[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  236.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

42) Chapter 42 : รุ่นพี่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 42 : รุ่นพี่
 
ถึงจะเหนื่อยจะกิจกรรมเมื่อคืนมากแต่ผมก็หลับไม่สนิทจนทำให้ตื่นตั้งแต่เช้า  ตื่นมาก็พบกับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีของพี่ลุกซ์  ผมพอจะรู้สึกตัวอยู่บ้างว่าพี่มันตื่นเช้ากว่ามาทำอาหารเอาไว้ให้  ขณะที่พี่มันทำผมก็ลุกไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปอ่านเอกสารอยู่ที่ออฟฟิศ  ตอนแรกว่าจะเอามาอ่านที่นี่แต่ไม่แล้วล่ะ  คงไม่มีสมาธิในการจดจำซักเท่าไหร่
“เปอร์! เปอร์!!” ขณะที่ผมกำลังแต่งตัวอยู่ในห้องน้ำผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง  สงสัยพี่ลุกซ์จะเข้ามาตามแล้วไม่เห็นผมก็เลยอาละวาดล่ะมั้งครับ
ผมติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางเนือยๆ  จริงๆ แล้วตอนนี้ผมเจ็บเสียดช่องทางด้านหลังและปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยทีเดียวแต่ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรต่อหน้าพี่มันเท่านั้นแหละ
“...” ผมเปิดประตูห้องน้ำโดยไม่ขานรับแล้วมองหน้าพี่ลุกซ์ที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาด้วยสายตานิ่งๆ  ผมเดินหลบพี่มันออกมาจากห้องน้ำแล้วตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อทาครีมเนื่องจากหลังจากล้างหน้า หน้าผมจะแห้งตึงผมจึงต้องทาเพื่อให้มันชุ่มชื้น
“กินข้าวกัน  กูทำหมูมะนาวไว้ให้มึงด้วย” พี่ลุกซ์พูดยิ้มๆ เพื่อจะให้ผมดีใจแต่ผมกลับมองพี่มันนิ่งๆ โดยไม่ยิ้มหรือแสดงอารมณ์ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่มันหน้าเจื่อนไป
“อืม” ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องนอนตรงไปที่โต๊ะทานข้าว
ยอมรับนะครับว่าคิดถึงฝีมือทำอาหารของพี่ลุกซ์มากและอยากจะตื่นเต้นแต่ผมกลับทำแบบนั้นไม่ได้  ทำได้แค่นั่งลงกินเงียบๆ พร้อมกับทำเหมือนพี่ลุกซ์ไม่มีตัวตนในห้องนี้
พี่ลุกซ์จะรู้สึกเจ็บบ้างไหมนะที่ผมเมินแบบนี้  จะรู้สึกเจ็บเหมือนผมตอนที่ถูกปฏิบัติอย่างนี้หรือเปล่านะ?
ผมไม่ได้อยากจะให้พี่มันเจ็บอย่างที่ผมรู้สึกหรอกนะแต่ที่ผมมีท่าทางแบบนี้เพราะผมนี่แหละที่เจ็บกับเรื่องเมื่อคืนมากๆ  ผมไม่ได้อยากทะเลาะและไม่ได้อยากจะเลิกหรอกครับแต่อารมณ์ผมตอนนี้แค่ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากจะเห็นแม้แต่เงา
ขณะที่กินข้าวอยู่ผมรู้สึกตัวตลอดว่าพี่ลุกซ์คอยเหลือบมองผมทุกๆ สองวิ  แทบจะเรียกได้ว่าจ้องเลยทีเดียวแต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ
“อิ่มแล้วครับ” ผมกินไปได้ไม่ถึงครึ่งจานก็รวบช้อนแล้วลุกออกจากห้องครัวทันที  พี่ลุกซ์รีบตามออกมาขวางหน้าผมเอาไว้ทำให้ผมเหลือบตามองพี่มันนิดๆ แล้วก็เบนสายตาหนี
“จะไปที่ออฟฟิศใช่ไหม? เดี๋ยวกูไปส่ง” ไม่ต้องรอให้ผมตอบ  พี่มันถามเองแล้วพูดเองทันที
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ” ผมบอกโดยไม่มองหน้า
“เออน่า  รอกูอาบน้ำแป๊บเดียว” พี่ลุกซ์บอกยิ้มๆ แล้วรีบเดินเข้าไปในห้องเพื่ออาบน้ำ
ขณะที่พี่มันกำลังจะเปิดประตูห้องเข้าไปผมก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องไปคุมผมหรอกครับ  ผมไปทำงาน ไม่ได้ไปหาผู้ชาย” ผมประชดออกไปนิดๆ ทำให้พี่ลุกซ์ชะงักไปสักพักแล้วก็เดินเข้าไปในห้องโดยไม่หันกลับมามองผม  เมื่อเห็นว่าพี่มันตั้งใจจะไปส่งจริงๆ ผมก็เลยยอมนั่งรอ  ถ้านั่งแท็กซี่หรือวินไปทำงานในสภาพร่างกายแบบนี้ผมมีสิทธิ์อ้วกได้ทันทีเพราะตั้งแต่ตื่นมาก็รู้สึกเวียนหัวแต่มันนอนต่อไม่ได้เลยคิดว่าจะออกไปเตรียมตัวบรรยายเสียน่าจะดีกว่า
 
พี่ลุกซ์แต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ขับรถไปส่งผมที่ออฟฟิศแล้วก็อยู่ด้วยโดยที่ผมไม่ได้เอ่ยปากอนุญาต  แต่จะไปให้เขาขออนุญาตก็คงจะไม่ได้เพราะเขาเป็นประธานบริษัท  พี่มันอยู่ที่ออฟฟิศโดยนั่งที่โต๊ะทำงานของพี่ลันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากผมนัก  ออฟฟิศที่นี่ไม่มีห้องแยกของหัวหน้าเหมือนฝ่ายอื่นหรอกครับ  มีเพียงฉากกั้นเป็นจุดๆ ไปโดยจุดของพี่ลันจะเป็นส่วนตัวจนเกือบจะเป็นห้องห้องหนึ่งเลยตัวซ้ำและผมก็มักจะเรียกว่าที่ตรงนั้นเป็นห้องของพี่ลัน  โดยส่วนมากแล้วพวกเราจะทำงานกันที่ห้องเครื่องทำให้ไม่จำเป็นต้องมีออฟฟิศเลิศหรูของฝ่ายอื่นๆ เขา
“อ้าวไอ้เปอร์  มาแต่เช้าเลยนะมึง  วันนี้ไม่มีงานไม่ใช่เหรอ?” พี่ลันที่เพิ่งมาถึงทักทาย  วันนี้พี่มันไม่ได้หยุดหรอกครับแต่ไอ้ไอหยุดทำให้ต้องฉายเดี่ยว
“ผมมาอ่านเอกสารเตรียมตัวบรรยายวันจันทร์นี้น่ะครับ” ผมบอก  ตอนนี้พี่ลันยังไม่รู้หรอกครับว่าพี่ลุกซ์ยึดครองพื้นที่ของตัวเองไปแล้ว  ในจุดที่ผมนั่งสามารถมองเห็นพี่ลุกซ์ได้เพราะพี่มันขยับฉากกั้นออกเล็กน้อยแต่จุดที่พี่ลันยืนอยู่ตอนนี้ไม่สามารถมองเห็นพี่ลุกซ์ได้เลยครับ
“ดีๆ” พี่ลันพยักหน้ารับพลางเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปพี่มันก็หันมาหาผมอีกครั้ง “เออ วันนี้จะมีวิทยากรเข้ามาหากูด้วย  เดี๋ยวมึงลองคุยกับเขาดู  ถึงจะพูดคนละช่วงแต่ก็ทำความรู้จักกันเอาไว้” พี่ลันบอก  ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับและแอบลุ้นในใจว่าตอนไหนพี่ลันจะเห็นพี่ลุกซ์
“ครับ”
พี่ลันเองก็พยักหน้าให้ผมแล้วหันกลับไปเดินหลบฉากเพื่อเข้าไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“เฮ้ย! ไอ้สัตว์! ตกใจหมด!” และแล้วพี่ลันก็พบกับพี่ลุกซ์จนได้  ฟังจากเสียงคงจะตกใจไม่น้อย  ตลกว่ะ ฮ่าๆ “มึงมาทำเหี้ยอะไรเนี่ย!?” พี่ลันถามด้วยน้ำเสียงติดจะฉุนเล็กน้อยที่ถูกทำให้ตกใจ  จริงๆ พี่ลุกซ์ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกแต่พี่ลันตกใจเอง
“มาดูแลเมีย  เมียกูท้องอยู่” พี่ลุกซ์พูดซึ่งนั่นก็ทำให้ผมหันไปมองพี่มันอย่างไม่ชอบใจนัก  คงจะรู้แหละว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสบายก็เลยมาเฝ้า  แต่พูดแบบนั้นมันใช้ได้ที่ไหน
“เอาดีๆ” พี่ลันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ เมื่อถูกกวน
“ก็มาอยู่กับเมียจริงๆ” พี่ลุกซ์ตอบ  ผมส่ายหน้าแล้วถอนหายใจกับคำว่า เมีย ที่พี่มันย้ำอยู่บ่อยๆ
“แสดงว่ามึงว่างงาน?” พี่ลันถาม
“เออ” พี่ลุกซ์ตอบทันทีอย่างไม่ต้องคิด  มีเวลามาเฝ้าผมขนาดนี้แสดงว่าต้องว่างจริงๆ นั่นแหละ
“งั้นไปช่วยกูซ่อมรถเลย  วันนี้มีปอร์เช่มาให้เช็คเครื่องด้วย” พี่ลันวางกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองลงบนโต๊ะทำงานแล้วบอก  พี่ลุกซ์มีท่าทางตื่นเต้นที่ได้ยินแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อไปทำงานกับพี่ลันแต่พอหันมาเห็นผมที่แอบเหลือบตาไปมองเมื่อกี้พี่มันก็ชะงักแล้วมีท่าทีลังเล
“กูว่ากู...”
“เออน่า ไอ้เปอร์ไม่หายไปไหนหรอก  ถ้าไม่ได้ทำผิดอะไรมาจะไปกลัวมันหนีทำไมวะ” ไม่รู้พี่ลันตั้งใจพูดจี้ใจดำพี่ลุกซ์หรือไม่แต่ท่าทางพี่ลุกซ์จะจุกไม่น้อย
ขณะที่พี่ลุกซ์นิ่งไปพี่ลันก็ลากพี่ลุกซ์ออกจากออฟฟิศไปจนได้  หน้าของพี่มันตอนพี่ลันพูดประโยคเมื่อครู่สามารถตีความได้ไม่ยากเลยว่าพี่มันคิดอะไรอยู่ในใจ คงจะคิดว่า กูทำผิด อยู่แน่ๆ
ผมนี่ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะตลอดเวลาที่พี่ลุกซ์อยู่ในห้องผมรู้สึกกดดันมากเนื่องจากพี่มันคอยจ้องผมอยู่ตลอดเวลาจนผมหายใจไม่ค่อยคล่อง
ผมนั่งอ่านเอกสารไปได้ไม่นานก็เริ่มง่วงและฟุบหลับไปกับโต๊ะ
 
“คุณครับ คุณ!” ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีคนมาเรียกและเขย่าเบาๆ  ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองเพลียถึงขนาดหลับน้ำลายยืด
“ครับ?” ผมผงกหัวขึ้นด้วยท่าทางเบลอๆ แล้วรีบปาดน้ำลายก่อนจะหันไปมองหน้าคนเรียกอย่างงงๆ
ไอ้สัตว์!! หล่อ!!
คนที่ผมหันไปเจอหน้าทำให้ผมชะงักและเบิกตามองอย่างตกตะลึง  ใบหน้าขาวๆ รับกับเครื่องหน้าอันสมบูรณ์แบบที่ไม่ว่าจะเป็นคิ้วเข้มๆ ตารียาวติดจะโตนิดๆ  จมูกโด่งชี้หน้า คมสวยและริมฝีปากสีชมพูซีดๆ  แม้หน้าตาจะดูมีอายุไปซักหน่อยแต่หล่อมากจริงๆ
เอ่อ...เดี๋ยวจะหาว่าผมนอกใจ  ถึงยังไงแฟนผมก็หล่อที่สุดครับ
“คุณทำงานที่นี่ไหมครับ?” ผู้ชายคนนั้นถาม
“ครับ  มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?” ผมถาม  ผู้ชายคนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นหน้าแฮะแต่คิดว่าไม่น่าจะใช่พนักงานบริษัทนี้แน่นอน
“ผมมาหาไอ้...เอ่อ...คุณลันน่ะครับ  ที่เป็นหัวหน้าของแผนกเครื่องยนต์” ผู้ชายตรงหน้าผมพูด
“นัดไว้ไหมครับ?” ผมถาม  ทำตัวอย่างกับเลขาเลยเรา  สงสัยจะติดจากงานเก่ามา ฮ่าๆ
“ครับ ผมเป็นวิทยากรในงานสัมมนาของบริษัทนี้น่ะครับ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม  ดูดีว่ะ  ฟันขาววิ้งเลย  ว่าไงดีล่ะ  เขาเป็นผู้ชายน่ารักนะ  ไม่ได้น่ารักแบบแบ๊วๆ ใสๆ แต่น่ารักแบบดูขี้เล่นยังไงก็ไม่รู้  คนแบบนี้ผู้หญิงคงชอบเยอะมากแน่ๆ
“อ้าว! ผมก็เป็นวิทยากรเหมือนกันครับ  เห็นพี่ลันบอกว่าจะมีวิทยากรท่านหนึ่งเข้ามาคุยรายละเอียดงานด้วย  ใช่คุณใช่ไหมครับ?” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
“น่าจะใช่นะครับ  ผมชื่อเฟนครับ” เขายื่นมือออกมาเพื่อทักทาย  ผมยิ้มรับแล้วจับมือกับเขาเขย่าเบาๆ  อ๋อ คุณเฟนนี่เอง  มิน่าล่ะถึงว่าคุ้นหน้า  ผมเคยเห็นรูปของเขานี่หว่า  ที่สำคัญผมยังจำได้ด้วยว่าเขาเป็นเกย์  มองเผินๆ ดูไม่รู้เลยครับเพราะเขาดูเป็นผู้ชายขี้เล่น  แต่ก็คงจะเหมาะกับการเป็นเกย์รุกอยู่ล่ะมั้ง
“ผมเปอร์ครับ  เชิญนั่งก่อนครับคุณเฟน” ผมบอกพลางลากเก้าอี้ของโต๊ะทำงานข้างๆ ที่ไม่มีคนมาให้คุณเฟนนั่ง  ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในออฟฟิศเลยเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ ส่วนมากก็จะหยุดกัน  มีคนทำงานอยู่ไม่กี่คนแล้วก็ทำงานอยู่ที่ห้องเครื่องกันซะหมด
“เห็นเรียกไอ้ลันว่าพี่แสดงว่าน่าจะเป็นรุ่นน้องของมันเพราะงั้นผมขออนุญาตเรียกคุณเปอร์ว่าน้องได้ไหมครับ?” คุณเฟนยิ้มกว้างพลางพูดอย่างเป็นกันเองจนผมไม่เกร็ง
“ได้ครับพี่เฟน  จริงๆ ผมเป็นรุ่นน้องของพี่ด้วยนะครับ  เห็นพี่ลันบอกว่าพี่เป็นพี่ภาควิชาเครื่องกลของเรา” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยิ้มรับคำของพี่เฟนก่อนจะชวนเขาคุย
“ใช่ๆ ตอนไอ้ลันอยู่ปี1 พี่จบไปแล้ว  นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามันจะได้เป็นหัวหน้าแผนกในบริษัทใหญ่ขนาดนี้” พี่เฟนเริ่มพูดเสียงดังขึ้นเพื่อเพิ่มอรรถรสในการคุยซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและอยากคุยเรื่องสมัยมหาลัยขึ้นมา
“นี่เป็นธุรกิจที่บ้านของพี่ลันน่ะครับ  ตอนนี้พี่ชายของพี่ลันเป็นประธานบริษัทอยู่” ผมบอก  พอพูดถึงพี่ลุกซ์แล้วพาลโมโหขึ้นมาดื้อๆ เลยแฮะ
“เฮ้ย! จริงไหมเนี่ย!? นี่พี่มาบรรยายแบบไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมวะเนี่ย? ไอ้ลุกซ์เนี่ยนะประธานบริษัท!?” พี่เฟนถามขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจจนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกไปเพราะขำกับท่าทางของพี่เฟน  ว่าแล้วว่าพี่เขาต้องเป็นคนขี้เล่นเพราะหน้าตาเหมาะกับคนบุคลิกแบบนั้นมาก
“ใช่ครับ  พี่ลุกซ์เป็นประธานบริษัท” ผมพยักหน้ารับ  รอยยิ้มของผมเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อต้องพูดชื่อพี่ลุกซ์ออกมา
“ไอ้ลุกซ์เป็นน้องรหัสของน้องเทคพี่เอง  พี่จำมันได้แม่นเลย  มันเป็นเด็กปี1 ที่อวดดีมาก  เขาให้ไปคัดเลือกเดือนเพื่อไปประกวดเดือนมหาลัยตอนที่อยู่ปี1 มันก็ดันทำตัวซกมกให้ไม่เข้ารอบซะงั้น  เสียชื่อภาคเราหมด” พี่เฟนเล่าทำให้ผมสงสัยทันทีว่าใครที่เป็นน้องเทคของพี่เฟน เผื่อผมรู้จักเนื่องจากผมก็อยู่ในสายรหัสของพี่ลุกซ์
“ใครเป็นน้องเทคของพี่เฟนครับ?” ผมถามอย่างแปลกใจ
“น้องเปรียวปีสอง  เอ้ย! เอ่อ พี่ชินที่จะเรียกแบบนั้นน่ะ  ตอนนั้นพี่อยู่ปีสี่แต่น้องเปรียวอยู่ปีสอง  น้องเขาเป็นสายเทคแคร์ของพี่แต่ไอ้ลุกซ์ไม่ได้อยู่สายเทคพี่หรอกเพราะมันเป็นน้องรหัสของน้องเปรียว” พี่เฟนบอกทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น  สายรหัสกับสายเทคไม่ใช่สายเดียวกันครับ  พี่เฟนมีเจ๊เปรียวเป็นสายเทคส่วนเจ๊เปรียวเป็นสายรหัสของพี่ลุกซ์  พี่เฟนกับพี่ลุกซ์ไม่ได้อยู่สายเดียวกัน
“ผมเป็นหลานรหัสของพี่ลุกซ์น่ะครับ  รู้จักกับเจ๊เปรียวด้วย” ผมบอกพี่เฟนทำให้พี่มันมีสีหน้าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว  ผมชอบจังคนที่แสดงสีหน้าได้หลายๆ แบบและแสดงมันออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องปั้นแต่ง
“ว้าว! ว่าแต่เปอร์รุ่นไหนเหรอ?” พี่เฟนถาม
“รุ่น 48 ครับ  น้องพี่ลัน 1 ปี” ผมบอกยิ้มๆ
“แหม่! เสียดาย เราไม่ทันกัน” พี่เฟนตบเข่าฉาดพลางแสดงความเสียดายออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัดจนผมหัวเราะขำไม่หยุด
หลังจากนั้นผมกับพี่เฟนก็คุยกันอย่างสนุกสนานถึงเรื่องในรั้วมหาวิทยาลัย  นินทาอาจารย์จนลามไปถึงเรื่องรถแต่งต่างๆ นานา  พี่เฟนคุยเก่งและสนุกมาก  มักจะมีมุกมาให้ผมขำอยู่เรื่อย  ที่ฮาสุดคงเป็นหน้าตาเวลาพี่แกคุยล่ะมั้งครับ  ดูหลุดๆ เกินๆ แต่ก็ไม่หลอกลวงดี  ตลกมากๆ เลยล่ะ
45% left
คุยกันไปนานก็ไม่เห็นวี่แววว่าพี่ลันจะกลับเข้ามาในออฟฟิศผมจึงตัดสินใจที่จะพาพี่เฟนไปหาพี่ลันและกะจะพาพี่มันทัวร์ห้องซ่อมของบริษัทเราเสียหน่อย  ผมเชื่อว่าพี่เฟนคงจะตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเพราะที่นี่ครบเครื่องเรื่องเครื่องยนต์จริงๆ  ถึงจะไม่ครบในด้านของเครื่องกลทุกแขนงแต่ก็ครบในเรื่องของรถล่ะนะ
“เอ้าเฮีย  พาใครมาน่ะครับ? หล่อเชียว เดี๋ยวก็มีคนหึงหรอก” เสียงเด็กช่างที่ผมเดินผ่านเมื่อครู่ทักเข้าให้ทำให้ผมหันกลับไปตบหัวมันเบาๆ  ช่างที่อายุน้อยกว่าผมส่วนมากจะเรียกผมว่าเฮียน่ะครับและทุกคนก็รับรู้ว่าผมเป็นอะไรกับพี่ลุกซ์  บางคนรับได้บางคนก็รับไม่ได้  ไอ้พวกที่รับไม่ได้ก็ไม่มายุ่ง ไม่พูดไม่ออกความเห็นอะไรแต่เวลาจำเป็นต้องคุยกันจริงๆ ก็คุยแหละครับ
“แขกพี่ลันเว้ย” ผมตอบกลับแล้วพยักหน้าให้พี่เฟนเดินตามผมต่อ  ตลอดทางที่เดินไปหาพี่ลันผมก็ถูกทักทายอยู่เรื่อยๆ ครับ  นี่ขนาดคนมาทำงานน้อยนะเนี่ย  ถ้ามาทำงานกันเยอะผมคงจะทักทายไม่ไหว ฮ่าๆ “อย่าไปสนใจเลยครับ  แซวกันเล่นขำๆ” ผมหันไปบอกพี่เฟนเพราะกลัวพี่แกคิดมาก  ดูจากสีหน้าเจื่อนๆ ของพี่แกแล้วคงจะคิดมากไปแล้วแหละ
พี่เฟนไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์เหมือนกัน คงจะคิดว่าที่เด็กมันแซวเมื่อครู่เพราะรู้ว่าพี่มันเป็นเกย์ล่ะมั้ง
“โอ๊ะ!” เสียงพี่เฟนอุทานขึ้นหลังจากเข้ามาประคองผมที่สะดุดขาตัวเองจะล้มหน้าทิ่มพื้น
“ขอโทษครับพี่” ผมผละออกจากพี่เฟนแล้วเอ่ยขอโทษเพราะทำให้พี่มันลำบากต้องมาช่วยรับผมเอาไว้ก่อนที่จะล้ม
“ไม่เป็นไรๆ  ตัวเปอร์เบาดี ฮ่าๆ” พี่เฟนเกาท้ายทอยตัวเองนิดๆ แล้วหัวเราะด้วยสีหน้าติดจะเขินเล็กน้อย  พี่เขาเขินแบบนี้เล่นเอาผมเขินตามเลยเว้ย! พี่เฟนนี่น่ารักจริงๆ  ให้ตายเถอะ!
“เปอร์!!” ขณะที่ผมกับพี่เฟนกำลังยืนยิ้มให้กันอยู่เสียงเข้มๆ ก็ดังขึ้นด้วยความโกรธปนไม่เข้าใจจากข้างหลังของผม  ผมทำหน้าเอือมทันที  ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร
“อ้าว นั่นมันลุกซ์ใช่ไหม?” พี่เฟนที่หันหน้าไปทางพี่ลุกซ์ทักขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ  ขณะที่ทั้งสองคนกำลังมองหน้ากันผมก็ขยับไปยืนข้างพี่เฟนโดยหันหน้าเข้าหาพี่ลุกซ์  ตอนนี้พี่มันอยู่ในชุดหมีและกำลังถือประแจอยู่ในมือ  หวังว่าคงไม่หน้ามืด หึงจนเอาประแจมาฟาดหน้าพี่เฟนหรอกนะ
“ใช่ แล้วคุณเป็นใคร?” พี่ลุกซ์มองหน้าพี่เฟนด้วยสายตาดุปนหาเรื่อง  ส่วนพี่ลันที่เห็นท่าไม่ดีก็ละจากงานแล้วเดินมายืนข้างๆ พี่ลุกซ์
“เนี่ย พี่เฟน  วิทยากรพิเศษแล้วก็เป็นรุ่นพี่เราไง” พี่ลันตอบแทนทำให้พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วแล้วจ้องหน้าพี่เฟนอย่างพินิจพิเคราะห์  ส่วนพี่เฟนก็ชี้ไปที่หน้าของตัวเองแล้วทำท่าเหมือนรอให้พี่ลุกซ์จำตัวเองได้  ซักพักพี่ลุกซ์ก็จำได้
“อ้อ พี่เฟน ลุงรหัสเปรียว” พี่ลุกซ์พยักหน้าขึ้นลงนิดๆ
“ถ้าได้เจอกับพี่ลันแล้วงั้นผมขอตัวนะครับ” ผมพูดแทรกขึ้นมาเพราะเบื่อหน้าพี่ลุกซ์เต็มที่  ไม่อยากมองเพราะยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด
“เดี๋ยว เปอร์!” พี่เฟนรีบคว้ามือผมเอาไว้เพื่อรั้ง  ผมรีบหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์ทันทีเพราะกลัวว่าพี่มันจะโกรธที่พี่เฟนจับมือผมซึ่งตอนนี้พี่มันกำประแจในมือแน่นจนเกร็งเลยล่ะครับ
“ครับ?” ผมหันไปตอบรับพี่เฟนแล้วดึงมือออกอย่างเนียนๆ
“พี่ถูกชะตากับเปอร์จัง  เอาไว้เที่ยงนี้เราไปกินข้าวด้วยกันไหม? มีเรื่องคุยเยอะแยะเลย” พี่เฟนเอ่ยชวนซึ่งนั่นก็ทำให้ผมลำบากใจไม่น้อย  พี่ลุกซ์เองก็ดูโกรธมากจนพี่ลันต้องดึงแขนเสื้อเอาไว้
“เอ่อ...” ผมลังเลแต่ใจตอนนี้ก็นึกโกรธพี่ลุกซ์จนอยากจะประชด  ตำพูดไม่ดีของพี่ลุกซ์มันไหลเข้าหัวมาอย่างไม่ขาดสายและคำที่ชัดเจนที่สุดที่อยู่ในหัวของผมก็คือคำว่า มีคนอื่น ที่พี่ลุกซ์ชอบยัดเยียดมาให้
“น่านะ  จะได้คุยเรื่องที่จะบรรยายด้วยไง” พี่เฟนเอื้อมมือมาจับมือผมอีกครั้งแล้วเขย่าไปมาเพื่อตื๊อ  ดูจากสายตาพี่เฟนผมว่าพี่มันไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอก  แต่ที่จับมือผมเรื่อยๆ อาจจะเป็นคนมือไว้ชอบสกินชิพเฉยๆ 
“ก็ได้ครับ  เดี๋ยวผมไปทานข้าวด้วย” ผมยิ้มรับแล้วแอบเหลือบตามองหน้าพี่ลุกซ์ซึ่งก็พบว่าพี่มันกำลังโกรธสุดๆ อยู่  ผมพยายามข่มความกลัวเอาไว้แล้วทำเป็นไม่สนใจ
“โอเค  งั้นถ้าพี่คุยงานเสร็จแล้วจะไปหาที่โต๊ะนะ” พี่เฟนปล่อยมือผมแล้วแตะที่ไหล่เบาๆ  ผมยิ้มรับก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่ออฟฟิศ
 
ระหว่างทางที่ผมสาวเท้าเดินกลับไปที่ออฟฟิศผมก็รู้ตัวตลอดว่าพี่ลุกซ์ตามมาติดๆ  ผมถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะผมไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ของพี่ลุกซ์ยังไงดี  หวังว่าคงไม่โมโหจนผมทำให้ร้องไห้อีกหรอกนะ  ถ้าทำให้ผมร้องล่ะก็ผมจะขอเลิกให้ดู
“กูรู้นะว่ามึงโกรธเรื่องเมื่อคืน  แต่ไม่เห็นต้องประชดกูด้วยการไปกับคนอื่นแบบนี้!” พี่ลุกซ์เดินตามเข้ามาในออฟฟิศที่ไม่มีคนก่อนจะตะคอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เขาชวนไปทานข้าว  ผมก็ไปตามมารยาท  อีกอย่าง ผมมีสิทธิ์ที่จะไปเพราะไม่ได้นัดกับใครเอาไว้” ผมหันกลับไปมองหน้าพี่ลุกซ์ด้วยสายตานิ่งๆ พลางยกแขนขึ้นกอดอกตัวเอง
“มึงไปกับคนอื่นแบบนี้มึงไม่คิดถึงใจกูบ้างเลยหรือไง? พี่เฟนเขาเป็นเกย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ถ้ามึงไม่รู้จักก็อย่าไปเลยจะดีกว่า” พี่ลุกซ์เดินเข้ามาใกล้แล้วบีบไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้
“ผมต้องคิดถึงใจของพี่ยังไงเหรอครับ? พี่น่าจะชินเพราะผมไปกับผู้ชายบ่อยจนพี่ระแวงตลอด  อีกอย่าง เรื่องที่พี่เฟนเป็นเกย์ผมก็รู้  ดีซะอีก เพราะผมก็เป็นเหมือนกัน” ผมพูดประชดออกไปเพราะอารมณ์คุกรุ่นที่ตกค้างอยู่ภายในใจ
“เปอร์!!” พี่ลุกซ์อึ้งกับคำพูดของผมก่อนจะบีบไหล่ผมแรงขึ้นพร้อมกับเขย่าจนหัวผมสั่นหงึกหงัก
“ไม่พอใจก็โมโห  ทำอะไรไม่ถูกใจก็โกรธ  ใช้กำลังใช้อารมณ์ตลอดแบบนี้ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผมจะรู้สึกยังไง?  หรือเห็นผมเป็นหุ่น ไม่รับรู้ ไม่สะเทือนอะไรกับคำพูดแย่ๆ งั้นเหรอ?” ผมเม้มปากนิดๆ ตอนที่ถูกเขย่าก่อนจะถามออกไปด้วยท่าทางเย็นๆ นิ่งๆ  พี่ลุกซ์อึ้งไปแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือออกจากไหล่ผม
“เปอร์ กูก็โทษ  กูหึงมึงกับไอ้พี่เฟนนี่หว่า  กูมาที่นี่เพื่อมาดูแลมึง จะพาไปกินข้าว กินขนมแต่มึงกลับไปรับปากว่าจะไปกับมัน!” พี่ลุกซ์ตะคอกด้วยสีหน้าหงุดหงิดและโมโหร้าย
“แล้วทำไมผมจะรับปากพี่เฟนไม่ได้  เขาชวนผมก่อน” ผมพูดหน้าตาย
“แต่มึงเป็นเมียกู!!” พี่ลุกซ์ตะคอกเสียงดังขึ้นจนเห็นเส้นเลือดบริเวณขมับขึ้นเป็นริ้วๆ
“แฟน! ผมเป็นแฟน!!” ผมตะคอกกลับ  เริ่มไม่ชอบคำว่าเมียจากปากของพี่มันขึ้นเรื่อยๆ ซะแล้วสิ  พูดอยู่นั่นแหละว่าเมีย เมีย เมีย  ใช้คำว่าเมียมาจำกัดสถานะของผมและบังคับให้ผมอยู่ใต้อาณัติของตัวเอง
“เออ แฟนนั่นแหละ”
“อยากเลิกไหมล่ะ?” ผมปัดมือพี่มันออกแล้วยกมือขึ้นกอดอกมองหน้าพี่มันอย่างท้าทาย
“เปอร์” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
“เห็นพี่ชอบยัดเยียดผมให้คนอื่นนักนี่  ผมก็เลยคิดว่าถ้าเลิกกับพี่ไปจะได้สะดวกถ้าจะมีคนอื่นจริงๆ ซักที” ผมทำเป็นลอยหน้าลอยตาพูดโดยไม่มองหน้าพี่ลุกซ์
“โธ่เปอร์  กูขอโทษ  กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงอย่างนั้นแต่กูแค่โมโห” พี่ลุกซ์พูดเสียงอ่อน
“งั้นถ้าพี่โมโหทุกครั้งผมก็ต้องทนฟังเรื่องบาดหูทุกครั้งใช่ไหมครับ!? แล้วใจผมล่ะ!? คิดถึงใจผมบ้างไหม!?” ผมปล่อยมือออกจากอกแล้วตะคอกถามออกไปอย่างสุดจะทน
“กูขอโทษ” พี่ลุกซ์จับมือผมแล้วทำหน้าขอร้อง
“พี่ก็อย่างนี้ทุกครั้งแหละ  ทำผิดแล้วก็ขอโทษ  แล้วก็ทำผิดซ้ำๆ จนผมไม่ไหวแล้วนะ!” ผมสะบัดมือออกทำให้หน้าพี่ลุกซ์ดูเศร้ามาก “กลับบ้านไปเถอะครับ  กลับไปคิดทบทวนดูให้ดีๆ ว่าชีวิตคู่จะต้องอยู่กันยังไง  ถ้าได้คำตอบแล้วค่อยกลับมา” ผมก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยแล้วมองหน้าพี่มันตรงๆ  ผมรู้สึกสงสารและเห็นใจพี่ลุกซ์ในเวลานี้นะครับแต่มันหมดเวลาที่ผมจะใจอ่อนง่ายๆ แล้วแหละ  เพราะผมใจอ่อน ยอมให้อภัยตลอดพี่มันก็เลยคอยทำผิดอยู่ซ้ำๆ
“ขอโทษ” พี่ลุกซ์ลากเสียงยาวพลางก้าวมาจับมือผมเอาไว้เบาๆ
“เมื่อก่อนผมรอฟังคำขอโทษจากพี่บ่อยๆ แต่ช่วงนี้ผมเบื่อ! คำขอโทษสำหรับพี่มันเป็นแค่สิ่งที่เอาไว้ทำให้ตัวเองดูดีเมื่อทำผิดเท่านั้นแหละ  แต่ทำผิดก็คือผิด! ถ้าไม่สำนึกก็ไม่มีประโยชน์หรอก!” ผมสะบัดมือออกอีกครั้ง
“เปอร์ กูผิดไปแล้ว  ยกโทษให้กูเถอะนะ  กูไม่อยากทะเลาะกับมึงนานๆ เลย” พี่ลุกซ์คุกเข่าลงแล้วจับมือผมเอาไว้อย่างขอร้อง  บอกตรงๆ ว่าผมไม่ชินกับภาพตรงหน้า  ไม่ชินกับการที่พี่ลุกซ์ต้องมาคุกเข่าขอโทษเลย  พอเห็นก็อดใจอ่อนไม่ได้
“พี่กลับไปก่อนเถอะครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง  วันนี้ผมอยากให้พี่มันกลับไปพักผ่อนและทบทวนตัวเอง  ผมไม่ได้จะเลิกด้วยหรอกแต่วันนี้ผมอยากทำงานในส่วนของตัวเองเงียบๆ โดยไม่มีเรื่องความรักมากวนใจ
“มึงจะไม่ให้อภัยกูจริงๆ เหรอเปอร์?” พี่ลุกซ์เงยหน้ามองผมด้วยสายตาเว้าวอนจนผมต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะผมแพ้สายตาที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้
“ผมบอกให้กลับไงครับ  ถ้าเสร็จงานแล้วผมจะตามกลับไป” ผมกรอกตามองฟ้าแล้วบอกออกไปเพราะดูเหมือนพี่ลุกซ์จะไม่ยอมไปง่ายๆ ถ้าผมไม่ให้อภัย
“งั้น...ถ้ามึงจะกลับให้กูมารับนะ” พี่ลุกซ์มองผมด้วยสายตามีความหวัง
“ไม่ต้องครับเพราะผมจะกลับบ้าน” ผมบอกออกไปทันที  กะจะหาที่นอนพักที่ออฟฟิศให้สบายก่อนค่อยนั่งแท็กซี่กลับ  ส่วนรถของผมตอนนี้อยู่บ้านพี่ลุกซ์เพราะตอนที่เมา พี่มันให้ลูกน้องมาเอารถไปเก็บให้
“เปอร์” พี่ลุกซ์ครางเรียกชื่อผม
“ถ้าไม่อยากให้ผมรู้สึกแย่กับพี่ไปมากกว่านี้ก็กลับไปเถอะครับ” ผมฉุดแขนพี่ลุกซ์ให้ลุกขึ้นยืนขณะที่กำลังพูด  เมื่อยืนขึ้นสุดตัวแล้วพี่ลุกซ์ก็มองผมด้วยสายตาตัดพ้อปนน้อยใจ
“ตอนนี้ร่างกายมึงไม่ค่อยดี หน้าก็ซีดๆ กูก็อยากจะดูแล  แถมยังมีมารหัวใจมาวุ่นวายอีกมึงยังจะไล่กูไปอีกเหรอ?” พี่ลุกซ์ถามเสียงอ่อน
“ผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล  อีกอย่างผมกับพี่เฟนก็ไม่ได้คิดอะไรต่อกัน  หรือพี่คิดว่าผมจะไปมีอะไรกันจริงๆ” ผมถามออกไปเมื่อพี่ลุกซ์ทำท่าไม่เชื่อใจ
“กูไว้ใจมึงนะเปอร์แต่กูไม่ไว้ใจคนอื่น  ถ้าพี่เฟนไม่ใช่คนดีแล้วเขาเกิดมาทำร้ายมึงขึ้นมาจะทำยังไง?  มึงรู้ไหมว่าตอนที่มึงถูกไอ้จักรแทงแล้วกูมาเห็น กูรู้สึกเหมือนโลกมันมืด  กูกลัวที่จะเสียมึงไปมากแค่ไหนรู้บ้างหรือเปล่า?  แล้วถ้าวันนี้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกล่ะ? กูไม่อยากเป็นคนที่มาช้าอีกแล้วนะเปอร์” พี่ลุกซ์บีบมือผมแน่นพลางดึงมือทั้งสองข้างของผมไปแนบไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง  หัวใจของพี่มันเต้นแรงมากๆ  อาจจะเป็นเพราะพี่มันกลัวเหตุการณ์เก่าๆ จริงๆ ก็ได้
“กลับบ้านไปเถอะครับ” ผมดึงมือออกจากมือของพี่ลุกซ์แล้วบอกโดยไม่สบตา  ผมมั่นใจว่าในเวลานี้พี่มันคงจะรู้สึกแย่มาก “ผมไม่ไปกินข้าวกับพี่เฟนก็ได้  แต่ถ้าพี่อยู่ที่นี่ผมจะทำงานไม่ได้” ผมถอนหายใจแล้วยอมบอกออกไป  ผมควรจะเชื่อคำเตือนของพี่ลุกซ์เพราะผมประมาทมาหลายครั้งแล้ว  ผมมักจะไว้ใจคนได้ง่ายๆ ทำให้ผมมักจะถูกตลบหลังอยู่เสมอ
“เปอร์ กูใจไม่ดีเลยนะ  มึงเอางานกลับไปอ่านที่คอนโดเถอะ” พี่ลุกซ์บอกหน้าเครียด  เอาละไง  สัญชาตญาณสัตว์ป่าของพี่มันบอกอะไรอีกวะเนี่ย
“มันไม่มีอะไรหรอกครับ  พี่ลันก็อยู่” ผมบอกอย่างระอาที่พี่มันไม่ยอมไปซักที
“เปอร์” พี่ลุกซ์ลากเสียงยาว
“เออ! กลับก็ได้!” ผมตะโกนออกอย่างสุดจะกลั้นพลางกระทืบเท้าอย่างเซ็งๆ จากนั้นก็เดินไปรวบเอกสารที่กองไว้บนโต๊ะมาถือแล้วเดินกลับไปหาพี่ลุกซ์อีกครั้ง  พี่มันยิ้มในขณะที่ผมทำหน้างอ
“ว่าให้มันง่ายๆ แบบนี้หน่อยถึงจะน่ารัก” พี่ลุกซ์ยักคิ้วแล้วหอมหน้าผากผมเบาๆ
“ไม่ต้องมาทำแบบนี้เลยนะ  หัดดูอารมณ์คนอื่นซะบ้างไม่ใช่เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง” ผมปัดมือพี่มันที่กำลังจะโอบไหล่ผมออกแล้วชักสีหน้าไม่พอใจใส่  ถึงผมจะเข้าใจเรื่องที่พี่มันขอให้กลับด้วยแต่ผมยังโกรธเรื่องเดิมไม่หายหรอกนะ  ผมจะโกรธนานๆ จนกว่าพี่มันจะสำนึกจริงๆ ซะที
“ขอโทษครับ” พี่ลุกซ์ทำหน้าจ๋อยแล้วเอาแขนไขว้ไปข้างหลัง  ถ้าไม่ติดว่าผมยังเคืองอยู่ผมคงหลุดขำไปแล้ว
ผมไปลาพี่เฟนกับพี่ลันโดยหาข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ไปทานข้าวกับพี่เฟนวันนี้แล้วเดินออกมาหาพี่ลุกซ์ที่ยืนเก๊กหล่อรออยู่ที่รถ  เอ่อ...จริงๆ พี่มันก็ไม่ได้เก๊กหรอกแต่แค่ยืนนิ่งๆ ก็เหมือนเก๊กแล้วล่ะ  คนหล่อไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ดูเก๊กจนน่าหมั่นไส้  ทุกวันนี้เวลาเห็นผู้ชายหล่อๆ ผมยังอยากจะเดินไปเอาเท้าเหยียบหน้าอยู่เลยเพราะผมอิจฉา
 
++++++++++++++++ แล้วตอนหน้าจะลงอัตภีร์ค่า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา