ซึ่งบ้านของเขานั้นสร้างอยู่กลางทุ่ง โดดเดี่ยวกว่าบ้านหลังอื่น บ้านของวิคเตอร์นั้นเป็นบ้านหลังเล็กๆที่ทำด้วยไม้ คาวบอยผู้ลึกลับ และ เด็กน้อยก็กระโดดลงจากหลังม้า เจ้าหนูรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน และ สอดส่องสายตามองหาแม่ของเขา
               “แม่ไม่อยู่แฮะ สงสัยคงออกไปทำงานกระมัง ฉันว่าจะแนะนำนายให้แม่ฉันรู้จักสักหน่อย”
          เด็กน้อยพูดออกมาด้วยความผิดหวัง
               “ยังไงคืนนี้ฉันคงต้องนอนที่หมู่บ้านนี้แล้วแหละ หวังว่าหมู่บ้านนี้คงจะมีเหล้าให้ฉันกินบ้างนะ”
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ชายลึกลับผู้มีใบหน้าเหี้ยมเกรียม ได้บอกกล่าวกับเด็กน้อย และยิ้มที่ปลายมุมปาก
               “บาร์ที่เมืองนี้ก็มีนะ เป็นบาร์เล็กๆอยู่ที่กลางเมืองน่ะ อยู่ตรงนู้นๆๆๆแน่ะ”
          เด็กน้อยวิคเตอร์บอกเขา พร้อมชี้มือไปทางขวา
          คาวบอยหนุ่มเดินกลับไปที่ม้า เขากระโดดขึ้นคร่อมม้าคู่ใจ
               “โอเค ขอบใจมาก งั้นฉันไปแล้วนะเจ้าหนู พรุ่งนี้ ก่อนที่ฉันจะเดินทางต่อ ฉันจะแวะมาหานาย”
          วิคเตอร์จึงถามเขากลับไปว่า
               “แล้วนายจะเดินทางไปไหน”
          เวสต์ฟิลด์หันมาพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบกับเด็กน้อยว่า
               “แล้วแต่โชคชะตา”
          คาวบอยหนุ่มขี่ม้าหันหลังเดินจากเด็กน้อยมา แล้วเขาก็บังคับม้าคู่ใจตรงเข้าไปในเมือง ในขณะนั้น ตะวันก็เริ่มคล้อยบ่ายลงมา เขาหยิบนาฬิกาพกออกมาดู ขณะนี้เวลา 4 โมงเย็น เวสต์ฟิลด์ขี่ม้าเดินไปถึงหน้าบาร์ที่วิคเตอร์บอก ชายพเนจรกระโดดลงจากหลังม้า แล้วเขาก็จูงม้าไปผูกไว้ที่หน้าร้าน เสร็จแล้วคาวบอยหนุ่มก็เดินตรงไปที่บาร์ทันที เขาเอามือผลักบานประตูที่เป็นแบบสวิงเดินเข้าไปในร้าน ในร้านเหล้าแห่งนั้นช่างจอแจซะเหลือเกิน มีคาวบอย คนเลี้ยงม้า คนงานเหมือง นั่งกินเหล้าเต็มร้านไปหมด เขาเดินตรงไปนั่งที่เคาท์เตอร์ของบาร์เหล้า
               “ฉันขอเหล้าที่นึง”
          หนุ่ม พเนจรได้สั่งเหล้า กับบาร์เทนเดอร์สาวผมบลอนด์ แค่มองไปที่ใบหน้าของหล่อน ในความรู้สึกของเขาตอนนั้นบอกว่า หล่อนงดงามมาก เป็นความงามที่ชายใดได้มองตาเธอเพียงแค่แว๊บเดียวก็แทบหลงไหลคลั่งไคล้นาง ได้ในทันที ดูๆแล้ว หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ น่าจะเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ ในโรงละครโอเปร่าที่นิวยอร์คมากกว่าที่จะมาเป็นบาร์เทนเดอร์ในบาร์เล็กๆบ้าน นอกเช่นนี้ เวสต์ฟิลด์คิดในใจ
               “คนแปลกหน้า เจ้ามาจากไหนกัน”
          หญิงสาวส่งยิ้ม แล้วรินเหล้าดีกรีแรงให้ดื่ม
               “ฉันมาจากบอสตันเดินทางรอนแรมลงมาทางใต้เรื่อยๆ”
          คาวบอยหนุ่มพเนจรได้ตอบคำถามหญิงสาว
               “เดิน ทางมาไกลนี่ ส่วนฉันมาจากเท็กซัส แต่ที่ฉันมาอยู่ที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ เพราะฉันเบื่อพวกเศรษฐีแดนใต้งี่เง่าทั้งหลาย จึงขอมาอยู่สงบๆที่หมู่บ้านแห่งนี้ดีกว่า แต่คนงี่เง่าที่นี่ก็มีนะ เจ้าไอริชคนนั้น” ประโยคหลังเหมือนเธอพูดเบาๆรำพันกับตัวเอง
          “ฉันชื่อลิซ่านะ แล้วนายล่ะ คนแปลกหน้า”
          หญิงสาวถามพร้อมส่งยิ้มเล็กๆให้กับบุรุษหน้าเหี้ยมเกรียมผู้นี้
               “ฉันชื่อ คลินท์ เวสต์ฟิลด์”
          เวลาผ่านไปจนตะวันใกล้ลับขอบฟ้า หนุ่มพเนจรดื่มไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการมึนเมาออกมาให้เห็นเท่าใดนัก
               “เอี๊ยด”
               เสียง ผลักประตูบานเลื่อนมี ไอ้หนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างสูงหน้าตาดี มาดกวนโอ้ย ได้เดินเข้ามาในร้านแล้วตรงมาที่หน้าเคาท์เตอร์
               “ลิซ่า เอาเหล้าให้พี่แก้วนึงสิจ๊ะ”
          ไอ้หนุ่มสำเนียงไอริชสั่งเหล้า พร้อมเอามือท้าวนี่เคาท์เตอร์บาร์
               “เหล้าหมด”
          ลิซ่า ตอบห้วนๆ
               “เฮ้ย หมดได้ไง แล้วที่ไอ้นี่กินอยู่มันคืออะไร น้ำเปล่าหรือไงวะ”
          ไอ้หนุ่มโวยวายขึ้นมา คนในร้านหันมามองเขาเป็นตาเดียว
               “มันเพิ่งหมด”
          ไอ้หนุ่มชี้หน้าหญิงสาว
               “นี่ เธอดูถูกฉันมากนะ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยามฉันได้เท่าเธอ หรือ เธอเห็นว่าฉันรักเธอ และคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอใช่มั้ย”
          ไอ้ หนุ่มคว้าแก้วที่วางอยู่หน้าบาร์ เตรียมจะขว้างใส่ ทันใดนั้นเวสต์ฟิลด์ก็คว้าข้อมือไอ้หนุ่มไอริชจอมโอหัง แล้วต่อยเปรี้ยงสวนไปหนึ่งหมัด เจ้านักเลงโตเซไปสองสามก้าว คนในร้านหันมามองมันทั้งร้าน แต่ผู้คนก็เหมือนไม่ได้ตกใจอะไรมากมาย เพราะการวิวาทนั้นเป็นเรื่องปกติของดินแดนตะวันตกไปแล้ว
               “แก”
          ไอ้หนุ่มไอริชโกรธอย่างมาก ยืนชี้หน้า แต่ก็ทำท่ายึกๆยักๆไม่กล้าเข้ามา
               “เออ ไว้ข้าจะกลับมาใหม่”
          ไอ้หนุ่มไอริชเดินออกไปจากบาร์พร้อมความแค้น หลังจากไอริชจอมโอหังผู้นั้นได้เจ็บตัวออกจากบาร์ไป ลิซ่านางก็เล่าว่า เจ้าไอริชคนเมื่อกี๊มีชื่อว่า รอย อีแวน มันไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้ แต่มาที่เมืองนี้เกือบทุกวัน ซึ่งลิซ่าก็ไม่รู้ว่าเจ้ารอยมันมาจากที่ไหน รู้คร่าวๆว่าเป็นลูกน้องของเศรษฐีในเท็กซัสคนนึง ที่มันมาที่นี่ทุกวันเพราะมาจีบลิซ่านั่นเอง ซึ่งเธอไม่สนใจในตัวรอยสักนิด เพราะเธอไม่ชอบคนที่ชอบวางท่า
          เวสต์ฟิลด์นั่งอยู่ที่บาร์เหล้าจน ยามวิกาล เขานั่งกินเหล้าอยู่เงียบๆเพียงแค่คนเดียวโดยลิซ่ากำลังทำความสะอาดเตรียม เก็บร้าน
               “แอ๊ดดด”
เสียงผลักประตูบาร์ ร่างเล็กๆร่างหนึ่งได้ปรากฏเข้ามาในร้าน
          ผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ใคร วิคเตอร์นั่นเอง
               “นายยังอยู่ที่นี่เหรอ ฉันเห็นม้าผูกไว้ เลยเดินเข้ามาดู ฉันนึกว่านายหนีออกไปนอนกลางทุ่งซะแล้ว”
          วิคเตอร์เดินเข้ามาทักทายด้วยความดีใจอย่างมาก ที่ได้พบตัว คลินท์ เวสต์ฟิลด์ อีกครั้ง
               “ฉัน เล่าเรื่องของนายให้แม่ฉันฟังแล้ว แม่ฉันยินดีที่จะให้นายไปนอนที่บ้านเราในคืนนี้ ถึงบ้านเราจะคับแคบ ก็ดีกว่าที่นายไปนอนกลางทุ่งละกัน”
               คาวบอยหนุ่มยิ้มที่บริเวณมุมปาก
               “ขอบใจมากวิคเตอร์ ไป กลับบ้านนายกัน”
               คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ได้ออกมาจากร้านเหล้า แล้วโดดขึ้นคร่อมม้าคู่ใจเขาสั่งม้าให้ค่อยๆเดินไป วิคเตอร์ก็เดินตามเคียงข้างตามมา ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับบ้านของวิคเตอร์ซึ่งอยู่บริเวณท้ายหมู่บ้าน ทันใดนั้นก็มี เสียงโหวกเหวกจากชาวบ้านดังขึ้นมา มีชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งออกมาจากบริเวณท้ายหมู่บ้าน คนๆนั้นเป็นคนจีนอพยพ วิ่งล้งเล้งโวยวายมาตลอดทาง ชายผู้นั้นโวยวายเป็นภาษาจีนฟังไม่ได้ศัพท์ อาตี๋เห็นวิคเตอร์เลยรีบวิ่งเข้ามาหาเด็กน้อย
               “อาวิคเตอร์ ไฟไหม้อ่า ไฟไหม้บ้านอีเลี้ยว แม่อีโดนใครไม่รู้จับตัวขึ้นหลังม้าไปแล้วอ่า”
               “แม่”
               วิคเตอร์วิ่งเต็มเหยียดสุดฝีเท้าในทันที ส่วนคาวบอยหนุ่มได้ควบม้าเลยล่วงหน้าออกไปด้วยเช่นกัน
               ที่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ภาพข้างหน้าที่เห็นเป็นภาพกองเพลิงสูงท่วมหัว บ้านของวิคเตอร์จมอยู่ใต้กองเพลิง มีชาวบ้านหลายสิบคนมุงดู เวสต์ฟิลด์ได้ลงไปสอบถามชาวบ้าน ชาวบ้านได้บอกว่า ได้เห็นแม่ของวิคเตอร์ถูกจับตัวขึ้นหลังม้า โดยโจรร้ายที่ปิดหน้าปิดตา มันวางเพลิงเสร็จแล้วก็ควบม้าหนีออกไปในทุ่ง คาวบอยหนุ่มได้ยินดังนั้น ไม่รอช้ารีบบึ่งม้าออกไปติดตามภายในทันที
          ในคืนที่เงียบสงัดของทุ่งหญ้าแพร์รี่ มีเพียงแค่แสงจันทร์และดวงดาวจากฟากฟ้าที่คอยนำทาง เวสต์ฟิลด์ควบม้าห้อตะบึงออกไปโดยไม่รู้จุดหมาย เขาจะตามหาแม่ของวิคเตอร์ได้ที่ไหน มันช่างเป็นเรื่องยากลำบากซะเหลือเกิน ในการตามหาคนในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ คาวบอยพเนจรควบไปตามด่านเกวียน หวังว่าคนร้ายจะวิ่งมาตามทางหลักนี้
               “เดี๋ยวหยุดก่อน”
          เขากระตุกเชือกสั่งม้าให้หยุดวิ่ง แล้วกระโดดลงแล้วเดินมาพิจารณาหลักฐานชิ้นหนึ่งที่เขาเพิ่งเจอ กลางด่านนั้นมีรอยมูลของสุนัขจิ้งจอกซึ่งถูกเหยียบไว้โดยรอยเท้าม้า ซึ่งเป็นรอยสดๆ มันเพิ่งถูกเหยียบไว้ไม่นาน เวสต์ฟิลด์ได้ทำการพิจารณาหลักฐาน โดยใช้ทักษะของทหารที่เคยเรียนในสมัยที่เขาเป็นทหารฝ่ายเหนือ ซึ่งเคยเองก็เคยร่วมรบในสงครามกลางเมืองมา และ ตัวเขาเองนั้นก็เคยแกะรอยข้าศึกมาบ้างแล้ว จึงไม่ยากที่เขาจะแกะรอยของศัตรู รอยมูลนั้นได้เบี่ยงไปทางขวาจากด่านเวียน หนุ่มพเนจรไม่รอช้าเขากระโดดขึ้นหลังม้า เขาควบบึ่งตามไปโดยเร็ว คาวบอยหนุ่มได้ควบม้าไปทางขวาของด่าน ตามรอยลู่ของทุ่งหญ้าไป เขาควบม้าไปเรื่อยๆ จนมาหยุดตรงที่หนึ่ง ที่ตรงนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ สังเกตได้จากรอยหญ้าและกิ่งไม้นั้นลู่หักออกเป็นวงกลม มีการต่อสู้ ปลุกปล้ำ และ มีคนล้มลุกคลุกคลานที่บริเวณนี้ รอยนั้นเพิ่งเกิดสดๆไม่นาน ไม่น่าจะเกิน 10 นาที ใช่แล้ว เวสต์ฟิลด์ได้แกะรอยตามมาถูกทางแล้ว เขารีบควบม้าตามไปติดๆ ปลายสุดของทุ่งหญ้าข้างล่างลงไปตรงเนินเขาจะมีลำธารสายเล็กๆสายนึง กลางดึกที่เงียบสงัดนั้น นานๆจะมีเสียงเห่าหอนของโคโยตี้สักที มันช่างเป็นคืนที่เงียบสงัดซะจริงๆ และทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่ง ที่ทำลายความเงียบของราตรีกาล
               “ปัง”
          เสียงปืนนัดนั้นได้ยินอย่างชัดเจนเสียงมันอยู่ใกล้ๆนี่เอง เวสต์ฟิลด์รีบควบม้าติดตามที่มาของเสียงๆนั้นทันที เขาเร่งม้าควบไปตามแนวของลำธาร ภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพของหญิงผู้หนึ่งถูกยิงข้างหลังล้มลงคว่ำหน้า โดยมีชายรูปร่างผอมสูงปิดใบหน้าไว้ด้วยผ้าผืนหนึ่ง พ่อหนุ่มคาวบอยกระโดดลงจากหลังม้า แล้ววิ่งเข้าไปรวบชายผู้นั้นในขณะที่มันยังไม่ทันตั้งตัว เขาพลิกขึ้นมาอยู่ข้างบน เวสต์ฟิลด์จ้วงหมัดรัวไปที่ใบหน้าโจรร้ายผู้นั้นหลายชุด
          ตุบ ตับ ตุบ ตับ
               “โอ้ย ๆ แกเป็นใครกันวะ โอ้ยๆๆ”
          โจรร้ายพยายามที่จะป้องกันตัวเอง แต่สำหรับเวสต์ฟิลด์ผู้เคยผ่านสงครามมาแล้วอย่างโชกโชน เขาเคยฝึกฝนทั้งการยิงปืน และ การต่อสู้ด้วยมือปล่าว คาวบอยพเนจรอัดใส่ไม่ยั้ง เวสต์ฟิลด์กระชากผ้าผืนนั้นออก เขาอยากรู้ว่าวายร้ายผู้นี้มันเป็นใคร
               “ยอมแล้ว ยอมแล้ว หยุดซ้อมฉัน หยุดซ้อมฉัน”
ใบหน้าโจรผู้นั้นนั้นได้เผยออกมา มันไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ รอย อีแวน เจ้านักเลงไอริชจอมโอหัง ที่มาหาเรื่องเขาในบาร์เมื่อตอนเย็นนี่เอง เวสต์ฟิลด์ยืนขึ้นและชักปืนออกมาเตรียมพร้อมยิงหากไอ้นักเลงไอริชคิดหนีหรือ ตุกติก
               “แกคือ รอย อีแวน”
          เสียงราบเรียบออกมาจากปากคาวบอยหน้าเหี้ยมเกรียม
               “ใช่ ฉัน คือรอย อีแวน แล้วแกเป็นใครวะ”
          รอย อีแวน มันได้ถามกลับมา
               “ฉันชื่อ คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ฉันเป็นอดีตทหารฝ่ายเหนือมาจากบอสตัน แกยิงหล่อนทำไม”
          กริ๊ก เสียงนกสับ ดังขึ้นหนึ่งครั้ง คลินท์ เวสต์ฟิลด์ เตรียมพร้อมลั่นไก
               “เฮ้ๆๆ ใจเย็นคาวบอย ไม่เอาน่า”
          นักเลงไอริชจอมโอหังทำหน้าเลิ่กลั่กทันทีเมื่อเห็นเวสต์ฟิลด์ชักปืนออกมา
               “แกยิงหล่อนทำไม”
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ได้ถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
               “มันวิ่งหนี ฉันเลยยิงมัน”
          ไอ้นักเลงไอริชตอบ
               “แล้วแกจับหญิงผู้นี้มาทำไม”
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ยิงคำถามกลับ เจ้านักเลงไอริช เงียบ อึกๆอักๆไม่ยอมตอบคำถาม
               “แกไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ตอบฉันยิงทิ้ง คิดหนีฉันก็ยิงทิ้งเช่นกัน”
          น้ำเสียงราบเรียบนั้นออกมาจากหน้าอันเหี้ยมเกรียมของชายพเนจรแต่ไอ้หนุ่ม ไอริชมันก็ยังอึกๆอักๆเช่นเดิม มันไม่ยอมตอบอะไรทิ้งสิ้น
               “ปัง”
               “ฟิ้ว”
          เสียงกระสุนเสยผ่านใบหูของ รอย อีแวน ไปนิดเดียว จอมโจรไอริชแหกปากร้องลั่นทุ่ง
               “โอ้ย แกจะบ้าหรือไงวะ กระสุนเฉี่ยวหูไปนิดเดียว”
          ไอ้นักเลงไอริชแหกปากโวยวาย
               “ฉันยิงผิด แต่นัดต่อไปกลางกบาลแกแน่”
          เวสต์ฟิลด์ได้พูดออกมา
               “โอเคๆ ฉันมีอาชีพเป็นฮันเตอร์ ฉันเป็นคนล่าพวกทาสไอ้มืด ที่หลบหนีมาตามใบสั่ง”
          ไอ้หนุ่มไอริชตอบกลับไป
               “ฮันเตอร์ งั้นเหรอ หึๆๆๆ พวกแกอาละวาดมาถึงที่นี่เลยรึ หึๆ”
         เวสต์ฟิลด์หัวเราะในลำคอ
                “แกรู้จักพวกเราด้วยรึ”
         รอย อีแวน ถามกลับไป
“ทำไมฉันจะไม่รู้จัก ขอบอกให้แกรู้เลยนะ ฉันฆ่าพวกของแกมาแล้วหลายคน พวกแกรับงานมาจากพ่อค้าทาส โดยตอนแรกนั้นพวกแกได้ขนทาสมาจากแอฟริกา พวกแกค้าทาสกันมาหลายสิบปีโดยพ่อค้าทาสชาวสเปน ซึ่งทาสเหล่านั้นขึ้นเรือมาจากฟลอริด้าพอหมดยุคค้าทาสเมื่อสิบปีก่อน พ่อค้าทาสเหล่านี้ก็รับงานเป็นฮันเตอร์รับจ้างฆ่า คอยจับตัวคนดำที่หลบหนีไม่ให้ขึ้นเหนือ โดยงานนั้นจะรับออเดอร์มาจากเหล่าเศรษฐีทั่วแดนใต้”
          หนุ่มพเนจรได้สาธยายให้ฟัง
               “แกเป็นใครกันวะ”
          ไอ้หนุ่มไอริชลนลานถามกลับไป
               “ฉันเคยเป็นอดีตนายทหารฝ่ายเหนือ ของ พันเอก โรเบิร์ต กูลด์ ชอว์กองพันที่ 54 เคยร่วมรบที่ฟอร์ท ว้ากเนอร์ จนจบสงคราม”
          บุรุษหน้าเหี้ยมเกรียมได้ตอบกลับมา
               “อ๋อ ไอ้กองพันเลือดผสมนี่เอง แกเคยอยู่ร่วมกับพวกนิกก้าลิงดำพวกนั้นสินะ”
          ไอ้ไอริชหัวเราะเยาะ
               “หุบปากได้แล้ว ถ้าไม่อยากถูกยิง”
          เสียงราบเรียบไร้อารมณ์ได้ออกมาจากอดีตนายทหารฝ่ายเหนือ
               “แกทำงานให้กับ คาร์ลอส เอ็นริเก้ใช่หรือไม่”
          หนุ่มพเนจรได้ถามคำถามกลับไป
               “ถ้าใช่แล้วไง”
          ไอ้นักเลงโตตอบอย่างเย้ยหยัน
               “แกมาจับตัวเธอ งั้นไอ้คนที่มาจับเด็ก ลูกของเธอเมื่อตอนกลางวัน คนพวกนั้นคือพรรคพวกของแกด้วยสินะ”
          อดีตนายทหารกองพันที่ 54 จากบอสตัน ได้ถามด้วยใบหน้าอันราบเรียบเช่นเดิม
               “ใช่ พวกนั้นเป็นเพื่อนฉันเอง แต่ไอ้เด็กนั่นกระโดดหนีจากหลังม้า เพื่อนฉันก็เลยไล่จับมัน เพราะนายจ้างอยากให้จับเอาทรัพย์สินของพวกเขาคืน จริงๆนายจ้างอยากให้จับเป็นมากกว่าจับตาย ถ้าพวกมันไม่คิดหนีน่ะ บางทีฉันก็จำเป็นต้องทำ อ้อๆๆ ใช่แล้ว แกสินะ ที่ช่วยไอ้เด็กเวรนั่นเอาไว้ ”
          ไอ้นักเลงไอริชยังพูดจาโอหังเช่นเดิม
               คลินท์ เวสต์ฟิลด์ยิ้มที่ปลายมุมปาก แล้วพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบว่า
               “โอเค ฉันไม่มีอะไรจะถามแล้ว เอาล่ะ ฉันจะให้โอกาสแก ไปเก็บปืนมาซะ ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเก็บช้า แกตาย”
          “1”
          ไอ้นักเลงโตยังงงๆ ทำท่าเงอะๆงะๆ งงๆ มองไปที่ปืนที่ตก มันวิ่งไปที่ปืนในทันที
               “2”
          รอย อีแวนหยิบปืน มันรีบยกปืนขึ้น แต่ก็ยังทำท่าเก้งๆก้างๆ ลุกลี้ลุกลน
                    “3”
               “ปัง ปัง ปัง”
               “อั๊กๆๆ”
          เสียง ปืนดังสนั่น ณ.บริเวณธารริมทุ่ง เสียงนั้นได้ทำลายความเงียบสงัดยามราตรี มีแต่เสียงนกกระพือปีกบินหนีเสียงดังจากปลายปืน ไม่มีแม้แต่เสียงร้องออกมาจากนักเลงโตไอริช มันโดนยิงพรุน 3 นัด เข้าเป้าที่กลางลำตัวทุกนัด ร่างนั้นวิญญาณออกจากร่างก่อนล้มลงสู่ผืนดินเสียอีก เวสต์ฟิลด์เข้าไปสำรวจฮันเตอร์ชาวไอริช เก็บปืนของมันมา และเขาก็เดินไปที่ร่างของหญิงที่นอนคว่ำอยู่ ร่างไร้วิญญาณของแม่วิคเตอร์
               “ขอให้พระองค์รับวิญญาณของสตรีผู้นี้สู้สรวงสวรรค์ เอเมน”
          อดีต นายทหารฝ่ายเหนือจากกองพันที่54 ได้แบกร่างไร้วิญญาณของสตรีขึ้นหลังม้าของเจ้านักเลงโตไอริช ส่วนเจ้านักเลงโตไอริชเอง ถึงแม้เป็นศัตรูของเขา เวสต์ฟิลด์ก็ขุดดินทำหลุมฝังศพให้ ที่ณ.บริเวณข้างลำธารแห่งนั้นเอง เสร็จแล้วอดีตนายทหารหนุ่มก็กระโดดขึ้นหลังม้าของตน แล้วค่อยๆจูงม้าอีกตัวของนักเลงโตไอริช ที่นำร่างไร้วิญญาณของแม่วิคเตอร์วางไว้บนหลัง แล้วก็เดินจากบริเวณนั้นไป แล้วเขาก็ค่อยๆจูงเดินตัดทุ่งหญ้าแล้วตัดกลับทางด่านเกวียน เพื่อเดินทางกลับไปหมู่บ้านเฮลี่ย์ ทันทีเมื่อเขาเหยียบย่างเข้าสู่ท้ายของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเขตบริเวณบ้านของวิคเตอร์ บัดนี้ ไฟได้ลุกลามจนดับไปหมดแล้ว เหลือเอาไว้แต่ตอตะโกสีดำ เศษไม้ผุพัง และ เขาได้เห็นเด็กน้อยวิคเตอร์ยืนทอดอาลัยอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ผู้คนมากมายที่มามุงดูบ้านเขาตอนไฟไหม้นั้น บัดนี้ได้อันตธานหายไปหมด เนื่องจากเปลวเพลิงไม่ลุกไปโดนบ้านหลังอื่น ต่างคนก็ตัวใครตัวมันเข้าบ้านใช้ชีวิตตามวิถีของตัวเอง เด็กน้อยได้แต่มองทอดอาลัยบ้านของตัวเอง โดยปราศจากผู้คนที่มาสงสาร หรือ เห็นใจ
 
          ขณะที่ม้าของเวสต์ฟิลด์เดินก้าวย่างเข้ามา เด็กน้อยมองเห็นแม่ของเขาที่อยู่บนหลังม้าจึงรีบวิ่งเข้าไปเอาร่างวิญญาณร่างนั้นลงมา แล้วเด็กน้อยก็เข้าโผกอดร่างไร้วิญญาณนั้นเอาไว้
 
               “แม่ แม่ ตื่นสิ อย่าทิ้งผมไป แม่”
 
          น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาใสๆของวิคเตอร์ ไม่มีสิ่งใดที่จะทดแทนแม่ของเด็กน้อยผู้นี้ได้  อดีตนายทหารหนุ่มได้แต่ยืนมองภาพความเศร้าโศกนั้นด้วยความสงบ
 
               “แม่ๆๆ ฮือๆๆๆ แม่”
 
          เด็กน้อยได้แต่เขย่าร่างแม่ของเขา  เวสต์ฟิลด์เดินเข้ามาข้างหลังเด็กน้อย แล้วเอามืออันหยาบกร้านแตะที่ไหล่ของวิคเตอร์
 
               “เราควรฝังศพเธอและทำพิธีเพื่อให้เธอไปสู่สุขคติ”
 
          วิคเตอร์วางร่างไร้วิญญาณของแม่ลง แล้วเดินเข้าไปกอดคาวบอยพเนจรแน่น หนูน้อยกอดและร้องไห้น้ำตาไหลออกมา  เวสต์ฟิลด์เดินไปที่ร่างที่ไร้วิญญาณของเธอ แล้วอุ้มเธอขึ้นมา เขาอุ้มร่างของเธอเดินห่างจากบ้านของวิคเตอร์ที่โดนเผาวอดวาย ไปสักร้อยหลา  เดินไปตรงตำแหน่งใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วอดีตนายทหารหนุ่มก็วางศพเธอลง  วิคเตอร์ปาดน้ำตาตัวเอง แล้วค่อยๆเดินตามคาวบอยพเนจรไป
 
               “ฉันจะฝังเธอใต้ต้นไม้ต้นนี้”
 
          และเขาก็ลงมือขุดดิน เพื่อนำร่างไร้วิญญาณของเธอวางลงในหลุม พอขุดลึกได้ที่แล้ว ก็นำร่างเธอวางลงในหลุม แล้วกลบดินเพื่อฝังเธอ อดีตนายทหารฝ่ายเหนือเดินไปหาไม้ยาวสองอัน เพื่อมาผูกไขว้เป็นไม้กางเขนแล้วจึงปักไปลงที่หน้าหลุมศพนั้น เด็กน้อยยืนมองแม่ของตัวเองโดนฝังด้วยใจที่โศกเศร้า วิตเตอร์ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว นอกจากแค่แม่คนเดียว ตอนนี้เขาก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว
 
               “ฉันไม่มีสิ่งใดที่จะใช้สักการะแม่ของนาย มีแต่สิ่งนี้ที่พอจะเป็นของสักการะศพของแม่นายได้”
 
          คาวบอยพเนจรหยิบกระติกบรั่นดีที่พกไว้ข้างเอว แล้วเดินไปวางไว้ที่หน้าหลุมศพ แล้วโค้งคำนับให้กับหลุมศพนั้นหนึ่งที
          เขาก็เดินหันหลังกลับ จากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินตรงไปที่ม้าคู่ใจ เขากระโดดขึ้นคร่อมไปบนม้า เด็กน้อยวิคเตอร์ก็วิ่งเข้ามาหาคาวบอย
               “แม่ผมตายยังไง”
 
          เด็กน้อยถามระล่ำระลัก
 
               “ฉันไปไม่ทัน แม่เธอโดนยิงก่อนฉันจะไปถึง”
 
          เสียงราบเรียบนั้น ออกมาจากปากของคาวบาวหนุ่ม
 
               “เธอขี่ม้าเป็นมั้ย”
 
          เวสต์ฟิลด์ได้ถามวิคเตอร์
 
               “ฉันรับจ้างเลี้ยงม้า ฉันก็ต้องขี่เป็นอยู่แล้ว”
 
          วิคเตอร์ตอบกลับมา
 
               “เอาล่ะ ม้าตัวนั้นเป็นของนาย”
 
          คาวบอยหนุ่มชี้นิ้วไปที่ม้าของเจ้านักเลงชาวไอริช ม้าตัวที่พาศพของแม่วิคเตอร์แบกขึ้นหลังมา  วิคเตอร์เดินไป แล้วจับไปที่ใบหน้าของม้าตัวนั้น มันเป็นม้าที่เชื่องมากตัวนึง อาจเพราะมันเป็นม้าที่คุ้นเคยกับคน และ ม้าตัวนี้คงได้รับการฝึกมาอย่างดี
 
               “นายจะตามฉันมามั้ย”
 
          ว่าแล้วคาวบอยหนุ่มก็หันหลังแล้วสั่งม้าออกเดินไปตามทางด่าน
 
               “เดี๋ยวสิ รอก่อน”
 
          วิคเตอร์รีบกระโดดขึ้นหลังม้าตัวนั้น แล้วสั่งม้าให้เดินตามคาวบอยพเนจรไป
 
          ความเงียบสงัดยามราตรี สายลมนั้นไม่อาจพัดความโศกเศร้าจากใจของเด็กน้อยผู้นี้ไปได้ ตอนนี้วิคเตอร์ปราศจากหยดน้ำตาบนใบหน้า น้ำตาของเด็กน้อยได้แห้งผาดไปหมดแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวิคเตอร์ไม่มีน้ำตาที่จะร้องไห้ได้อีก วิคเตอร์ต้องพยายามยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าเขาได้สูญเสียแม่ไปแล้ว ตอนนี้เด็กน้อยไม่มีทางเลือกใดๆ  เพราะเขาไม่เหลือสิ่งใดแล้ว แม่ก็ไม่อยู่แล้ว ญาติพี่น้องก็ไม่มี  บ้านก็ไม่มีจะให้กลับอีกต่อไป  เด็กน้อยจึงจำเป็นต้องเดินทางตามบุรุษผู้นี้ไป
 
          นักพเนจรได้จอดม้าให้หยุดที่ริมด่านเวียน บริเวณใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่บริเวณนั้นหญ้าขึ้นไม่ค่อยสูงนัก เหมาะกับที่จะตั้งแคมป์เพื่อทำที่พัก
 
               “เราจะพักกันที่นี่แหละ  อีกกว่าหกชั่วโมงกว่าจะเช้า”
 
          คาวบอยหนุ่มได้บอกกับเด็กน้อย เขาได้นำผ้าใบทหารที่ใช้ตอนสงครามมากางเพื่อกันน้ำค้างแล้วเอาผ้าใบอีกผืนมาปูรองพื้นเพื่อหลับนอน อดีตทหารหนุ่มจัดตั้งแค้มป์อย่างลวกๆ แล้วหาเศษไม้เศษฟืนมาก่อไฟ เพื่อป้องกันสัตว์ และ หุงหาอาหาร เขาใช้เวลาไม่นานในการจัดตั้งแคมป์
 
               “กินอะไรแล้วหรือยัง”
          คาวบอยหนุ่มถาม เด็กน้อยนั่งกอดเข่าอยู่บนขอนไม้ ซึ่งเป็นเก้าอี้ธรรมชาติ
 
               “ฉันไม่หิว”
 
          วิคเตอร์ได้แต่มองไปยังกองไฟอันลุกโชน ภาพของบ้านที่กำลังโดนพระเพลิงทำลายสูญสิ้นก็กลับเข้ามาในหัว
               “อย่าคิดอะไรให้มันมาก อะไรที่เสียไปแล้ว ไม่สามารถที่จะเอากลับคืนมาได้”
 
          คาวบอยหนุ่มนำเนื้อควายไบซันรมควันที่พกติดตัวมา เขานำมาย่างให้สุกอีกรอบหนึ่ง กลิ่นเนื้อชิ้นนั้นส่งกลิ่นหอมฉุย แล้วใช้มีดโบวี่ของเขาจิ้มเนื้อเข้าปาก แล้วหนุ่มพเนจรก็ย่างเนื้ออีกชิ้นนึง พอย่างพอสุก ก็ใช้มีดโบวี่จิ้มส่งเนื้อชิ้นนั้นไปให้เด็กน้อย
 
               “กินซะ จะได้มีแรง”
 
          วิคเตอร์มองไปที่เนื้อชิ้นนั้นก่อนหยิบมากินอย่างว่าง่าย ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้แม้แต่คำเดียว ทั้งสองคนกินเพื่อประทังชีวิตแค่พออิ่ม ด้วยความเพลีย วิคเตอร์จึงผล็อยหลับที่ตรงขอนไม้ที่นั่งอยู่นั่นเอง หนุ่มพเนจรจึงอุ้มเด็กเข้าไปนอนในแคมป์ที่ปลูกเตรียมไว้  และแล้ว อดีตนายทหารจากกองพันฝ่ายเหนือก็ได้หลับตามไปจนถึงตอนรุ่งเช้า
 
 
          ยามรุ่งเช้าของวันใหม่ เวสต์ฟิลด์ได้ลุกขึ้นมา ส่วนวิคเตอร์เหมือนตื่นมาก่อนเขาสักพักแล้ว คาวบอยหนุ่มจึงเก็บข้าวของเพื่อที่จะเดินทางกันต่อ
 
               “นายจะเดินทางไปที่ไหน”
 
          วิคเตอร์ถามด้วยความสงสัย
 
               “ฉันจะเดินทางลงใต้ ไปที่เท็กซัส”
 
          คนพเนจรตอบคำถามด้วยหน้าอันเรียบๆเช่นเดิม ส่วนมือก็ยังง่วนกับการเก็บแคมป์ขึ้นหลังม้า
 
               “ไปทำไมเท็กซัส”
 
          เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย
 
               “ฉันมีเรื่องบางอย่างที่ต้องไปสะสาง นายช่วยฉันเก็บของให้ไว แล้วเราจะเดินทางกันต่อ”
 
          ทั้งสองคนได้เก็บข้าวของเสร็จอย่างรวดเร็ว วิคเตอร์กระโจนขึ้นหลังม้า แล้วขี่ตามเวสต์ฟิลด์ไป ม้าของพวกเขาได้ควบตัดทุ่งหญ้าลงใต้ โดยที่จะไม่เดินไปทางตามด่านเกวียน เวสต์ฟิลด์ได้บอกกับวิคเตอร์ว่ามันชอบมีพวกโจรคอยดักปล้นนักเดินทางตามทางด่านอยู่บ่อยๆ คาวบอยพเนจรอดีตนายทหารฝ่ายเหนือจากกองพันที่54 กับ เด็กน้อยผิวดำที่หนีมาจากอลาบาม่า ทั้งสองคนได้มาร่วมเดินทางด้วยกันเพราะโชคชะตานำพาจริงๆ ม้าสองตัววิ่งเต็มกำลังสุดฝีเท้าควบตัดทุ่งหญ้าและป่าโปร่ง โดยตลอดทางนั้นได้พบเจอกับฝูงควายไบซัน หมาป่าโคโยตี้ และ กวางป่าตลอดทาง ทั้งสองคนได้อยู่บนหลังม้าและวิ่งกันไม่หยุดอยู่หลายชั่วโมง
 
               “เอาล่ะหยุดก่อน”
 
          อดีตนายทหารหนุ่มกระตุกเชือกสั่งให้ม้าหยุดเดิน แล้วเวสต์ฟิลด์ก็กระโดดลงมาจากหลังม้า ยกมือซ้ายทำสัญญาณว่าให้เงียบๆไว้ เขาใช้มือขวาล้วงปืนสั้นออกมาจากเข็มขัดข้างเอว  อดีตนายทหารหนุ่มค่อยๆลดนก แล้วค่อยๆย่องเหมือนเสือซุ่มเหยื่อ เขาเล็งไปที่ช่องเล็กๆของพงหญ้าที่สูงเพียงแค่หน้าแข้ง
 
               “เปรี้ยง”
 
          เสียงเข็มแทงชนวนขับกระสุนออกมาจากรังเพลิง ภาพที่เห็น กระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวเขื่องปลิวกระเด็นไปตามแรงกระสุน กระต่ายป่าผู้โชคร้ายนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น
 
               “เอาล่ะเราได้อาหารกลางวันแล้ว”
 
          นายทหารหนุ่มหิ้วหูกระต่ายแล้วเดินเข้ามาหาวิคเตอร์
 
               “ฟ้าววววว “
 
          ได้มีเสียงหนึ่งแหวกตัดอากาศถากหน้าเขาไป สิ่งนั้น ได้ตกไปที่ด้านหลังของอดีตนายทหารหนุ่ม ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ สิ่งที่ถากหน้าเขาไปเส้นยาแดงผ่าแปดเมื่อกี๊ก็คือลูกธนูนั่นเอง เวสต์ฟิลด์รีบหมอบลงกับพื้น และ พยายามก้มให้ต่ำกว่าความสูงของพงหญ้า
 
               เขาได้ส่งสัญญาณมือให้วิคเตอร์หมอบลงด้วย
 
          แต่สถานที่แห่งนี้ไม่มีที่หลบมากมายนักเพราะเป็นป่าโปร่งสลับทุ่งหญ้าที่ไม่สูงมากนัก
          มีเสียงคนเดิน และ เสียงของฝีเท้าม้าหลายตัวได้เดินมาใกล้ๆเขา  มันคือพวกโจรหรือปล่าว เขาครุ่นคิด ในปืนของเขาเหลือกระสุนแค่สองนัด ถ้ามันมาหลายคนเขาสู้ด้วยไม่ไหวแน่ กระสุนสำรองและปืนลูกซองอีกกระบอกนึง เขาเก็บไว้ที่บนหลังม้า
 
               “วางปืนลงซะ แล้ว ชูมือขึ้นสูงๆ”
 
          เสียงนั้นมาจากทางข้างหลังของเขา เวสต์ฟิลด์ค่อยๆวางปืนลง เขาค่อยๆทรงตัวขึ้นเพื่อลุกยืนขึ้น มือทั้งสองยกขึ้นมาสูงเท่าบริเวณปีกหมวก  แล้วเขาก็ค่อยๆหันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง ภาพที่ปรากฏเป็นสาวสวยชาวอินเดียนแดงกำลังง้างธนูเตรียมพร้อมยิงอยู่บนหลังม้า
 
               “นาง ฉันไม่มีของมีค่าอะไรหรอก ฉันมากับเด็กผู้ชายอีกคน”
 
          เวสต์ฟิลด์บอกกล่าวกับสาวสวยชาวอินเดียนคนนั้น
 
               “คนขาวไว้ใจไม่ได้ ฉันไม่เชื่อคำพูดนาย”
 
          สาวชาวอินเดียนแดงคนนี้พูดอังกฤษได้อย่างชัดเจน สักพักมีชาวอินเดียนผู้ชายขี่ม้าตามมาอีกห้าคน เข้ามาคุยส่งภาษาอินเดียนกับแม่สาวอินเดียนแดงคนนั้น ส่วนทางด้านวิคเตอร์ก็หมอบอยู่กับพื้น นอนเอามือกุมอยู่ที่ท้ายทอยตัวเอง เด็กน้อยไม่ได้ไหวติงไปไหน
 
               “เอาล่ะ สหายของฉันบอกว่า นายไม่น่าจะเป็นพวกมัน เพราะพวกมันคงไม่มากับเด็ก แถมเป็นเด็กผิวดำด้วย”
 
          หญิงสาวชาวอินเดียนแดงได้บอกกับคาวบอยหนุ่ม
 
               “ฉันไม่ใช่มันหรือใครคนนั้นที่พวกนางตามหาหรอก ฉันแค่คนเดินทางผ่านมา นางปล่อยฉันกับเด็กไปเถอะ”
 
          อดีตนายทหารหนุ่มพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
 
               “ไม่ ยังก่อน สหายฉันอาจจะมั่นใจ ตัวฉันเองยังไม่เชื่อนาย ฉันจะพานายไปหาหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่ารู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ”
 
          ชายอินเดียนแดงสามในห้าคนเข้ามาล็อคตัวชายพเนจรเอาไว้ พวกนั้นเอาเชือกผูก จับมือเขาไขว้หลังไว้  เวสต์ฟิลด์นั้นก็ยอมให้ชายชาวอินเดียนแดงพันธนาการแต่โดยดี เขาไม่ได้ขัดขืนหรือต่อสู้อะไรเลย ทำไมถึงไม่สู้  เป็นเพราะอะไรแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน
 
               “เอาล่ะเอาม้ามันไปด้วย ส่วนเด็กไม่ต้องมัด สหายช่วยคอยดูให้เด็กขี่ม้าตามพวกเรามา ส่วนนาย คนขาว เดี๋ยวไปกับฉัน นั่งซ้อนหลังบนม้าฉันไป”
 
          อินเดียนหนุ่มสามคนช่วยจับคาวบอยหนุ่มขึ้นไปบนหลังม้าที่ข้างหลังของนาง แล้วนางก็สั่งม้าให้ควบออกไปจากสถานที่ตรงนั้นทันที  หญิงสาวชาวอินเดียนแดงคนนี้ขี่ม้าด้วยความชำนาญ ม้าวิ่งควบตัดป่าโปร่ง โดยมุ่งไปทางทางตะวันตกเฉียงใต้ ในขณะที่ม้าของนางวิ่งควบไป คาวบอยหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหลังได้ถามคำถามไปที่ข้างหูนาง
 
               “นางชื่ออะไร”
 
          สาวอินเดียนแดงนางได้หันหน้ากลับมานิดนึง แล้วถามกลับไป
 
               “ทำไมคนขาว นายอยากรู้ชื่อฉันไปทำไม”
 
          คาวบอยหนุ่มได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ส่วนสาวอินเดียนแดง นางก็ควบม้าต่อไปไม่ได้หันกลับมามองแต่อย่างใด
 
                “ฉันกับนางจะได้รู้จักชื่อไว้กันไว้ยังไงล่ะ”
 
          สาวอินเดียนแดงได้มองเขาด้วยหางตา
 
                “อย่าคิดเกี้ยวฉันเลยคนขาว ฉันสนใจแต่หนุ่มอินเดียนแดงด้วยกันเท่านั้น”
 
          นางได้ตอบกลับมา
 
               “ฉันไม่ได้คิดจะเกี้ยวนาง ฉันแค่อยากรู้ชื่อนาง”
 
          เวสต์ฟิลด์กระซิบที่ข้างหูนาง นางนิ่งเงียบสักพักใหญ่แล้วก็ตอบกลับมาว่า
 
               “ฉันชื่อ ชากาวี คนขาว”
 
          สาวอินเดียนแดงได้บอกชื่อกับคนขาว แล้วหันหน้ากลับไปบังคับม้าตามเดิม
 
               “ฉันชื่อว่า  คลินท์ เวสต์ฟิลด์”
 
          เวสต์ฟิลด์ได้บอกชื่อของเขา ที่ข้างหูของชากาวี
 
          ม้าทั้งแปดตัวนั้นได้ควบตามกันมาเรื่อยๆ จากป่าโปร่งมาถึงบริเวณภูเขาใหญ่สองลูก ที่แห่งนั้นมีสายธารเล็กๆไหลม้าทั้ง8ตัว ค่อยๆเดินข้ามลำธารมา ม้าทั้งหมดได้วิ่งผ่านป่าโปร่งมาอีกไม่ไกลนัก เขาก็เข้ามาในเขตหมู่บ้านอินเดียนแดงของหญิงสาว เขาเห็นบ้านของชาวอินเดียนเหล่านั้นปลูกด้วยไม้บ้างเป็นบางส่วน แต่ส่วนมากยังอาศัยอยู่ในกระโจม เขาเห็น ลูกเด็กเล็กแดงชาวอินเดียนวิ่งเล่นกันอยู่ ส่วนผู้หญิงกำลังถักทอเสื้อขนสัตว์ หรือไม่ก็กำลังหุงหาอาหารกัน ส่วนผู้ชายก็คงออกไปล่าสัตว์กันอยู่กระมัง เพราะเขาไม่เห็นผู้ชายเท่าใดนัก เพราะเท่าที่เขาทราบมาชาวอินเดียนแดงมักออกล่าสัตว์ พวกเขาไม่นิยมในการเพาะปลูกสักเท่าไหร่
 
               “ถึงแล้วคนขาว นี่คือเผ่าของฉัน เผ่านาวาโฮ เดี๋ยวฉันจะพานายไปพบหัวหน้าเผ่า”
          เวสต์ฟิลด์ อดีตนายทหารหนุ่มฝ่ายเหนือกระโดดลงจากหลังม้าของนาง เขาหันกลับไปมองวิคเตอร์ด้วยความเป็นห่วง ดูเหมือนชาวอินเดียนก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรเขา เวสต์ฟิลด์ในใจขณะนี้เขาได้คิดว่า มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างกับเผ่านาวาโฮเป็นแน่แท้ เมื่อจอดม้า ชากาวีได้นำม้าไปผูกที่หน้ากระโจมหลังหนึ่ง แล้วนางก็เดินมาหาคนพเนจร
               “เอาล่ะ คนขาว ฉันต้องขอเก็บอาวุธของนายไว้ที่ฉันก่อน เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะแก้มัดให้นาย”
          ชากาวีอ้อมไปที่ข้างหลังเขา หยิบรีวอลโว่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของคาวบอยหนุ่ม แล้วใช้มีดตัดเชือกให้เขา
               “นี่นายไม่กลัวเลยเหรอ คาวบอย”
          นางพูดพร้อมส่งยิ้มให้เขา
               “พวกนางไม่มีอะไรให้ฉันกลัว”
          ชายพเนจรตอบมาด้วยเสียงราบเรียบ
               “นายขี่ม้าเข้ามาในเขตของเราทำไม คนขาวมักจะเดินทางตามด่านเกวียน หรือ เดินทางด้วยรถไฟนี่นา”
          หล่อนได้ถามคำถาม
               “มันไม่ปลอดภัย ด่านเวียนในที่กันดารเช่นนี้ มักมีโจรคอยดักปล้น และ ที่สำคัญ”
          อดีตนายทหารหนุ่มชี้นิ้วมือไปที่เด็กน้อย
               “เด็กคนนั้นแม่เขาเพิ่งตาย บ้านก็ถูกเผา และตอนนี้น่าจะมีคนที่ตามล่าเขาอยู่”
          ชากาวีทำท่าตกใจ นางร้อง “โอ้ว” ขึ้นมา แล้วอุทานว่า
               “พวกฮันเตอร์”
          อดีตนายทหารหนุ่มทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขาหันหน้ากลับไปหาหญิงสาว
               “นางรู้จักพวกฮันเตอร์ด้วยรึ”
          ชากาวีได้ตอบกลับคาวบอยหนุ่มไปว่า
               “พวกมันมาก่อกวนเราบ่อยครั้ง พวกเราต้องคอยลาดตะเวน ตรวจตราความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา”
          นางพยายามมองเข้าไปภายในตาของชายพเนจร ชายผู้นี้ไม่แสดงอาการพิรุธแต่อย่างใด
               “คนขาว ฉันจะพานายไปพบกับหัวหน้าเผ่า ตามฉันมา”
          ชากาวีนางได้พาเขาเดินลัดเลาะกระโจมของชาวเผ่า ชาวอินเดียนแดงในหมู่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็มองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ ในขณะที่เขาเดินผ่านไป วิคเตอร์ และ ชายอินเดียนแดงอีกสองคนก็เดินตามเขามาเช่นกัน ชากาวีมาหยุดที่หน้ากระโจมหลังใหญ่ หน้ากระโจมมีหน้ากากอันใหญ่ ตกแต่งด้วยขนนกอินทรีแขวนอยู่ ชากาวีบอกให้ชายพเนจรรออยู่ข้างนอกสักครู่ แล้วนางก็เดินเข้าไปในกระโจม เขายืนรออยู่ข้างนอกสักพักใหญ่ๆ นางก็ออกมาจากกระโจม
               “หัวหน้าเผ่าเรียกตัวนายเข้าไปพบ คนขาว”
          ชากาวีเรียกเชิญให้เขาเข้าไปข้างในกระโจม คาวบอยหนุ่มเดินมุดเข้าไปในกระโจมใหญ่แห่งนั้น เขาได้พบชายชราคนนึงยืนหันหลังให้เขาอยู่ ชายชราผมขาวเป็นสีดอกเลา ชายผู้นั้นหลังค่อม ยืนถือไม้เท้าเสื้อผ้าสีสันดูแปลกตา และ จุดเด่นของชายผู้นี้ก็คือ บนหัวนั้นมีผ้าสีแดงตกแต่งด้วยขนนกอินทรีย์
               “คุณคือหัวหน้าเผ่า”
          ชายชราหันหลังกลับมา และพูดภาษาอินเดียนแดงออกมาประโยคนึง ซึ่งเขาไม่เข้าใจ
               “หัวหน้าเผ่าท่านถามคุณว่า คุณรู้จักพวกฮันเตอร์ได้ยังไง”
          ซึ่ง ชากาวีแปลภาษาอินเดียนแดงให้เขาฟัง ซึ่งคำถามนี้ของหัวหน้าเผ่า เป็นคำถามยิงตรง ชายชราคงได้รู้เรื่องราวเบื้องต้นของเขาไปบ้างแล้วจากชากาวี
          หนุ่มพเนจรยืนคิดสักพัก เขาตอบไปด้วยสีหน้าอันราบเรียบไปว่า
               “ผมไม่สามารถบอกให้คุณรู้ได้ มันเป็นเรื่องความแค้นของผม กับพวกมัน”
ชากาวีแปลข้อความนั้นให้หัวหน้าเผ่าฟัง หัวหน้าเผ่าหัวเราะออกมาดังลั่น แล้วพูดตอบกลับมาประโยคนึง
               “หัวหน้าเผ่าบอกว่า ไม่เป็นไรไม่อยากเล่าก็ไม่เล่า”
          ชากาวีแปลให้คำพูดของชายชราให้เขาฟัง หัวหน้าเผ่าเดินไปที่โต๊ะ แล้วหยิบกระติกน้ำที่น่าทำจากกระเพาะสัตว์ ยกขึ้นมาดื่ม แล้วเขาส่งกระติกนั้นมาให้เขา พร้อมพูดขึ้นมาประโยคนึงเป้นภาษาอินเดียน
               “หัวหน้าเผ่าบอก ให้นายดื่มเหล้าในกระติกน่ะ คนขาว มันเป็นเหล้าที่พวกเราต้มเอง”
          ชายพเนจรยกเหล้าป่ามาดื่มไปอึกนึง มันเป็นเหล้าดีกรีแรงรสชาติฝาดคอยิ่งนัก
          หัวหน้าเผ่าได้ส่งภาษาผ่านชากาวี ซึ่งชากาวีแปลให้ฟังว่า หัวหน้าเผ่าบอกว่าชายพเนจรผู้นี้คงไม่ใช่ศัตรู และอีกอย่างเขาพาเด็กมาด้วย คงไม่ใช่พวกมันอย่างแน่นอน ชายชรายังกำชับชากาวีด้วยว่า คืนนี้ ให้ชายพเนจรกับวิคเตอร์นอนพักผ่อนที่นี่ โดยเฉพาะเด็กทำให้เขารู้สึกว่าปลอดภัย พร้อมทั้งบอกให้เตรียมอาหารน้ำท่าต้อนรับอีกด้วย
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ได้เดินออกมาจากกระโจม เขามองหาวิคเตอร์ จอมพเนจรเดินไปถึงหน้ากระโจมหลังหนึ่ง เขาเห็นวิคเตอร์นั่งแทะเนื้อสัตว์อยู่ริมกองไฟ ซึ่งฝั่งตรงข้ามวิคเตอร์มีชายอินเดียนแดงคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย อินเดียนหนุ่มร่างใหญ่คนนี้เขาจำได้ดี เพราะเป็นคนที่จับเขาพันธนาการนั่นเอง อินเดียนแดงร่างใหญ่ผู้นี้เป็นคนก่อกองไฟ และ ย่างกระต่ายให้เด็กน้อยได้กิน คาวบอยหนุ่มได้เดินไปที่บริเวณกองไฟ เขานั่งลงที่ข้างๆวิคเตอร์ เขาเห็นเมนูที่เด็กน้อยกำลังกิน มันเป็นกระต่ายป่าตัวที่เขายิงมาได้เมื่อตอนเที่ยงนี่เอง ซึ่งพวกอินเดียนคงเก็บกระต่ายป่าตัวนี้มาด้วยนั่นเอง
               “เอาล่ะ คืนนี้เราคงต้องนอนกันที่นี่”
          ชายพเนจรหันไปคุยกับเด็กน้อย วิคเตอร์หันกลับมามองเขาแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่พูดอะไร ซึ่งตอนนี้ตัวเวสต์ฟิลด์เอง เขาก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ชายพเนจรจึงชักโบวี่จากซองหนังข้างเอว เฉือนขากระต่ายออกมาขานึง แล้วเขาก็นั่งบรรจงแทะขากระต่ายกิน
          สักพัก ชากาวีเดินเข้ามาข้างๆชายพเนจรแล้วพูดว่า
               “ฉันขอนั่งด้วยได้มั้ย”
          เวสต์ฟิลด์ก็ยังคงนั่งแทะเนื้อกระต่ายชิ้นนั้นอยู่ เขาตอบกลับโดยไม่หันไปมองว่า
               “ก็นั่งสิ ที่แห่งนี้มันเป็นเผ่าของนาง”
          ชากาวีนั่งข้างๆ แล้วถามคำถามใส่เขาทันที
               “นายแค้นอะไรพวกฮันเตอร์”
          หนุ่มพเนจรยังคงนั่งแทะกระดูกกระต่ายป่า และตอบกลับไปว่า
               “พรุ่งนี้ฉันก็ออกเดินทางต่อแล้ว ไม่จำเป็นที่นางต้องมารู้เรื่องของฉันหรอก”
          ใบหน้าเหี้ยมเกรียมนั้น ตอบด้วยสีหน้าที่เรียบสนิท
               “พวกฮันเตอร์มันฆ่าพี่ชายของฉัน และมันก็ยังก่อกวนเผ่าเราตลอดแทบทุกคืน ฉันจึงอยากรู้ว่านายมีความแค้นอะไรกับพวกมันหรือปล่าว”
          ชายพเนจรเงียบไปสักพัก ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นของเผ่าอินเดียนแดนอันแสนสงบ มีแค่เสียงไฟเลียฟืนเบาๆ เขาได้หันกลับมาพูดกับชากาวี ด้วยสีหน้าอันเข้มขรึมว่า 
               “พวกมันฆ่าเมียฉัน”
 
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ได้นั่งนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ภายใต้หน้าอันเหี้ยมเกรียมของบุรุษผู้นี้ แม้ภายนอกจะดูเข้มแกร่งเหมือนหินผา แต่ภายในจิตใจเขาคงกำลังรุ่มร้อนอยู่เป็นแน่ แต่แน่ล่ะ แค่แว๊บแรกที่นางมองเขา ชายผู้นี้น่าจะเป็นคนที่ซ่อนความรู้สึกข้างในเก่ง นางคิดในใจ
 
          ชายพเนจรโยนเศษกระดูกกระต่ายในมือเข้าไปในกองฟืน แล้วค่อยๆหยิบกล่องบุหรี่จากในกระเป๋าเสื้อขึ้นมา เขาเอื้อมมือไปหยิบดุ้นฟืนในกองไฟมาจุดบุหรี่สูบ ก่อนโยนดุ้นฟืนนั้นกลับไปที่กองไฟดังเดิม ชายพเนจรอัดควันแน่นเต็มปอด แล้วจึงค่อยๆปล่อยควันออกมา ชากาวีเงียบไปสักครู่นึง ไม่กล้าถามคำถามอะไรกับชายพเนจรอีก แม้นางจะอยากรู้รายละเอียดเรื่องราวของเขามากก็ตาม
 
          แสงสีส้มของแดดผีตากผ้าอ้อม ยามอาทิตย์เริ่มอัสดง รอบๆบริเวณนั้น คาวบอยหนุ่มได้ยินเสียงวิถีชีวิตของชาวเผ่าจอแจกันเบาๆ  และเสียงสุนัขจิ้งจอกที่เห่าหอนอยู่ไม่ไกลจากบริเวณเผ่านัก ชายพเนจรอัดควันบุหรี่หนักๆแค่ไม่กี่ที บุหรี่ก็หมดมวน แล้วเขาก็โยนก้นบุหรี่นั้นเข้าไปในกองเพลิง แล้วเขาจึงได้หันไปคุยกับหญิงสาวชาวอินเดียนแดง
 
               “เอาล่ะ นาง ถ้าไม่ว่ากัน ฉันขออาวุธ กับม้าของฉันคืนด้วยได้หรือปล่าว”
 
          คาวบอยหนุ่มได้พูดออกมา
 
          ชากาวียิ้มให้นิดๆที่มุมปาก แล้วนางก็ก้มตัวเอื้อมมือไปหยิบซองหนังที่ข้างเอว ซึ่งซองนั้นเป็นซองปืนลูกโม่ .22 ของคาวบอยหนุ่ม นางได้ส่งคืนกลับไป จากนั้นนางก็หันกลับไปพูดภาษาอินเดียนกับสหายหนุ่มร่างยักษ์ของนางประโยคหนึ่ง หนุ่มอินเดียนร่างยักษ์ ส่งยิ้มให้นาง แล้วลุกเดินออกไปอย่างว่าง่าย
 
          เมื่อชายผู้นั้นเดินจากไป คาวบอยหนุ่มจึงได้ถามนางว่า
 
               “เขาคือคนรักนางหรือ ฉันเห็นเขาอยู่กับนางตลอด ตั้งแต่ฉันได้เจอกับนาง”
 
          ชายพเนจรได้หันมาถามเธอด้วยสีหน้าอันราบเรียบเช่นเดิม นางยิ้มที่มุมปากเล็กๆแล้วตอบกลับไปว่า
 
               “ป่าว เขาไม่ใช่คนรักของฉันหรอก เขาชื่อ โยทันก้า เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของหัวหน้าเผ่า”
 
          ชากาวีได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม
 
               “ฉันก็แค่เห็นว่าดูท่าทางสนิทสนมกันดี เลยคิดว่าเป็นคู่รักของนาง”
 
          ชายพเนจรได้พูดตอบกลับมา
 
               “เขาเป็นสหายของพี่ชายฉัน ตั้งแต่พี่ชายฉันโดนสังหาร ก็มีเขานี่แหละที่คอยดูแลฉัน สำหรับฉัน เขาก็เปรียบเสมือนพี่ชายแท้ๆของฉันอีกคนหนึ่ง”
 
          เวสต์ฟิลด์นั่งเงียบไปสักชั่วอึดใจนึง ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามชากาวีไปว่า
 
               “เมื่อกี้นี้ ก่อนที่เขาจะลุกไป นางบอกอะไรกับเขาหรือ”
 
          นางหันกลับมาหาคาวบอยหนุ่ม แล้วตอบกลับไปว่า
 
               “ฉันบอกกับโยทันก้าว่า ให้เขาไปเอาม้าทั้งสองตัวมาคืนนายน่ะ คนขาว”
 
          นางเรียกเขาคนขาวอีกแล้ว เขารู้สึกมันแปลกๆ ชายพเนจรจึงบอกกับนางไปว่า
 
               “นางอย่าเรียกฉันว่าคนขาวเลยนะ ฉันไม่ได้ขาวอย่างที่นางว่าสักหน่อย ดูสิ ตากแดดผิวแดงขนาดนี้ ขาวซะที่ไหน”
          นางยิ้มให้เขาแล้วพูดออกมาว่า
 
               “จริงสินะคาวบอย นายชื่อ เอ่อ คลินท์ อะไรนะ เอ่ออ  คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ใช่มั้ย ถ้าฉันจำชื่อนายไม่ผิด”
          ชายพเนจรได้พูดตอบกลับมาว่า
 
               “นางก็จำชื่อของฉันได้นี่นา  แต่เรียกอยู่นั่นแหละ คนขาว คนขาว ฉันฟังดูแล้วรู้สึกแหม่งๆยังไงก็ไม่รู้”
          ชายพเนจรตอบกลับมาด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์
 
          เวสต์ฟิลด์คีบบุหรี่ขึ้นมาอีกตัวแต่คราวนี้เขาหยิบไลท์เตอร์ขึ้นจุดสูบ ไม่ได้ใช้ฟืนในกองเพลิงจุดเหมือนเมื่อตะกี้นี้ เขาหันมายิ้มให้นาง แล้วถามนางไปว่า
 
               “นางคืนอาวุธกับม้าแบบนี้ คิดว่าไว้ใจฉันได้หรือ ไม่กลัวว่าฉันจะหนีไปหรอกรึ”
 
          รอยยิ้มของชายผู้นี้ แม้เป็นรอยยิ้มที่มุมปาก แต่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นรอยยิ้มจริงๆ จากหนุ่มพเนจรหน้าตายผู้นี้ จริงๆใบหน้าเวลาชายผู้นี้ยิ้มก็หล่อไม่เบาเลยทีเดียว
 
          นางหัวเราะคิกๆ เบาๆ
 
               “ก็ลองคิดหนีดูสิ ฉันยิงธนูแม่นที่สุดในเผ่าเชียวนะ ถ้าหนีฉันจะยิงดอกธนูฝังไปที่กลางอกนายเลยล่ะคาวบอย”
          ชากาวี นางท้าทายกึ่งสัพยอกเบาๆ
 
                “ถ้านางอยากจะยิงฉันให้ตาย ฉันก็ขอแอ่นอกรับดอกศรของนาง แต่นางต้องยิงให้โดนกลางหัวใจฉันนะ”
 
          ชายพเนจรหันมายิ้มให้กับนางก่อนพูดออกมาด้วยเสียงที่ราบเรียบ แล้วเขาก็หันหน้ากลับไปอัดควันบุหรี่ที่ถืออยู่ในมือต่อ
 
          ชากาวีนางหน้าแดง นางเขินจนทำอะไรไม่ถูก นางจึงเอามือผลักไปที่ไหล่ของเขาอย่างแก้เก้อ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินยิ้มจากไป
 
          ขณะนี้เวลาได้ล่วงมาเป็นตอนพลบค่ำ โยทันก้าลูกชายของหัวหน้าเผ่าได้นำม้าของเขา และ ม้าของวิคเตอร์ที่เขาได้ขโมยมาจากเจ้าฮันเตอร์ชาวไอริช  มาคืนให้แก่เขา ชากาวีกลับมาหาเขาอีกครั้ง นางบอกให้เขากับวิคเตอร์ไปนอนในกระโจมเพราะที่หลับที่นอนนั้นสะดวกสบายกว่า แต่เวสต์ฟิลด์ได้ปฏิเสธนางไป เขาขอตั้งแคมป์ชั่วคราวตรงจุดเดิมที่ก่อกองไฟนี่แหละ สำหรับวิคเตอร์คงเหนื่อยมาก เพราะสองวันมานี้เด็กคนนี้ได้เจอแต่เรื่องเลวร้ายมา พอทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เด็กน้อยผู้สูญเสียแม่ก็ม่อยหลับลงไปในทันที คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ยังคงนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ข้างๆกองไฟ นานๆทีเขาก็เติมลุกขึ้นไปเชื้อฟืนไม่ให้ไฟดับ แม้จะฟ้ามืดลงไม่นาน บรรยากาศภายในเผ่าก็ดูเงียบเชียบลงแบบสนิท ซึ่งวิถีของอินเดียนแดงนั้นจะใช้ชีวิตโดยเป็นส่วนหนึ่งที่กับธรรมชาติ เมื่อฟ้ามืดก็เข้าจะกระโจมนอน แต่ทางด้านรอบนอกของเผ่าแต่ละทิศ ก็มีชายหนุ่มอินเดียนคอยเฝ้าระวังภัยอยู่เหมือนกัน ซึ่งตัวเวสต์ฟิลด์เองก็ไม่ไว้ใจกับสถานการณ์อันเงียบสงบนี้ เขารู้สึกบางอย่างว่าอาจจะมีเหตุการณ์ร้ายๆขึ้นภายในคืนนี้ก็เป็นได้
 
          เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ ชายพเนจรเผลอผล็อยนั่งหลับไปข้างกองฟืนนี้เอง ขณะนี้กองฟืนได้มอดสนิทเหลือเพียงซากตะโกของถ่าน เขาได้ตื่นขึ้นมายามดึก บริเวณรอบๆของเผ่านาวาโฮนั้นเงียบสนิท บริเวณที่กลางเผ่า ตรงที่เขาพักผ่อนอยู่นั้น ไม่มีแม้แต่แสงไฟสักดวงมาจากกระโจมไหน การใช้ชีวิตของอินเดียนต่างกับคนในเมืองอย่างสิ้นเชิง ที่แม้ยามมืดค่ำก็ยังพอมีแสงสว่างไสวอยู่บ้าง เขาลุกขึ้นยืน แล้วมองไปที่วิคเตอร์ เด็กน้อยก็กำลังหลับสนิท เขาจึงปล่อยให้วิคเตอร์หลับต่อไป ซึ่งนอนอยู่กลางเผ่าแบบนี้ คงไม่มีใครเข้ามาทำอันตรายเด็กน้อยได้ ชายพเนจรจึงค่อยๆเดินออกไปในความมืดของยามวิกาล  เขาเห็นแสงกองไฟอยู่บริเวณชายขอบรอบนอกของเผ่า เขาจึงค่อยๆเดินไปที่ตรงนั้นทันที
 
               “เวสต์ฟิลด์ นายยังไม่นอนหรอกหรือ”
 
          คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใคร ชากาวี และ มีหนุ่มอินเดียนแดงนั่งอยู่ด้วยอีกสองคน หนึ่งในสองคนนั้นมี โยทันก้า อินเดียนแดงร่างยักษ์ ลูกชายของหัวหน้าเผ่านั่งอยู่ด้วย
 
               “ฉันหลับไปสักงีบนึงแล้วแหละ”
 
          ชายพเนจรได้เดิน ไปที่ข้างๆนาง
 
               “นั่งลงก่อนสิ”
 
          ชากาวีผายมือเชิญให้เขานั่ง ทันใดนั้นเขาได้เห็นเงาตะคุ่มๆ ในความมืด จากพุ่มไม้เตี้ยๆ จากบริเวณป่าโปร่งทางด้านหน้าออกไปไม่ไกลนัก ในเสี้ยววินาทีนั้นคาวบอยหนุ่มก็ได้ตะโกนออกมา
 
               “หมอบลง”
 
          เขาก้มลงหมอบทันที มือข้างซ้ายของจอมพเนจรก็กดหัวนางให้หมอบต่ำลงไปด้วย แต่ดูเหมือนกระสุนนัดนั้นเฉียดปลายเส้นผมของโยทันก้าไป หนุ่มร่างยักษ์ไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว
 
               “เปรี้ยงงง”
          ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงกัมปนาทมาจากปลายกระบอกปืนก็มาจากพุ่มไม้ เตี้ยๆตรงนั้น นั่นเอง โยทันก้าและชายอินเดียนแดงอีกคนแม้ทั้งสองคนจะฟังอังกฤษไม่ออก แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที ทั้งสองคนคว้ารีบคันธนู แล้วกระโจนไปหลบข้างก้อนหินใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด 
               ปังๆๆๆๆ 
          วินาทีนั้นเอง ก็มีเสียงกัมปนาทจากปลายกระบอกปืนอีกหลายกระบอกดังมาจากความมืดรอบๆ ตัว ชายพเนจรคว้ามือสาวชาวอินเดียนแดงแล้วรีบวิ่งกระโจนไปที่เกวียนทางขวามือของตัวเขาทันที 
               “พลิก เร็ว” 
          คาวบอยหนุ่มร้องตะโกนบอกให้ชากาวีพลิกเกวียนให้คว่ำลง หญิงสาวเข้าใจในสถานการณ์ นางช่วยดันเกวียนเล่มนั้นให้ล้มคว่ำลงเพื่อเป็นที่กำบัง 
               “ฉันลืมธนู” 
          หญิงสาวร้องออกมา 
               “อย่าพึ่งออกไป เราไม่รู้ว่าพวกมันมากันกี่คน” 
          คาวบอยหนุ่มพูดออกมาพร้อมหนุ่มยัดลูกปืนเข้าไปในลูกโม่อย่างเต็มอัตราศึก ชายพเนจรนั่งในท่าเตรียมพร้อมแล้วมองผ่านช่องแตกของไม้เกวียนไปที่พุ่มไม้เตี้ยๆที่เขาเห็นกระสุนยิงมาในตอนแรก 
               “เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง” 
          เสียงปืนดังมาจากรอบทิศ ประมาณ2-3นัด เป้าหมายของปืนหลายกระบอกนั้นได้ยิงตรงมาที่เกวียนที่เขากับหญิงสาวหลบอยู่ เขาก้มหัวหลบ เสียงกระสุนได้มาจากทุกทิศทาง ไม่สามารถบอกได้ว่ายิงมาจากทิศทางไหน เพราะรอบบริเวณนั้นมีแต่ความมืดที่ไร้แสงใดๆแม้แต่แสงของดวงดาว คงมีแต่เพียงแค่แสงเพลิงในกองเพลิงเท่านั้นที่ยังคงประทุอยู่ ดูแล้วจำนวนคนที่มาบุกมีจำนวนพอสมควรเลยทีเดียว ถ้าเขาผลีผลามออกจากที่มั่นมีหวังหัวเป็นรูแน่
          เวสต์ฟิลด์ได้มองทะลุผ่านรูเดิมออกไป แล้วตั้งสมาธิ เขาเห็นเงาไหวๆอยู่ที่บริเวณพุ่มไม้เตี้ยๆทางด้านซ้ายมือระยะประมาณ15หลา เขาพยายามเพ่งสมาธิไปที่เป้าหมายด้านหน้า 
               “จังหวะนี้แหละ” 
          คาวบอยหนุ่มพูดเบาๆผ่านไรฟัน เขาลุกขึ้นแล้วสับไกปืนทันที 
               “ปัง ปัง” 
          เสียงกัมปนาทปานฟ้าผ่าดันกระสุนผ่านลำกล้องของรีโวลเวอร์ออกไปสองนัด 
               “ปุ ปุ”
          เสียง นั้นมันเป็นเสียงกระสุนปืนทะลุผ่านลำตัวไป ร่างนั้นกระเด็นตามแรงถีบของกระสุนปืนลงไปนอนแน่นิ่ง คาวบอยหนุ่มรีบมุดศีรษะหลบลงในทันที เวสต์ฟิลด์ล้วงกระสุนในกระเป๋ากางเกงแล้วยัดกระสุนกลับคืนเข้าไปสองลูก สำหรับเป้าหมายในระยะ15หลานั้น แม้ปืนรีโวลเวอร์ลำกล้องสั้นจะแกว่งไปบ้าง แต่ก็เป็นระยะที่เขายังมั่นใจในฝีมืออยู่พอสมควร ว่าแต่เกวียนไม้เล่มนี้มันจะป้องกันกระสุนจากผู้บุกรุกได้นานแค่ไหนกัน หากไม่รีบย้ายที่มั่นอันตรายถึงชีวิตแน่ๆ เขาคิดในใจ 
               “เฮๆๆๆๆ” 
          ทันใดนั้น ก็มีเสียงเสียงเฮลั่นดังมาจากข้างในของเผ่านาวาโฮ 
               “เสียงอะไรน่ะ” 
          คาวบอยหนุ่มได้โพล่งออกมา 
               แสงคบเพลิงจากชายชาวเผ่าประมาณสัก 10 คน ขี่ม้าควบออกมาจากหมู่บ้าน พร้อมด้วย ธนู และ ขวานออกมาเต็มอัตราศึก โยทันก้าเมื่อเห็นว่ามีสหายในเผ่าเข้ามาสมทบ บุตรชายคนเดียวของหัวหน้าเผ่าจึงวิ่งออกมาจากก้อนหินใหญ่ที่กำลังซ่อนตัวอยู่ เขารีบวิ่งไปซ้อนท้ายม้าตัวหนึ่งแล้วสั่งให้สหายอินเดียนแดงผู้เป็นจ๊อกกี้ ควบม้าไปที่เป้าหมายข้างหน้า สำหรับโยทันก้าเมื่ออยู่บนหลังม้าซึ่งเป็นชัยภูมิที่สูงกว่า บัดนี้เขาเห็นเป้าหมายที่กำลังหมอบหลบอยู่ที่บริเวณต้นไม้เล็กๆต้นนึง แสงจากคบเพลิงทำให้เห็นวิสัยทัศน์โดยรอบขึ้นมา โยทันก้ามองไปที่ผู้บุกรุกโชคร้ายผู้นั้น ซึ่งบัดนี้เป็นเป้าอยู่ในที่โล่งอย่างชัดเจน เขาหยิบธนูคู่ใจ ง้างศร แล้วยิงเข้าไปปักอกผู้บุกรุก ชายผู้นั้นโดนธนูปักที่กลางอกได้ล้มลงไปขาดใจตายในทันที 
               “ไปๆๆๆๆ” 
               เวสต์ฟิลด์ส่งสัญญาณกับชากาวี หญิงสาวก็รีบวิ่งไปที่ธนู แล้วคว้าขึ้นมาทันที เพราะในเวลานั้นผู้บุกรุกกำลังแตกฮือจากกองทัพม้าของกลุ่มอินเดียนแดง ดูแล้วจำนวนผู้บุกรุกน่าจะไม่มากอย่างที่เขาคิดไว้สักเท่าไหร่ ชากาวีเห็นผู้บุกรุกคนนึงวิ่งหนีลนลาน นางจึงหยิบดอกศร แล้วเงื้อคันธนูยิงขึ้น 
               “ฟรึ่บ” 
               เสียง ธนูตัดผ่านอากาศพุ่งตรงเป็นแนวโค้ง ธนูดอกนั้นพุ่งเสียบไปที่กลางหลังของผู้บุกรุก ร่างนั้นได้ฟุบล้มลงไปทันที และภาพทางด้านหน้าของเวสต์ฟิลด์อีกภาพหนึ่ง เขาได้เห็นชายอินเดียนแดงคนนึงขว้างขวานไปเฉาะกลางกบาลของผู้บุกรุกคนหนึ่ง เลือดสีแดงของมันได้พุ่งปรี๊ดออกมาจากแผล 
               “ถอยๆๆๆ” 
          มีเสียงร้องตะโกนออกมาจากกลุ่มผู้บุกรุก ซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่ม ชายผู้นั้นได้ออกคำสั่งให้ผู้บุกรุกล่าถอย ผู้บุกรุกทั้งหมดวิ่งใส่เกียร์หมาหลบหนีออกไปท่ามกลางความมืด ดูเหมือนว่ากลุ่มอินเดียนแดงเหล่านี้จะเจ็บแค้นผู้บุกรุกมาก ซึ่งเวสต์ฟิลด์ก็ยังไม่แน่ใจว่าผู้บุกรุกกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม”ฮันเตอร์” รึปล่าว ถึงแม้ผู้บุกรุกจะล่าถอยไปแล้ว แต่ชายหนุ่มของเผ่านาวาโฮยังไล่ตามสังหารผู้บุกรุกตายไปอีก 2-3 คน 
               “สหาย อย่าตามไป” 
          เสียง ของโยทันก้าตะโกนออกมาเป็นภาษาอินเดียน ชายหนุ่มชาวอินเดียนกลุ่มนั้นจึงหยุดม้าไม่ไล่ล่าต่อ แล้วทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกันที่หน้ากองไฟ 
          เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดสงบลง คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ได้เดินไปสำรวจที่ศพของชายคนที่ถูกเขายิงตายคนแรก คาวบอยหนุ่มนั่งลงไปที่ข้างๆของศพชายผู้นั้น โดยกระสุนสังหารของเขา นัดหนึ่งทะลุไปที่กลางอก และ อีกนัดหนึ่งได้ทะลุไปที่ช่องท้อง หญิงสาวชาวอินเดียนแดงได้เดินตามหลังเขามา แล้วนางก็พูดมาจากข้างหลังเขาว่า
 
               “ฮันเตอร์ มันต้องใช่พวกมันแน่ๆ ช่วงหลังๆนี้มันมากันทุกคืนเลย”
 
          ชายพเนจรลุกขึ้นยืนขึ้น เขาหยิบกล่องบุหรี่ที่พกไว้ในกระเป๋าเสื้อ เขาเปิดกล่องแล้วคีบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วควักไลท์เตอร์ขึ้นมาจุด
 
               “ทำไมพวกฮันเตอร์ถึงต้องโจมตีหมู่บ้านแห่งนี้ ตามนิสัยของพวกมัน มันแค่สนใจจ้องจะจับแต่คนดำเท่านั้น”
 
          คาวบอยหนุ่มถามนางด้วยเสียงที่ราบเรียบและใบหน้าที่ครุ่นคิด นางเงียบไปสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบเขาไปว่า
 
               “จริงๆ เรื่องของเผ่าฉันมันก็ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก ตอนเช้าฉันจะลองปรึกษาหัวหน้าเผ่าดูว่าจะให้นายรู้เรื่องของเผ่าเราได้หรือปล่าว ถ้าท่านหัวหน้าเผ่าอนุญาต ฉันจะพานายไปดูอะไรอย่างนึง”
 
          อดีตนายทหารฝ่ายเหนือ ค่อยๆเดินก้าวไปข้างหน้า เขาเดินไปแล้วก็สูบบุหรี่ไป เหมือนเขากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่  ชากาวีเดินตามขนาบข้างเขาอย่างช้าๆก่อนที่จะเอ่ยปากถามคำถามเขา
 
               “ถ้าไม่เป็นการขัดข้องอะไร นายช่วยเล่าเรื่องราวของนายให้ฉันฟังบ้างได้มั้ย  อย่างเช่นเรื่องของเด็กผิวดำที่มากับนาย ดูยังไงเด็กคนนั้นก็ไม่น่าจะใช่ลูกของนาย หรือ ญาติฝ่ายไหนของนายแน่ๆ”
 
          ชายพเนจรหยุดเดิน แต่เขายังคงสูบบุหรี่มวนนั้นอยู่ คาวบอยหนุ่มมองไปในความมืดของป่าโปร่งข้างหน้าอยู่เงียบๆคนเดียว ไม่พูดอะไรสักพักใหญ่ๆ ชายพเนจรสูบบุหรี่จนถึงก้นมวน ก่อนที่เขาดีดก้นบุหรี่ออกไป
 
               “โอเค ฉันจะเล่าเรื่องราวของฉันกับเด็กนั่นให้ฟัง”
 
          คลินท์ เวสต์ฟิลด์ ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเขาเจอกับวิคเตอร์ได้อย่างไร และ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อยในระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา ชากาวีฟังทุกเรื่องราวของวิคเตอร์ นางรู้สึกเศร้าใจ และ สงสารเด็กน้อยคนนี้เป็นอย่างมาก ชากาวีนิ่งไปสักพักนึง ชายพเนจรได้หยิบกล่องบุหรี่ที่เขาสูบอยู่ขึ้นมา เขาเปิดกล่อง เคาะบุหรี่ในกล่องออกมาถือไว้ในมือ แล้วเปิดช่องลับที่อยู่ใต้ฐานของกล่องของบุหรี่ เขาหยิบกระดาษแผ่นนึงออกมา กระดาษนั้นก็คือภาพถ่ายขาวดำ เขาส่งภาพถ่ายใบนั้นมาให้นาง ชากาวีรับรูปภาพนั้นขึ้นมาดู รูปนั้นเป็นรูปหญิงสาวผิวสีคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้นางเป็นผู้หญิงผิวสีที่หน้าตาดีมากๆ ชากาวีนางได้พิจารณาดูแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าจะเป็นทาส เพราะดูจากการแต่งตัวที่น่าจะเป็นหญิงสาวที่มีชนชั้นทางสังคมระดับนึงเลยทีเดียว แล้วเวสต์ฟิลด์หันไปพูดกับชากาวี นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองให้คนอื่นฟัง
 
               “นางมีชื่อว่าอลิเซีย นางเป็นเมียของฉัน เมื่อสิบปีก่อนในช่วงสงครามกลางเมือง ช่วงก่อนมีการเลิกทาส ฉันเป็นนายทหารยศร้อยโทของทหารฝ่ายเหนือ หน่วยของฉันมาจากบอสตันแมซซาซูเซส ฉันถูกส่งไปรบที่ฟอร์ตว้ากเนอร์ ที่เซาท์แคโรไลน่า กับกองพันที่54 กองพันนี้นำทัพโดยพันเอกชอร์ กองพันของเราเป็นกองพันเลือดผสม ของคนผิวสี และ ผิวขาว”
 
          เวสต์ฟิลด์ขอรูปของอลิเซียคืน เขาเอารูปถ่ายของเมียเขาเก็บไว้ใต้ฐานของกล่องบุหรี่เหมือนเดิม ก่อนจะเก็บกล่องนั้นเข้าไปในกระเป๋าเสื้อดังเดิม
 
               “ในช่วงนั้น ตอนที่ฉันถูกเกณฑ์ไปรบ เมียของฉันอยู่บ้านที่บอสตัน นางทำงานเป็นช่างตัดเสื้อ ตอนที่ฉันรบอยู่ที่สมรภูมิ ฉันเขียนจดหมายส่งโต้ตอบกับนางตลอดหกเดือนแล้วอยู่ๆมาวันหนึ่ง จดหมายจากเมียฉันก็หายไป”
 
          ชายพเนจรยืนมองออกไปในความมืดข้างหน้า เขาเงียบไปสักครู่นึงก่อนที่จะเล่าเรื่องราวของเขาต่อ
 
               “จดหมายได้ขาดการติดต่อจากเมียฉันไปสองเดือน กองพันที่54ของเราก็สามารถกำชัยชนะเหนือทหารฝ่ายใต้ได้ และเมื่อฉันได้เดินทางกลับบ้านบอสตัน ฉันก็ไม่พบกับเมียฉัน เมียของฉันได้หายตัวไป”
 
          หญิงสาวนิ่งไปครู่นึง ก่อนที่จะถามชายพเนจรกลับไป
 
               “แล้วนายทำยังไง”
  
                “ไม่มีใครรู้เห็นหรือทราบเลยว่านางได้หายไปได้อย่างไร และหายไปไหน จนฉันได้สืบทราบจากเพื่อนบ้านของฉัน ว่าในช่วงหลังๆก่อนที่เมียฉันจะหายตัวไป ได้มีไอ้สถุนจากนิวยอร์คคนนึง มันมีชื่อว่าโรเจอร์ กรีน เพื่อนบ้านฉันเล่าให้ฉันฟังว่ามันเป็นคนที่มีบุคลิกแปลกๆ และ ช่วงนั้นมันมาที่ร้านตัดเสื้อของเมียฉันอยู่บ่อยๆ ฉันเลยตามหาตัวมัน เพราะฉันคิดว่ามันต้องรู้เรื่องที่เมียฉันหายตัวไปเป็นแน่”
 
               “แล้วนายทำยังไงต่อ”
 
          ชากาวีรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ คาวบอยหนุ่มจึงได้เล่าต่อไปว่า
 
               “วันหนึ่งฉันดักมันในซอยเปลี่ยว ฉันได้ซ้อม และ หักกระดูกมัน จนในที่สุดมันก็คายความลับออกมาว่ามันเป็นคนจับส่งเมียฉันไปให้พ่อค้าทาสที่ฟลอริด้า เนื่องจากเมียฉันหน้าตาดี และมีความงดงามต่างจากสาวผิวสีชาวแอฟริกันคนอื่น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมียฉันไม่ใช่แอฟริกันแท้ เนื่องจากพ่อของเธอเป็นชาวอังกฤษ มันหลอกล่อทุกวิถีทางเพื่อเอาเมียฉันไปขายให้พ่อค้าทาส แต่ติดที่ว่าเมียฉันเป็นเสรีชน มันเลยต้องลักพาตัวเมียฉันไป ฉันได้ยินเช่นนั้นเลยโกรธจนเลือดขึ้นหน้าฉันเลยเอามีดเชือดที่คอของมัน ก่อนที่เอาศพของมันห่อไปทิ้งในอ่าว”
 
          คาวบอยหนุ่มหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกตัว
 
               “ฉันได้ออกตามหาเมียฉันตามคำบอกเล่าที่ไอ้โรเจอร์ได้คายออกมา ฉันเดินทางไปที่ฟลอริด้าในเช้าวันนั้นทันที ที่ฟลอริด้านั้นมีการขนทาสมาจากแอฟริกาเพื่อนำไปขายทั่วแดนใต้ ฉันใช้เวลาถึง 3 ปีเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเมียฉัน ฉันฆ่า ทรมาน เค้นข้อมูลพวกมันหลายคน จนได้เบาะแสว่าเมียฉันถูกซื้อตัวไปที่ลุยเซียน่า แต่พวกมันก็ไม่ทราบว่าใครที่ซื้อตัวเมียฉันไป ฉันจึงเดินทางไปที่ลุยเซียน่า และฉันใช้เวลาถึง 5 ปีในการสืบหานาง จากเบาะแสที่ฉันหามาได้อย่างละนิด อลิเซียถูกซื้อไปโดยเศรษฐีเจ้าของไร่ฝ้าย มันมีชื่อว่า แอนดรูว์ แม็คคัลเลน ฉันบุกเข้าไปในบ้านมัน แต่ก็ไม่พบเมียของฉัน ฉันจึงจับมันเลาะฟันออกทีละซี่เพื่อเค้นความจริง”
 
               “แล้วมันว่ายังไง”
 
          หญิงสาวถามด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง
 
               “มันบอกว่าเมียฉันตายไปแล้ว ฉันจึงซ้อมมันเพื่อเค้นความจริงต่อ จึงได้รู้ว่าเมียฉันได้หนีไปจากไร่ไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่ฉันจะเจอที่แห่งนี้  แอนดรูว์ แม็คคัลเลน มันได้ว่าจ้างพวกฮันเตอร์ ซึ่งพวกฮันเตอร์เหล่านี้มันเป็นลูกน้องของพ่อค้าทาสชาวสเปนรายใหญ่ที่สุดของรัฐทางตอนใต้ ชื่อของมันคือ คาร์ลอส เอ้นริเก้”
 
               “โอ้ววว”
 
          ชากาวีตกใจเป็นอย่างมาก นางได้อุทานออกมา
 
               “เอ็นริเก้ ทำไมชื่อมันเหมือนกันเลย”
 
               “มีอะไรรึปล่าว”
 
          ชายพเนจรสงสัย
 
               “เดี๋ยวนายเล่าจบ ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เล่าเรื่องของนายต่อสิ ฉันอยากฟัง”
 
               “พวกฮันเตอร์ออกตามล่าตัวนาง พวกนี้มันเหมือนหมาป่าล่าเนื้อที่คอยแกะรอยเหยื่อ พวกมันเจอเมียฉันหลบหนีที่ไร่ข้าวโพดแห่งหนึ่ง เมียฉันขัดขืนพยายามหลบหนี พวกมันจับตัวนางได้ พวกมันทั้งสองคนจึงข่มขืนแล้วฆ่านาง พอฉันได้ยินเช่นนั้นเลยบันดาลโทสะ ฆ่าไอ้แอนดรูว์ซะ และ หนึ่งเดือนหลังจากนั้นฉันออกตามล่าไอ้ฮันเตอร์สองคนนั้น ฉันได้ฆ่ามันตายกับมือด้วยปืนกระบอกนี้” คาวบอยหนุ่มตบเบาๆไปที่ปืนคู่ใจที่อยู่ตรงซองหนังข้างเอว
 
               “ถ้างั้น นายก็ต้องมีค่าหัวน่ะสิ”
 
          ชากาวีได้ถามชายพเนจร
 
               “ใช่ ฉันมีค่าหัว หมายจับฉันกระจายอยู่ไปทั่ว ตั้งแต่ฟลอริด้า เวอร์จิเนีย ลุยเซียน่า จนไปถึงเท็กซัสเลยทีเดียว”
 
               “เอ่อ...นายก็แก้แค้นพวกฮันเตอร์พวกนั้นสำเร็จแล้วนี่ ทำไมนายไม่กลับบ้านที่บอสตัน เดินทางลงใต้ทำไม”
 
          หญิงสาวชาวอินเดียนมองหน้าเขา ชายพเนจรตอบด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบไปว่า
 
               “ตราบใดที่ยังไม่ได้สังหาร คาร์ลอส เอ็นริเก้ด้วยมือฉันเอง ความแค้นของฉันมันก็ยังไม่ถูกชำระ”
 
          ชายพเนจรหันหน้ามาหาหญิงสาวชาวอินเดียนแดง แล้วถามคำถามนางว่า
 
               “เมื่อกี้เห็นนางตกใจตอนที่ฉันพูดชื่อของ คาร์ลอส เอนริเก้ ขึ้นมา นางตกใจทำไมรึ”
 
          หญิงสาวจึงพูดตอบคำถามเขาไปว่า
 
               “ก็หัวหน้าของพวกฮันเตอร์ที่มาก่อกวนเผ่าของฉัน และ คนที่ฆ่าพี่ชายของฉัน มันมีชื่อว่า ราอูล เอนริเก้”
 
          ชายพเนจรย่นคิ้ว หน้าของเขาเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด เขากลับหันหลัง แล้วพูดกับนางว่า
 
               “พรุ่งนี้นางช่วยไปบอกหัวหน้าเผ่า ว่าฉันยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แล้วตอนเช้านางพาฉันไปดูสิ่งนั้นที่นางว่าหน่อยละกัน ฉันขอกลับไปพักผ่อนก่อน แล้วเรื่องที่ฉันเล่าให้นางฟังวันนี้ ฉันขอร้องว่าให้มันเป็นเรื่องของฉันกับนางแค่สองคน”
 
          สิ้นสุดเสียงท้ายของชายพเนจร เขาก็เดินหายไปในความมืดเข้าไปในหมู่บ้าน ชากาวีจึงเดินไปกองไฟที่พวกผู้ชายของเผ่ารวมกลุ่มกันอยู่
 
          คาวบอยหนุ่มเดินกลับมาที่บริเวณปางพักชั่วคราว ที่เขาปลูกไว้กลางเผ่านาวาโฮ เขาเห็นวิคเตอร์กำลังนั่งเติมไฟอยู่ คาวบอยหนุ่มจึงเดินเข้าไปนั่งที่ข้างๆเด็กน้อย 
               “ฉันทำนายตื่นหรือ เจ้าหนู”
          เขาถามเจ้าหนูน้อย
               “เกิดอะไรขึ้นเหรอเวสต์ฟิลด์ ฉันได้ยินเสียงปืนสู้รบกันเสียงดังป่าแทบแตก”
          วิคเตอร์ถามเขาด้วยความสงสัย
               “พวกฮันเตอร์มันเข้ามาซุ่มโจมตีน่ะ”
          คาวบอยหนุ่มตอบกลับมา
               “ฉัน ตกใจตื่นเพราะเสียงปืนที่ยิงกันสนั่นป่า พอฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็มานั่งอยู่ตรงนี้แหละ เพราะถ้าฉันออกไป ก็คงจะเกะกะพวกนายเปล่าๆ”
          เด็กน้อยยิ้ม แล้วหยิบฟืนในมือโยนเข้ากองไฟ
               “ดีแล้วแหละที่ไม่ออกไปนะวิคเตอร์ ฉันอยากให้นายรู้จักที่จะเอาตัวรอด มากกว่าที่จะกล้าหาญแบบโง่ๆ”
          เวสต์ฟิลด์ ลูบหัวเด็กน้อย แล้วเขาก็ลุกขึ้นเข้าไปนอนในแคมป์ชั่วคราวที่เขาเองได้ปลูกไว้ เขานอนตะแคงเอาหัวหนุนท่อนแขนอย่างง่ายๆ แล้วค่อยๆข่มตาเพื่อหลับลง และไม่นานนักเขาก็จมเข้าอยู่ในนิทรา
 
          ยาม รุ่งสาง ดวงตะวันทอแสงจากขอบฟ้า คาวบอยหนุ่มตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ชาวเผ่านาวาโฮ ทั้งชายหญิง และ ลูกเด็กเล็กแดง ก็ได้ตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมยามเช้าตามวิถีของชาวเผ่า และในขณะที่เขากำลังเก็บแคมป์ชั่วคราวอยู่นั้น ชากาวีนางก็เดินอาดๆเข้ามาหาจอมพเนจร
               “เวสต์ฟิลด์”
          นางเรียกชื่อของเขา
               “อืม ว่าไง”
          ชายพเนจรตอบกลับด้วยคำสั้นๆ ในขณะที่มือของเขานั้นก็ยังคงง่วนกับการเก็บแคมป์อยู่
               “ท่านหัวหน้าเผ่าอนุญาตให้ฉันพานายไปดูสิ่งนั้น สิ่งนั้นที่ฉันบอกกับนายไว้เมื่อคืนน่ะ”
          เวสต์ฟิลด์หันหน้ากลับมาที่หญิงสาว
               “นางก็บอกฉันมาสิ ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร มันเป็นความลับอะไรนักหนา”
          คาวบอยหนุ่มถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
               “ฉันอยากให้นายไปดูเอง”
          หญิงสาวตอบกลับมา ชายพเนจรหันกลับไปเก็บข้าวของอีกสักพัก
               “เอาล่ะ ฉันเก็บแคมป์เสร็จแล้วนางจะพาฉันไปดูอะไรก็รีบๆไป”
          ชายพเนจรพูดด้วยสีหน้าอันราบเรียบเช่นเคย
               “ฉันไปด้วย”
          วิคเตอร์ที่ยืนฟังอยู่ข้างหลังเขาสองคน สนใจใคร่รู้ที่อยากจะตามไปดูด้วย
               “เอาล่ะ งั้นนายสองคนเดินตามฉันมา”
          สาวสวยชาวอินเดียนแดงเรียกให้ทั้งสองเดินตามนางไป 
          ชากาวีพาเดินลัดเลาะไปทางข้างหลังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นทางลาดลงไปบริเวณเนินเขาที่มีลำธารเล็กๆขวางอยู่ นางเดินลัดเลาะไปตามโขดหิน ไปโผล่ที่ทางแยกหนึ่งซึ่งสามารถลัดเลาะไปตามริมลำธารได้ ชากาวีเดินนำลัดเลาะไปตามธารน้ำนั้นไปเรื่อยๆ และเมื่อนางเดินเลี้ยวไปตามโค้งของลำน้ำ ชายพเนจรได้เห็นสิ่งๆนึงที่อยู่ตรงหน้าเขา มันถึงกับทำให้อะดีนาลีนของเขาหลั่งไปทั่วร่าง เจ้าสิ่งนั้นมันคือเสาต้นหนึ่งสูงประมาณ 10 เมตร เสานั้นเป็นเสารูปนกธันเดอร์เบิร์ดสยายปีก
          สำหรับเรื่องราว ของนกธันเดอร์เบิร์ดนั้นเวสต์ฟิลด์ก็พอจะรู้เรื่องมาบ้าง จากที่เขาเคยอ่านเจอในหนังสือ ธันเดอร์เบิร์ดตามความเชื่อของชาวอินเดียนแดง มันคือนกยักษ์ที่ตัวใหญ่มากๆ เวลาใดที่มันกระพือปีก มันจะทำให้เกิดพายุทอร์นาโด และ เมื่อใดที่ดวงตามันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ก็จะทำให้เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง ซึ่งมันน่าจะเป็นคำอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆตามที่พวกอินเดียนแดงเข้าใจ ดังนั้น ชาวอินเดียนแดงจึงได้ให้ความเคารพนกธันเดอร์เบิร์ด เพราะมันเปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าของพวกเขานั่นเอง
แต่สิ่งที่ทำให้จอมพเนจรตื่นเต้นได้ขนาดนั้น เป็นเพราะเสานั้นมันไม่ใช่เสาไม้หรือหินแกะสลักอย่างที่เขาเคยเห็น แต่มันเป็นเสานกธันเดอร์เบิร์ดที่ทำจากทองคำทั้งแท่ง เสาทองคำสูงถึงสิบเมตร และนั่นก็เป็นแค่ตัวเสานะ ยังไม่รวมกับปีกที่สยายอีกข้างละประมาณ 4 เมตร ชายพเนจรเดินไปใกล้ๆแล้วใช้มือจับไปที่ฐานของเสาทองคำนั้น มันเป็นสัมผัสของทองคำ ใช่แล้ว มันคือทองคำแท้ๆ ทองทั้งแท่งจริงๆ เขาพอจะรู้สาเหตุแล้วทำไมพวกฮันเตอร์ถึงได้สนอกสนใจอินเดียนแดงเผ่านี้ซะเหลือเกิน เจ้าหนูวิคเตอร์ที่เดินตามมาหลังสุด เมื่อเห็นเสาทองต้นนั้นถึงกับอุทานว่า “โอ้โห” แล้วเด็กน้อยก็วิ่งเข้ามาดูอย่างตื่นเต้นด้วยเช่นกัน หญิงสาวเห็นจอมพเนจรกำลังสำรวจเสาทองคำอยู่ นางจึงค่อยๆเดินสาวเท้าเดินเข้ามาหาเขา
                “เป็นยังไงบ้างสำหรับความลับของเผ่าฉัน” 
          นางคลี่ยิ้มออกมาให้เขาเห็น 
               “ตื่นตาตื่นใจดี” 
          คาวบอยหนุ่มทำหน้านิ่ว เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบและใช้ความคิด เหมือนเขากำลังสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ ชายพเนจรถอดเสื้อแจ๊คเก็ตหนังที่ใส่อยู่โยนไปบริเวณใกล้ๆกับเสา แล้วเขาก็ถอดเสื้อเชิ้ตข้างในออก คาวบอยหนุ่มค่อยๆเดินลงไปในลำธาร เขาเอาเสื้อเชิ๊ตติดมือไปด้วย สายธารแห่งนี้น้ำที่มีความสูงแค่เพียงระดับเอวเท่านั้น เขาคลี่เสื้อเชิ้ตของเขากางออกให้เป็นผืนใหญ่ แล้วชายพเนจรก็จ้วงเสื้อของเขาลงไปตรงก้นของลำธาร เขาก้มหน้าก้มตาจ้วงหาอะไรบางอย่างอยู่หลายต่อหลายครั้ง ชากาวีกับวิคเตอร์ได้ยืนมองอยู่ที่ริมฝั่ง สาวชาวอินเดียนแดงนางยืนมองดูเฉยๆเหมือนนางจะรู้อะไรบางอย่าง ส่วนวิคเตอร์นั้นทำหน้ามุ่ยด้วยความฉงนสงสัย 
               “นั่นนายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ” 
          วิคเตอร์ถามเขา แต่จอมพเนจรก็ยังก้มหน้าก้มตาหาอะไรบางอย่างในลำธารต่อไป เป็นช่วงเวลาสักพักใหญ่ๆ คาวบอยหนุ่มก็ขึ้นมาจากลำธารนั้นด้วยสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัว เหมือนเขาจะเจออะไรบางอย่าง สิ่งนั้นมันอยู่ในอุ้งมือของเขา ชายพเนจรเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาวและเด็กน้อย แล้วเขาก็แบมือให้ดูสิ่งหนึ่งที่เขาเจอในลำธารแห่งนั้น
               “ทอง”
          วิคเตอร์ร้องออกมา เพราะในมือของเวสต์ฟิลด์นั้นเป็นเม็ดทองเล็กๆขนาดเท่าก้อนกรวดสองชิ้น
               “ลำธารแห่งนี้ คือสายทองอันบริสุทธิผุดผ่อง”
          ชายพเนจรได้กล่าวออกมา
               สำหรับ ชากาวีนั้น เรื่องความลับของทองในลำธารสายนี้ นางก็รู้ดีอยู่ก่อนแล้ว แต่นางสงสัยว่าจอมพเนจรรู้ได้อย่างไรว่าสายธารแห่งนี้มีทองอยู่ นางจึงถามเขาไปว่า
               “นายรู้ได้ยังไงว่าลำธารแห่งนี้จะมีทอง”
          คาวบอยหนุ่มยิ้มที่มุมปากนิดนึง แล้วจึงตอบว่า
               “ช่วง สักประมาณ 25 ปีก่อน ตอนนั้นน่าจะฉันอายุประมาณ 10 ขวบได้ ฉันคิดว่าปีนั้นน่าจะประมาณ.......เอ่อ.......มันน่าจะประมาณปี 1848 ช่วงนั้นหนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์กระจายข่าวๆนึงดังไปทั่วบอสตัน แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นทั่วประเทศมากกว่านะ มันเป็นข่าวเกี่ยวกับการตื่นทองที่ซานฟรานซิสโก เพราะในเวลานั้นเส้นทางรถไฟพึ่งสร้างไปถึงอีกฝั่งของประเทศได้ไม่นานนัก เขาว่าช่วงแรกๆ ลำธารสายนั้น คนที่ไปเก็บทองไม่ต้องร่อนหรือขุดเลยด้วยซ้ำ สามารถก้มเก็บที่พื้นของลำธารได้เลย ซึ่งหนังสือพิมพ์ได้เขียนไว้ว่าได้มีคนเจอทองก้อนเท่าไข่ไก่เลยทีเดียว” 
          ชากาวีกับวิคเตอร์ฟังที่เขาพูดอย่างตั้งใจ 
               “ณ.ตอน นั้นแถวละแวกบ้านของฉันมีตาเฒ่าขายเนื้ออยู่คนนึงชื่อว่าตาเฒ่าบ๊อบ ฉันยังจำได้ดี วันที่ตาเฒ่าบ๊อบอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ตาเฒ่าดีใจมากถึงกับออกมาวิ่งโห่ร้องไปตามถนน แล้วพูดกับคนที่เจอว่า “ข้าจะไปซานฟรานซิสโก” สามสี่ปีหลังจากนั้นตาเฒ่าบ๊อบกลับมาที่บอสตัน เขานำเงินที่หามาได้จากการขุดทองกลับมาเปิดโรงเลื่อยที่บ้านเกิด จากคนขายเนื้อกลายเป็นเจ้าของโรงเลื่อย รวยไปเลย และในช่วงนั้นหนังสือพิมพ์ตีข่าวว่าคนกว่าสามแสนคนทั่วอเมริกาต่างตื่นทอง แห่แหนกันไปแคลิฟอร์เนียขุดทองซะจนเกลี้ยง ณ.ปัจจุบันนี้ไม่มีเหลือแม้แต่เศษทองเท่าเม็ดทราย” 
          ชายพเนจรเว้นระยะสักครู่ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า 
               “แต่ ที่ลำธารแห่งนี้ ยังเป็นสายทองบริสุทธิ ถึงแม้จะมีทองไม่มากเท่าที่ซานฟรานซิสโก แต่ก็น่าจะมีมากอยู่พอสมควร มากพอที่จะสร้างเสาต้นนี้ได้”
          จอมพเนจรเงยหน้ามองเสาทองคำและเอามือไปแตะเบาๆ ชากาวีหันจึงหันมาพูดกับเขาว่า
               “เมื่อคืนตอนที่นายกลับไปพักผ่อน โยทันก้าได้บอกกับฉันว่า พวกฮันเตอร์ที่มาแอบซุ่มโจมตี พวกมันน่าจะมาลอบสังหารเขาโดยตรง โดยโยทันก้าคิดว่าพวกมันอาจจะต้องการสังหารผู้นำเผ่าสักคน ซึ่งคนๆนั้นอาจจะเป็นเขาผู้เป็นบุตร แต่พวกเราลงความเห็นกันว่า เป้าหมายสังหารที่แท้จริงของพวกมันน่าเป็นท่านหัวหน้าเผ่า”
          ชายพเนจรเดินไปหยิบกล่องบุหรี่ที่อยู่ในเสื้อแจ๊คเก็ตหนังของเขา เขาคีบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเสร็จ เขาก็เดินไปนั่งลงตรงข้างๆเสาทองคำนั่นเอง
               “นางบอกว่าเจ้าคนที่ชื่อราอูล เอนริเก้ มันฆ่าพี่ชายของนาง เรื่องราวมันเป็นอย่างไรรึ”
          ชากาวีเดินเข้ามานั่งลงข้างๆจอมพเนจร
               “ประมาณ เมื่อสามเดือนก่อน ราอูล เอนริเก้ มันมาที่เผ่าของเรา มันบอกว่ามันเข้ามาทำธุรกิจ มันขอเข้าพบกับหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่าเราก็ยินดีต้อนรับมัน ซึ่งจริงๆแล้วเผ่าของเรานั้นไม่ได้อะไรกับคนขาวมากนัก พวกเราค่อนข้างเป็นมิตรกับคนขาวด้วยซ้ำไป”
          คาวบอยหนุ่มนั่งฟังที่นางเล่าอย่างตั้งใจ เขาคีบบุหรี่แล้วอัดควันเข้าไปเต็มปอด แล้วค่อยๆปล่อยควันออกมาจากทางปาก
               “มัน ขอเข้ามาขุดทองในลำธารแห่งนี้โดยยินดีที่จะแบ่งทองที่หาได้กับเผ่าเรา 30% แต่หัวหน้าเผ่าก็ปฏิเสธ เพราะพวกเราเชื่อว่าจะทำให้เทพธันเดอร์เบิร์ดที่คุ้มครองเผ่าเราพิโรธ และจะนำภัยพิบัติมาสู่เผ่า ราอูล มันไม่ยอมลดละ มันมาที่เผ่าของเราบ่อยขึ้น ทุกครั้งมันมา มันพยายามเอาข้าวของเงินทองมากำนัลแก่หัวหน้าเผ่า แต่หัวหน้าเผ่าก็ปฏิเสธมันทุกครั้ง เมื่อเจรจาไม่เป็นผล มันก็หายหน้าไป ไม่โผล่กลับมาเจรจาธุรกิจอะไรกับพวกเราอีก”
               “แล้วไงต่อ”
          ชายพเนจรถามนางพร้อมกับอัดควันบุหรี่
               “จน เมื่อสักสองสัปดาห์ก่อน ราอูลมันได้เอาพวกฮันเตอร์มาจู่โจมเผ่าของเรา มันมากัน 50 คนได้ พวกมันเข้ามาจู่โจมตอนที่พวกเรากำลังหลับไหล โดยเป้าหมายของไอ้ราอูลก็คือต้องฆ่าท่านหน้าเผ่าให้ได้ พี่ชายฉันเป็นนักรบมือขวาของท่านหัวหน้าเผ่า เขาออกไปสู้กับพวกมันอย่างไม่รักตัวกลัวตาย คืนนั้น พวกเราสามารถขับไล่พวกมันไปได้ แต่โชคร้ายของพี่ชายฉัน เขาถูกไอ้ราอูลมันยิง มันยิงเขาต่อหน้าต่อตาฉัน ฉันพยุงตัวเขามารักษาในกระโจมของแม่หมอ พี่ชายของฉันโดนยิงตัดไปที่ช่องท้อง ซึ่งแผลเขาฉกรรจ์มาก แม้แต่แม่หมอของเผ่าเราก็ยังไม่สามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้ และฉันเองนั้นก็อยู่ดูใจเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย”
          ชากาวีเงียบไปครู่นึง นางทอดสายตามองเหม่อออกไปที่สายธาร
               “แล้วหลังจากนั้นมา พวกมันก็มาก่อกวนบ่อยขึ้น บางคืนแค่มาขี่ม้าโห่ร้อง บางคืนก็มีกระสุนตกเข้ามาในกระโจม และ เมื่อคืนอย่างที่นายเห็น พวกมันจะมาลอบสังหารโยทันก้า พวกเราถึงต้องขี่ม้าตรวจตรารอบบริเวณรัศมีของเผ่าเราอยู่บ่อยๆ เหมือนกับตอนแรกที่พวกของเราได้เจอกับนายยังไงล่ะ”
          คาวบอยหนุ่มดีดก้นบุหรี่ลงไปที่ลำธารข้างหน้า แล้วยันตัวลุกขึ้นยืน
               “ลำธารแห่งนี้สิ้นสุดที่ตรงไหน”
          ชายพเนจรถามคำถามกับชากาวี
               “ก็เดินลัดเลาะลำธารไปไม่ไกลนัก นายก็จะเจอกับน้ำตกซึ่งเป็นต้นน้ำของลำธาร อ้อ ฉันลืมบอกอย่าง ที่ตรงน้ำตกมีเสาทองคำธันเดอร์เบิร์ดอีกเสานึง แต่เป็นเสาที่เล็กกว่าเสานี้ครึ่งหนึ่ง”
          คาวบอยหนุ่มเอา เสื้อเชิ้ตมาบิด เขาสะบัดเอาน้ำออกแล้วใส่ทั้งที่เสื้อยังเปียกอยู่ เสร็จแล้วเขาก็เดินไปหยิบเสื้อแจ๊คเก็ตหนังของเขามาสวมทับดังเดิม แล้วชายพเนจรก็เดินเข้ามาหาหญิงสาว เขาเอามือเลิกปีกหมวกขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า
               “นางช่วยพาฉันไปดูหน่อยได้มั้ย”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา