[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.17K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) Chapter 36 : กลัวฝ่อ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 36 : กลัวฝ่อ



 

ผมนอนหลับยาวโดยมีคุณแม่มาปลุกเพื่อทานข้าวเที่ยงจากนั้นก็นอนต่อจนพี่ลุกซ์กลับมาโดยมีพี่เคย์กับพี่ถังติดสอยห้อยตามมาเพื่อเยี่ยมผม

“กูบอกพ่อกับแม่มึงให้แล้วนะเปอร์  พวกเขาบอกให้มึงพักผ่อนก่อน ไม่อยากให้เดินทาง” พี่ถังบอกพลางเอาหลังมือมาแตะหน้าผากผม

“อืม” ผมพยักหน้ารับนิดๆ

“ไหวไหมเนี่ยเรา? หน้าซีดเชียว” พี่เคย์เดินมาดูอาการผมหลังจากคุยอะไรก็ไม่รู้กับพี่ลุกซ์เสร็จแล้ว

“เดี๋ยวก็หาย” ผมบอกเสียงแหบแห้งพลางยิ้มให้กับพี่เคย์  อุตส่าห์เป็นห่วงผมด้วย

 

พี่ๆ ทั้งสองอยู่ดูแลผมอีกสักพักก็กลับ ผมจึงได้อยู่กับพี่ลุกซ์ต่ออีกสองคน  แต่อยู่กันได้แป๊บๆ คุณแม่ก็พาน้องปิงเข้ามาหา  น้องปิงดูเป็นห่วงผมมาก จะเข้ามากอดด้วยแต่พี่ลุกซ์รีบอุ้มเอาไว้ก่อนซึ่งนั่นก็ดีแล้วเพราะผมคงไม่มีแรงจะห้ามแน่นอน  กลัวน้องปิงจะติดไข้ไปด้วยนี่นา

“ถ้าคุณป๋าหายแล้วคุณพ่อจะอนุญาตให้น้องปิงมาเล่นด้วยนะครับ” พี่ลุกซ์บอกลูกชายตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขน  ผมยิ้มนิดๆ กับท่าทางเป็นคุณพ่อที่แสนอบอุ่นของพี่มัน  อยากให้น้องปิงมาเป็นลูกของผมกับพี่มันจัง

“รีบๆ หายนะคับคุณป๋า” น้องปิงพูดเสียงเล็ก  นี่ถ้าไม่ติดว่าป่วยอยู่ผมจะเข้าไปฟัดเข้าให้  เด็กอะไรน่ารักจัง  ไม่แปลกเลยที่คุณแม่จะรักจนไม่อยากจะห่างไปไหน

“ครับ” ผมตอบเสียงแหบๆ จากนั้นคุณแม่ก็รับน้องปิงจากพี่ลุกซ์ไปแล้วพาออกจากห้อง

“เป็นไงบ้าง? ดีขึ้นบ้างไหม?” พี่ลุกซ์เดินมานั่งบนเตียงโดยนั่งพิงหัวเตียงเอาไว้แล้วเอื้อมมือมาปัดปอยผมที่ปรกหน้าปรกตาผมออกก่อนจะหอมหน้าผากผมเบาๆ

“ไม่รู้อ่า” ผมตอบไปเสียงแผ่วเพราะไม่รู้อาการของตัวเองจริงๆ  มันก็ยังคงรู้สึกแย่อยู่เหมือนเดิม  อีกทั้งเพราะผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยทั้งวันก็เลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่สบายตัว

“เช็ดตัวไหม?” พี่ลุกซ์ถาม

“อยากอาบน้ำ” ผมบอกซึ่งนั่นก็ทำให้พี่ลุกซ์คิดหนัก  ดูเหมือนพี่มันจะไม่อยากให้ผมอาบแฮะ  สงสัยจะกลัวไข้ขึ้น

“เดี๋ยวกูอาบให้” พี่ลุกซ์นิ่งไปซักพักก่อนจะบอก

“ไม่เอา เดี๋ยวก็หื่นหรอก” ผมรีบปฏิเสธ  ผมไม่ไหวแน่นอน  สภาพแบบนี้แค่จะลุกยังไม่ไหวเลย  อย่าให้พูดถึงเรื่องอย่างว่าเลย ตายชัวร์

“กูไม่ได้หื่นเรี่ยราดขนาดนั้นหรอกโว้ย  ให้กูอาบให้นี่แหละดีแล้ว เดี๋ยวก็ไปล้มในห้องน้ำหรอก  เจ็บแผลด้วยนี่” พี่ลุกซ์ไม่ยอม

“ไม่ คนอย่างพี่ ต่อให้ไม่ถอดเสื้อผ้าพี่ก็หื่น” ผมรีบมุดตัวซุกลงไปใต้ผ้าห่มทั้งตัว

“งั้นไม่ต้องอาบมันแล้วน้ำเนี่ย” พี่ลุกซ์พูดผมจึงรีบผุดออกมาจากผ้าห่มทันที

“อาบก็ได้  แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่หื่น” ผมย่นคิ้วนิดๆ ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยออกไปพลางทำปากยื่น

“ไม่ทำอะไรหรอกน่า” พี่ลุกซ์เดินเข้ามาจุ๊บปากผมเบาๆ แล้วอุ้มผมขึ้นจากเตียง

“เฮ้ย เดินเองได้” ผมอุทานออกมาพลางทำตาโต

“อยากอุ้มเมีย ฮึๆ” พี่ลุกซ์หอมแก้มผมหลังจากพูดเสร็จก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องน้ำแล้ววางผมไว้ในอ่างอาบน้ำ

“พี่ลุกซ์  หันหน้าไปทางอื่นก่อน” ผมชี้นิ้วไปทางอื่นเพื่อให้พี่ลุกซ์ทำตามเพื่อที่จะถอดเสื้อผ้าแล้วเอาผ้าเช็ดตัวมาพันช่วงล่างเอาไว้  พี่ลุกซ์ทำตามที่ผมบอกทำให้ผมรีบถอดเสื้อผ้าแล้วเอาผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวอย่างรวดเร็ว  พอผมส่งเสียงบอกว่าเสร็จแล้วพี่ลุกซ์ก็หันมา  มือข้างหนึ่งหยิบฟองน้ำอีกข้างถือฝักบัวไว้ในมือก่อนจะค่อยๆ ชโลมน้ำไปทั่วตัวด้วยฟองน้ำเพื่อไม่ให้น้ำกระจายไปที่อื่นที่ไม่ต้องการให้โดน

จุ๊บ!

“อ๊ะ!” ผมร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อพี่ลุกซ์ที่กำลังถูหลังให้ผมอยู่ยื่นหน้ามาดูดเม้มที่ท้ายทอยจนรู้สึกแสบแปลบๆ

“เห็นแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ ว่ะ” พี่ลุกซ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่รับผิดชอบ  หื่นแบบไม่รับผิดชอบอะไรเลยจริงๆ

“ถ้าไม่เลิกหื่นผมจะไม่ให้อาบให้แล้วนะ” ผมหันไปมองพี่ลุกซ์ตาเขียวปั้ด

“โอเคๆ อาบดีๆ ก็ได้” พี่ลุกซ์ยอมแพ้แล้วอาบให้ผมต่อโดยตรงส่วนนั้นผมเป็นคนล้างเองเพราะพี่ลุกซ์เองก็ปฏิเสธที่จะล้างให้เพราะพี่มันกลัวน้องตื่น

อาบเสร็จก็อุ้มผมจนตัวลอยออกมาแต่งตัวข้างนอก  แต่ก็นะ ด้วยนิสัยหื่นๆ ของพี่ลุกซ์ทำให้พี่มันหาเศษหาเลยกับผมโดยการขโมยหอมหน้าหอมคอผมเสียหลายครั้งจนผมไม่รู้จะดุยังไงแล้ว

 

วันต่อมาอาการของผมก็ดีขึ้นมาก  ปวดหัวน้อยลง ปวดแผลก็น้อยลงเหมือนกันแถมแผลผมยังหายบวมแล้วด้วย แต่ยังมีอาการเจ็บคออยู่บ้าง  ภาพรวมคือดีขึ้นมากๆ แล้วล่ะครับ

พี่ลุกซ์เองก็เห็นว่ามีงานแต่เช้าผมก็เลยต้องตื่นตั้งแต่เช้าไปเข้าครัวช่วยคุณแม่กับแม่ครัวสำหรับอาหารเช้าของพี่ลุกซ์

“เป็นไงเปอร์? ดีขึ้นแล้วเหรอลูก?” คุณแม่ถามเมื่อเห็นผมโผล่หัวเข้าไปในครัว

“ดีขึ้นมากแล้วครับ  ไปทำงานวันนี้เลยยังได้” ผมเบ่งก้าง เอ้ย กล้ามโชว์ทำเอาคนในครัวหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน  ผมหัวเราะบ้าง แล้วเข้าไปช่วยคุณแม่ทำอาหาร

ทำไปได้ไม่เท่าไหร่พี่ลุกซ์ก็วิ่งกระหืดกระหอบเรียกชื่อผมไปซะทั่วบ้านจนคนในบ้านต่างตกอกตกใจ  ไอ้ผมก็ลืมบอกพี่ลุกซ์เอาไว้ว่าจะลงมาเตรียมอาหารไว้ให้

“หายดีแล้วเหรอถึงได้ลงมาเข้าครัวแบบนี้น่ะ?” พี่ลุกซ์กอดอกมองผมจากประตูห้องครัวพลางถามด้วยเสียงดุๆ

“หายแล้วครับ” ผมตอบไปเสียงแหบแห้งเพราะยังเจ็บคออยู่

“เสียงยังแหบอยู่เลย  กลับขึ้นไปพักไป” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วสั่ง  ตอนนี้พี่มันอยู่ในชุดที่ยังไม่เรียบร้อยเอาซะเลย  สวมแค่กางเกงสแล็คกับมีผ้าขนหนูพาดไปที่คอ  จะบอกว่าคนที่นี่เขาชินกับหุ่นล่ำๆ แบบนี้ไปซะแล้วล่ะครับ  ก็ลูกชายบ้านนี้เขาเป็นคนเปิดเผยนี่ครับ  ทั้งพี่ลุกซ์ทั้งพี่ลันเลย

“ผมหายแล้วนะ  ดูสิ” ผมเดินเข้าไปหาพี่ลุกซ์แล้วจับมือพี่มันมาแนบที่หน้าผากของตัวเองเพื่อยืนยันว่าผมหายแล้วจริงๆ

“เฮ้อ” พี่ลุกซ์ดึงมือกลับไปพลางถอนหายใจจนผมต้องก้มหน้าลงด้วยความเก้อ “เดี๋ยวผมลงมากินข้าวนะครับแม่  ขอพาไอ้ดื้อนี่กลับไปพักก่อน”

“หวา!” ทันทีที่พี่ลุกซ์พูดจบตัวผมก็ลอยขึ้นเหนือพื้นเพราะถูกอุ้มจนผมต้องรีบกอดคอพี่ลุกซ์เอาไว้ด้วยความตกใจ “อื้ออออ” ผมหลับตาปี๋ครางอื้อเมื่อพี่ลุกซ์ยื่นหน้ามาจูบที่ปากของผมหลังจากอุ้มผมเดินออกมาจากครัวแล้ว

“เฮ้ยๆ ให้มันน้อยๆ หน่อยเว้ย” ผมสะดุ้งรีบเอามือปิดหน้าเมื่อถูกคุณพ่อที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านทักเอา  โอ๊ย อายอ่ะ

“อิจฉาเหรอพ่อ?” พี่ลุกซ์หันไปถามคุณพ่อด้วยเสียงเยาะเย้ยส่วนผมนี่ก็ได้แต่ปิดหน้าปิดตาเพราะอายจัด

“เดี๋ยวโทรบอกไอ้ปราชญ์ให้มาพาตัวลูกชายกลับบ้าน”

“เฮ้ย! อย่านะพ่อ  ชีวิตนี้ขาดเมียไม่ได้นะเนี่ย” พี่ลุกซ์รีบห้ามพ่อทันทีด้วยคำพูดที่ทำให้ผมแทบอยากระเบิดตัวตายตรงนี้

“ไอ้หน้าด้าน” คุณพ่อด่าพี่ลุกซ์แล้วเดินหนีเข้าครัวทำให้พี่ลุกซ์อุ้มผมเดินต่อกลับไปที่ห้อง

พี่มันวางผมลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาก่อนจะจุ๊บที่ปากผมเบาๆ อีกครั้งแล้วเอาหน้าผากมาวัดไข้ให้กับผมทำเอาผมเงียบ พูดอะไรไม่ออกเพราะเขินมาก  แต่น้อยใจนิดๆ ที่พี่มันดุผมก่อนหน้านี้  ก็คนเขาอยากทำอาหารให้กินนี่หว่า

“ไม่ต้องมาทำหน้างอ” พี่ลุกซ์ผละหน้าออกไปแต่ไม่ห่างก่อนจะชี้หน้านิดๆ พลางกล่าวหาว่าผมทำหน้างอ  ไม่ได้ทำซักหน่อย

“ไม่ได้ทำ” ผมเม้มปากแล้วทำแก้มพองลมพลางเบือนหน้าหนี

“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะช่วงนี้  เอะอะก็งอน เอาแต่ใจตลอด” พี่ลุกซ์พูดพลางบิดจมูกผมไปมา  คำพูดดุๆ นั้นแฝงไปด้วยความเอ็นดูจนผมงอนไม่ลง

“ก็แค่อยากทำอาหารให้กินก่อนไปทำงานเท่านั้นเอง” พูดแล้วก็ทำปากยื่นโดยไม่ยอมสบตากับพี่ลุกซ์

“ไม่ใช่ไม่อยากให้ทำ แต่ตอนนี้ป่วยอยู่ รอให้หายสนิทก่อน” พี่ลุกซ์บอกพลางเสยผมของผมไปด้านหลัง

“ถ้าหายเดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว” ผมทำแก้มพองลมสลับกับทำปากยื่น

“งั้นกูจะไปหาที่บ้านทุกวันเลยเป็นไง  รับไปทำงานพร้อมกันทุกวันแล้วก็ไปส่งทุกวัน  มึงจะได้ไม่เหนื่อยมาก” พี่ลุกซ์พูด

“พี่จะเหนื่อยเอาน่ะสิ  เอาไว้มีโอกาสค่อยทำให้กินก็ได้” ผมยอม

“กูอยากอยู่กับมึงทุกวันนะเปอร์” พี่ลุกซ์บอก  สายตาเหมือนจะสื่อความหมายว่าอยากให้ผมออกมาอยู่กับพี่ลุกซ์เหมือนตอนมหาลัย

“รอให้อะไรๆ มันลงตัวกว่าก่อนนะ” ผมยกมือขึ้นไปวางทาบที่แก้มของพี่ลุกซ์ทั้งสองข้างแล้วมองด้วยสายตาติดจะเยิ้มนิดๆ

“เฮ้อ ไปทำงานดีกว่า  ขืนอยู่ต่อคงไม่ได้ไปกันพอดี” พี่ลุกซ์ถอนหายใจแล้วรีบผละออกไปพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อยจนผมเม้มปากแน่นเพื่อระงับอารมณ์เขิน  จังหวะที่ยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจเมื่อกี้ กล้ามเนื้อแน่นๆ ของพี่ลุกซ์เคลื่อนไปมา ดูแล้วอยากสัมผัสจริงๆ  โอ๊ย หุ่นดีเกิ๊น

“เดี๋ยวช่วยนะครับ” ผมลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปหยิบเน็คไทมาเทียบกับเสื้อเชิ้ตที่พี่ลุกซ์กำลังจะใส่ “ว่าแต่ ไปฟิตหุ่นมาหรือเปล่าครับ  ผมว่าพี่ดูล่ำกว่าเดิมนะ” ผมหมายถึงดูล่ำกว่าเดิมอีก  หรืออาจจะเป็นเพราะผมคิดไปเองก็ไม่รู้

“ตอนอยู่เมกาก็มีบ้าง  ไปฝึกศิลปะการต่อสู้แบบทหารมานิดหน่อย  แต่นี่กูผอมลงนะ  ตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้นกูก็ซูบลง” พี่ลุกซ์บอก ทำเอาผมตาโตอย่างคิดไม่ถึง  ก่อนหน้านี้ผมว่าพี่ลุกซ์ตีคนเก่งแล้วนะ นี่ยังจะเก่งมากกว่าเดิมอีกเหรอเนี่ย

“นี่ซูบแล้วเหรอ?” ผมทำหน้าแปลกใจ

“ก็ก่อนหน้านี้ก็ล่ำกว่านี้นี่หว่า  แขนงี้ลดลงตั้งเยอะ” พี่ลุกซ์เหยียดแขนออกแล้วลูบลำแขนตัวเองไปมา

“จริงเหรอ? ไม่ได้สังเกตเลยแฮะ” ผมบ่นเบาๆ  ก็ก่อนหน้านี้ผมเอาแต่ทิฐิ ไม่สนใจอะไรหรอก

“ที่ฟิตหุ่นมาเพราะอยากให้มึงมีความสุขนะ ฮึๆ” พี่ลุกซ์รั้งเอวผมเข้าไปใกล้พลางหัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์  หน้าผมร้อนขึ้นทันทีทำให้ผมต้องรีบผละออกมา  ผมเอาเน็คไทไปพาดไปที่คอของพี่ลุกซ์แล้วรีบวิ่งขึ้นเตียง เอาผ้าห่มคลุมโปงทันที  ก็คนมันเขินนี่หว่า “ไปทำงานแล้วนะ  พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ” พี่ลุกซ์เดินมากระซิบเบาๆ ผมจึงโผล่หัวออกไปจากผ้าห่มและพบว่าพี่มันกำลังเดินออกจากห้องโดยแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว

 

หลายวันต่อมาก็ถึงวันนัดให้ผมไปตัดไหม  ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอยู่บ้านพี่ลุกซ์ตลอดเลยครับ  ก็พี่ลุกซ์น่ะสิโทรไปตอ...โกหกแม่ว่าผมยังไม่หายป่วยทั้งๆ ที่ผมหายได้สักพักแล้ว และระหว่างนี้พี่ลุกซ์ก็ให้แม่บ้านไปทำความสะอาดคอนโดเอาไว้ เห็นบอกว่าอีกสักพักจะย้ายออกไปอยู่ที่นั่น

“อีกสักพักแผลก็จะปิดสนิทแล้วนะ” อาวิคบอกหลังจากพยาบาลปิดแผลให้ผมแล้วพามานั่งคุยกับอาวิคที่เป็นหมอ

“อา แล้วแบบนี้ออกกำลังกายหนักๆ ได้ไหม?” พี่ลุกซ์ถามขึ้นซึ่งนั่นก็ทำให้ผมหันไปมองพี่ลุกซ์ตาเขียวปั้ด  รู้หรอกว่าหมายถึงอะไร

“ฮึๆ” อาวิคหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน “ได้เบาๆ” ตอบกลับมาน้ำเสียงกรุ้มกริ่มจนผมต้องก้มหน้างุด

“ถ้ามันยั้งไม่อยู่ล่ะอา  แผลจะฉีกอีกไหม?” โอ๊ย! ไอ้บ้านี่ก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องแบบนี้ตลอด ไอ้...ไอ้...ไอ้ปิศาจบ้าเซ็กส์!!

“ถ้าอยากเต็มที่ก็ให้พักอีกซักสองวันสิ  คราวนี้จะพิสดารยังไงก็ได้” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มและคำพูดของอาวิคทำให้ผมแทบอยากจะมุดพื้นหนี  สองคนนี้เขาเป็นคนเปิดเผยจังเลยนะครับ  ไม่อายพยาบาลบางเลยรึไงเนี่ย

“เออ อาครับ” พี่ลุกซ์ทำท่านึกขึ้นได้ก่อนจะขยับเข้ามานั่งข้างผมแล้วยื่นหน้าไปคุยกับอาวิคเหมือนจะกระซิบแต่ก็ไม่ได้กระซิบ “สมัยหนุ่มอาหื่นป่ะ?” ผมขอเฟดตัวออกจากที่แห่งนี้ได้ไหมครับ? ดูคำถามเขาเซ่!

“แหม...ถามแบบนี้อาจะตอบยังไงล่ะ  แค่...อยากทุกวัน วันละสามเวลา ฮ่าๆๆ” ผู้ชายคนนี้เป็นป๊ะป๋าของพี่เคย์จริงๆ เหรอเนี่ย?

“แล้ว...ถ้าแก่ตัวไปจะฝ่อไหมอา?” โอ๊ย อยากจะออกไปแหกปากหัวเราะ  คนอย่างพี่ลุกซ์ก็กลัวไม่มีน้ำยาเป็นเหมือนกันเหรอเนี่ย ก๊ากกกก

“ทุกวันนี้อาก็...ทำการบ้านได้ปกตินะ ฮึๆ” อาวิคยืดตัวขึ้นแล้วลูบเน็คไทของตัวเองไปมา

“ไม่ฝ่อแน่นะอา?” พี่ลุกซ์ถามเพื่อความแน่ใจ

“มันก็แล้วแต่คนนะ  อย่างอาน่ะห่างจากเรื่องแบบนี้ไปตั้งหลายปี  ก่อนหน้านี้อาห่างกับวายุไปตั้งยี่สิบกว่าปี  ถึงจะมีปลดปล่อยบ้างแต่ก็ไม่เต็มที่ซักเท่าไหร่  กว่าจะได้เต็มที่ก็อายุปาไปตั้งเกือบสี่สิบแน่ะ” อาวิคบอก  โอ้โห ผมว่าผมห่างกับพี่ลุกซ์ไปห้าปีว่าหนักแล้วนะ  อาวิคกับอาวายุห่างกันตั้งยี่สิบกว่าปีเลยงั้นเหรอ?

“ตั้งแต่ที่อาเจอกับอาวายุอีกครั้งนี่ผ่านไปกี่ปีแล้วครับ?” พี่ลุกซ์ถามอีก  ดูท่าจะจริงจังเอาเรื่องเลยนะเนี่ย

“ห้าปีได้แล้วมั้ง” อาวิคทำท่านับนิ้วก่อนจะบอก

“แล้วอาได้ทำตลอดไหม?”

“ฮึๆ ทุกวันนี้กลายเป็นพ่อบ้านอยู่บ้านไปไหนไม่ไหวเลยทีเดียว” อาวิคบอกด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม  อย่าบอกนะว่าผมต้องเป็นแบบอาวายุน่ะ?

“อืมมม” พี่ลุกซ์กรอกตามองเพดานทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

“ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า  ช่วงนี้มีโอกาสเต็มที่ก็จัดไปเลย  ไม่ต้องกลัวหรอก  อีกอย่าง...กรรมพันธุ์เราดี ฮึๆ” อาวิคตบไหล่พี่ลุกซ์เบาๆ ก่อนที่พยาบาลอีกคนจะเข้ามาเรียกให้ไปตรวจคนไข้ที่ห้องทำให้อาวิคต้องลุกออกไป  ส่วนผมก็ออกไปพร้อมกับพี่ลุกซ์โดยก้มหน้าหลบสายตาของพยาบาลที่ยืนฟังเรื่องราวมาตั้งแต่แรก

 

ออกจากโรงพยาบาลพี่ลุกซ์ก็พาผมไปกินข้าวแล้วไปส่งที่บ้าน  พอส่งเสร็จพี่ลุกซ์ก็ตั้งใจจะกลับไปเคลียร์งานที่บ้านต่อ แต่บังเอิญว่าตอนที่พี่ลุกซ์เข้าไปทักทายพ่อกับแม่ดันเห็นคุณชนะเข้าน่ะสิ นี่หมอนี่ยังจะมาที่บ้านผมอีกงั้นเหรอ?

“เปอร์ๆ มานี่มา  นี่เพื่อนพ่อเองชื่อลุงวันส่วนนี่ลูกชายชื่อชนะ” พ่อเดินมาดึงมือผมไปนั่งข้างๆ ก่อนจะแนะนำ  ผมหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์นิดๆ ก็พบว่าพี่มันกำลังทำหน้าเซ็งอารมณ์แล้วเดินไปนั่งโซฟาอีกตัวโดยไม่ต้องมีใครเชิญ  แฟนผมเขาก็งี้แหละครับ คึๆ

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ลุงวัน

“น่ารักจังเลยนะครับ” ผมหันขวับไปมองคนพูดก่อนจะรีบหลบสายตาเพราะไอ้คุณชนะกำลังยิ้มตาหยีให้กับผมอยู่

“อ้อ แล้วนั่นชื่อลุกซ์  เป็นลูกของเฮียลิต แล้วก็เป็น...เฮ้อ...ลูก...เอิ่ม...ลูกเขย...เอ่อ...แฟนไอ้เปอร์มันน่ะ” พ่อแนะนำพลางกรอกตาไปมาเหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่  แต่อีกนัยก็เหมือนกับกำลังประหม่าที่ต้องแนะนำพี่ลุกซ์ว่าเป็นแฟนของผม

“คุณอายอมรับได้เหรอครับ?” ยิงตรงมาเลยนะไอ้คุณชนะ! ถามได้ไม่เกรงใจตีนใครเลยจริงๆ

“ถามทำไมครับ? ถ้าคุณพ่อเขายอมรับเรื่องของผมได้แล้วคิดว่าจะยอมรับเรื่องที่ว่าคุณมาชอบลูกชายเขาได้เหรอครับ?” พี่ลุกซ์นั่งไขว้ห้างหรี่ตามองคุณชนะด้วยสายตาของผู้ชนะและไม่คิดจะเกรงกลัวใครในที่นี้เลย  ท่าทางแบบนี้คงจะหวงผมจนไม่สนใจใครเลยล่ะสิทั้งๆ ที่ปกติจะเกร็งๆ เวลาอยู่ต่อหน้าพ่อของผม

“ให้มันได้อย่างนี้” พ่อกัดฟันพูดเสียงเบา  น้ำเสียงของพ่อทำให้ผมงงนิดๆ ว่าตกลงพ่อไม่พอใจกับคำพูดของพี่ลุกซ์หรือกำลังพอใจกันแน่เพราะน้ำเสียงของพ่อไม่ได้ดูโกรธหรือโมโหซักเท่าไหร่

“คุณนี่ยังมั่นใจในตัวเองไม่เปลี่ยนเลยนะครับ  เหมือนเพื่อนคุณไม่มีผิด” คุณชนะหันมาพูดจิกพี่ลุกซ์

“เป็นธรรมดาครับ  ผมกับเพื่อนเป็นพวกหน้าตาดี รูปร่างก็ดีแถมยังรวยมากอีกต่างหาก  ถ้าพวกผมไม่มั่นใจแล้วคนธรรมดาหน้าตาบ้านๆ จะกล้ามั่นใจไปได้ยังไง  ใช่ไหมครับ? คุณหน้าตาบ้านๆ ฮึๆ” เป็นไงล่ะมึง!?! ฝีปากพี่ลุกซ์น้อยกว่าฝีมือตีคนซะที่ไหนเล่า  เดี๋ยวเจอๆ

“ลุกซ์!” พ่อผมเรียกชื่อพี่ลุกซ์อย่างปรามๆ  พี่ลุกซ์กรอกตามองเพดานนิดหน่อยก่อนจะยอมสงบนิ่ง “ว่าแต่วันนี้จะมาดูต้นอะไรล่ะ? เดี๋ยวพาเข้าไปดูในสวนนะ” พ่อผมพูดหลังจากที่เสียงทุกเสียงเงียบลงไปสักพัก

“คุณเปอร์ไปดูด้วยกันสิครับ” คุณชนะลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับพวกผู้ใหญ่แล้วหันมาชวนผม  ผมทำหน้าลำบากใจแล้วหันไปมองพี่ลุกซ์

“ไปสิเปอร์ เดี๋ยวไปด้วย” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาฉุดให้ผมลุกขึ้นบ้าง

“ไม่ไปทำงานเหรอ?” ผมบอก  กลัวพี่มันจะเสียงาน

“แค่เซ็นอนุมัติงบน่ะ เดี๋ยวค่อยเซ็นก็ได้” พี่มันพูดพลางโอบไหล่ผมเอาไว้หลังจากที่ฉุดผมให้ลุกขึ้นยืนแล้ว

“งั้นไปดูสวนกัน” ผมยิ้มจนตาหยีแล้วโอบเอวพี่ลุกซ์เอาไว้บ้าง  ตั้งใจให้ไอ้คุณชนะเห็นนี่แหละครับจะได้เลิกตอแยกับผมซักที

เอ๊ะ!?! หรือว่าคุณชนะจะชอบพี่ลุกซ์วะ? เหมือนพี่จักรที่รักพี่ลุกซ์มากแต่แกล้งเข้าหาผมเพื่อแยกผมออกไป  เฮ้ย! ไม่ได้แล้วแบบนี้ ผมต้องรีบทำให้ไอ้คุณชนะเลิกหวังซักทีสินะ

“พี่ลุกซ์ ผมว่าหมอนี่ชอบพี่แน่เลย” ผมกระซิบกับพี่ลุกซ์เบาๆ ขณะเดินไปที่สวน

“เหี้ย ขนลุก” พี่ลุกซ์ทำหน้าตาแหยงเสียเต็มประดาจนผมขำ

“จริงๆ นะ อาจจะเหมือนพี่จักรก็ได้” ผมกระซิบบอกอีก  ตอนนี้ผมกับพี่ลุกซ์เดินโอบกันเดินอยู่

“พอๆ สยองว่ะ” พี่ลุกซ์ตบหัวผมเบาๆ เพื่อให้หยุดพูดประโยคแสลงหูก่อนที่เราชี้ต้นไม้โน่นนั่นนี่ให้กันดูโดยมีคุณชนะยืนอยู่ไม่ห่าง  ปกติเราไม่มีทางทำอะไรแบบนี้หรอกแต่เพราะอยากประชดน่ะครับเลยต้องทำ  แต่ก็ดีนะ  พี่ลุกซ์น่ารักดี

 

พ่อแนะนำต้นไม้ให้เพื่อนของตัวเองก่อนจะเดินออกไปส่งขึ้นรถพร้อมกับไอ้คุณชนะ  ขณะยืนส่งตามมารยาทพี่ลุกซ์ก็โอบไหล่ผมไว้พลางยักคิ้วใส่หมอนั่นไปเล็กน้อยอย่างผู้ชนะจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้  ผมว่านะ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจผู้ใหญ่คุณชนะอาจจะวิ่งเข้ามาต่อยพี่ลุกซ์แล้วก็ได้  ขนาดผมยังอยากต่อยเลย ฮ่าๆๆ

“เฮ้ย ปล่อยได้แล้ว” หลังจากที่รถของคุณชนะแล่นออกไปจนลับตาพ่อก็หันไปพูดกับพี่ลุกซ์เสียงเข้มทำให้พี่มันยอมปล่อยผมออกจากอ้อมแขน

“งั้นผมกลับก่อนละกันครับ” พี่ลุกซ์จัดเสื้อผ้าตัวเองเล็กน้อยก่อนจะบอก  พ่อเชิดหน้านิดๆ แล้วพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ “สวัสดีครับ” พี่ลุกซ์ยกมือไหว้ซึ่งพ่อก็เมินหน้าหนีแล้วเดินเข้าบ้าน  ผมมองตามแล้วยิ้มนิดๆ  ตาแก่ขี้เก๊กเอ๊ย!

“กลับดีๆ นะครับ” ผมบอก

“อื้ม” พี่ลุกซ์พยักหน้ารับก่อนจะขโมยจูบที่ปากผมอย่างรวดเร็ว

“รีบกลับไปเลยไป” ผมผลักพี่ลุกซ์ออกด้วยความเขินพลางโบกมือไล่

“กลับละ” พี่ลุกซ์ยิ้มยียวนแล้วเดินไปขึ้นรถ  ผมเม้มปากอมยิ้มแล้วรีบเดินหนีเข้าบ้านทันที  พี่ลุกซ์นี่บ้าจริงๆ เลย  ทำไมถึงชอบทำให้ผมเขินแบบนี้นะ

โอ๊ย! เขินโคตรๆ เลยโว้ย!!

 

ผมพักผ่อนไปอีกไม่กี่วันก็ถูกพาไปแนะนำตัวที่แผนกเครื่องยนต์ในฐานะผู้ช่วยพี่ลัน  งานแรกที่ผมต้องทำเลยคือจัดอบรมช่างเครื่องเพราะเป็นงานที่ผมถนัดที่สุด  แหงล่ะ  ผมเป็นอาจารย์มาก่อนนี่หว่า  และพอได้ทำงานนี้พี่ลันก็เลยให้ผมได้ไปศึกษาเครื่องยนต์ที่ต้องอบรมให้กับทางช่าง  ทั้งเครื่องยนต์ที่มีในสต็อคและที่ไม่มี เอาละครับ  งานชอบผมเลย  แบบนี้ทำโอทีได้แบบไม่มีอิดออดเลยล่ะ

“เป็นไงบ้าง พนักงานใหม่?” ขณะที่ผมกำลังนั่งประกอบฟันเฟืองอยู่บนพื้นเปรอะๆ ในชุดหมีและสวมถุงมือสีขาวที่เปื้อนน้ำมันเครื่อง เสียงทุ้มๆ กับกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะตัวของพี่ลุกซ์ก็ดึงความสนใจให้ผมละสายตาจากฟันเฟืองในมือ

“ผมมาลองศึกษาเครื่องยนต์ที่ใช้ในบริษัทน่ะครับ  พอดีเห็นเกียร์พังๆ แถวนี้เลยลองเอามาเช็คดู” ผมหันไปยิ้มให้กับพี่ลุกซ์

“มึงเหมาะกับชุดหมีดีนะ” พี่ลุกซ์บอกพลางมองผมอย่างสำรวจ  พี่ลุกซ์ไม่เคยเห็นผมใส่ชุดหมีหรอกครับเพราะกว่าผมจะได้เรียนวิชาภาคแบบเต็มรูปแบบพี่ลุกซ์ก็ไปเรียนที่อื่นซะแล้ว

“หล่อใช่ไหมล่า?” ผมกอดอกพลางยักคิ้วหล่อๆ ให้

“เอ้า หล่อก็หล่อ” พี่ลุกซ์พยักหน้าอย่างจำยอม

“อะไร? จะบอกว่าผมไม่หล่อเหรอ?” ผมทำหน้าเซ็งจิตทันที

“ขอกอดหน่อย” พี่ลุกซ์ไม่ตอบคำถามก่อนจะเอ่ยขอ  ผมทำหน้าตกใจก่อนจะมองไปรอบๆ เพราะกลัวคนอื่นเขาได้ยินคำขอไร้ยางอายของพี่ลุกซ์แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจเพราะทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานเนื่องจากกลัวประธานสุดหล่อเหวี่ยงเอา คึๆ

“บ้า ไม่เอา  ตัวเปื้อนน้ำมันเครื่อง” ผมบอก  ตอนใส่ชุดหมีนี่ผมแทบจะเอาตัวลงไปนอนกลิ้งกับกับพื้นที่เปื้อนน้ำมันเครื่อง  ไม่ได้ใส่ตั้งนานแน่ะ  คิดถึงโคตร

“ถอดออกดิ” พี่ลุกซ์บอก  ผมรีบส่ายหน้าพลางติดกระดุมขึ้นอีกจนครบทุกเม็ดเพื่อไม่ให้พี่ลุกซ์เข้ามากอดผมได้  เอาสิ มีเกราะป้องกันซะอย่าง  วันนี้พี่ลุกซ์ใส่สูทนั่นคือพี่มันอาจจะมีงานสำคัญรออยู่เพราะฉะนั้นคงไม่อยากให้ชุดเปื้อนและติดกลิ่นน้ำมันเครื่องแน่

ขณะที่ผมกำลังยืนคุยมุ้งมิ้งกับพี่ลุกซ์อยู่พี่สองก็วิ่งเข้ามาหาพวกเราทั้งๆ ที่มือยังถือประแจอยู่ไม่ห่าง

“ลุกซ์ พอมีเวลาหน่อยไหม?” พี่สองหอบนิดๆ ก่อนจะพูด

“อ่า...” ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “มีๆ” พี่ลุกซ์พยักหน้า

“คืออย่างงี้นะ  ในแผนกเครื่องยนต์ลุกซ์ก็รู้ว่ามันจะมีปัญหาเรื่องการเสพติดกลิ่นน้ำมันทุกครั้ง” พี่สองพูดพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งพวกเราก็ตามไป “ถึงเราจะวางมาตรการป้องกันเอาไว้แต่คนจะติดมันก็ติดอ่ะเนอะ  ตอนนี้มีคนติดอยู่หนึ่งคน” พี่สองถอนหายใจนิดๆ พลางควงประแจเล่น

“ไอ้ลันกับพี่อู๊ดรู้เรื่องนี้ไหม?” พี่ลุกซ์วางมาดขรึมเมื่อพูดถึงปัญหาที่ป้องกันยาก  ผมเข้าใจนะ  เพื่อนในสาขาผมบางคนก็เริ่มติดจนเกิดอาการต้องการเสพถึงขั้นพักการเรียนเพื่อไปบำบัดเลยทีเดียว

“รู้แล้ว  ก็ว่าจะไล่มันออกแต่นั่นไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีเลยว่าจะส่งมันไปบำบัด  สงสารเด็กมันด้วย  ถ้าออกไปก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง” พี่สองบอก  ผมพยักเห็นด้วยกับความคิดนี้  ไล่ออกมันไม่ใช่ทางออกที่ดีเพราะนั่นอาจจะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นตกต่ำยิ่งกว่าเดิมอีกก็ได้

“จัดการส่งไปบำบัดซะ  แล้วผมจะส่งมันไปอยู่ที่อู่  ที่นั่นคงควบคุมความประพฤติมันได้ดีกว่านี้” พี่ลุกซ์บอกซึ่งพี่สองก็พยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นพี่จะเกลี้ยกล่อมให้มันเข้าสถานบำบัดให้เร็วที่สุดละกัน” พี่สองบอก  พี่ลุกซ์พยักหน้านิดๆ ก่อนที่พี่สองจะไปทำงานต่อ  ผมหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์แล้วรีบไล่พี่มันไปทำงานเพราะเห็นพี่ภาที่เป็นเลขามาตามแล้ว

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ประมาณวันที่ 17-18 จะมาอัพอีกน้าาาา
16 ขอสอบก่อนเน้อ
สอบทั้งปีเลย เซ็งฝุดๆ


ปล.ตอบความเห็นที่ถามถึงเรื่องป๋าวิคนะคะ  ป๋าวิคเป็นพ่อคิทตี้ไม่ผิดหรอกค่ะ 
แต่ด้วยความที่ว่าป๋าวายุที่เป็นพ่อของสองหนุ่มค.ควาย เป็นภรรเมียของป๋าวิค
ทำให้ป๋าวิคมีศักดิ์เป็นป๊ะป๋าของสองหนุ่มค.ควายน่ะค่ะ
เรื่องราวตอนที่ป๋าวิคเข้ามาเป็นป๋าของสองหนุ่มค.ควายมีลงในเว็บแค่นิดเดียวน่ะค่ะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา