[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) Chapter 08 : ไม่เคยลืม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 08 : ไม่เคยลืม


 

“มาแล้วๆๆ” ...พร้อมกับเค้กหน้าครีมสดสีขาวที่พอมองแล้วน้ำลายแทบหก “นี่เป็นเค้กที่ผมทำเองครับ  อยากจะเอามาขายที่หน้าร้านแต่แม่ไม่ยอม” ไอ้คุณเอกพูดพลางวางเค้กลงบนโต๊ะไม้เคลือบแล็กเกอร์เงาวับที่เป็นที่นั่งสำหรับลูกค้า  ที่จริงที่นี่น่ะ  นอกจากมีขนมไทยหลากหลายชนิดแล้วยังมีเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำกระเจี๊ยบ ใบบัวบก เฉาก๊วย ใบเตยและน้ำหวานอย่างอื่นอีกเยอะเลยล่ะครับ

“ก็นี่ร้านขนมไทยนี่ยะ” พี่ตรีว่า

“คนหัวโบราณ ไม่คุยด้วยหรอก” ไอ้คุณเอกหันไปมองพี่สาวแล้วสะบัดหน้าใส่ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมแล้วดึงมือผมไปนั่งที่โต๊ะที่มีเค้กน่ากินนั่นวางตั้งอยู่

น้ำลายแทบหก

“เอ่อ...?” ผมมองหน้าไอ้คุณเอกสลับกับเค้กพลางทำหน้าสงสัย

“เอามาให้ชิมไงครับ  ไหนๆ แม่ก็ไม่ยอมให้ขายแล้ว  เค้กก้อนนี้คงไม่มีประโยชน์” พูดแบบนี้ก็ลาภปากกูสิเฮ้ย!  แต่เราจะกินอย่างตะกละไม่ได้  ต้องรักษาภาพพจน์และทนกลืนน้ำลายไปก่อน

“ไปเรียนถึงฝรั่งเศสแล้วทำไมไม่หางานทำล่ะครับ  ร้านเค้กมีออกเยอะแยะ” ผมถามพลางพยายามที่จะไม่มองเค้กตรงหน้า  คือ...ถ้าหมอนี่ไม่เอ่ยปากชวนให้ผมกินอีกรอบผมก็จะไม่แตะ  ผมก็เกรงใจคนเป็นนะเออ

“ทำครับ  ผมทำงานที่โรงแรมใกล้ๆ คอนโดผมน่ะ  เข้างานตอนสายๆ เกือบเที่ยง เช้านี้ผมก็เลยแวะมาเรียนทำขนมไทยกับแม่น่ะครับ  ลัคกี้สุดๆ ที่ได้มาเจอคุณ” ไอ้คุณเอกเอามือเท้าคางโดยมีศอกช่วยยันกับโต๊ะก่อนจะมองผมด้วยสายตาเป็นประกายจนผมชักกลัว  ไอ้บ้านี่มันอารมณ์ดีจนเหมือนคนบ้าเลยแฮะ

“คุณจะบ้าหรือเปล่า?” ผมทำหน้าแหยงๆ นิดๆ

“เออนี่ คุณเคยบอกใช่ป่ะว่าคุณอายุ 25” หมอนั่นถามอย่างนึกถึงได้ทำเอาผมถึงกับหน้าเสีย  นั่นมันเรื่องน่าอายของผมเลยนะนั่น  จะฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไมวะ?

“อือ ใช่” ผมยอมพยักหน้าตอบ

“ผมอายุ 23 นะ  เป็นน้องคุณสองปีแหละ  ว่าแต่คุณชื่ออะไร?” หมอนั่นแนะนำพลางถามด้วยท่าทางร่าเริง

“ปะ...เปอร์?” ผมตอบพลางค่อยๆ เอนหลังหลบประกายวิ้งวับที่อยู่รอบตัวของหมอนั่น  มันมาได้ไงวะ  จะว่าไปพอเห็นประกายพวกนี้แล้วนึกถึงออร่าของพี่เคย์เลยแฮะ ฮ่าๆ

“โอเคครับคุณเปอร์  กินเค้กนี่ได้ไหมถ้าคุณไม่รังเกียจ” เอกพูดพลางวางจานกับช้อนไว้ตรงหน้าผม

“ฟรีนะ?” ผมถามลองเชิง  ถ้าไม่ฟรีนี่ไม่กินนะเว้ย  แล้วตอนที่มันถามผมว่ารังเกียจไหมนี่อยากจะแหกปากออกไปเหลือเกินว่าน้ำลายกูจะหกใส่เค้กมึงนี่กูรังเกียจมากกก

“บริการพิเศษ  ฟรีทั้งก้อนเลยครับ” หมอนั่นยิ้มร่าผมจึงค่อยๆ ใช้มีดตัดเค้กมาไว้ในจาน  ที่จริงก็อยากจะสวาปามทั้งก้อนนั่นแหละครับแต่กลัวเขาหาว่าตะกละ

ผมค่อยๆ ตักเค้กเข้าปากท่ามกลางสายตาลุ้นๆ ของเอก  พอคำแรกเข้ามาในปากปุ๊บผมก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มและความหวานละมุนที่ละลายในปากปั๊บ  ผมกลืนคำแรกลงไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะตักคำที่สองตามมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆเบาบาง

ผมเลิกเพ้อแล้วเพิ่มสปีดในการตักเค้กเข้าปากจนกระทั่งชิ้นแรกหมดไป

“อร่อย” ผมแลบลิ้นเลียเอาครีมที่ติดที่ริมฝีปากออกก่อนจะพูดออกไปอย่างเพ้อๆ

“งั้นทานอีกนะ” เอกบอกแล้วตัดเค้กให้  ผมพยักหน้าก่อนจะกินอีกด้วยความรู้สึกสุดแสนจะฟิน 

บอกเลยว่าเป็นเค้กที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลยล่ะครับ  ไม่เสียแรงที่ไปเรียนถึงฝรั่งเศส  มันอร่อยจนผมไม่รู้สึกว่าเลี่ยนเลยล่ะ  อยากจะกินอีก...กินไปเรื่อยๆ เพราะมันอร่อยมาก  อ๊าก! คุณป้าน่าจะยอมให้หมอนี่ขายเค้กอะ  ผมจะมาซื้อทุกวันเลย  นี่ขนาดขนมไทยผมยังมาทุกวัน  ถ้ามีเค้กด้วยนี่มาเช้ามาเย็นอะครับ

“อร่อยมากเลยคุณ” ผมบอกอย่างพึงพอใจ

“ถ้าชอบล่ะก็ไปหาผมที่ร้านเค้กในโรงแรมได้นะ เดินเข้าไปก็จะเห็นคาเฟ่อยู่ใกล้ๆ ล็อบบี้น่ะ  ถ้าคุณไปล่ะก็ผมจะลดให้เป็นพิเศษเลย” เอกบอกพลางยิ้มกว้าง

“จริงนะ?” ผมถามอย่างตื่นเต้น

“จริงสิครับ  วันนี้ผมจะทำมาการอง แอปเปิลพายแล้วก็เค้กอีกสองสามหน้า  ถ้าคุณสนใจก็ไปหาผมได้นะ ส่วนมากผมอยู่ที่ครัวก็จริงแต่ถ้าคุณจะมาให้โทรบอกผมก่อนได้เลย อะ นี่นามบัตรผมเอง” เอกพยักหน้ายิ้มพลางยื่นนามบัตรมาให้ผม

“อ๊ะ นามบัตรของผม  แป๊บนะครับ” ผมพูดพลางตะปบหานามบัตรในสูทแต่จำได้ว่ายังไม่ได้เอาออกมาเตรียมพร้อมผมก็เลยต้องค้นหาจากกระเป๋าตังค์ “นี่ครับ” ผมยื่นนามบัตรไปให้เอก  เขารับไปดูก่อนจะทำหน้าตกใจ

“โห ทำงานที่บริษัทใหญ่เลยนะคุณ  ไม่ไกลจากที่ทำงานผมด้วย” เอกทำหน้าตื่นตาตื่นใจ

“ก็นะ  เอาไว้ผมจะไปอุดหนุนนะ” ผมบอก  พอเห็นว่าหมอนี่ทำขนมอร่อยผมก็เลยมีอารมณ์อยากผูกมิตรขึ้นมาทันที  ถ้าไม่คิดถึงความประทับใจแรกที่ผมเจอเขาล่ะก็ผมว่าเขาก็เป็นคนที่น่าคบดีนะครับ แฮะๆ

“ครับผม” เอกยิ้มกว้าง

“โห! ตายแล้ว  ผมสายแล้วนี่นา” ผมดูเวลาแล้วเผลออุทานออกมา  มัวแต่ปลาบปลื้มกับรสชาติเค้กจนลืมเวลาเลยแฮะ

“จริงน่ะ? ตายล่ะ  ผมทำคุณสายซะได้  งั้นผมไปส่งนะ” เอกตื่นตกใจไปพร้อมกับผม

“ไปไงอ่ะคุณ?” ผมถาม  ตอนนี้ไม่เกรงใจละ กูรีบ

“มอเตอร์ไซค์หน้าร้านเลยครับ  แม่ พี่ตรี ผมไปส่งคุณเปอร์แป๊บนะเดี๋ยวกลับมาช่วย” เอกบอกผมแล้วหันไปป้องปากตะโกนบอกคนที่บ้าน

“ไปๆ ขับรถดีๆ นะ” คุณป้ากับพี่ตรีออกมาจากหลังร้านเพื่อมาส่ง

“ผมลาล่ะครับ สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ทั้งสองคนก่อนจะวิ่งตามเอกออกไปหน้าร้านแล้วต้องตกใจเมื่อเจอเขากระโดดไปคร่อมบิ๊กไบค์สีเหลืองอ๋อยคันเท่

หมอนี่ก็ใช่ย่อยนะเนี่ย

“ใส่หมวกก่อนนะคุณ” เอกพูดพลางยื่นหมวกกันน็อคมาให้  ผมปีนขึ้นไปซ้อนก่อนจะรับหมวกมาสวม “พร้อมยัง?”

“ครับ” เมื่อได้คำตอบเอกก็ออกรถไปอย่างรวดเร็วจนผมผงะเกือบตกรถแต่โชคดีที่คว้าเอวเขาเอาไว้ได้ทัน  และเมื่อตั้งหลักได้ผมก็ปล่อยมือออกจากเอวเขาทันที

“จับไว้ก็ได้นะครับ  จะได้ไม่ตก” เขาเอียงหน้ามาพูดกับผมผ่านหมวกกันน็อคผมจึงได้แต่รับคำแล้วยึดเบาะเอาไว้แทน 

จะบ้าเหรอครับ  ให้ผมเกาะเอวผู้ชายเนี่ยนะ  ไม่เอาด้วยหรอก  ขนลุกตายห่า

 

“เอก ขอบคุณมากนะที่มาส่ง  ถ้าไม่ได้คุณผมต้องเข้างานสายแน่เลย” เมื่อมาถึงหน้าตึกที่ทำงานผมก็ลงจากรถแล้วยื่นหมวกกันน็อคคืนให้เอกพลางก้มหัวขอบคุณ

“ไม่เป็นไร  รีบไปเถอะครับ” เอกรับหมวกกันน็อคคืนไปก่อนจะส่งยิ้มให้

“ตอนนี้ไม่สายแล้วล่ะ  เพราะคุณเลยนะ ขอบคุณมาก” ผมขอบคุณเขาอีกรอบ

“งั้น...คุณยิ้มน่ารักๆ ให้ผมแทนคำขอบคุณหน่อยได้ไหมล่ะ?” คำขอของเอกทำเอาผมนิ่งงันไปเลยทีเดียว  ยิ้มน่ารัก? มันทำยังไงวะ? แล้ว...ไอ้หมอนี่มันต้องการอะไร?

“เอ่อ...” ผมยิ้มแหยๆ พลางเกาต้นคอแก้เก้อ

“แค่ยิ้มเหมือนตอนที่คุณกินเค้กของผมไง” เอกบอกแต่ผมก็ยังได้แต่เกาคอเบาๆ “ฮ่าๆ คุณนี่ตลกดีเนอะ  เอ้อ ถ้าเที่ยงนี้คุณว่างล่ะก็ไปที่คาเฟ่นะ  ผมจะเอาเค้กที่คุณกินไม่หมดไปให้ด้วย  หรือถ้าไม่สะดวกคุณแวะเอาที่ร้านก็ได้นะ” เอกบอก

“อื้อ งั้นเที่ยงนี้เจอกัน  แล้วผมจะโทรหานะ” ผมบอกแค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในตึก

 

เปอร์ไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำและคำพูดทุกอย่างของเขากับเอกจะอยู่ในสายตาของลุกซ์ทั้งหมด  เมื่อครู่ลุกซ์กำลังจะลงจากรถแต่เห็นเปอร์ลงจากรถเอกเสียก่อนเขาจึงนั่งอยู่ในรถเหมือนเดิมและเปิดกระจกฟัง  เมื่อได้ยินที่ทั้งคู่คุยกันมือหนาๆ ก็กำเข้าหากันแน่น  ทั้งโกรธ ทั้งเคืองจนตัวสั่นเทิ้ม

“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร!?!” ลุกซ์กัดฟันพูดก่อนจะทุบพวงมาลัยอย่างโมโหเพราะหาที่ลงไม่ได้

 

“พี่พลอยครับ เที่ยงนี้มีนัดไปไหนไหมเอ่ย?” ผมเดินอารมณ์ดีเข้าไปทักพี่พลอยในห้องสวัสดิการหลังจากแวะเอาขนมไปให้พวกพี่ลันที่ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศชั้น10 เสร็จแล้ว  ออฟฟิศฝ่ายบริหารอยู่ที่ชั้น15 อันเป็นชั้นสูงสุดและนอกจากพนักงานบริษัทของเราแล้วยังมีบริษัทอื่นทำงานอยู่ตึกนี้ด้วยแต่จริงๆ แล้วตึกนี้ทั้งตึกก็เป็นของหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทเราครับ  บอกเลยว่าผู้บริหารบริษัทนี้มีแต่คนรวยๆ

“ไม่มีจ้ะ ทำไมเหรอ?” พี่พลอยที่กำลังชงกาแฟหันมาถาม

“จะชวนไปคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้น่ะครับ  พอดีคนรู้จักทำงานอยู่ที่นั่นแล้วก็ทำเค้กอร่อยมาก” ผมลากเสียงยาวเพื่อเน้นให้รู้ว่ามันอร่อยมากแค่ไหน

“ไปสิๆ” พี่พลอยพยักหน้าอย่างสนใจ

“งั้นพักเที่ยงเราไปกินข้าวแล้วไปที่นั่นต่อเนอะ” ผมชวนพี่พลอยจึงพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะเอาขนมที่ผมยื่นให้ไปจัดใส่จาน

“สงสัยจะได้กินเค้กอร่อยๆ ตั้งแต่เช้าล่ะสิถึงได้อารมณ์ดีขนาดนี้น่ะ” พี่พลอยพูดพลางยกถ้วยกาแฟกับขนมเดินออกจากห้องสวัสดิการโดยมีผมช่วยยกจานขนมเดินตามออกไป

แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบคำถาม ทั้งผมและพี่พลอยก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพี่ลุกซ์เดินทำหน้าเครียดเข้ามา  ไปโมโหอะไรมาอีกวะเนี่ย? หน้าอย่างโหด  แต่จะโมโหอะไรมาก็แล้วแต่  ขอแค่อย่ามาลงกับผมก็พอ

“เอ่อ...ทานฝอยทองไหมคะประธาน?” พี่พลอยเอ่ยชวนไม่เต็มเสียงนักทำให้พี่ลุกซ์หยุดมองแล้วเดินหัวเสียเข้าห้องทำงานไป “เป็นอะไรของเค้าน่ะ?” พี่พลอยย่นจมูก

“ไม่รู้สิครับ  แต่คราวหลังอย่าไปชวนเขาเลย  รายนั้นเขากินไข่ไม่ได้น่ะครับ” ผมมองตามพลางพูดกับพี่พลอย

“งั้นเดี๋ยวพี่เอากาแฟกับขนมไปให้รองก่อนแล้วเราออกมากินขนมด้วยกันนะ” พี่พลอยพูดยิ้มๆ ก่อนจะเข้าไปในห้องพี่ถังแล้วก็ออกมาด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนปกติ

 

ผมแทบจะทนรอให้ถึงตอนเที่ยงไม่ไหวแล้วล่ะครับ  อยากกินเค้กนั่นอีกสุดๆ เห็นว่าวันนี้จะมีมาการองกับแอปเปิลพายด้วย  แค่คิดก็หิวแล้ว  ผมว่าเอกต้องทำของพวกนั้นออกมาได้ดีแน่นอน  ตื่นเต้น

ขณะที่ผมกำลังมองเวลาที่ผ่านไปอย่างใจจดใจจ่อเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานก็ดังขึ้น  ผมรับและพบว่าเป็นพี่ลุกซ์นั่นเองที่โทรมาเรียกผมเข้าไปพบ

ทันทีที่ผมเข้าไปเขาก็ผายมือเชิญให้ผมนั่งตามมารยาทผมจึงเดินไปนั่งตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขาด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิท

“เรื่องที่จะทำงานกับผมคุณจะว่ายังไง?” เขาถามขึ้น

“ผมขอปฏิเสธครับ  ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากผมแต่ผมทำไม่ได้  ต่อให้คุณใช้เงินฟาดหัวผมมากแค่ไหนมันก็ซื้อความรู้สึกของผมไม่ได้” ผมพูดออกมาอย่างหนักแน่น  ผมไม่อยากกลับไปรู้สึกถึงวันเก่าๆ ผมจะลืมมันให้หมด

“ทำไม? คุณรู้สึกอะไรกับที่นั่น?” ผมเม้มปากตาร้อนผ่าวทันทีที่ถูกถามอย่างนั้น

“คุณอยากจะให้ผมบอกไหมครับว่าผมทรมานที่ต้องเห็นภาพเดิมๆ ทรมานกับการเห็นสิ่งของทุกสิ่งที่ผมเคยสัมผัส  ถ้าคุณพอใจกับการทำให้ผมเจ็บปวดทรมานก็เชิญคุณทำต่อไปเถอะครับ” ผมพูดออกไปพลางจ้องเขาตาไม่กะพริบ

“...”

“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ  คุณจะสนุกได้อีกไม่นานหรอกเพราะผมกำลังจะลืมมันไปทั้งหมด” ผมพูดต่อเมื่อเห็นเขาเงียบ

“ทำไมต้องลืม?” เขาถามออกมาเสียงนิ่ง  ผมตอบไม่ได้จึงเอาแต่เงียบ “กูไม่เคยลืมว่าอดีตมันเป็นยังไง เมื่อก่อนกูรักใคร  กูไม่เคยลืม” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นแผ่วๆ จนผมแทบจับใจความไม่ได้แต่ก็ได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน

“จำทำไม? จำแล้วได้อะไรเหรอครับ?” ผมพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นแต่ตอนนี้ตาผมมันร้อนผ่าวไปหมด

“ไม่มีอะไรหรอก  เชิญออกไปได้แล้ว” เขาไม่สบตาผมก่อนจะออกปากไล่  ผมเม้มปากมองหน้าเขาอย่างแค้นใจอีกนิดหน่อยแล้วรีบลุกเดินออกจากห้องไปทันที

เรียกผมเพื่อเข้าไปคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้เขายังนิสัยแย่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ  ไม่สิ...นิสัยแย่ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า


42.86% left


 

“พี่พลอย อร่อยไหมครับ?” ผมถามพี่พลอยหลังจากที่เราถ่อสังขารมากินขนมฝีมือของเอกกันถึงที่ร้าน

“อร่อยมาก!” พี่พลอยทำหน้าฟินๆ แล้วตักเค้กเข้าปากอีกหนึ่งคำ

“แล้วนี่...เอกทำทุกอย่างเลยไหม?” ผมหันไปถามเอกที่กำลังนั่งมองผมกับพี่พลอยกินเค้กอย่างมีความสุข

“ถ้าของในตู้ผมก็ทำทุกอย่างนะแต่พวกเครื่องดื่มผมไม่ได้ทำ” เอกบอก

“ทำไมล่ะ? ถ้าเอกทำผมว่าต้องอร่อยมากแน่เลย” ผมชมไปตามเรื่อง  ก็เขาทำขนมอร่อย  ไม่ว่าอะไรเขาก็ต้องทำอร่อยแน่เลย

“ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่แต่ก็พอทำได้นะ  เอาไว้ถ้าคุณเปอร์แวะไปที่ร้านของแม่เดี๋ยวผมจะทำให้ละกัน” เอกบอกยิ้มๆ

“จริงนะ?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ

“จริงสิ  พี่พลอยเองถ้าว่างก็แวะไปได้นะครับ” เอกหันไปชวนพี่พลอยทำให้พี่พลอยรีบพยักหน้ารับทันที “ตะกละทั้งคู่เลยนะครับเนี่ย เอ้ย! ชอบขนมหวานกันทั้งคู่เลยนะครับ ฮึๆ” เอกแกล้งพูดผิดทำให้ผมกับพี่พลอยหันไปมองเขาตาเขียวปั้ด

“พูดแบบนี้มันน่านัก” พี่พลอยให้ไปแจกค้อนวงใหญ่ให้เอกทำเอาเขาหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“เอ้อ เดี๋ยวผมซื้อขนมไปฝากไอ้พี่ถังดีกว่า” ผมพูดพลางลุกเดินไปที่ตู้ขนม

“ฝากเพื่อนร่วมงานเหรอครับ?” เอกลุกเดินตามมาแล้วยืนค้ำตู้

“ครับ เป็นพี่ชายผมและเป็นเจ้านายด้วยน่ะครับ  งั้นเอา...เครปเค้กแยมบลูเบอร์รีกับมาการองนะครับ” ผมชี้ไปที่เค้กกับมาการองในตู้ เอกจึงรีบไปหยิบออกแล้วแพ็คกล่องให้

“ถ้าพี่ชายชอบก็ดีนะครับ” เอกพูดพลางยิ้มหวาน  สงสัยหมอนี่จะอยู่กับน้ำตาลเยอะไปแฮะ

“ต้องชอบแน่นอนครับเพราะเอกทำอร่อยมากเลย” ผมชมจากใจ  อยากจะเรียนทำขนมบ้างจัง  จะได้ทำกินเองทุกวัน

“ถ้าชอบก็มาหาผมบ่อยๆ นะ” เอกเอาคางเกยตู้ก่อนจะยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ

“อื้อ มาแน่นอน  สัญญา” ผมบอกพลางรับถุงกระดาษจากพนักงานที่เอกยื่นกล่องขนมที่แพ็คแล้วไปให้

“สัญญาแล้วนะ แล้วก็...อย่าลืมยิ้มน่ารักๆ ให้ผมด้วยล่ะ” เอกพูดพลางยิ้มกว้างทำเอาผมยิ้มตามไปด้วย

“ยิ้มน่ารักอะไรล่ะครับ? ผมทำแบบนั้นไม่เป็นหรอก” ผมบอกออกไปอย่างเขินๆ

“ก็แบบนี้แหละครับที่บอกว่าน่ารัก” เอกว่า

“เอก...อย่างผมไม่ได้น่ารักหรอก  เขาเรียกว่าหล่อต่างหาก ฮ่าๆ” ผมยักคิ้วให้เอกก่อนจะหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ  เวลาชมตัวเองว่าหล่อแล้วมันสะใจแปลกๆ

“โห เปอร์  อย่างเปอร์น่ะนะหล่อ? เปอร์น่ะน่ารักจนผู้หญิงอย่างพี่อายเลยนะ” พี่พลอยพูดแทรกขึ้นทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองอย่างเคืองๆ

กริ๊ง

“อ๊ะ ลูกค้ามา  เดี๋ยวผมไปรับก่อนนะ  เปอร์อยากได้อะไรอีกก็บอกนะครับ” เสียงกระดิ่งหน้าร้านสั่นเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาทำให้เอกต้องรีบเดินไปรับ  ส่วนผมก็ไม่มีอะไรจะซื้อแล้วจึงหันกลับไปหาพี่พลอย

“อ่า...ประธาน...” พี่พลอยที่ลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากร้านไปอุทานออกมาเสียงอ่อน ส่วนผมก็ชะงักไปและพูดอะไรไม่ออก

“พี่กีร์ สวัสดีครับ  ไม่เจอกันนานนะ” ผมยิ้มเมื่อเห็นใครบางคนเดินตามพี่ลุกซ์เข้ามาทีหลัง  ตอนนี้พี่กีร์ก็ทำงานที่บริษัทพี่ลุกซ์ครับแต่เห็นว่าอยู่ฝ่ายพัฒนาเครื่องยนต์ที่ต้องทำงานร่วมกับบริษัทต่างประเทศทำให้ผมไม่ค่อยเจอ  ส่วนไอ้ตุลก็กลับไปบริหารธุรกิจที่บ้าน  แต่สองคนนี้เขาก็รักกันดีครับ  ยังอยู่ด้วยกันที่คอนโดเดิมของพี่กีร์ด้วย

“งะ...ไง สบายดีไหม?” พี่กีร์มองพี่ลุกซ์แล้วหันมายิ้มเจื่อนๆ ให้ผม

“ก็เรื่อยๆ แหละพี่  นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ผมถามเพราะเคยได้ยินไอ้ตุลบ่นๆ ว่าพี่กีร์ต้องไปญี่ปุ่นตั้งหลายวัน

“เพิ่งกลับมาถึงเมื่อเช้าน่ะ  นี่ก็จะเข้าไปหาไอ้ตุลที่บริษัทพอดี” พี่กีร์บอกผมจึงพยักหน้ารับ

“งั้น ฝากความคิดถึงไปถึงมันหน่อยนะครับ  ถ้ามันว่างบอกให้มันโทรหาผมหน่อยนะ” ผมบอกยิ้มๆ โดยไม่สนใจคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ เลยและนั่นก็ทำให้พี่กีร์ลำบากใจ  ไม่แปลกหรอกครับ  พี่ลุกซ์นั่นก็เพื่อน  ส่วนผมเป็นเพื่อนแฟน  ปกติผมกับพี่ลุกซ์ก็มักจะตัวติดกันตลอด  พอพวกเรามีท่าทางห่างเหินเหมือนคนไม่รู้จักกันแบบนี้คนกลางย่อมลำบากใจเป็นธรรมดา

“เออ ได้ๆ เดี๋ยวบอกให้” พี่กีร์บอก

“เฮะ...เฮ้! พี่กีร์...พี่ลุกซ์ใช่ไหมครับ?” จู่ๆ เอกที่ยืนทำหน้างงๆ อยู่นานก็ทักออกาด้วยสีหน้านึกขึ้นได้ทำให้ผมถึงกับช็อคเพราะไม่คิดว่าเอกจะรู้จัก

“คุณเป็นใคร?” พี่ลุกซ์ตวัดสายตาไปมองเอกพลางถามเสียงขุ่น

“พวกพี่อาจจะจำผมไม่ได้แต่ผมเป็นรุ่นน้องที่ชมรมบาสไงครับ  ตอนผมเข้าเรียนพวกพี่ๆ จบไปแล้วแต่ก็แวะเข้ามาซ้อมบาสให้เรื่อยๆ ใช่ไหมล่ะ  ผมจำได้แม่นเลย!” เอกพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจจนพี่ลุกซ์กับพี่กีร์ทำหน้าแปลกใจ  แต่สักพักพี่ลุกซ์ก็ยกมุมปากยิ้มแสยะ

“งั้นเหรอ? แล้วรู้จักกับเลขาฉันด้วยเหรอ?” พี่ลุกซ์ถามพลางเบนสายตามามองผมนิดๆ ทำให้ผมต้องรีบหลบตาอย่างหวั่นเกรง

“เลขา?” เอกทำหน้างง

“คุณปริน อ้อ...คุณเปอร์นั่นไง” พี่ลุกซ์แสยะยิ้มพลางมองผมด้วยสายตาเหยียดๆ

“ครับ!” เอกตอบรับ

“ไปเจอกันได้ไง  เล่าให้ฟังหน่อยสิ” พี่ลุกซ์เดินลากเอกมานั่งโต๊ะเดียวกันกับพี่พลอย  ส่วนผมนั้นยืนอยู่  พี่กีร์เองก็มองหน้าผมสลับกับพี่ลุกซ์อย่างลำบากใจแล้วพยายามฉุดแขนพี่ลุกซ์ไว้แต่พี่ลุกซ์สะบัดออก

พี่ลุกซ์นั่งตรงข้ามกับพี่พลอยทำเอาพี่พลอยหน้าเสียและเกร็งไปโดยปริยาย  พี่กีร์เดินไปนั่งข้างพี่ลุกซ์ทำให้เอกต้องเดินอ้อมมานั่งข้างพี่พลอย  พี่พลอยกำลังจะลุกแต่ผมก็กดไหล่พี่พลอยเอาไว้เพื่อที่จะไม่ให้พี่พลอยหนีผมไปไหน 

ขอโทษที่ทำให้อึดอัดนะพี่  แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียว

“เอก มานั่งกับลูกค้าแบบนี้จะดีเหรอ?” ผมถามเพราะไม่อยากให้เอกเล่าให้ฟังว่าเจอผมยังไง

“ไม่เป็นไรหรอก  ถือเป็นการบริการอย่างหนึ่งไง  ว่าไง? เล่าให้ฟังหน่อยสิว่าไปเจอกันยังไง?” ผมลุกซ์ตวัดสายตาฉับมามองผมอย่างดุดันก่อนจะหันไปหาเอกแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร  มิตรจอมปลอม...

“อ๋อ วันเสาร์ที่ผ่านมาน่ะครับ  ผมเห็นเขาเดินตากฝนทำหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากก็เลยเข้าไปทักเพราะกลัวเขาคิดจะฆ่าตัวตายน่ะครับ” เอกเล่าทำให้พี่กีร์กับพี่ลุกซ์ชะงักแล้วพร้อมใจกันหันมามองหน้าผม  ผมเม้มปากแล้วก้มหน้า

“ทำไมถึงคิดว่าอย่างนั้นล่ะ?” พี่ลุกซ์ถามเสียงนิ่ง

“ก็...เขาทำหน้าเหมือนคนกำลังแบกความทุกข์ไว้จนไม่รู้จะระบายออกยังไงน่ะครับ” เอกบอกด้วยท่าทางซื่อๆ

“เอกครับ ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย  ผมก็แค่เหม่อๆ ไม่ได้ทุกข์หรืออะไรทั้งนั้น” ผมบอกก่อนจะมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาเย็นชา

“จริงเหรอ? ทำหน้าเหมือนคนอกหัก” เอกตั้งใจแซวแต่นั่นก็จี้ใจดำผมเต็มๆ

“อาจจะใช่” ผมพูดนิ่งๆ ทำให้เอกถึงกับอึ้งไป

“เฮ้ย? พูดจริงเหรอ?” เอกหันมามองผมอย่างตกใจ

“อืม ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ข่าวว่าแฟนผมตายน่ะครับ” ผมเน้นคำว่าตายจนพี่กีร์กับพี่พลอยได้แต่นั่งนิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก

“ผมขอโทษนะ  ผมไม่ได้ตั้งใจจะจี้ปมของคุณ” เอกเม้มปาก หางคิ้วตกพลางทำหน้าสงสารผมเสียเต็มประดา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมทำใจได้แล้วล่ะเพราะผมก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้  วันที่เราต้องลาจากกันโดยไม่มีวันได้พบกันอีก  แต่ก็ดีนะครับ  แฟนผมเขาเป็นคนไม่ดี  ผมแค่ถูกผูกมัดด้วยคำว่ารักจอมปลอม” ผมพูดไปพลางจ้องพี่ลุกซ์เขม็ง

“เปอร์!” พี่ลุกซ์ตบโต๊ะเสียงดังพลางตะคอกใส่ผม

“เป็นอะไรเหรอครับท่านประธาน? เสียใจแทนผมเหรอ? ไม่ต้องก็ได้ครับ  เพราะขนาดผมเองยังไม่เสียใจเลย” ผมยิ้มที่มุมปากอย่างเป็นต่อ  เอาสิ...อยากจะโมโหหรืออะไรก็เชิญ  เขาทำกับผมได้ทำไมผมจะเอาคืนบ้างไม่ได้  คนอย่างเขาไม่มีค่าให้คิดถึงหรอก  ผมโง่และอ่อนแอมามากพอแล้ว  ในเมื่อผมลืมอดีตไม่ได้  ผมก็ต้องตอกย้ำให้ผมคิดถึงความเลวร้ายของเขาและผมก็จะยิ่งเกลียด  เกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความรักมันหมดไปจากใจ

“เปอร์ กลับไปทำงานเถอะไป  นะ...ถือว่าพี่ขอร้อง” พี่กีร์กระตุกมือพี่ลุกซ์ให้นั่งลงที่เดิมก่อนจะหันมาบอกผมด้วยท่าทางลำบากใจสุดๆ

“ไม่ต้องขอร้องหรอกพี่กีร์  ผมเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานนักหรอก” ผมบอกก่อนจะรีบจูงมือพี่พลอยออกจากร้านทันที


 

++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา