[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
9.7
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
56 ตอน
51 วิจารณ์
236.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
31) Chapter 31 : ศัตรูหัวใจคนใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 31 : ศัตรูหัวใจคนใหม่
“ลุกซ์ ทำไมรีบกลับมาล่ะลูก?” วิชุตาถามขณะที่กำลังนั่งรอเค้กที่อบไว้อยู่ในห้องนั่งเล่น พอเห็นลูกชายเดินพรวดพราดเข้ามาในบ้านหล่อนก็อดตกใจไม่ได้
“ไอ้เปอร์หายตัวไปครับแม่ ผมต้องไปตามหามัน” ลุกซ์พูดเร็วๆ ก่อนจะรีบขึ้นไปเก็บของที่จำเป็นทันทีโดยที่คนเป็นแม่ค้านอะไรไม่ได้ ได้แต่ช่วยลูกจัดของเท่านั้น
หลังจากลุกซ์ออกจากบ้านไปเพื่อตามหาเปอร์ วิชุตาก็เข้ามาปรึกษาสามีทันทีเรื่องที่ลูกทิ้งงานไปทั้งๆ อย่างนี้ ทำให้ลลิภัทรต้องตัดสินใจลงทำงานภาคสนามอีกครั้งหลังจากรามือมาสักพักแล้ว อีกทั้งลลิภัทรตั้งใจจะทำงานแทนจนกว่าลุกซ์จะคิดได้ว่าตัวเองเหมาะที่จะขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดมากที่สุด สำหรับลุกซ์แล้ว เขาไม่เหมาะกับการคืนสู่สามัญเลยแม้แต่นิด ไม่มีใครเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ถึงจะเป็นลันก็คงไม่มีกำลังขับเคลื่อนบริษัทขนาดใหญ่ได้เพราะเจ้าลูกชายคนรองนั้นติดการใช้ชีวิตแบบสมถะและใช้ชีวิตตามใจตัวเองโดยไม่สนใจใคร
“ถ้าลงไม่ได้ แกควรจะขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดนะลุกซ์” ลลิภัทรกอดมองมองออกไปนอกบ้านสักพักแล้วไปเปลี่ยนชุดเพื่อไปทำงานรักษาการแทนประธานบริษัทคนปัจจุบัน
ลุกซ์เริ่มออกตามหาเปอร์ตามบ้านเพื่อนอย่างพัดและตุลแต่ก็ไม่เจอ ครั้นไปที่คอนโดที่เคยอยู่ด้วยกันก็ไม่มีร่องรอย ตามหาในพื้นที่ใกล้ๆ ที่ไหนก็ไม่มีทำให้ลุกซ์เริ่มขับรถออกต่างจังหวัดโดยที่แรกที่เขามุ่งหน้าไปก็คือเกาะที่เขาพาเปอร์มาบ่อยๆ
ลุกซ์จอดรถไว้ที่ท่าเรือแล้วขึ้นเรือเร็วของรีสอร์ทไปที่เกาะทันทีเพื่อตามหาเปอร์ ลุกซ์ค่อนข้างมั่นใจว่าเปอร์อาจจะมาที่นี่เพราะที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเขา
แต่แล้วลุกซ์ก็ไม่เจอเปอร์ ไม่มีใครในที่นี้เจอเปอร์เลยแม้แต่คนเดียว ลุกซ์รู้สึกสิ้นหวังเพราะไม่รู้ว่าจะไปตามหาเปอร์ที่ไหนอีกแล้ว ที่เที่ยวในประเทศไทยช่างมีมากมายจนไม่อาจคาดเดาว่าเปอร์จะไปที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่ที่มีความทรงจำด้วยกันลุกซ์ก็เดาไม่ออกจริงๆ ถ้าเปอร์เป็นอะไรไปเขาคงไม่พ้นต้องโทษตัวเองที่ดูแลไม่ดี
ลุกซ์ตัดสินใจอยู่ค้างคืนที่เกาะพลางเสิร์ชหาข่าวและที่เที่ยวสงบๆ ในประเทศเพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ออกไปตามหาเปอร์ได้
ยิ่งเวลาผ่านปากเท่าไหร่ลุกซ์ก็ยิ่งอยู่ไม่ติดที่มากเท่านั้น เขานั่งไม่ติดเก้าอี้แถมยังนอนไม่หลับเพราะคิดมาก และเพื่อที่จะทำให้ใจสงบและสมองปลอดโปร่งลุกซ์จึงไปว่ายน้ำชมจันทร์คนเดียวในเวลาที่น้ำกำลังขึ้นสูง
“ถ้าพระจันทร์ให้สิ่งที่เราต้องการได้ก็คงจะดี กูอยากเจอมึงจัง” ลุกซ์ลอยคออยู่ในทะเลพลางมองขึ้นไปบนฟ้า พลันเห็นหน้าเปอร์ลางๆ อยู่เต็มดวงจันทร์ ยิ่งมองยิ่งคิดถึง ยิ่งมองก็เหมือนจะยิ่งดำดิ่งสู่ความเครียดและเสียใจ
บุ๋มๆ
กว่าจะรู้สึกว่าว่าตัวเองกำลังทิ้งตัวลงไปใต้น้ำลุกซ์ก็สำลักน้ำอย่างหนัก เขาผุดขึ้นมาจากน้ำแล้วไอโขลกเสียหน้าแดงก่ำ น้ำเค็มๆ ที่ไหลเข้าตาทำให้ตาเขาแดงตามไปด้วย ลุกซ์สะบัดศีรษะไปมาสองสามทีก่อนจะว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง ถ้าขืนเขายังใจลอยอยู่อย่างนี้เขาอาจจะดิ่งสู่ใต้ทะเลจริงๆ ก็ได้
“คุณเปอร์เป็นคนเดียวที่ทำให้นายน้อยเราเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยนะเนี่ย” นุพูดกับขวานคนงานคนสนิทขณะที่กำลังยืนมองดูลุกซ์อยู่ไกลๆ พวกเขาไม่เคยเห็นลุกซ์กระวนกระวายในเรื่องอะไรได้ถึงขนาดนี้มาก่อน กระวนกระวายจนลืมที่จะดูแลตัวเองเสียด้วยซ้ำ ปกติลุกซ์ไม่เคยพลาดในเรื่องอะไรก็ตาม แต่กับเรื่องของเปอร์ ลุกซ์พลาดเสมอ
“ทำยังไงถึงจะช่วยนายน้อยได้ครับ?” ขวานถามนุเสียงเครียด เขาไม่อยากเห็นคนอย่างลุกซ์เป็นแบบนี้อีกแล้ว
“เราคงช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องหัวใจคงต้องให้แก้กันเอง เฮ้อ เอาเถอะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวไปส่งนายน้อยกัน ไปนอนได้แล้ว” นุถอนหายใจก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วเดินกลับไปที่บ้านพักของตนเอง ส่วนขวานก็แยกไปเพราะบ้านอยู่คนละทาง
ฮ้า บรรยากาศที่นี่ดีจนไม่อยากกลับเลยล่ะครับ ตกกลางคืนน้ำค้างก็ลงทำให้อากาศเย็นมากๆ เลย สดชื่นยังไงก็ไม่รู้แฮะ อากาศแบบนี้ถ้ามาคนให้กอดก็คงจะดี
อุบ๊ะ!! ไอ้นี่ก็คิดถึงเขาตลอดเลยโว้ย จะไปคิดถึงเขาทำไมวะ ขนาดนอนเดี้ยงอยู่โรงพยาบาลตั้งนานยังไม่มาหาเลย เขาไม่คิดถึงเราแล้วเราจะไปคิดถึงทำไมล่ะ?
ตุบ!
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ” ขณะที่กำลังเดินเล่นเลียบอ่างเก็บน้ำก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินถอยหลังถ่ายรูปมาชนผม ตอนแรกผมนึกว่าเขาเห็นเลยจะหลบให้เพราะเขาหันมามองนิดหน่อยแต่ดูท่าคงจะไม่เห็นผมก็เลยถอยมาชนกันแบบนี้ ไอ้เราก็ไม่ได้สนใจก็เลยล้มซะก้นจ้ำเบ้า
“ไม่เป็นไรครับ” ผมลุกขึ้นปัดก้นนิดหน่อยพลางบอกไป จะว่าไป หมอนี่บ้าป่าววะ? นี่ก็มืดแล้วยังจะมาถ่ายวิวอะไรตรงนี้อีก
แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินกลับไปที่บ้านพักข้อมือผมก็ถูกคว้าเอาไว้หมับ ผมหันไปมองคนคว้าอย่างงงๆ ว่ามารั้งผมไว้ทำไม หนาวจะตายห่า เสื้อแขนยาวก็ไม่ได้ใส่ยังจะมารั้งกันไว้อีก
“คุณพักอยู่เต็นท์แถวนี้ป่ะครับ?” ไอ้หมอที่คว้าข้อมือผมเอาไว้ถาม ผมมองไปรอบๆ บริเวณที่มีเต็มท์หลายหลังกางเว้นระยะกันไว้ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “แล้วคุณพักอยู่ที่ไหน?” หมอนี่ถามอีก แล้วมันธุระอะไรของมันวะ? ทำไมต้องมาถามด้วยวะเฮ้ย!!
“แล้วทำไมผมต้องบอกคุณด้วยครับ?” ผมขมวดคิ้วมองหน้าไม่ไว้ใจ หน้าตาก็ดีนะแต่ทำไมถึงมารยาทแย่แบบนี้ก็ไม่รู้
“คุณสวยจัง” อยู่ดีๆ เขาก็พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไอ้ห่า! ไปตายซะไป!!” ผมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมก่อนจะเตะไปที่เข่าของไอ้บ้านั่นแล้วรีบเดินหนีออกมาจากที่แห่งนั้นทันที
ไอ้ฟรายยยยย! อยู่ดีๆ ก็มาพูดเรื่องเหี้ยๆ อะไรก็ไม่รู้ ชื่อก็ไม่รู้จัก อะไรๆ ก็ไม่รู้จักยังจะมาทำเป็นตีสนิทอีก ห่ามึง! เมื่อกี้แม่งน่าจะยันไข่มันว่ะ หมั่นไส้! ไม่ใช่ผัวกูห้ามชมว่าสวยโว้ย!!
เดี๋ยวๆๆ ไอ้นี่ก็ยังจะไปคิดถึงพี่ลุกซ์อีก นี่อุตส่าห์หนีมาพักผ่อนเพื่อให้ลืมไปซักพักนะเนี่ย เบื่อตัวเองจริงๆ ที่ชอบคิดถึงคนแบบนั้น ถ้ารู้ว่าจะทำอะไรโดยไม่บอกผมอีกผมไม่น่ากลับไปคืนดีเลยจริงๆ อย่างว่าแหละนะ น้ำตาคนเลวมันมีผลมากกับคนอย่างผม ถ้าน้ำตาของผมมีผลต่อจิตใจเขาบ้างก็คงจะดีเนอะ
“เดี๋ยวคุณเดี๋ยว!!” เฮ้ย! ไอ้ห่า! วิ่งตามมาทำเหี้ยอะไรเนี่ย?
ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้ผมรีบสับขาวิ่งหนีไอ้ที่มันวิ่งตามผมมาทันที บอกตรงๆ ว่าสยองครับ คนบ้าอะไรวะ ยังไม่มีการถามชื่อแต่เสือกถามที่พักแถมยังมาบอกว่าสวย เอาจริงๆ ต่อให้พี่ลุกซ์เป็นคนพูดผมก็เคือง เอ...หรืออาจจะไม่เคืองเพราะผมยังไม่เคยได้ยินพี่มันชมอย่างนั้นเลยซักครั้ง แต่ด้วยสปิริตลูกผู้ชายที่แม้จะเป็นเมียเขาผมก็ยังต้องการได้ยินคำชมว่าหล่อครับ!
“อย่าตามมาสิเฮ้ย!” ผมหันหลังไปมองไอ้หมอนั่นพลางกัดฟันสบถ ยิ่งวิ่งยิ่งเจ็บแผลครับ ควายเอ๊ย นี่กูเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนะเว้ย อย่าให้ใช้กำลังมาดิวะ โอ้ยสัตว์! เหมือนเลือดจะซึม
“คุณคนสวย! อย่าเพิ่งไป! ขอถ่ายรูปก่อนดิเฮ้ย!” ยิ่งได้ยินมันตะโกนมาว่าอย่างนั้นผมยิ่งรีบสับขาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะวิ่งได้ ถ้ามันตะโกนมาบอกว่าผมทำกระเป๋าตังค์หล่นผมก็คงจะหยุดอยู่หรอก แต่นี่มันมาขอถ่ายรูปผมนี่หว่า
ผมวิ่งติดสปีดมาจนถึงหน้าที่พัก ผมหยุดพักก่อนจะหันไปหาไอ้หมอนั่นที่กำลังวิ่งแท่ดๆ เข้ามา
“กูเป็นผู้ชายมีหำแล้วก็หล่อโว้ย ไอ้ควาย!!” ผมป้องปากตะโกนออกไปแล้วรีบวิ่งหนีเข้าที่พักโดยไม่ลืมปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาทันที
ผมหอบหายใจถี่รัวขณะยืนพิงประตูที่เพิ่งปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อนและตื่นตกใจ บ้าจริงๆ ไอ้หมอนั่นมันต้องเป็นโรคจิตแน่เลย เสียงผมใหญ่ซะขนาดนี้ฟังยังไงก็ผู้ชายชัดๆ ยังจะมาวิ่งไล่ตามแล้วเรียกว่าคนสวยๆ อยู่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นแผลที่ท้องผมจะกระโดดขาคู่ให้มันหงายเงิบไปซักที เซ็งจริงๆ คนกะจะมาพักเอาสงบซักหน่อย สงสัยพรุ่งนี้ผมจะเที่ยวได้อย่างไม่เป็นสุขซะแล้วสิ
เฮ้อ เอาเถอะ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่างแต่ตอนนี้ไปทำแผลก่อนดีกว่า เลือดซึมออกมาเต็มเสื้อเลยโว้ย ทั้งเจ็บทั้งจุกเลยเนี่ย
60% left
ทางด้านผู้ใหญ่ฝ่ายลุกซ์ก็ไม่อาจทนดูลูกทรมานได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปคุยกับปราชญ์และนภาเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องนี้เนื่องจากไม่อยากให้มันส่งผลถึงหน้าที่การงานที่กำลังรุ่งเรืองของลุกซ์
“ปราชญ์ ตอนนี้รู้ไหมว่าเปอร์อยู่ที่ไหน?” หลังจากทักทายอะไรกันเสร็จเรียบร้อยลลิภัทรก็เปิดฉากถามทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม
ปราชญ์เหลือบตามองลลิภัทรนิดๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพยักหน้าเบาๆ ที่ปราชญ์รู้เพราะเพื่อนที่กำลังเที่ยวอยู่ที่ปางอุ๋งเห็นเปอร์แล้วคุ้นหน้าคุ้นตาเลยส่งรูปมาถามปราชญ์ว่าใช่ลูกของเขาไหม เมื่อรู้ว่าเปอร์อยู่ที่นั่นปราชญ์ก็ซักไซ้เพื่อนใหญ่เลยว่าลูกเขาสบายดีไหม เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจปราชญ์ก็หายห่วง
“ถ้ารู้แล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ? ตอนนี้ลุกซ์ถึงกับทิ้งงานไปตามหาหนูเปอร์เลยนะคะ เห็นใจเด็กหน่อยเถอะค่ะคุณปราชญ์” วิชุตาพูดออกมาอย่างมีโทสะ
“เฮ้อ ผมไม่ได้ขอให้เขาทิ้งงานเพื่อไปตามหาลูกชายผมนะครับ เขาทำของเขาเองต่างหาก” ปราชญ์ถอนหายใจแล้วพูดออกไปทำให้ลลิภัทรและวิชุตาเถียงไม่ออก “เอาเถอะครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่ายดี ไม่ว่าจะทางพวกเฮีย ลุกซ์หรือตาเปอร์ก็ตาม ในขณะที่ผมเข้าใจทุกคน ผมก็อยากให้ทุกคนเข้าใจผมบ้าง ลูกใครใครก็รักครับ ตอนนี้ตาลุกซ์ยังไม่พร้อมที่จะดูแลใครอย่างจริงจัง ดูจากการกระทำของเขาก็รู้แล้วล่ะครับ เขาทิ้งให้ลูกชายของผมเป็นกังวลโดยที่ไม่บอกอะไร สิ่งที่เขาทำกับลูกของผมทำให้ผมต้องทนยืนมองลูกเศร้าเสียใจโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะไม่ว่าจะปลอบเท่าไหร่เปอร์ก็ไม่หายเศร้า ถึงหน้าจะยิ้มแต่ใจเปอร์ไม่ได้ยิ้มด้วยเลยซักครั้ง พอคืนดีกัน ลุกซ์ก็ยังคงทำตัวมีเงื่อนงำไม่ทำอะไรให้ชัดเจนจนเปอร์เกือบตาย หัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่มันแทบสลายเลยนะครับ เข้าใจผมใช่ไหม?” ปราชญ์ที่ก้มหน้าพูดในตอนแรกเงยหน้ามองลลิภัทรกับวิชุตาด้วยสายตาเจ็บปวด คนเป็นพ่อย่อมทนไม่ได้อยู่แล้วที่จะเห็นลูกทรมานไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบลุกซ์แต่เขายังไม่ยอมรับให้ลุกซ์มาดูแลเปอร์เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งลุกซ์ก็ผิดสัญญาที่บอกว่าจะไม่ทำให้เปอร์เสียใจ ถึงจะกล้าทำกล้ารับแต่ทำซ้ำๆ ซากๆ มันก็ไม่น่าจะให้โอกาสเหมือนกัน
“...” ลลิภัทรกับวิชุตาพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ปราชญ์พูดคือความจริงทุกประการ ทั้งสองคนเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ดี
“ผมไม่ได้มีอคติกับตาลุกซ์ ผมชอบซะด้วยซ้ำ ผมชอบความรักที่ลุกซ์มีให้กับเปอร์ มันมากมายยิ่งกว่าใครคนไหนที่เคยเข้ามาในชีวิตของเปอร์ด้วยซ้ำ ลุกซ์พร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเปอร์ พร้อมที่จะทำในสิ่งที่เปอร์ต้องการทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่ลุกซ์ยังไม่พร้อมสำหรับการดูแลใครซักคนนั่นก็คือความเชื่อใจ เพราะลุกซ์คิดว่าเปอร์อ่อนแอก็เลยพยายามที่จะประคบประหงม แต่การทำแบบนั้นกลับทำร้ายเปอร์ซะมากกว่า ถ้าลุกซ์เข้าใจตรงจุดนี้เมื่อไหร่...ผมก็จะยอมรับ” ปราชญ์พูดออกมาทำให้ทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกยิ้มออกมาได้ แม้แต่นภากับป้องที่นั่งหน้าเจื่อนมาตั้งแต่แรก ป้องเองก็คิดแบบปราชญ์จึงยังไม่ยอมรับลุกซ์ เพราะป้องต้องทนเห็นเปอร์เศร้าอยู่ทุกวันเพราะลุกซ์เป็นต้นเหตุก็เลยทำให้ป้องไม่พอใจลุกซ์มาก
“เฮียขอบใจนะที่เข้าใจลูกชายของเฮีย ถ้าปราชญ์ไม่คิดจะกีดกันเด็กๆ จากใจจริงล่ะก็เฮียก็คงไม่ต้องทำอะไร จากนี้ไปก็คงต้องให้ปราชญ์ดัดนิสัยลูกชายเฮียแล้วล่ะ” ลลิภัทรยืดตัวแล้วขยับเล็กน้อยหลังจากสบายใจขึ้น
“ผมไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรลุกซ์อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ผมขอจริงๆ เพราะถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาคงอยู่กันได้อย่างไม่เป็นสุข” ปราชญ์บอก ชีวิตคู่ต้องการความเชื่อใจและไว้ใจมากที่สุด เขาอยากให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันโดยมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานมากกว่านี้
RRRRRR
“อ่า...โทรศัพท์จากเพื่อนน่ะครับ เดี๋ยวผมขออนุญาตรับก่อนนะครับเผื่อมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตาเปอร์” โทรศัพท์ของปราชญ์ดังขึ้นทำให้เขารีบยกมาดู พอเห็นว่าเป็นเพื่อนที่ไปเที่ยวที่เดียวกันกับเปอร์โทรมาปราชญ์ก็เริ่มร้อนใจ
“ตามสบาย คุยตรงนี้ก็ได้ เฮียก็อยากรู้ว่าเปอร์เป็นยังไงบ้าง” ลลิภัทรบอก ปราชญ์พยักหน้าก่อนจะคุยกับเพื่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยที่คนอื่นไม่ค่อยเข้าใจกับการตอบรับของปราชญ์เท่าไหร่นัก หลังจากวางสายไปปราชญ์ก็มองหน้าทุกคนอย่าลำบากใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับลูกคะ?” นภาจับแขนสามีพลางถามอย่างเป็นกังวล
“แย่แล้ว ลูกชายของไอ้วันดันมาชอบตาเปอร์ซะอย่างนั้น” ปราชญ์พูดด้วยสีหน้าเครียดๆ พลางทำปากขมุบขมิบว่า ทำไมลูกชายเรามันดึงดูดเพศเดียวกันนักวะ อีกด้วย
“อย่างนี้ก็หมายความว่าตาลุกซ์มีคู่แข่งแล้วน่ะสิ อย่างนี้ต้องรีบโทรบอกให้ไปรับตัวหนูเปอร์ด่วนเลย” วิชุตาพูดพลางความหาโทรศัพท์อย่างรีบร้อน ทุกคนเองก็ตั้งใจลุ้นว่าวิชุตาจะติดต่อหาลุกซ์ได้ไหม
แต่จนแล้วจนรอดลุกซ์ก็สายไม่ว่างจนติดต่อไม่ได้ ครั้นสายว่างกลับโทรไม่ติดเสียอย่างนั้นทำให้เหล่าพ่อแม่ต่างก็ร้อนใจจนแทบนั่งไม่ติดที่
เช้าวันต่อมาลุกซ์ที่คิดวิธีดีๆ ออกรีบโทรหาเพื่อนที่คอยช่วยเกื้อหนุนธุรกิจกันเพื่อให้ช่วยตรวจสอบชื่อของเปอร์ให้ว่าได้ไปใช้บริการเครื่องบินจากสายการบินไหนหรือไม่ เพราะเหตุนั้นทำให้ลุกซ์ต้องคอยโทรและคอยรับโทรศัพท์อยู่ตลอดจนสายไม่ว่าง เมื่อได้ความว่าเปอร์ได้ใช้บริการของสายการบินหนึ่ง ลุกซ์ก็รีบให้เพื่อนช่วยใช้เส้นทำให้เขาได้บินตามเปอร์ไปทันทีทำให้ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้
ระหว่างนั่งเครื่องไปที่แม่ฮ่องสอนลุกซ์ก็ยังอุตส่าห์ให้เพื่อนอีกคนให้ตรวจสอบเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักให้ทันที เมื่อรู้ว่ามีชื่อเปอร์ปรากฏอยู่ที่ที่พักแห่งหนึ่งลุกซ์ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นพลางดีใจที่จะได้เจอเปอร์โดยที่ลุกซ์ไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะมีศัตรูหัวใจตัวฉกาจ
บอกตรงๆ ครับว่าตอนนี้ผมโคตรจะเซ็งเลย ไอ้เราก็กะว่าพอเช้าจะออกมารับหมอกเย็นๆ เงียบๆ คนเดียวซักหน่อย แต่พอออกจากที่พักมาก็ต้องมาเจอกับไอ้บ้าโรคจิตที่แอบมาดักรอผมอยู่หน้าที่พัก อารมณ์ดีๆ ผมพลันหายแกล้ง ผมขยะแขยงไอ้บ้านี่เป็นบ้าเลย
แชะ แชะ แชะ
ผมที่กำลังเดินเอามือซุกกระเป๋าเสื้อกันหนาวทำหน้าเซ็งสุดติ่งเพราะไอ้บ้าโรคจิตนี่เอาแต่เดินตามผมมาเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร แต่มันก็ไม่ยอมหยุดนิ้วที่กำลังกดชัตเตอร์ถ่ายรูปผมอยู่ ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับอารมณ์ไม่ให้หันไปถีบมันตกน้ำ อยากจะโวยวายแต่ก็ไม่กล้าทำเพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวเขากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศดีๆ ในเวลาเช้าๆ อยู่ แถมเมื่อคืนผมยังถูกเจ้าหน้าที่ตำหนิเรื่องเสียงดังด้วย ก็คนมันลืมตัวนี่ครับ
แชะ แชะ แชะ
ไอ้เห็บซอกตีนหมาเอ๊ย! มึงจะกดถ่ายรูปกูไปถึงไหนวะไอ้สัตว์!? รำคาญจริงๆ ขยะแขยงสุดๆ นี่ผมแมนเต็มร้อยนะครับ(ถึงจะถูกกดก็เถอะ) มีผู้ชายมาสตอล์คกิ้งแบบนี้ผมขยะแขยงเป็นบ้า นี่ถ้าไม่ใช่พี่ลุกซ์ล่ะก็ผมรังเกียจจริงๆ นะ ผมบอกแล้วไงว่าสำหรับผู้ชายผมยอมให้พี่ลุกซ์คนเดียวจริงๆ คนอื่นผมไม่มีปฏิกิริยาด้วยเลย ต่อให้วิเศษวิโสมาจากไหนก็ไม่สนโว้ย!
“น่ารักอ่า” ไอ้หมอนั่นเดินตามผมพลางกดดูรูปที่เพิ่งถ่ายไปก่อนจะเพ้อออกมาเบาๆ ผมเบ้หน้าให้บิดเบี้ยวหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำแสลงหูจากไอ้โรคจิตบ้านี่
ฮึ่มมมม! อยากเอาตีนเหยียบหน้ามันซะจริงโว้ย! ถ้ารู้ว่าจะต้องมาเจอคนแบบนี้ล่ะก็ผมจะรอมาตอนที่หายดีแล้วจะได้คล่องตัวหน่อย อยากเตะอยากถีบยอดหน้าอันแสนจะโรคจิต(?)ของมันจริงๆ ถ้าตอนนี้ผมไม่เจ็บอยู่ล่ะก็ไอ้นี่มันได้เจ็บตัวแน่
“ชื่ออะไรอ่ะครับ? น่ารักอ่ะ” หมอนั่นเดินขึ้นมาข้างๆ ผมแล้วชะโงกหน้ามาถาม ผมชักสีหน้าไม่พอใจใส่พลางเบือนหน้าหนีไม่ตอบ ไม่อยากจะเสวนาด้วย กลัวเชื้อโรคจิตติด บรึ๋ยยย! สยองเหี้ยๆ “บอกชื่อหน่อยสิครับ น่านะ หน้าตาออกจะน่ารักขนาดนี้ทำไมถึงใจร้ายทำกับผมได้ลงคอ” ดูมันตัดพ้อผมสิครับ ผมทำอะไรมันเนี่ย? แค่ไม่พูดด้วยเนี่ยนะ ทำอย่างกับผมเตะไข่มันอย่างนั้นแหละ ถุย!
“จะให้กูเปิดให้ดูเลยไหมว่ากูมีหำ?” ผมหันไปทำหน้าตาเอาเรื่องใส่หมอนั่น
“เอาสิครับ ผมชอบอยู่แล้ว” ห่า! เหี้ยนี่เป็นเกย์เหรอเนี่ย? “จริงๆ ผมเป็นไบ ชอบผู้ชายน่ารักน่ากินแบบคุณนี่แหละ” ดูเหมือนผมจะทำหน้าเหวอปนขยะแขยงใส่มันก็เลยบอกข้อมูลของตัวเอง แต่จะกราบตีบถ้ามันบอกว่าผมหล่อ
“ฮึ่ย! อย่ามาใกล้ ไอ้วิปริต!” ผมทำท่าขยะแขยงเสียเต็มประดา
“ไม่เอาน่า คุณเองก็น่าจะเป็นประเภทเดียวกันกับผมนะ แถมยังรับซะด้วย ผมได้กลิ่นแบบนั้นจากตัวคุณ” ไอ้หมอนั่นยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ จนผมต้องผงะถอยหลัง ห่ามึง เสือกดูออกอีก
“เป็นหมารึไงถึงได้ดมกลิ่นคนอื่นเขาไปทั่ว” ผมขมวดคิ้วทำหน้าไม่พอใจ
“ถ้าให้เป็นหมาของคุณผมยอมเป็นก็ได้นะ” ผมเงิบอีกรอบเมื่อไอ้บ้านี่ยิ้มใส่ผมซะกว้าง ท่าทางมันจะเป็นนักตื๊อนะ ผมไม่ชอบไอ้พวกตื๊อๆ ที่สุดเลย หงุดหงิด
“เฮ้ย ถามจริง ต้องการอะไรวะ?” ผมกอดอกก่อนจะมองหน้าหมอนั่นอย่างจริงจัง
“บอกชื่อหน่อยสิ” เขาตื๊อ ผมถอนหายใจอย่างระอา
“เออๆ ชื่อเปอร์” ผมยอมบอกไปเพื่อตัดความรำคาญ
“ผมชื่อชนะนะครับ เป็นช่างภาพ จริงๆ แล้วเมื่อวานผมถ่ายวิวแล้วติดรูปคุณ ผมชอบมากก็เลยตามหาคุณอยู่พักใหญ่เลยล่ะ” ไอ้โรคจิตชนะพูดไปโดยไม่สนใจเลยว่าผมจะทำหน้าเซ็งขนาดไหน มันใช่แล้วเหรอที่จู่ๆ ก็มาชอบคนที่บังเอิญถ่ายรูปติดไว้ได้เนี่ย นี่ถ้าผมเป็นผีหมอนี่ก็ต้องชอบผีน่ะสิ
“แล้วไง?” ผมเลิกคิ้วถาม
“เรามาลองคุยกันดีไหม? ผมชอบคุณมากเลยนะ เห็นแค่แว้บเดียวยังใจเต้นแทบตาย ยิ่งพอมาเห็นเต็มๆ ตาแบบนี้ผมยิ่งชอบเลยครับ แถมนิสัยคุณยังไม่เข้ากับใบหน้าก็เลยน่าสนใจมากกว่าเดิมซะอีกครับ” ไอ้คุณวันชนะพูด หมอนี่เป็นคนตรงไปตรงมาดีแฮะ งั้นผมก็คงต้องพูดตรงๆ กับเขาบ้างแล้วแหละ
“ผมมีแฟนแล้วครับ” เมื่อรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้วผมจึงพูดจาสุภาพขึ้นมาหน่อยแต่น้ำเสียงนี่ห้วนสิ้นดี
“จริงดิ!?! เฮ้อ เอาเถอะ ผมก็คิดไว้แล้วแหละว่าหน้าตาอย่างคุณคงไม่โสด ลองให้ผมเป็นกิ๊กดูไหม? ไม่แน่นะ คุณอาจจะอยากเลิกกับแฟนแล้วมาคบกับผมแทนก็ได้นะ” โห หมอนี้หน้าด้านโคตร! ขอเป็นกิ๊กกันง่ายๆ แบบนี้เลยเรอะ!?!
“ไม่เป็น ผมรักแฟนผมคนเดียว” ผมรีบปฏิเสธไปทันที คนอย่างหมอนี่ผมไม่ชอบเอาซะเลย ดูไม่เข้ากับผมแบบสุดๆ อย่างผมนี่คงเหมาะกับคนแบบพี่ลุกซ์ที่สุดแล้วล่ะ
แน่ะ! บอกว่าห้ามคิดถึงก็อย่าไปคิดสิเฟ้ย!
“คุณไม่ต้องรักผมก็ได้ แค่ลองคุยๆ ดู ไม่แน่นะ คุณอาจจะถูกใจผมมากกว่าแฟนของคุณก็ได้” ไอ้คุณวันชนะนั่นเดินมาขวางหน้าผมไว้แล้วเดินถอนหลังในขณะที่ผมเดินไปข้างหน้า สาธุ ขอให้มีต้นไม้อยู่ข้างหน้าหมอนี่จะได้ชนต้นไม้ไปซะ
“ไม่ล่ะครับ แค่หน้าตาคุณก็สู้แฟนผมไม่ได้แล้ว” ผมบอก หมอนี่ก็ดูดีในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง การแต่งตัวของเขาก็เข้ากับบุคลิกดีก็เลยทำให้เขาดูดีมากยิ่งขึ้นแต่ถ้าจะให้เทียบกับพี่ลุกซ์ก็คงจะไม่ได้ ขานั้นหน้าตาเหมือนทำศัลยกรรมมาก็ไม่ปาน หล่อโพด!
“นี่คุณชอบคนที่หน้าตาหรอกเหรอเนี่ย? แต่คงไม่เป็นไรมั้ง ผมก็ไม่ได้แย่ไม่ใช่รึไง?” ยังไม่เลิกตื๊ออีก โอ้ย ถ้าต้องเจอหมอนี่ไปตลอดการเที่ยวผมว่าผมรีบกลับแล้วแวะเที่ยวเชียงใหม่ดีกว่า เซ็งสุดๆ
“เฮ้อ ผมเบื่อจะคุยกับคุณแล้วนะ ขอเวลาส่วนตัวให้ผมได้พักอย่างสงบๆ ได้ไหม?” ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะบอกออกไป
“เห? นี่ทะเลาะกับแฟนมาใช่ไหมเนี่ย? แน่ๆ เลย งั้นมากิ๊กกับผมเถอะนะ” แทนที่ถูกไล่แล้วจะไปแต่มันดันร่าเริงซะงั้น โว้ย! น่ารำคาญจริงๆ
“ไม่ได้ทะเลาะ แล้วก็ไม่เป็นด้วย” ผมทำหน้าเซ็งสุดๆ แล้วดันเขาออกให้พ้นทางแล้วรีบเดินหนี เบื่อหมอนี่จริงๆ
“นี่ๆ ถ้าไม่ทะเลาะแล้วทำไมมาเที่ยวคนเดียวล่ะครับ” ไอ้หมอนี่มันจะตื๊อไปถึงไหนวะ แต่ก็ตอบคำถามไม่ได้แฮะว่าทำไมมาเที่ยวคนเดียว ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้เลิกกันแต่ก็อยากมาคนเดียว
“ผมอยากมาเที่ยวที่เงียบๆ คนเดียว หนีความวุ่นวายมา เข้าใจไหมครับ?” ผมกรอกตาไปมาแสดงออกถึงความรำคาญอย่างสุดซึ้ง
“โอเคๆ ผมไม่กวนคุณแล้วก็ได้ แต่ขอเบอร์ก่อนดิ” โอ๊ย! ผมนึกว่าหมอนี่จะเลิกตื๊อแล้วนะ
“ถ้าคุณไม่อยากถูกแฟนผมฆ่าเอาล่ะก็เลิกยุ่งกับผมเถอะครับ” ผมทำหน้าหงุดหงิดแล้วรีบเดินหนีไปทันที ถ้าพี่ลุกซ์รู้ว่ามีคนมาตามตื๊อผมแบบนี้ล่ะก็ไอ้หมอนั่นเดี้ยงแน่นอน แต่...ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าพี่ลุกซ์จะแคร์ไหมหากมีคนเข้ามาจีบผม
ผมเดินเล่นรับหมอกตอนเช้าจนกระทั่งแดดออกแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด แดดออก อากาศเย็นแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก แถมยังไม่ต้องมารำคาญไอ้คุณชนะอีกด้วย ขอล่ะ ผมไม่อยากเจอหมอนั่นอีกแล้ว หวังว่าเขาคงไม่ได้อยู่แถบเดียวกันกับผมหรอกนะ
ผมกลับไปกินข้าวเช้าที่ที่พักตอนเวลาเกือบจะสิบโมงซึ่งตอนนั้นครัวก็เกือบจะปิดแล้ว หลังจากกินข้าวผมก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อเก็บของ ผมว่าผมออกจากที่นี่ก่อนกำหนดดีกว่า ผมกลัวเจอไอ้บ้าชนะนั่นอีก คิดแล้วก็สยองฉิบ
ขณะที่เก็บของอันน้อยนิดลงกระเป๋าผมก็จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไปด้วย แน่นอนว่ามาเลื่อนไฟลท์กะทันหันแบบนี้มันต้องยากแน่ทำให้เลื่อนทางโทรศัพท์ไม่ได้ผมจึงต้องรีบออกจากปางอุ๋งไปที่สนามบินให้เร็วที่สุด
“อ้าว คุณเปอร์จะรีบไปไหนครับ?” ควายเอ๊ย! นี่กะว่าจะไม่ได้เจออีกแล้วนะเนี่ย ทำไมต้องมาเรียกกันไว้ตอนกำลังรีบวะ
“ผมรีบ!” ผมบอกแค่นั้นก่อนจะรีบแว้นมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาไปคืนแล้วไปที่สนามบินทันที ผมเคยเรียนเทคนิคเกี่ยวกับการจองตั๋วหรือเลื่อนไฟลท์กะทันหันมาจากแม่ครับ แม่บอกว่าถ้าเรารีบจริงๆ ก็ต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่โดยตรง ต้องกล้าเข้าไว้ ถ้าไม่มีที่นั่งแล้วจริงๆ ก็ขอนั่งกับนักบินไปเลย แม่ผมเคยทำอยู่บ่อยครั้งครับ ฮ่าๆ
พอถึงสนามบินผมก็มองหาหนทางที่จะติดต่อกับเจ้าที่ให้ได้ทันที แต่ขณะที่กำลังเดินก้มๆ เงยๆ เดินไปมาเดินมาอยู่หางตาผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายใส่เชิ้ตสีฟ้าเข้ม กางเกงสแลคสีดำสนิทและรองเท้าหนังเงาวับเดินหล่อๆ มาดเข้มๆ ออกไปทางออก
มือผมสั่น ร่างกายก็ดูเหมือนจะรวนไปหมดเพราะความตกใจและอยากจะรู้ว่าเขามาที่นี่ได้ยังไง พี่ลุกซ์...มาทำอะไรที่แม่ฮ่องสอน? หรือว่าเขาจะมาตามหาผม?
คงไม่หรอก เขาจะรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่ อีกอย่างเขาจาตามหาผมทำไมในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยมาหาผมเลย เฮ้อ คงมาทำงานแหละมั้ง
ผมตัดใจเรื่องพี่ลุกซ์แล้วมุ่งหน้าหาทางไปเที่ยวต่อระหว่างที่วันหยุดยังไม่หมดทันที
++++++++++++++++++ ช่วงนี้เรียนหนักมากมาย การบ้านก็อื้อเลยไม่ค่อยมีเวลาแต่งเบย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกนิดนุง(อาจจะไม่นิด)ด้วย ตอนนี้ไม่ได้ตรวจเลย แต่งได้เท่านี้ปุ๊บก็ลงปั๊บเลย เอาไว้เดี๋ยวจะไปแก้ที่ต้นฉบับที่หลังนะฮ้าบบบบ ปล. ช่วงนี้รีดๆ หายไปกันเยอะเลย ใครยังอยู่กับไรต์รายงานตัวหน่อยเร้ววว
“ลุกซ์ ทำไมรีบกลับมาล่ะลูก?” วิชุตาถามขณะที่กำลังนั่งรอเค้กที่อบไว้อยู่ในห้องนั่งเล่น พอเห็นลูกชายเดินพรวดพราดเข้ามาในบ้านหล่อนก็อดตกใจไม่ได้
“ไอ้เปอร์หายตัวไปครับแม่ ผมต้องไปตามหามัน” ลุกซ์พูดเร็วๆ ก่อนจะรีบขึ้นไปเก็บของที่จำเป็นทันทีโดยที่คนเป็นแม่ค้านอะไรไม่ได้ ได้แต่ช่วยลูกจัดของเท่านั้น
หลังจากลุกซ์ออกจากบ้านไปเพื่อตามหาเปอร์ วิชุตาก็เข้ามาปรึกษาสามีทันทีเรื่องที่ลูกทิ้งงานไปทั้งๆ อย่างนี้ ทำให้ลลิภัทรต้องตัดสินใจลงทำงานภาคสนามอีกครั้งหลังจากรามือมาสักพักแล้ว อีกทั้งลลิภัทรตั้งใจจะทำงานแทนจนกว่าลุกซ์จะคิดได้ว่าตัวเองเหมาะที่จะขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดมากที่สุด สำหรับลุกซ์แล้ว เขาไม่เหมาะกับการคืนสู่สามัญเลยแม้แต่นิด ไม่มีใครเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ถึงจะเป็นลันก็คงไม่มีกำลังขับเคลื่อนบริษัทขนาดใหญ่ได้เพราะเจ้าลูกชายคนรองนั้นติดการใช้ชีวิตแบบสมถะและใช้ชีวิตตามใจตัวเองโดยไม่สนใจใคร
“ถ้าลงไม่ได้ แกควรจะขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดนะลุกซ์” ลลิภัทรกอดมองมองออกไปนอกบ้านสักพักแล้วไปเปลี่ยนชุดเพื่อไปทำงานรักษาการแทนประธานบริษัทคนปัจจุบัน
ลุกซ์เริ่มออกตามหาเปอร์ตามบ้านเพื่อนอย่างพัดและตุลแต่ก็ไม่เจอ ครั้นไปที่คอนโดที่เคยอยู่ด้วยกันก็ไม่มีร่องรอย ตามหาในพื้นที่ใกล้ๆ ที่ไหนก็ไม่มีทำให้ลุกซ์เริ่มขับรถออกต่างจังหวัดโดยที่แรกที่เขามุ่งหน้าไปก็คือเกาะที่เขาพาเปอร์มาบ่อยๆ
ลุกซ์จอดรถไว้ที่ท่าเรือแล้วขึ้นเรือเร็วของรีสอร์ทไปที่เกาะทันทีเพื่อตามหาเปอร์ ลุกซ์ค่อนข้างมั่นใจว่าเปอร์อาจจะมาที่นี่เพราะที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเขา
แต่แล้วลุกซ์ก็ไม่เจอเปอร์ ไม่มีใครในที่นี้เจอเปอร์เลยแม้แต่คนเดียว ลุกซ์รู้สึกสิ้นหวังเพราะไม่รู้ว่าจะไปตามหาเปอร์ที่ไหนอีกแล้ว ที่เที่ยวในประเทศไทยช่างมีมากมายจนไม่อาจคาดเดาว่าเปอร์จะไปที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่ที่มีความทรงจำด้วยกันลุกซ์ก็เดาไม่ออกจริงๆ ถ้าเปอร์เป็นอะไรไปเขาคงไม่พ้นต้องโทษตัวเองที่ดูแลไม่ดี
ลุกซ์ตัดสินใจอยู่ค้างคืนที่เกาะพลางเสิร์ชหาข่าวและที่เที่ยวสงบๆ ในประเทศเพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ออกไปตามหาเปอร์ได้
ยิ่งเวลาผ่านปากเท่าไหร่ลุกซ์ก็ยิ่งอยู่ไม่ติดที่มากเท่านั้น เขานั่งไม่ติดเก้าอี้แถมยังนอนไม่หลับเพราะคิดมาก และเพื่อที่จะทำให้ใจสงบและสมองปลอดโปร่งลุกซ์จึงไปว่ายน้ำชมจันทร์คนเดียวในเวลาที่น้ำกำลังขึ้นสูง
“ถ้าพระจันทร์ให้สิ่งที่เราต้องการได้ก็คงจะดี กูอยากเจอมึงจัง” ลุกซ์ลอยคออยู่ในทะเลพลางมองขึ้นไปบนฟ้า พลันเห็นหน้าเปอร์ลางๆ อยู่เต็มดวงจันทร์ ยิ่งมองยิ่งคิดถึง ยิ่งมองก็เหมือนจะยิ่งดำดิ่งสู่ความเครียดและเสียใจ
บุ๋มๆ
กว่าจะรู้สึกว่าว่าตัวเองกำลังทิ้งตัวลงไปใต้น้ำลุกซ์ก็สำลักน้ำอย่างหนัก เขาผุดขึ้นมาจากน้ำแล้วไอโขลกเสียหน้าแดงก่ำ น้ำเค็มๆ ที่ไหลเข้าตาทำให้ตาเขาแดงตามไปด้วย ลุกซ์สะบัดศีรษะไปมาสองสามทีก่อนจะว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง ถ้าขืนเขายังใจลอยอยู่อย่างนี้เขาอาจจะดิ่งสู่ใต้ทะเลจริงๆ ก็ได้
“คุณเปอร์เป็นคนเดียวที่ทำให้นายน้อยเราเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยนะเนี่ย” นุพูดกับขวานคนงานคนสนิทขณะที่กำลังยืนมองดูลุกซ์อยู่ไกลๆ พวกเขาไม่เคยเห็นลุกซ์กระวนกระวายในเรื่องอะไรได้ถึงขนาดนี้มาก่อน กระวนกระวายจนลืมที่จะดูแลตัวเองเสียด้วยซ้ำ ปกติลุกซ์ไม่เคยพลาดในเรื่องอะไรก็ตาม แต่กับเรื่องของเปอร์ ลุกซ์พลาดเสมอ
“ทำยังไงถึงจะช่วยนายน้อยได้ครับ?” ขวานถามนุเสียงเครียด เขาไม่อยากเห็นคนอย่างลุกซ์เป็นแบบนี้อีกแล้ว
“เราคงช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องหัวใจคงต้องให้แก้กันเอง เฮ้อ เอาเถอะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวไปส่งนายน้อยกัน ไปนอนได้แล้ว” นุถอนหายใจก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วเดินกลับไปที่บ้านพักของตนเอง ส่วนขวานก็แยกไปเพราะบ้านอยู่คนละทาง
ฮ้า บรรยากาศที่นี่ดีจนไม่อยากกลับเลยล่ะครับ ตกกลางคืนน้ำค้างก็ลงทำให้อากาศเย็นมากๆ เลย สดชื่นยังไงก็ไม่รู้แฮะ อากาศแบบนี้ถ้ามาคนให้กอดก็คงจะดี
อุบ๊ะ!! ไอ้นี่ก็คิดถึงเขาตลอดเลยโว้ย จะไปคิดถึงเขาทำไมวะ ขนาดนอนเดี้ยงอยู่โรงพยาบาลตั้งนานยังไม่มาหาเลย เขาไม่คิดถึงเราแล้วเราจะไปคิดถึงทำไมล่ะ?
ตุบ!
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ” ขณะที่กำลังเดินเล่นเลียบอ่างเก็บน้ำก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินถอยหลังถ่ายรูปมาชนผม ตอนแรกผมนึกว่าเขาเห็นเลยจะหลบให้เพราะเขาหันมามองนิดหน่อยแต่ดูท่าคงจะไม่เห็นผมก็เลยถอยมาชนกันแบบนี้ ไอ้เราก็ไม่ได้สนใจก็เลยล้มซะก้นจ้ำเบ้า
“ไม่เป็นไรครับ” ผมลุกขึ้นปัดก้นนิดหน่อยพลางบอกไป จะว่าไป หมอนี่บ้าป่าววะ? นี่ก็มืดแล้วยังจะมาถ่ายวิวอะไรตรงนี้อีก
แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินกลับไปที่บ้านพักข้อมือผมก็ถูกคว้าเอาไว้หมับ ผมหันไปมองคนคว้าอย่างงงๆ ว่ามารั้งผมไว้ทำไม หนาวจะตายห่า เสื้อแขนยาวก็ไม่ได้ใส่ยังจะมารั้งกันไว้อีก
“คุณพักอยู่เต็นท์แถวนี้ป่ะครับ?” ไอ้หมอที่คว้าข้อมือผมเอาไว้ถาม ผมมองไปรอบๆ บริเวณที่มีเต็มท์หลายหลังกางเว้นระยะกันไว้ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “แล้วคุณพักอยู่ที่ไหน?” หมอนี่ถามอีก แล้วมันธุระอะไรของมันวะ? ทำไมต้องมาถามด้วยวะเฮ้ย!!
“แล้วทำไมผมต้องบอกคุณด้วยครับ?” ผมขมวดคิ้วมองหน้าไม่ไว้ใจ หน้าตาก็ดีนะแต่ทำไมถึงมารยาทแย่แบบนี้ก็ไม่รู้
“คุณสวยจัง” อยู่ดีๆ เขาก็พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไอ้ห่า! ไปตายซะไป!!” ผมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมก่อนจะเตะไปที่เข่าของไอ้บ้านั่นแล้วรีบเดินหนีออกมาจากที่แห่งนั้นทันที
ไอ้ฟรายยยยย! อยู่ดีๆ ก็มาพูดเรื่องเหี้ยๆ อะไรก็ไม่รู้ ชื่อก็ไม่รู้จัก อะไรๆ ก็ไม่รู้จักยังจะมาทำเป็นตีสนิทอีก ห่ามึง! เมื่อกี้แม่งน่าจะยันไข่มันว่ะ หมั่นไส้! ไม่ใช่ผัวกูห้ามชมว่าสวยโว้ย!!
เดี๋ยวๆๆ ไอ้นี่ก็ยังจะไปคิดถึงพี่ลุกซ์อีก นี่อุตส่าห์หนีมาพักผ่อนเพื่อให้ลืมไปซักพักนะเนี่ย เบื่อตัวเองจริงๆ ที่ชอบคิดถึงคนแบบนั้น ถ้ารู้ว่าจะทำอะไรโดยไม่บอกผมอีกผมไม่น่ากลับไปคืนดีเลยจริงๆ อย่างว่าแหละนะ น้ำตาคนเลวมันมีผลมากกับคนอย่างผม ถ้าน้ำตาของผมมีผลต่อจิตใจเขาบ้างก็คงจะดีเนอะ
“เดี๋ยวคุณเดี๋ยว!!” เฮ้ย! ไอ้ห่า! วิ่งตามมาทำเหี้ยอะไรเนี่ย?
ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้ผมรีบสับขาวิ่งหนีไอ้ที่มันวิ่งตามผมมาทันที บอกตรงๆ ว่าสยองครับ คนบ้าอะไรวะ ยังไม่มีการถามชื่อแต่เสือกถามที่พักแถมยังมาบอกว่าสวย เอาจริงๆ ต่อให้พี่ลุกซ์เป็นคนพูดผมก็เคือง เอ...หรืออาจจะไม่เคืองเพราะผมยังไม่เคยได้ยินพี่มันชมอย่างนั้นเลยซักครั้ง แต่ด้วยสปิริตลูกผู้ชายที่แม้จะเป็นเมียเขาผมก็ยังต้องการได้ยินคำชมว่าหล่อครับ!
“อย่าตามมาสิเฮ้ย!” ผมหันหลังไปมองไอ้หมอนั่นพลางกัดฟันสบถ ยิ่งวิ่งยิ่งเจ็บแผลครับ ควายเอ๊ย นี่กูเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนะเว้ย อย่าให้ใช้กำลังมาดิวะ โอ้ยสัตว์! เหมือนเลือดจะซึม
“คุณคนสวย! อย่าเพิ่งไป! ขอถ่ายรูปก่อนดิเฮ้ย!” ยิ่งได้ยินมันตะโกนมาว่าอย่างนั้นผมยิ่งรีบสับขาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะวิ่งได้ ถ้ามันตะโกนมาบอกว่าผมทำกระเป๋าตังค์หล่นผมก็คงจะหยุดอยู่หรอก แต่นี่มันมาขอถ่ายรูปผมนี่หว่า
ผมวิ่งติดสปีดมาจนถึงหน้าที่พัก ผมหยุดพักก่อนจะหันไปหาไอ้หมอนั่นที่กำลังวิ่งแท่ดๆ เข้ามา
“กูเป็นผู้ชายมีหำแล้วก็หล่อโว้ย ไอ้ควาย!!” ผมป้องปากตะโกนออกไปแล้วรีบวิ่งหนีเข้าที่พักโดยไม่ลืมปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาทันที
ผมหอบหายใจถี่รัวขณะยืนพิงประตูที่เพิ่งปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อนและตื่นตกใจ บ้าจริงๆ ไอ้หมอนั่นมันต้องเป็นโรคจิตแน่เลย เสียงผมใหญ่ซะขนาดนี้ฟังยังไงก็ผู้ชายชัดๆ ยังจะมาวิ่งไล่ตามแล้วเรียกว่าคนสวยๆ อยู่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นแผลที่ท้องผมจะกระโดดขาคู่ให้มันหงายเงิบไปซักที เซ็งจริงๆ คนกะจะมาพักเอาสงบซักหน่อย สงสัยพรุ่งนี้ผมจะเที่ยวได้อย่างไม่เป็นสุขซะแล้วสิ
เฮ้อ เอาเถอะ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่างแต่ตอนนี้ไปทำแผลก่อนดีกว่า เลือดซึมออกมาเต็มเสื้อเลยโว้ย ทั้งเจ็บทั้งจุกเลยเนี่ย
60% left
ทางด้านผู้ใหญ่ฝ่ายลุกซ์ก็ไม่อาจทนดูลูกทรมานได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปคุยกับปราชญ์และนภาเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องนี้เนื่องจากไม่อยากให้มันส่งผลถึงหน้าที่การงานที่กำลังรุ่งเรืองของลุกซ์
“ปราชญ์ ตอนนี้รู้ไหมว่าเปอร์อยู่ที่ไหน?” หลังจากทักทายอะไรกันเสร็จเรียบร้อยลลิภัทรก็เปิดฉากถามทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม
ปราชญ์เหลือบตามองลลิภัทรนิดๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพยักหน้าเบาๆ ที่ปราชญ์รู้เพราะเพื่อนที่กำลังเที่ยวอยู่ที่ปางอุ๋งเห็นเปอร์แล้วคุ้นหน้าคุ้นตาเลยส่งรูปมาถามปราชญ์ว่าใช่ลูกของเขาไหม เมื่อรู้ว่าเปอร์อยู่ที่นั่นปราชญ์ก็ซักไซ้เพื่อนใหญ่เลยว่าลูกเขาสบายดีไหม เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจปราชญ์ก็หายห่วง
“ถ้ารู้แล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ? ตอนนี้ลุกซ์ถึงกับทิ้งงานไปตามหาหนูเปอร์เลยนะคะ เห็นใจเด็กหน่อยเถอะค่ะคุณปราชญ์” วิชุตาพูดออกมาอย่างมีโทสะ
“เฮ้อ ผมไม่ได้ขอให้เขาทิ้งงานเพื่อไปตามหาลูกชายผมนะครับ เขาทำของเขาเองต่างหาก” ปราชญ์ถอนหายใจแล้วพูดออกไปทำให้ลลิภัทรและวิชุตาเถียงไม่ออก “เอาเถอะครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่ายดี ไม่ว่าจะทางพวกเฮีย ลุกซ์หรือตาเปอร์ก็ตาม ในขณะที่ผมเข้าใจทุกคน ผมก็อยากให้ทุกคนเข้าใจผมบ้าง ลูกใครใครก็รักครับ ตอนนี้ตาลุกซ์ยังไม่พร้อมที่จะดูแลใครอย่างจริงจัง ดูจากการกระทำของเขาก็รู้แล้วล่ะครับ เขาทิ้งให้ลูกชายของผมเป็นกังวลโดยที่ไม่บอกอะไร สิ่งที่เขาทำกับลูกของผมทำให้ผมต้องทนยืนมองลูกเศร้าเสียใจโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะไม่ว่าจะปลอบเท่าไหร่เปอร์ก็ไม่หายเศร้า ถึงหน้าจะยิ้มแต่ใจเปอร์ไม่ได้ยิ้มด้วยเลยซักครั้ง พอคืนดีกัน ลุกซ์ก็ยังคงทำตัวมีเงื่อนงำไม่ทำอะไรให้ชัดเจนจนเปอร์เกือบตาย หัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่มันแทบสลายเลยนะครับ เข้าใจผมใช่ไหม?” ปราชญ์ที่ก้มหน้าพูดในตอนแรกเงยหน้ามองลลิภัทรกับวิชุตาด้วยสายตาเจ็บปวด คนเป็นพ่อย่อมทนไม่ได้อยู่แล้วที่จะเห็นลูกทรมานไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบลุกซ์แต่เขายังไม่ยอมรับให้ลุกซ์มาดูแลเปอร์เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งลุกซ์ก็ผิดสัญญาที่บอกว่าจะไม่ทำให้เปอร์เสียใจ ถึงจะกล้าทำกล้ารับแต่ทำซ้ำๆ ซากๆ มันก็ไม่น่าจะให้โอกาสเหมือนกัน
“...” ลลิภัทรกับวิชุตาพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ปราชญ์พูดคือความจริงทุกประการ ทั้งสองคนเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ดี
“ผมไม่ได้มีอคติกับตาลุกซ์ ผมชอบซะด้วยซ้ำ ผมชอบความรักที่ลุกซ์มีให้กับเปอร์ มันมากมายยิ่งกว่าใครคนไหนที่เคยเข้ามาในชีวิตของเปอร์ด้วยซ้ำ ลุกซ์พร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเปอร์ พร้อมที่จะทำในสิ่งที่เปอร์ต้องการทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่ลุกซ์ยังไม่พร้อมสำหรับการดูแลใครซักคนนั่นก็คือความเชื่อใจ เพราะลุกซ์คิดว่าเปอร์อ่อนแอก็เลยพยายามที่จะประคบประหงม แต่การทำแบบนั้นกลับทำร้ายเปอร์ซะมากกว่า ถ้าลุกซ์เข้าใจตรงจุดนี้เมื่อไหร่...ผมก็จะยอมรับ” ปราชญ์พูดออกมาทำให้ทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกยิ้มออกมาได้ แม้แต่นภากับป้องที่นั่งหน้าเจื่อนมาตั้งแต่แรก ป้องเองก็คิดแบบปราชญ์จึงยังไม่ยอมรับลุกซ์ เพราะป้องต้องทนเห็นเปอร์เศร้าอยู่ทุกวันเพราะลุกซ์เป็นต้นเหตุก็เลยทำให้ป้องไม่พอใจลุกซ์มาก
“เฮียขอบใจนะที่เข้าใจลูกชายของเฮีย ถ้าปราชญ์ไม่คิดจะกีดกันเด็กๆ จากใจจริงล่ะก็เฮียก็คงไม่ต้องทำอะไร จากนี้ไปก็คงต้องให้ปราชญ์ดัดนิสัยลูกชายเฮียแล้วล่ะ” ลลิภัทรยืดตัวแล้วขยับเล็กน้อยหลังจากสบายใจขึ้น
“ผมไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรลุกซ์อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ผมขอจริงๆ เพราะถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาคงอยู่กันได้อย่างไม่เป็นสุข” ปราชญ์บอก ชีวิตคู่ต้องการความเชื่อใจและไว้ใจมากที่สุด เขาอยากให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันโดยมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานมากกว่านี้
RRRRRR
“อ่า...โทรศัพท์จากเพื่อนน่ะครับ เดี๋ยวผมขออนุญาตรับก่อนนะครับเผื่อมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตาเปอร์” โทรศัพท์ของปราชญ์ดังขึ้นทำให้เขารีบยกมาดู พอเห็นว่าเป็นเพื่อนที่ไปเที่ยวที่เดียวกันกับเปอร์โทรมาปราชญ์ก็เริ่มร้อนใจ
“ตามสบาย คุยตรงนี้ก็ได้ เฮียก็อยากรู้ว่าเปอร์เป็นยังไงบ้าง” ลลิภัทรบอก ปราชญ์พยักหน้าก่อนจะคุยกับเพื่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยที่คนอื่นไม่ค่อยเข้าใจกับการตอบรับของปราชญ์เท่าไหร่นัก หลังจากวางสายไปปราชญ์ก็มองหน้าทุกคนอย่าลำบากใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับลูกคะ?” นภาจับแขนสามีพลางถามอย่างเป็นกังวล
“แย่แล้ว ลูกชายของไอ้วันดันมาชอบตาเปอร์ซะอย่างนั้น” ปราชญ์พูดด้วยสีหน้าเครียดๆ พลางทำปากขมุบขมิบว่า ทำไมลูกชายเรามันดึงดูดเพศเดียวกันนักวะ อีกด้วย
“อย่างนี้ก็หมายความว่าตาลุกซ์มีคู่แข่งแล้วน่ะสิ อย่างนี้ต้องรีบโทรบอกให้ไปรับตัวหนูเปอร์ด่วนเลย” วิชุตาพูดพลางความหาโทรศัพท์อย่างรีบร้อน ทุกคนเองก็ตั้งใจลุ้นว่าวิชุตาจะติดต่อหาลุกซ์ได้ไหม
แต่จนแล้วจนรอดลุกซ์ก็สายไม่ว่างจนติดต่อไม่ได้ ครั้นสายว่างกลับโทรไม่ติดเสียอย่างนั้นทำให้เหล่าพ่อแม่ต่างก็ร้อนใจจนแทบนั่งไม่ติดที่
เช้าวันต่อมาลุกซ์ที่คิดวิธีดีๆ ออกรีบโทรหาเพื่อนที่คอยช่วยเกื้อหนุนธุรกิจกันเพื่อให้ช่วยตรวจสอบชื่อของเปอร์ให้ว่าได้ไปใช้บริการเครื่องบินจากสายการบินไหนหรือไม่ เพราะเหตุนั้นทำให้ลุกซ์ต้องคอยโทรและคอยรับโทรศัพท์อยู่ตลอดจนสายไม่ว่าง เมื่อได้ความว่าเปอร์ได้ใช้บริการของสายการบินหนึ่ง ลุกซ์ก็รีบให้เพื่อนช่วยใช้เส้นทำให้เขาได้บินตามเปอร์ไปทันทีทำให้ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้
ระหว่างนั่งเครื่องไปที่แม่ฮ่องสอนลุกซ์ก็ยังอุตส่าห์ให้เพื่อนอีกคนให้ตรวจสอบเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักให้ทันที เมื่อรู้ว่ามีชื่อเปอร์ปรากฏอยู่ที่ที่พักแห่งหนึ่งลุกซ์ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นพลางดีใจที่จะได้เจอเปอร์โดยที่ลุกซ์ไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะมีศัตรูหัวใจตัวฉกาจ
บอกตรงๆ ครับว่าตอนนี้ผมโคตรจะเซ็งเลย ไอ้เราก็กะว่าพอเช้าจะออกมารับหมอกเย็นๆ เงียบๆ คนเดียวซักหน่อย แต่พอออกจากที่พักมาก็ต้องมาเจอกับไอ้บ้าโรคจิตที่แอบมาดักรอผมอยู่หน้าที่พัก อารมณ์ดีๆ ผมพลันหายแกล้ง ผมขยะแขยงไอ้บ้านี่เป็นบ้าเลย
แชะ แชะ แชะ
ผมที่กำลังเดินเอามือซุกกระเป๋าเสื้อกันหนาวทำหน้าเซ็งสุดติ่งเพราะไอ้บ้าโรคจิตนี่เอาแต่เดินตามผมมาเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร แต่มันก็ไม่ยอมหยุดนิ้วที่กำลังกดชัตเตอร์ถ่ายรูปผมอยู่ ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับอารมณ์ไม่ให้หันไปถีบมันตกน้ำ อยากจะโวยวายแต่ก็ไม่กล้าทำเพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวเขากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศดีๆ ในเวลาเช้าๆ อยู่ แถมเมื่อคืนผมยังถูกเจ้าหน้าที่ตำหนิเรื่องเสียงดังด้วย ก็คนมันลืมตัวนี่ครับ
แชะ แชะ แชะ
ไอ้เห็บซอกตีนหมาเอ๊ย! มึงจะกดถ่ายรูปกูไปถึงไหนวะไอ้สัตว์!? รำคาญจริงๆ ขยะแขยงสุดๆ นี่ผมแมนเต็มร้อยนะครับ(ถึงจะถูกกดก็เถอะ) มีผู้ชายมาสตอล์คกิ้งแบบนี้ผมขยะแขยงเป็นบ้า นี่ถ้าไม่ใช่พี่ลุกซ์ล่ะก็ผมรังเกียจจริงๆ นะ ผมบอกแล้วไงว่าสำหรับผู้ชายผมยอมให้พี่ลุกซ์คนเดียวจริงๆ คนอื่นผมไม่มีปฏิกิริยาด้วยเลย ต่อให้วิเศษวิโสมาจากไหนก็ไม่สนโว้ย!
“น่ารักอ่า” ไอ้หมอนั่นเดินตามผมพลางกดดูรูปที่เพิ่งถ่ายไปก่อนจะเพ้อออกมาเบาๆ ผมเบ้หน้าให้บิดเบี้ยวหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำแสลงหูจากไอ้โรคจิตบ้านี่
ฮึ่มมมม! อยากเอาตีนเหยียบหน้ามันซะจริงโว้ย! ถ้ารู้ว่าจะต้องมาเจอคนแบบนี้ล่ะก็ผมจะรอมาตอนที่หายดีแล้วจะได้คล่องตัวหน่อย อยากเตะอยากถีบยอดหน้าอันแสนจะโรคจิต(?)ของมันจริงๆ ถ้าตอนนี้ผมไม่เจ็บอยู่ล่ะก็ไอ้นี่มันได้เจ็บตัวแน่
“ชื่ออะไรอ่ะครับ? น่ารักอ่ะ” หมอนั่นเดินขึ้นมาข้างๆ ผมแล้วชะโงกหน้ามาถาม ผมชักสีหน้าไม่พอใจใส่พลางเบือนหน้าหนีไม่ตอบ ไม่อยากจะเสวนาด้วย กลัวเชื้อโรคจิตติด บรึ๋ยยย! สยองเหี้ยๆ “บอกชื่อหน่อยสิครับ น่านะ หน้าตาออกจะน่ารักขนาดนี้ทำไมถึงใจร้ายทำกับผมได้ลงคอ” ดูมันตัดพ้อผมสิครับ ผมทำอะไรมันเนี่ย? แค่ไม่พูดด้วยเนี่ยนะ ทำอย่างกับผมเตะไข่มันอย่างนั้นแหละ ถุย!
“จะให้กูเปิดให้ดูเลยไหมว่ากูมีหำ?” ผมหันไปทำหน้าตาเอาเรื่องใส่หมอนั่น
“เอาสิครับ ผมชอบอยู่แล้ว” ห่า! เหี้ยนี่เป็นเกย์เหรอเนี่ย? “จริงๆ ผมเป็นไบ ชอบผู้ชายน่ารักน่ากินแบบคุณนี่แหละ” ดูเหมือนผมจะทำหน้าเหวอปนขยะแขยงใส่มันก็เลยบอกข้อมูลของตัวเอง แต่จะกราบตีบถ้ามันบอกว่าผมหล่อ
“ฮึ่ย! อย่ามาใกล้ ไอ้วิปริต!” ผมทำท่าขยะแขยงเสียเต็มประดา
“ไม่เอาน่า คุณเองก็น่าจะเป็นประเภทเดียวกันกับผมนะ แถมยังรับซะด้วย ผมได้กลิ่นแบบนั้นจากตัวคุณ” ไอ้หมอนั่นยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ จนผมต้องผงะถอยหลัง ห่ามึง เสือกดูออกอีก
“เป็นหมารึไงถึงได้ดมกลิ่นคนอื่นเขาไปทั่ว” ผมขมวดคิ้วทำหน้าไม่พอใจ
“ถ้าให้เป็นหมาของคุณผมยอมเป็นก็ได้นะ” ผมเงิบอีกรอบเมื่อไอ้บ้านี่ยิ้มใส่ผมซะกว้าง ท่าทางมันจะเป็นนักตื๊อนะ ผมไม่ชอบไอ้พวกตื๊อๆ ที่สุดเลย หงุดหงิด
“เฮ้ย ถามจริง ต้องการอะไรวะ?” ผมกอดอกก่อนจะมองหน้าหมอนั่นอย่างจริงจัง
“บอกชื่อหน่อยสิ” เขาตื๊อ ผมถอนหายใจอย่างระอา
“เออๆ ชื่อเปอร์” ผมยอมบอกไปเพื่อตัดความรำคาญ
“ผมชื่อชนะนะครับ เป็นช่างภาพ จริงๆ แล้วเมื่อวานผมถ่ายวิวแล้วติดรูปคุณ ผมชอบมากก็เลยตามหาคุณอยู่พักใหญ่เลยล่ะ” ไอ้โรคจิตชนะพูดไปโดยไม่สนใจเลยว่าผมจะทำหน้าเซ็งขนาดไหน มันใช่แล้วเหรอที่จู่ๆ ก็มาชอบคนที่บังเอิญถ่ายรูปติดไว้ได้เนี่ย นี่ถ้าผมเป็นผีหมอนี่ก็ต้องชอบผีน่ะสิ
“แล้วไง?” ผมเลิกคิ้วถาม
“เรามาลองคุยกันดีไหม? ผมชอบคุณมากเลยนะ เห็นแค่แว้บเดียวยังใจเต้นแทบตาย ยิ่งพอมาเห็นเต็มๆ ตาแบบนี้ผมยิ่งชอบเลยครับ แถมนิสัยคุณยังไม่เข้ากับใบหน้าก็เลยน่าสนใจมากกว่าเดิมซะอีกครับ” ไอ้คุณวันชนะพูด หมอนี่เป็นคนตรงไปตรงมาดีแฮะ งั้นผมก็คงต้องพูดตรงๆ กับเขาบ้างแล้วแหละ
“ผมมีแฟนแล้วครับ” เมื่อรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้วผมจึงพูดจาสุภาพขึ้นมาหน่อยแต่น้ำเสียงนี่ห้วนสิ้นดี
“จริงดิ!?! เฮ้อ เอาเถอะ ผมก็คิดไว้แล้วแหละว่าหน้าตาอย่างคุณคงไม่โสด ลองให้ผมเป็นกิ๊กดูไหม? ไม่แน่นะ คุณอาจจะอยากเลิกกับแฟนแล้วมาคบกับผมแทนก็ได้นะ” โห หมอนี้หน้าด้านโคตร! ขอเป็นกิ๊กกันง่ายๆ แบบนี้เลยเรอะ!?!
“ไม่เป็น ผมรักแฟนผมคนเดียว” ผมรีบปฏิเสธไปทันที คนอย่างหมอนี่ผมไม่ชอบเอาซะเลย ดูไม่เข้ากับผมแบบสุดๆ อย่างผมนี่คงเหมาะกับคนแบบพี่ลุกซ์ที่สุดแล้วล่ะ
แน่ะ! บอกว่าห้ามคิดถึงก็อย่าไปคิดสิเฟ้ย!
“คุณไม่ต้องรักผมก็ได้ แค่ลองคุยๆ ดู ไม่แน่นะ คุณอาจจะถูกใจผมมากกว่าแฟนของคุณก็ได้” ไอ้คุณวันชนะนั่นเดินมาขวางหน้าผมไว้แล้วเดินถอนหลังในขณะที่ผมเดินไปข้างหน้า สาธุ ขอให้มีต้นไม้อยู่ข้างหน้าหมอนี่จะได้ชนต้นไม้ไปซะ
“ไม่ล่ะครับ แค่หน้าตาคุณก็สู้แฟนผมไม่ได้แล้ว” ผมบอก หมอนี่ก็ดูดีในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง การแต่งตัวของเขาก็เข้ากับบุคลิกดีก็เลยทำให้เขาดูดีมากยิ่งขึ้นแต่ถ้าจะให้เทียบกับพี่ลุกซ์ก็คงจะไม่ได้ ขานั้นหน้าตาเหมือนทำศัลยกรรมมาก็ไม่ปาน หล่อโพด!
“นี่คุณชอบคนที่หน้าตาหรอกเหรอเนี่ย? แต่คงไม่เป็นไรมั้ง ผมก็ไม่ได้แย่ไม่ใช่รึไง?” ยังไม่เลิกตื๊ออีก โอ้ย ถ้าต้องเจอหมอนี่ไปตลอดการเที่ยวผมว่าผมรีบกลับแล้วแวะเที่ยวเชียงใหม่ดีกว่า เซ็งสุดๆ
“เฮ้อ ผมเบื่อจะคุยกับคุณแล้วนะ ขอเวลาส่วนตัวให้ผมได้พักอย่างสงบๆ ได้ไหม?” ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะบอกออกไป
“เห? นี่ทะเลาะกับแฟนมาใช่ไหมเนี่ย? แน่ๆ เลย งั้นมากิ๊กกับผมเถอะนะ” แทนที่ถูกไล่แล้วจะไปแต่มันดันร่าเริงซะงั้น โว้ย! น่ารำคาญจริงๆ
“ไม่ได้ทะเลาะ แล้วก็ไม่เป็นด้วย” ผมทำหน้าเซ็งสุดๆ แล้วดันเขาออกให้พ้นทางแล้วรีบเดินหนี เบื่อหมอนี่จริงๆ
“นี่ๆ ถ้าไม่ทะเลาะแล้วทำไมมาเที่ยวคนเดียวล่ะครับ” ไอ้หมอนี่มันจะตื๊อไปถึงไหนวะ แต่ก็ตอบคำถามไม่ได้แฮะว่าทำไมมาเที่ยวคนเดียว ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้เลิกกันแต่ก็อยากมาคนเดียว
“ผมอยากมาเที่ยวที่เงียบๆ คนเดียว หนีความวุ่นวายมา เข้าใจไหมครับ?” ผมกรอกตาไปมาแสดงออกถึงความรำคาญอย่างสุดซึ้ง
“โอเคๆ ผมไม่กวนคุณแล้วก็ได้ แต่ขอเบอร์ก่อนดิ” โอ๊ย! ผมนึกว่าหมอนี่จะเลิกตื๊อแล้วนะ
“ถ้าคุณไม่อยากถูกแฟนผมฆ่าเอาล่ะก็เลิกยุ่งกับผมเถอะครับ” ผมทำหน้าหงุดหงิดแล้วรีบเดินหนีไปทันที ถ้าพี่ลุกซ์รู้ว่ามีคนมาตามตื๊อผมแบบนี้ล่ะก็ไอ้หมอนั่นเดี้ยงแน่นอน แต่...ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าพี่ลุกซ์จะแคร์ไหมหากมีคนเข้ามาจีบผม
ผมเดินเล่นรับหมอกตอนเช้าจนกระทั่งแดดออกแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด แดดออก อากาศเย็นแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก แถมยังไม่ต้องมารำคาญไอ้คุณชนะอีกด้วย ขอล่ะ ผมไม่อยากเจอหมอนั่นอีกแล้ว หวังว่าเขาคงไม่ได้อยู่แถบเดียวกันกับผมหรอกนะ
ผมกลับไปกินข้าวเช้าที่ที่พักตอนเวลาเกือบจะสิบโมงซึ่งตอนนั้นครัวก็เกือบจะปิดแล้ว หลังจากกินข้าวผมก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อเก็บของ ผมว่าผมออกจากที่นี่ก่อนกำหนดดีกว่า ผมกลัวเจอไอ้บ้าชนะนั่นอีก คิดแล้วก็สยองฉิบ
ขณะที่เก็บของอันน้อยนิดลงกระเป๋าผมก็จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไปด้วย แน่นอนว่ามาเลื่อนไฟลท์กะทันหันแบบนี้มันต้องยากแน่ทำให้เลื่อนทางโทรศัพท์ไม่ได้ผมจึงต้องรีบออกจากปางอุ๋งไปที่สนามบินให้เร็วที่สุด
“อ้าว คุณเปอร์จะรีบไปไหนครับ?” ควายเอ๊ย! นี่กะว่าจะไม่ได้เจออีกแล้วนะเนี่ย ทำไมต้องมาเรียกกันไว้ตอนกำลังรีบวะ
“ผมรีบ!” ผมบอกแค่นั้นก่อนจะรีบแว้นมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาไปคืนแล้วไปที่สนามบินทันที ผมเคยเรียนเทคนิคเกี่ยวกับการจองตั๋วหรือเลื่อนไฟลท์กะทันหันมาจากแม่ครับ แม่บอกว่าถ้าเรารีบจริงๆ ก็ต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่โดยตรง ต้องกล้าเข้าไว้ ถ้าไม่มีที่นั่งแล้วจริงๆ ก็ขอนั่งกับนักบินไปเลย แม่ผมเคยทำอยู่บ่อยครั้งครับ ฮ่าๆ
พอถึงสนามบินผมก็มองหาหนทางที่จะติดต่อกับเจ้าที่ให้ได้ทันที แต่ขณะที่กำลังเดินก้มๆ เงยๆ เดินไปมาเดินมาอยู่หางตาผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายใส่เชิ้ตสีฟ้าเข้ม กางเกงสแลคสีดำสนิทและรองเท้าหนังเงาวับเดินหล่อๆ มาดเข้มๆ ออกไปทางออก
มือผมสั่น ร่างกายก็ดูเหมือนจะรวนไปหมดเพราะความตกใจและอยากจะรู้ว่าเขามาที่นี่ได้ยังไง พี่ลุกซ์...มาทำอะไรที่แม่ฮ่องสอน? หรือว่าเขาจะมาตามหาผม?
คงไม่หรอก เขาจะรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่ อีกอย่างเขาจาตามหาผมทำไมในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยมาหาผมเลย เฮ้อ คงมาทำงานแหละมั้ง
ผมตัดใจเรื่องพี่ลุกซ์แล้วมุ่งหน้าหาทางไปเที่ยวต่อระหว่างที่วันหยุดยังไม่หมดทันที
++++++++++++++++++ ช่วงนี้เรียนหนักมากมาย การบ้านก็อื้อเลยไม่ค่อยมีเวลาแต่งเบย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกนิดนุง(อาจจะไม่นิด)ด้วย ตอนนี้ไม่ได้ตรวจเลย แต่งได้เท่านี้ปุ๊บก็ลงปั๊บเลย เอาไว้เดี๋ยวจะไปแก้ที่ต้นฉบับที่หลังนะฮ้าบบบบ ปล. ช่วงนี้รีดๆ หายไปกันเยอะเลย ใครยังอยู่กับไรต์รายงานตัวหน่อยเร้ววว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ