พิศสวาทในหลุมรัก
-
เขียนโดย dreamon
วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.00 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
9,518 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 21.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) เพราะพรหมลิขิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแล้วชายหนุ่มก็บิดใบมีดตัดขั้วหัวใจร่างของแวมไพร์สาวค่อยๆแห้งกรอบลงอย่างเร็วและกลายเป็นซากแห้งกรอบ ติดปรายมีดเงินของชายหนุ่ม เขาสลัดทิ้งร่างแห้งกรอบลงไปกับพื้นและเก็บมีดเงินกลับเข้าไปที่เดิม ก่อนหันมาทางเด็กๆ ที่คงช็อกสุดขีดไปแล้ว เขาอาจอยู่มาบนโลกหลาย….และรู้จักและได้เรียนรู้ภาษาต่างๆ ไปมากมาย
แต่เขาก็ไม่คิดและไม่ได้เรียนรู้ภาษาไทยมาก่อน เพราะคนในแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้สามารถสื่อสารกับเขาได้บ้าง และเขาก็ไม่ชอบสุงสิงกับใครจึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาไทย มาถึงตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องใช้พลังจิตระดับมาสเตอร์ ที่จะสั่งเด็กด้วยพลังนั้นเป็นคำพูดภาษาไทยว่า
“ใครอยากออกไปจากที่นี่ ให้หันกลับมามองที่ฉัน”
เด็กๆทั้งหมดได้ยินแบบนั้น ค่อยๆ คลายอ้อมกอดที่รัดรั้งกันออกช้าๆและค่อยๆชวนกันหันกลับอย่างหวาดๆค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองที่หน้าเขา แสงสีฟ้าที่เจิดจ้าเปล่งประกายเรืองรองชวนให้มองอย่างหลงลุ่มหลงสาดซัดเข้าไปเข้าไปในดวงตาเด็กกวาดล้างภาพต่างๆที่ฝังติดในสมองน้อยๆให้ขาวโพลน
เขาสอบถามทุกอย่างเกี่ยวตัวเด็ก และ ให้เด็กคนนั้นๆเล่าให้ฟังเพื่อที่จะได้ช่วยต่อไปหลังจากจัดการกับเด็กๆ เสร็จเขาก็ยังไม่คลายสะกดให้ เขาให้เด็กๆนั่งรอที่ในห้องก่อนแล้วเขาก็เดินไปหยิบเอาเสื้อยืดที่ถูกถอดทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาสวม ก่อนคว้าเอาร่างแห้งกรอบของแวมไพร์สาวติดมือเดินออกไปข้างนอก เดินลงบันไดเลยออกไปหยุดอยู่ที่ ประตูรั้วเตี้ยๆ หน้าตัวบ้าน
ก่อนจะวางสะโพกไว้หมิ่นๆที่รั้ว มือยังถือซากแวมไพร์คาอยู่พร้อมเอ่ยถามผู้ที่ปรากฏตัวที่ด้านหลังว่า
“กำหนดเวลาไม่เคยพลาดเลยนะ เคเกอร์”
“คำนั้นคุณคงต้องพูดกับตัวเองแล้วล่ะ ว่าตัวคุณน่ะเป๊ะ”
เคเกอร์ เอ่ยตอบด้วยเสียงทุ่มก้องใหญ่ เคเกอร์เป็นชายผิวดำร่างใหญ่บนศรีษะไม่มีผมสักเส้น เขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์เหมือนแมคธิว เพราะอากาศที่เมืองไทยร้อน และแวมไพร์ก็ไม่ชอบอากาศแบบนั้นเท่าไหร่
“เหมือนเดิมใช่มั้ย เก็บกวาด ทำทะเบียนใหม่ หาคนดูแล ส่งสิ่งที่ยายปีศาจนี่พ่นออกมาให้นายฟังไปให้สภาที่คุมกฎ ดำเนินการกับพวกที่ละเมิด และสุดท้ายแพ็คซากแห้งๆ นี้ส่งไปขึ้นเงินโอนเข้าบัญชีนาย ปิดบัญชี” พูดพลางยกมือขึ้นผ่ายไปด้านข้างก่อนจะถามต่ออีกหน่อยว่า
“นายจะกลับหลุมนายเลยรึเปล่า” เอ่ยถามอย่างรู้กันว่า ที่นั้น คือบ้านที่ฝั่งยุโรป
“ยังขอพักอีก 2-3วันก่อนอยากบอกลาเพื่อนสักหน่อย” ตอบกลับมาเสียงเรียบ
“นายล้อฉันเล่นแน่เลย! นายไม่เคยต้องการเพื่อน ฉันหมายถึงมนุษย์น่ะ” เคเกอร์ขยับตัวแทบทันที
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันแค่รู้สึกว่าฉันไม่รังเกียจที่จะมีเขาเป็นเพื่อน”
“รู้จักกันได้ไง โทษทีฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะละลาบละล้วงเรื่องนายหรอกนะ”
รีบออกตัวไว้ก่อนเพราะเขาไม่เคยถามอะไรที่แมคธิวไม่เล่าสักครั้งที่พวกเขารู้จักกันเพราะทำงานมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แมคธิวไม่เคยบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเขา เคเกอร์ ก็ไม่เคยเอ่ยถาม ทั้งสองจึงทำงานด้วยกันได้ เคเกอร์ จะคอยปิดบัญชีทรัพย์สินที่มีอยู่มากมายของแวมไพร์ แล้วโอนย้ายบางส่วนเข้าบัญชีตัวเองอย่าง
แนบเนียน มันเป็นสิ่งที่ไม่สะอาดนักหรอกแต่เมื่อเจ้าของเงินไม่อยู่ก็ไม่มีใครใช้นี่หว่า
เขาไม่จำเป็นต้องใช้แรง เขาใช้เพียงสมองเก็บกวาด แต่งเรื่อง ให้สะอาดเนียนเขาคิดว่าเงินในบัญชีของคงจะมากกว่าของแมคธิวแน่ๆ ‘ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก’
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไร” ตอบแค่นั้นหมายถึงไม่อยากเล่าล่ะสิ
เคเกอร์พยักหน้าก่อนขอตัวขึ้นไปข้างบน แมคธิว โยนซากแห้งๆ นั้นใส่ตัวเคเกอร์ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบยกมือขึ้นตะครุบเอาไว้
“จัดการต่อทีเด็กๆ ยังไม่รู้สึกตัว แล้วฉันก็ขอยืมรถนายไปเลยแล้วกันอีกสักชั่วโมง เด็กๆจะเป็นปกติ ถึงตอนนั้นนายคงแต่งเรื่องเนียนๆได้แล้วสักเรื่อง” พูดจบก็หันหลังโบกมือให้หลังจาก เคเกอร์ล้วงเอากุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงโยนให้เดินไปที่รถปิคอัพสีดำคันใหญ่ที่มีทั่วไป เปิดประตูรถเข้าไปนั่งสตาร์ทขับออกไป ทิ้งให้เคเกอร์จัดการต่อ
เขาขับรถมาถึงชายหาดอีกด้านที่ห่างไกลผู้คนในยามตีสอง ที่นี่เงียบสงบ เขานั่งมองบ้านหลังเล็กที่ปลายหาดลิบๆอยู่ภายในรถ ในห้วงคำนึงเขานึกวันแรกที่ได้เจอกับ
‘ทวี’ มนุษย์หนุ่มที่คนถูกอัธยาศัยที่มีภรรยาที่ชื่อช่อมณีเธอมีร่างกายที่อ่อนแอด้วยโรคหัวใจ แต่ยังแอบปล่อยให้ตัวเองตั้งท้องดั่งคล้ายรู้ตัวว่า จะอยู่ได้อีกไม่นานแม้ตัวทวีเองจะคัดค้าน
แพทย์ก็พร้อมจะรักษาชีวิตแม่ไว้ด้วยการเอาเด็กออก แต่เธอก็ไม่สนใจเพียรบอกกับสามีว่า นี่คือสิ่งที่เธอจะมอบไว้ให้แทนความรักของทั้งคนสอง เพราะเธอเหนี่อยลงทุกวันตัวสามีก็เลยได้แต่ทำใจ นับวันรอของขวัญที่มีค่าที่จะได้มาพร้อมความตายนั้น
แมคธิว เห็นร่างของทวีเดินมาตามชายหาดที่ห่างออกจากตัวบ้านมาคนเดียวช้าๆ
ด้วยสายแห่งแวมไพร์แม้เป็นเวลากลางคืนมันก็แจ่มชัด
เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็ววูบเดียวก็มาถึงยังจุดที่ทวีหยุดยืนหันหน้ามองออกไปยังทะเลกว้างที่มืดมิดอยู่อย่างนั้น สายตาที่เหม่อมองออกไปไม่ได้เพ่งมองหาความงามแต่มันไร้จุดหมาย กลิ่นความวิตกกังวลลอยคละคลุ้งอยู่รอบตัวเขา
“การเดินเล่นตอนตีสอง อากาศก็ไม่เลวนักหรอกจริงมั้ย” เสียงทักเบาๆ ที่ด้านหลังทำให้ทวีสะดุ้งตื่นออกจากพะวัง สำเนียงภาษาที่เอ่ยถามก็ไม่ใช่ภาษาของเขา แต่น้ำเสียงแบบนั้นทวีก็จำได้แทบทันที
“คุณแมคธิว!คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงคุณเลย” ทวีถามทั้งหันกลับมาพยายามเขม่นมองฝ่าความมืดไปยังร่างของเจ้าของเสียงในความมืด ร่างสูงเด่นกำยำผึ่งผายเดินเนิบๆ อย่างสง่างามเข้ามาหาแล้วมาหยุดยืนเคียงหันหน้ามองไปทางทะเล ทิศเดียวกับที่ทวียืนอยู่
“เอาเป็นว่า มันนานพอที่จะทำให้ผมได้ยินเสียงคุณถอนหายใจ ดังเสียยิ่งกว่าเสียงคลื่นเลยล่ะ” ตอบคำถามก่อนจะละหน้าคมเข้มกลับมาจากทะเล หันกลับมามองหน้าคนถาม
ทวีหัวเราะเบาๆ แต่น้ำเสียงไม่สดชื่นนัก เขากำลังนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ได้เจอกับแมคธิวครั้งแรกเมื่อสี่เดือนก่อน เขาและช่อมณีภรรยาของเขาที่กำลังท้องได้สี่เดือนเดินทางไปทำธุระที่ธนาคารด้วยกัน เพื่อไปทำเรื่องขอกู้ยืมเขาทำงานรับราชการครูที่เงินเดือนไม่มากนักเขาอยากได้เงินมาต่อเติมบ้านใหม่ที่มันไม่ค่อยแข็งแรงนักเพื่อให้เธอและลูกน้อยที่จะเกิดมาอีกอย่างภรรยาของเขาต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำและบ่อยๆ เขาจึงต้องสำรองเงินไว้สักก้อนไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
เมื่อทำธุระเสร็จเขากับภรรยาก็เดินออกมาที่หน้าธนาคาร เขาประคองเธอเดินลงมาตามขั้นบันไดที่ทอดเป็นเนินลาดลงไปสู่ถนนที่รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ของเขาจอดอยู่พอลงมาถึงด้านล่าง เขาให้ภรรยายืนรอที่ข้างประตูด้านหนึ่ง เขาเดินอ้อมหน้ารถไปยังด้านคนขับแต่ไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตูรถ เสียงรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดเยื่องไปข้างหน้าก็แผดเสียงดังขึ้น
เขาก็ยังไม่ใส่ใจหรอก เพราะที่ไหนๆในประเทศนี้ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น เพราะความที่ไม่คิดมาก ผู้ชายสองคนใส่เสื้อผ้าเก่าๆธรรมดาใส่หมวกกันน็อกทั้งคู่ คนหนึ่งเดินไปนั่งสตาร์ทรถเหมือนรออีกคนก็เหมือนจะเดินไปขึ้นรถ แต่ทันใดนั้นผู้ชายที่คิดว่าจะเดินไปขึ้นรถก็ กระชากเอากระเป๋าที่ภรรยาเขาสะพายคล้องไว้ที่ไหล่ไปอย่างแรง และออกวิ่งไปที่รถพร้อมขับออกไป แถมผลักร่างเธอจนเสียหลักเซถลาไปชนประตูรถจนกรีดร้องเสียงดัง ด้วยความตกใจ
เขาไม่ได้ห่วงกระเป๋าเท่าชีวิตเมียรักที่เกิดอาการช็อกขึ้นทันที่ด้วยความตกใจ วิ่งมาประคองเมียรักไว้ในอ้อมแขนก่อนจะช้อนอุ้มร่างเธอขึ้น คนที่อยู่แถวนั้นที่หยุดมองดูเหตุการณ์ วิ่งเข้ามาช่วยเปิดประตูรถให้เขาวางภรรยาเข้าไป ก่อนจะวิ่งอ้อมกลับไปประจำที่นั่งคนขับๆ มุ่งตรงออกไปที่โรงพยาบาล
ทวีไม่รู้หรอกว่ามีผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟบริเวณใกล้ๆนั้น เขารับรู้ถึงคลื่นพลังความคิดของวายร้ายสองคนนั้นตั้งแต่แรก เขาจึงคอยจับมองว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จนทุกอย่างเกิดขึ้นมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยในช่วงชีวิตยาวนานของ แมคธิว จนเขาน่าจะทำเหมือนทุกครั้งคือเฉยเสีย
แต่กะแสคลื่นความรู้สึกบางอย่าง ที่เขาไม่เข้าใจกระตุ้นให้เขาลุกออกจากโต๊ะในร้านกาแฟหลังจากวางเงินไว้แล้ว คว้าเอาแจ๊กเก็ตยีนส์ที่พาดไว้เก้าอี้ เดินออกไปจากร้าน มองไปทางที่รถมอเตอร์ไซต์คันเล็กพุ่งออกไป ความสามารถระดับมาสเตอร์พวกมันไม่รู้หรอกว่าแวมไพร์ระดับเขาสามารถได้ยินเสียงไกลมากกว่าที่ใครๆจะรู้
เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเหนือการมองเห็นของมนุษย์ ไปในทิศทางที่ได้ยินพวกมันพูดคุยกันอยู่อย่างครื้นเครง เสียงที่ได้ยินไม่น้อยกว่าห้าคน แมคธิว ซอกซอนไปตามซอยสกปรกรกรั้งระเกะระกะไปด้วยขยะและสิ่งของผุพัง มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องเก่าๆโทรมๆแห่งหนึ่งในซอยแห่งนั้น
“โอโฮ่โว๊ย! วันนี้ฟลุ๊คฉิบ มึงดูดิสองสามหมื่นมั้งเนี่ย” หนึ่งในห้าของพวกที่อยู่ในนั้น
พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เสียงจอกแจกจอแจที่ถามถึงส่วนแบ่ง จึงดังขึ้น
แต่ก่อนที่พวกมันจะได้รับส่วนแบ่งสมใจเสียงเคาะประตูหนักๆก็ดังขึ้น
เสียงพูดคุยเงียบเสียงลง แต่ไม่มีการตอบรับ สายตาของแมคธิวสามารถมองทะลุผ่าน
กำแพงหรือประตูเข้าไปได้โดยไร้สิ่งกีดขวางถ้าเขาต้องการ เขาจึงมองเห็นพวกรีบรวบเงินเข้ากระเป๋ามองหน้ากันไปมา เลิ่กลั่ก กลิ่นความหวาดระแวงโชยออกมาจากข้างใน
“เฮ้ยใครวะ” หนึ่งในนั้นแสร้งตะโกนออกมาเสียงดังแต่ไม่ปรากฏเสียงตอบ
“ถ้าไม่มีธุระ อย่ากวนนะโว๊ยกูจะนอน ถ้าพูดไม่รู้เรื่องระวังกูยิงทิ้งนะโว๊ย” สำทับมาอีกรอบ
“พ่อมึงตามหรือเปล่าวะ” อีกคนหนึ่งก็ออกความเห็นมาอีก
“กูว่าไม่ เพราะถ้าพ่อมึงมารับรอง ตะโกนสั่งแจ้วๆตามสไตล์” อีกคนก็รีบบอก
“เปิดประตูไปดูก็รู้แล้ว ปืนตั้งหลายกระบอกกลัวไรว่ะ!” คนที่ใจร้อนที่สุดกระชับปืนขึ้นกระชากประตูเปิดออกปรากฏว่าเป็นฝรั่งร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา คมคายรูปร่างชวนให้สาวๆน้ำลายหกยืนหน้าหล่ออยู่ตรงหน้า กะแสความโล่งใจกระจายออกมาถ้วนทั่วหน้า รีบหันไปหาเพื่อนพลางร้องบอก
“ฝรั่งหลงทางว่ะ มึงคุยรู้เรื่องเปล่าวะ”
“สงสัยมากับอีตัวแถวนี้แหล่ะ คงเสร็จกิจแล้วจะกลับแต่บังเอิญหลงทางมึงมาคุยกับมันเด๊ะ” คนที่เหลือส่ายหน้าประติเสธ เจ้าคนพูดเลยหันกลับมาออกปากไล่อย่างรำคาญ
“เสียใจ แถวนี้ไม่มีใครคุยกับแกรู้เรื่องหรอก ไปไป๊ รำคาญเสียเวลาจริง” ว่าแล้วก็ขยับมือจะดึงประตูปิดแต่มือใหญ่ขาวซีดก็ยกขึ้นมากดบานประตูไว้พลางชี้มือไปทางด้านหลังวาดต่ำลงไปชี้ที่กระเป๋าสายตาทั้งห้าคู่เลื่อนไปมองตรงตำแหน่งที่ถูกชี้ก่อนจะเบือนกลับมองขึ้นไปที่ใบหน้าหล่อเหลา ขยับตัวอย่างระวังตัวสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย กระดิกปลายนิ้วที่ชี้ไปที่กระเป๋าประมาณให้ส่งมาเดี๋ยวนี้ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมา คนทั้งหมดก็ไม่ได้โง่สักเท่าไหร่มันจึงเข้าใจความหมายนั้นทันที
ทั้งหมดพยักหน้าพร้อมกันก่อนหัวเราะงอหาย ก่อนหยุดแล้วกระชับมือในมือที่นับรวมกันก็3กระบอกบวกคนอีกห้า
“เฮ้ยกูเคยเห็นแต่คนไทยไถกันเอง กูไม่เคยเห็นฝรั่งไถไทยเดี๋ยวกูแถมตีนไทยให้อีกฟรีๆ”
แต่ทันทีที่มันพูดจบร่างของมันก็ถูกอัดเข้ากับฝาบ้านจนทะลุห้องข้ามไปอีกห้อง
อีกสี่คนที่เหลือ ได้แต่ตกตะลึงในความเร็วและแรงของการอัดกระแทก ไม่ทันได้ขยับตัวอีกสองที่เหลือและมีปืนก็ถูกจับยกโยนขึ้นด้วยมือคนละข้างก่อนจะถูกปล่อยลงมาพร้อมเข่าที่ถูกยกอัดขึ้นไปคนละอัก ก่อนจะไหลลงไปกองร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น
สองคนที่เหลือเริ่มรู้สึกตัวจะขยับเข้ามาช่วยเพื่อนชายหนุ่มยกมือห้าม ก่อนส่ายหน้าเป็นการเตือนว่าอย่าลอง เขาชี้นิ้วไปที่กระเป๋าอีกครั้ง คราวนี่มันถูกส่งมาที่เขาอย่ารวดเร็วด้วยมือที่สั่นเทา แมทธิวรับกระเป๋ามาถือก่อนหันหลังจะเดินกลับ
แต่ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกอัดเข้ามาที่เนื้อไหล่ของเขาจนมิดด้าม
เขาเอี้ยวหน้ากลับมามองด้วยสีหน้าราบเรียบ เห็นมีดสั้นปักติดอยู่ที่ไหล่ซ้ายเลือดไหลพรั่งพรูออกมาจนชุ่ม เขาหันกลับมาหาคนที่แทงมีดเข้ามาด้วยสีหน้าปกติ แต่คนที่ทำตัวสั่นงันงกขยับถอยกลับหลังไปหาเพื่อนอย่างเร็ว ดวงตาสีฟ้าส่องประกายเรืองรองขึ้นตามแรงอารมณ์ แล้วพูดด้วยจิตกับพวกมันว่า
“ที่จริงฉันสะกดพวกแกให้มอบมันมาให้ฉันแบบง่ายก็ได้ แต่ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันอยากอัดพวกแกเล่นเฉยๆ ที่จริงฉันควรหักแขนหักขาพวกแกเล่นด้วย แต่ฉันขี้เกียจเล่นแล้วฉันเลยจะบอกพวกแกว่า ลุก-ขึ้น-มา แล้วมานั่งตบหน้ากันอยู่ตรงนี้สักสองสามชั่วโมงแบบแรงๆ แล้วค่อยเลิก”
แต่เขาก็ไม่คิดและไม่ได้เรียนรู้ภาษาไทยมาก่อน เพราะคนในแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้สามารถสื่อสารกับเขาได้บ้าง และเขาก็ไม่ชอบสุงสิงกับใครจึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาไทย มาถึงตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องใช้พลังจิตระดับมาสเตอร์ ที่จะสั่งเด็กด้วยพลังนั้นเป็นคำพูดภาษาไทยว่า
“ใครอยากออกไปจากที่นี่ ให้หันกลับมามองที่ฉัน”
เด็กๆทั้งหมดได้ยินแบบนั้น ค่อยๆ คลายอ้อมกอดที่รัดรั้งกันออกช้าๆและค่อยๆชวนกันหันกลับอย่างหวาดๆค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองที่หน้าเขา แสงสีฟ้าที่เจิดจ้าเปล่งประกายเรืองรองชวนให้มองอย่างหลงลุ่มหลงสาดซัดเข้าไปเข้าไปในดวงตาเด็กกวาดล้างภาพต่างๆที่ฝังติดในสมองน้อยๆให้ขาวโพลน
เขาสอบถามทุกอย่างเกี่ยวตัวเด็ก และ ให้เด็กคนนั้นๆเล่าให้ฟังเพื่อที่จะได้ช่วยต่อไปหลังจากจัดการกับเด็กๆ เสร็จเขาก็ยังไม่คลายสะกดให้ เขาให้เด็กๆนั่งรอที่ในห้องก่อนแล้วเขาก็เดินไปหยิบเอาเสื้อยืดที่ถูกถอดทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาสวม ก่อนคว้าเอาร่างแห้งกรอบของแวมไพร์สาวติดมือเดินออกไปข้างนอก เดินลงบันไดเลยออกไปหยุดอยู่ที่ ประตูรั้วเตี้ยๆ หน้าตัวบ้าน
ก่อนจะวางสะโพกไว้หมิ่นๆที่รั้ว มือยังถือซากแวมไพร์คาอยู่พร้อมเอ่ยถามผู้ที่ปรากฏตัวที่ด้านหลังว่า
“กำหนดเวลาไม่เคยพลาดเลยนะ เคเกอร์”
“คำนั้นคุณคงต้องพูดกับตัวเองแล้วล่ะ ว่าตัวคุณน่ะเป๊ะ”
เคเกอร์ เอ่ยตอบด้วยเสียงทุ่มก้องใหญ่ เคเกอร์เป็นชายผิวดำร่างใหญ่บนศรีษะไม่มีผมสักเส้น เขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์เหมือนแมคธิว เพราะอากาศที่เมืองไทยร้อน และแวมไพร์ก็ไม่ชอบอากาศแบบนั้นเท่าไหร่
“เหมือนเดิมใช่มั้ย เก็บกวาด ทำทะเบียนใหม่ หาคนดูแล ส่งสิ่งที่ยายปีศาจนี่พ่นออกมาให้นายฟังไปให้สภาที่คุมกฎ ดำเนินการกับพวกที่ละเมิด และสุดท้ายแพ็คซากแห้งๆ นี้ส่งไปขึ้นเงินโอนเข้าบัญชีนาย ปิดบัญชี” พูดพลางยกมือขึ้นผ่ายไปด้านข้างก่อนจะถามต่ออีกหน่อยว่า
“นายจะกลับหลุมนายเลยรึเปล่า” เอ่ยถามอย่างรู้กันว่า ที่นั้น คือบ้านที่ฝั่งยุโรป
“ยังขอพักอีก 2-3วันก่อนอยากบอกลาเพื่อนสักหน่อย” ตอบกลับมาเสียงเรียบ
“นายล้อฉันเล่นแน่เลย! นายไม่เคยต้องการเพื่อน ฉันหมายถึงมนุษย์น่ะ” เคเกอร์ขยับตัวแทบทันที
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันแค่รู้สึกว่าฉันไม่รังเกียจที่จะมีเขาเป็นเพื่อน”
“รู้จักกันได้ไง โทษทีฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะละลาบละล้วงเรื่องนายหรอกนะ”
รีบออกตัวไว้ก่อนเพราะเขาไม่เคยถามอะไรที่แมคธิวไม่เล่าสักครั้งที่พวกเขารู้จักกันเพราะทำงานมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แมคธิวไม่เคยบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเขา เคเกอร์ ก็ไม่เคยเอ่ยถาม ทั้งสองจึงทำงานด้วยกันได้ เคเกอร์ จะคอยปิดบัญชีทรัพย์สินที่มีอยู่มากมายของแวมไพร์ แล้วโอนย้ายบางส่วนเข้าบัญชีตัวเองอย่าง
แนบเนียน มันเป็นสิ่งที่ไม่สะอาดนักหรอกแต่เมื่อเจ้าของเงินไม่อยู่ก็ไม่มีใครใช้นี่หว่า
เขาไม่จำเป็นต้องใช้แรง เขาใช้เพียงสมองเก็บกวาด แต่งเรื่อง ให้สะอาดเนียนเขาคิดว่าเงินในบัญชีของคงจะมากกว่าของแมคธิวแน่ๆ ‘ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก’
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไร” ตอบแค่นั้นหมายถึงไม่อยากเล่าล่ะสิ
เคเกอร์พยักหน้าก่อนขอตัวขึ้นไปข้างบน แมคธิว โยนซากแห้งๆ นั้นใส่ตัวเคเกอร์ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบยกมือขึ้นตะครุบเอาไว้
“จัดการต่อทีเด็กๆ ยังไม่รู้สึกตัว แล้วฉันก็ขอยืมรถนายไปเลยแล้วกันอีกสักชั่วโมง เด็กๆจะเป็นปกติ ถึงตอนนั้นนายคงแต่งเรื่องเนียนๆได้แล้วสักเรื่อง” พูดจบก็หันหลังโบกมือให้หลังจาก เคเกอร์ล้วงเอากุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงโยนให้เดินไปที่รถปิคอัพสีดำคันใหญ่ที่มีทั่วไป เปิดประตูรถเข้าไปนั่งสตาร์ทขับออกไป ทิ้งให้เคเกอร์จัดการต่อ
เขาขับรถมาถึงชายหาดอีกด้านที่ห่างไกลผู้คนในยามตีสอง ที่นี่เงียบสงบ เขานั่งมองบ้านหลังเล็กที่ปลายหาดลิบๆอยู่ภายในรถ ในห้วงคำนึงเขานึกวันแรกที่ได้เจอกับ
‘ทวี’ มนุษย์หนุ่มที่คนถูกอัธยาศัยที่มีภรรยาที่ชื่อช่อมณีเธอมีร่างกายที่อ่อนแอด้วยโรคหัวใจ แต่ยังแอบปล่อยให้ตัวเองตั้งท้องดั่งคล้ายรู้ตัวว่า จะอยู่ได้อีกไม่นานแม้ตัวทวีเองจะคัดค้าน
แพทย์ก็พร้อมจะรักษาชีวิตแม่ไว้ด้วยการเอาเด็กออก แต่เธอก็ไม่สนใจเพียรบอกกับสามีว่า นี่คือสิ่งที่เธอจะมอบไว้ให้แทนความรักของทั้งคนสอง เพราะเธอเหนี่อยลงทุกวันตัวสามีก็เลยได้แต่ทำใจ นับวันรอของขวัญที่มีค่าที่จะได้มาพร้อมความตายนั้น
แมคธิว เห็นร่างของทวีเดินมาตามชายหาดที่ห่างออกจากตัวบ้านมาคนเดียวช้าๆ
ด้วยสายแห่งแวมไพร์แม้เป็นเวลากลางคืนมันก็แจ่มชัด
เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็ววูบเดียวก็มาถึงยังจุดที่ทวีหยุดยืนหันหน้ามองออกไปยังทะเลกว้างที่มืดมิดอยู่อย่างนั้น สายตาที่เหม่อมองออกไปไม่ได้เพ่งมองหาความงามแต่มันไร้จุดหมาย กลิ่นความวิตกกังวลลอยคละคลุ้งอยู่รอบตัวเขา
“การเดินเล่นตอนตีสอง อากาศก็ไม่เลวนักหรอกจริงมั้ย” เสียงทักเบาๆ ที่ด้านหลังทำให้ทวีสะดุ้งตื่นออกจากพะวัง สำเนียงภาษาที่เอ่ยถามก็ไม่ใช่ภาษาของเขา แต่น้ำเสียงแบบนั้นทวีก็จำได้แทบทันที
“คุณแมคธิว!คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงคุณเลย” ทวีถามทั้งหันกลับมาพยายามเขม่นมองฝ่าความมืดไปยังร่างของเจ้าของเสียงในความมืด ร่างสูงเด่นกำยำผึ่งผายเดินเนิบๆ อย่างสง่างามเข้ามาหาแล้วมาหยุดยืนเคียงหันหน้ามองไปทางทะเล ทิศเดียวกับที่ทวียืนอยู่
“เอาเป็นว่า มันนานพอที่จะทำให้ผมได้ยินเสียงคุณถอนหายใจ ดังเสียยิ่งกว่าเสียงคลื่นเลยล่ะ” ตอบคำถามก่อนจะละหน้าคมเข้มกลับมาจากทะเล หันกลับมามองหน้าคนถาม
ทวีหัวเราะเบาๆ แต่น้ำเสียงไม่สดชื่นนัก เขากำลังนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ได้เจอกับแมคธิวครั้งแรกเมื่อสี่เดือนก่อน เขาและช่อมณีภรรยาของเขาที่กำลังท้องได้สี่เดือนเดินทางไปทำธุระที่ธนาคารด้วยกัน เพื่อไปทำเรื่องขอกู้ยืมเขาทำงานรับราชการครูที่เงินเดือนไม่มากนักเขาอยากได้เงินมาต่อเติมบ้านใหม่ที่มันไม่ค่อยแข็งแรงนักเพื่อให้เธอและลูกน้อยที่จะเกิดมาอีกอย่างภรรยาของเขาต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำและบ่อยๆ เขาจึงต้องสำรองเงินไว้สักก้อนไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
เมื่อทำธุระเสร็จเขากับภรรยาก็เดินออกมาที่หน้าธนาคาร เขาประคองเธอเดินลงมาตามขั้นบันไดที่ทอดเป็นเนินลาดลงไปสู่ถนนที่รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ของเขาจอดอยู่พอลงมาถึงด้านล่าง เขาให้ภรรยายืนรอที่ข้างประตูด้านหนึ่ง เขาเดินอ้อมหน้ารถไปยังด้านคนขับแต่ไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตูรถ เสียงรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดเยื่องไปข้างหน้าก็แผดเสียงดังขึ้น
เขาก็ยังไม่ใส่ใจหรอก เพราะที่ไหนๆในประเทศนี้ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น เพราะความที่ไม่คิดมาก ผู้ชายสองคนใส่เสื้อผ้าเก่าๆธรรมดาใส่หมวกกันน็อกทั้งคู่ คนหนึ่งเดินไปนั่งสตาร์ทรถเหมือนรออีกคนก็เหมือนจะเดินไปขึ้นรถ แต่ทันใดนั้นผู้ชายที่คิดว่าจะเดินไปขึ้นรถก็ กระชากเอากระเป๋าที่ภรรยาเขาสะพายคล้องไว้ที่ไหล่ไปอย่างแรง และออกวิ่งไปที่รถพร้อมขับออกไป แถมผลักร่างเธอจนเสียหลักเซถลาไปชนประตูรถจนกรีดร้องเสียงดัง ด้วยความตกใจ
เขาไม่ได้ห่วงกระเป๋าเท่าชีวิตเมียรักที่เกิดอาการช็อกขึ้นทันที่ด้วยความตกใจ วิ่งมาประคองเมียรักไว้ในอ้อมแขนก่อนจะช้อนอุ้มร่างเธอขึ้น คนที่อยู่แถวนั้นที่หยุดมองดูเหตุการณ์ วิ่งเข้ามาช่วยเปิดประตูรถให้เขาวางภรรยาเข้าไป ก่อนจะวิ่งอ้อมกลับไปประจำที่นั่งคนขับๆ มุ่งตรงออกไปที่โรงพยาบาล
ทวีไม่รู้หรอกว่ามีผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟบริเวณใกล้ๆนั้น เขารับรู้ถึงคลื่นพลังความคิดของวายร้ายสองคนนั้นตั้งแต่แรก เขาจึงคอยจับมองว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จนทุกอย่างเกิดขึ้นมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยในช่วงชีวิตยาวนานของ แมคธิว จนเขาน่าจะทำเหมือนทุกครั้งคือเฉยเสีย
แต่กะแสคลื่นความรู้สึกบางอย่าง ที่เขาไม่เข้าใจกระตุ้นให้เขาลุกออกจากโต๊ะในร้านกาแฟหลังจากวางเงินไว้แล้ว คว้าเอาแจ๊กเก็ตยีนส์ที่พาดไว้เก้าอี้ เดินออกไปจากร้าน มองไปทางที่รถมอเตอร์ไซต์คันเล็กพุ่งออกไป ความสามารถระดับมาสเตอร์พวกมันไม่รู้หรอกว่าแวมไพร์ระดับเขาสามารถได้ยินเสียงไกลมากกว่าที่ใครๆจะรู้
เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเหนือการมองเห็นของมนุษย์ ไปในทิศทางที่ได้ยินพวกมันพูดคุยกันอยู่อย่างครื้นเครง เสียงที่ได้ยินไม่น้อยกว่าห้าคน แมคธิว ซอกซอนไปตามซอยสกปรกรกรั้งระเกะระกะไปด้วยขยะและสิ่งของผุพัง มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องเก่าๆโทรมๆแห่งหนึ่งในซอยแห่งนั้น
“โอโฮ่โว๊ย! วันนี้ฟลุ๊คฉิบ มึงดูดิสองสามหมื่นมั้งเนี่ย” หนึ่งในห้าของพวกที่อยู่ในนั้น
พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เสียงจอกแจกจอแจที่ถามถึงส่วนแบ่ง จึงดังขึ้น
แต่ก่อนที่พวกมันจะได้รับส่วนแบ่งสมใจเสียงเคาะประตูหนักๆก็ดังขึ้น
เสียงพูดคุยเงียบเสียงลง แต่ไม่มีการตอบรับ สายตาของแมคธิวสามารถมองทะลุผ่าน
กำแพงหรือประตูเข้าไปได้โดยไร้สิ่งกีดขวางถ้าเขาต้องการ เขาจึงมองเห็นพวกรีบรวบเงินเข้ากระเป๋ามองหน้ากันไปมา เลิ่กลั่ก กลิ่นความหวาดระแวงโชยออกมาจากข้างใน
“เฮ้ยใครวะ” หนึ่งในนั้นแสร้งตะโกนออกมาเสียงดังแต่ไม่ปรากฏเสียงตอบ
“ถ้าไม่มีธุระ อย่ากวนนะโว๊ยกูจะนอน ถ้าพูดไม่รู้เรื่องระวังกูยิงทิ้งนะโว๊ย” สำทับมาอีกรอบ
“พ่อมึงตามหรือเปล่าวะ” อีกคนหนึ่งก็ออกความเห็นมาอีก
“กูว่าไม่ เพราะถ้าพ่อมึงมารับรอง ตะโกนสั่งแจ้วๆตามสไตล์” อีกคนก็รีบบอก
“เปิดประตูไปดูก็รู้แล้ว ปืนตั้งหลายกระบอกกลัวไรว่ะ!” คนที่ใจร้อนที่สุดกระชับปืนขึ้นกระชากประตูเปิดออกปรากฏว่าเป็นฝรั่งร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา คมคายรูปร่างชวนให้สาวๆน้ำลายหกยืนหน้าหล่ออยู่ตรงหน้า กะแสความโล่งใจกระจายออกมาถ้วนทั่วหน้า รีบหันไปหาเพื่อนพลางร้องบอก
“ฝรั่งหลงทางว่ะ มึงคุยรู้เรื่องเปล่าวะ”
“สงสัยมากับอีตัวแถวนี้แหล่ะ คงเสร็จกิจแล้วจะกลับแต่บังเอิญหลงทางมึงมาคุยกับมันเด๊ะ” คนที่เหลือส่ายหน้าประติเสธ เจ้าคนพูดเลยหันกลับมาออกปากไล่อย่างรำคาญ
“เสียใจ แถวนี้ไม่มีใครคุยกับแกรู้เรื่องหรอก ไปไป๊ รำคาญเสียเวลาจริง” ว่าแล้วก็ขยับมือจะดึงประตูปิดแต่มือใหญ่ขาวซีดก็ยกขึ้นมากดบานประตูไว้พลางชี้มือไปทางด้านหลังวาดต่ำลงไปชี้ที่กระเป๋าสายตาทั้งห้าคู่เลื่อนไปมองตรงตำแหน่งที่ถูกชี้ก่อนจะเบือนกลับมองขึ้นไปที่ใบหน้าหล่อเหลา ขยับตัวอย่างระวังตัวสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย กระดิกปลายนิ้วที่ชี้ไปที่กระเป๋าประมาณให้ส่งมาเดี๋ยวนี้ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมา คนทั้งหมดก็ไม่ได้โง่สักเท่าไหร่มันจึงเข้าใจความหมายนั้นทันที
ทั้งหมดพยักหน้าพร้อมกันก่อนหัวเราะงอหาย ก่อนหยุดแล้วกระชับมือในมือที่นับรวมกันก็3กระบอกบวกคนอีกห้า
“เฮ้ยกูเคยเห็นแต่คนไทยไถกันเอง กูไม่เคยเห็นฝรั่งไถไทยเดี๋ยวกูแถมตีนไทยให้อีกฟรีๆ”
แต่ทันทีที่มันพูดจบร่างของมันก็ถูกอัดเข้ากับฝาบ้านจนทะลุห้องข้ามไปอีกห้อง
อีกสี่คนที่เหลือ ได้แต่ตกตะลึงในความเร็วและแรงของการอัดกระแทก ไม่ทันได้ขยับตัวอีกสองที่เหลือและมีปืนก็ถูกจับยกโยนขึ้นด้วยมือคนละข้างก่อนจะถูกปล่อยลงมาพร้อมเข่าที่ถูกยกอัดขึ้นไปคนละอัก ก่อนจะไหลลงไปกองร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น
สองคนที่เหลือเริ่มรู้สึกตัวจะขยับเข้ามาช่วยเพื่อนชายหนุ่มยกมือห้าม ก่อนส่ายหน้าเป็นการเตือนว่าอย่าลอง เขาชี้นิ้วไปที่กระเป๋าอีกครั้ง คราวนี่มันถูกส่งมาที่เขาอย่ารวดเร็วด้วยมือที่สั่นเทา แมทธิวรับกระเป๋ามาถือก่อนหันหลังจะเดินกลับ
แต่ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกอัดเข้ามาที่เนื้อไหล่ของเขาจนมิดด้าม
เขาเอี้ยวหน้ากลับมามองด้วยสีหน้าราบเรียบ เห็นมีดสั้นปักติดอยู่ที่ไหล่ซ้ายเลือดไหลพรั่งพรูออกมาจนชุ่ม เขาหันกลับมาหาคนที่แทงมีดเข้ามาด้วยสีหน้าปกติ แต่คนที่ทำตัวสั่นงันงกขยับถอยกลับหลังไปหาเพื่อนอย่างเร็ว ดวงตาสีฟ้าส่องประกายเรืองรองขึ้นตามแรงอารมณ์ แล้วพูดด้วยจิตกับพวกมันว่า
“ที่จริงฉันสะกดพวกแกให้มอบมันมาให้ฉันแบบง่ายก็ได้ แต่ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันอยากอัดพวกแกเล่นเฉยๆ ที่จริงฉันควรหักแขนหักขาพวกแกเล่นด้วย แต่ฉันขี้เกียจเล่นแล้วฉันเลยจะบอกพวกแกว่า ลุก-ขึ้น-มา แล้วมานั่งตบหน้ากันอยู่ตรงนี้สักสองสามชั่วโมงแบบแรงๆ แล้วค่อยเลิก”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ