[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
9.7
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
56 ตอน
51 วิจารณ์
236.24K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
26) Chapter 26 : รังรัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 26 : รังรัก
สงสัยจะจริงอย่างที่พี่ลุกซ์บอกว่าช่างกลัวพี่ลุกซ์จนแทบจะลางาน ทันทีที่ผมกับพี่ลุกซ์เข้ามาในห้องเครื่อง ช่างหลายๆ คนรีบหลบไปทำงานกันคนละมุมอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงคุยที่เคยดังแข่งกับเครื่องยนต์พลันเงียบไปถนัดตา
“ไอ เอาขนมมาฝาก” ผมกวักมือไอ้ไอที่กำลังยืนคุยกับพี่ลันพลางจดอะไรบางอย่างลงสมุดเปื้อนๆ ในมือ
“พี่เปอร์! พี่ลุกซ์!” ไอ้ไอทำตาโตเมื่อเห็นผมมากับพี่ลุกซ์ ถึงจะตกใจแต่มือมันก็ทำงานดีเหลือเกิน รีบยื่นมารับขนมถุงใหญ่เบ้อเริ่มจากผมอย่างไวเชียว
หมับ!
“พี่ลุกซ์!” ผมเอ็ดเมื่อพี่ลุกซ์โอบเอวผมไว้แล้วดึงให้เข้าไปชิดกับตัวเองทำให้ไอ้ไออึ้งหนักยิ่งกว่าเดิม ส่วนพี่ลันก็ยืนมองหน้านิ่งๆ อย่างเข้าใจ พี่มันคงเพิ่งรู้พร้อมไอ้ไอว่าผมกับพี่ลุกซ์คืนดีกันแล้วแต่ก็เก็บอาการเอาไว้เหมือนเดิม พี่ลันก็งี้แหละครับ หน้านิ่งและสงบนิ่งซะเหลือเกิน พี่ลุกซ์น่าจะเป็นแบบนี้ซะบ้าง วันๆ เอาแต่ทำหนวกหู โวยวายบ้าง ด่าพนักงานบ้าง ใครทำอะไรไม่ถูกใจนี่เหวี่ยงเป็นพายุหมุนเลยล่ะ(ฟังคนอื่นเขานินทามาอีกที)
“พวกพี่คืนดีกันแล้วเหรอ!?! เย้! ดีใจจังเลยครับ กลับมาเหมือนเดิมซักที! พี่ลันๆ พวกพี่เขาคืนดีกันแล้วล่ะ” ไอ้ไอกระโดดโลดเต้นเสียยกใหญ่ ไม่วายไปดึงพี่ลันมาโหวกเหวกโวยวายด้วยอีก
“เออ ดูสีหน้าพวกมันก็รู้แล้ว” พี่ลันพูดพลางขยี้หัวไอ้ไออย่างหมั่นเขี้ยว
“เฮ้ย มือสกปรก” ไอ้ไอพูดอย่างนึกขึ้นได้ว่ามือพี่ลันที่ใหญ่ถุงมือช่างอยู่มีคราบน้ำมันเครื่องติด
“เอาขนมไปให้พวกช่างซะสิ เหลือเวลาพักอีกตั้งยี่สิบนาที ทำไมรีบทำงานกันจัง ลูกค้าเร่งเหรอ?” พี่ลุกซ์บอกพลางถามเมื่อเห็นว่าพวกช่างเริ่มทำงานกันแล้ว
“เพราะมึงนั่นแหละไอ้ลุกซ์ ก่อนหน้านี้มึงอาละวาดที่พวกช่างทำงานช้าไม่ใช่หรือไง พอเห็นว่ามีคนอู้มึงก็เรียกอบรมด้วยตัวเองซะพวกช่างกลัวมึงจนหัวหด ห่า” พี่ลันกอดอกพลางว่าพี่ลุกซ์ทำให้ผมแอบขำที่พี่ลันที่อยู่ในฐานะน้องและลูกน้องมายืนด่าที่ลุกซ์ที่เป็นพี่และเจ้านายแบบนี้ ใครเห็นก็คงขำเหมือนผม แต่ติดตรงที่ว่าจะมีใครกล้าหัวเราะออกมาให้พี่ลุกซ์เห็นเหมือนผมหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“เห็นไหมเปอร์ เพราะมึงคนเดียวเลย” พี่ลุกซ์หันมาว่าผมที่ยืนนิ่งให้พี่มันโอบอยู่
“เอ๊า เกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย” ผมหัวเราะนิดๆ ก่อนจะดันตัวพี่มันออกห่างเพราะตอนนี้พวกช่างเริ่มหันมามองพวกเราแล้ว
“ทุกคนครับ มากินขนมกันก่อนสิครับ ยังไม่หมดเวลาพักเลย” ไอ้ไอป้องปากเรียกพวกช่างไปกินขนมแต่ทุกคนก็หันมาองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาหวั่นๆ และก็ไม่มีใครกล้าละจากงานที่กำลังทำอยู่ด้วย
“เฮ้ย! ซื้อมาให้ก็ไปกินดิวะ รออะไรอยู่ หรือจะรอให้หมดเวลาพักแล้วค่อยกิน!?” พี่ลุกซ์นิ่งไปเมื่อเห็นว่าพวกช่างไม่ยอมไปกินขนมก่อนจะพูดออกไปเสียง อืม...นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการชวนคนกินขนมงั้นเหรอเนี่ย?
“พี่ลุกซ์ พูดดีๆ พูดแบบนี้เขาก็กลัวกันหมดสิครับ” ผมตีพี่ลุกซ์เบาๆ เพื่อเตือน
“แล้วจะให้พูดยังไงล่ะ?” พี่ลุกซ์ทำหน้ายุ่ง
“ก็พูดดีๆ ไง แบบ...ไม่ดุ ไม่ห้วนจนเกินไป เหมือนที่พูดกับผมก็ได้” ผมบอก
“โวะ! เรื่องมากว่ะ” พี่ลุกซ์ทำหน้าเซ็ง ผมมองพี่ลุกซ์ก่อนจะเม้มปากทำหน้านิ่ง เห็นอย่างนั้นพี่มันก็ถอนหายใจ “เฮ้อ มากินขนมดิวะ ซื้อมาให้ เวลาพักก็พัก ไม่ต้องขยันทำงานขนาดนั้นก็ได้ ไม่ขึ้นโบนัสให้หรอกนะ” พี่ลุกซ์หันไปพูดกับพวกช่างด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่พวกเขาก็ยังคงเกร็งๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะครับ ประธานไม่ดุแล้ว นี่เขาซื้อของอร่อยมาฝากพวกพี่ๆ เลยนะครับเนี่ย” ผมช่วยพูดเพื่อให้พวกช่างเขาผ่อนคลายความเกร็งลงบ้าง
“มาเถอะครับ เมียมันกลับมาแล้ว คงไม่อารมณ์เสียแล้วล่ะ สบายใจได้” พี่ลันที่ยืนกอดอกทำหน้าตายอยู่พูดขึ้น เข้าใจนะว่าอยากช่วยให้พวกช่างเขาหายกลัวแต่ว่าทำไมต้องพูดเรื่องน่าอายด้วยวะ
“ใช่ๆ ไม่อารมณ์เสียแล้ว เดี๋ยวเมียหนี” พี่ลุกซ์มองหน้าพี่ลันพลางยิ้มมุมปากก่อนจะดึงตัวผมไปกอดเอวไว้แสดงความเป็นเจ้าของ
“พี่ลุกซ์ ทำบ้าอะไรเนี่ย?” ผมตีไหล่พี่มันพลางกัดฟันถาม
“อ้าว ประธาน มาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาดึงความสนใจทำให้พวกเราหันไปมองก็พบว่าเป็นพี่อู๊ดหัวหน้าช่างนั่นเองที่เดินเข้ามาพร้อมกับพี่สองที่เป็นช่างสมัยที่พี่ลุกซ์ยังเป็นเด็กฝึกงาน ทั้งสองคนนี้สนิทกับพี่ลุกซ์ก็เลยไม่เกร็งเหมือนคนอื่นๆ
“ซื้อขนมมาฝาก แต่ลูกน้องพี่ไม่ยอมมากิน” พี่ลุกซ์พูดกับพี่อู๊ด
“โอ้ ขนมน่ากินนี่หว่า เฮ้ย กินดิวะ ช้าหมดอดนะเว้ย นานๆ ทีประธานจะใจดี มาๆ มากินด้วยกันเลยดิ” พี่อู๊ดพูดเสียงดังก่อนจะเดินไปค้นถุงขนมมือไอ้ไอแล้วหันมาชวนพี่ลุกซ์
หลังจากนั้นพวกช่างก็เริ่มเข้ามากินขนมโดยจับกลุ่มกันนั่งกินเป็นวงกลมโดยมีพวกเราร่วมแจม ตอนแรกก็เกร็งกันแหละครับ หลังๆ มาพี่ลุกซ์เริ่มคุยและหัวเราะไปด้วยพวกช่างก็เลยผ่อนคลายและร่วมหัวเราะไปด้วยกัน อ่า...อีกหน่อยพี่ลุกซ์ก็คงจะซื้อใจพนักงานได้ทั้งแผนก ถึงจะดุและไร้เหตุผลไปบ้างแต่ก็ใจดีนะ
รักจัง...คนนี้
หลังเลิกงานผมก็ถูกพี่ลุกซ์ตื๊อให้ไปอยู่ที่คอนโดด้วยจนใจอ่อน เดินเข้าไปบอกพี่ถังที่ห้องทำงานเพื่อให้พี่มันโทรหาพ่อกับแม่ให้ว่าผมจะไปค้างที่บ้าน ขอโกหกก่อนเถอะ ช่วงนี้ยังไม่พร้อมโดนพ่อเฉ่งจริงๆ โอย รู้สึกบาปจัด
“เพิ่งบอกให้แม่บ้านไปทำความสะอาดไว้ให้” พี่ลุกซ์บอกขณะที่เรากำลังเดินไปที่จอดรถประจำตำแหน่งของพี่ลุกซ์ วันนี้พี่มันขับปอร์เช่ของตัวเองมาแฮะ ปกติไม่ค่อยขับคันนี้มาหรอก สงสัยกลัวรถสุดที่รักเป็นอะไรไปล่ะมั้ง คนยิ่งหาเรื่องมาทำร้ายอยู่ด้วย
“อื้ม” ผมพยักหน้านิดๆ อ่า...เขินแฮะ ทำอย่างกับไม่เคยไปบ้านแฟน ให้ตายเถอะ ทำตัวเหมือนสาวน้อยไปได้ ไอ้เปอร์เอ๊ย
“วันนี้ทำอาหารกินเองไหม?” พี่ลุกซ์ถามพลางหันมามองหน้าผมเมื่อเดินถึงรถแล้ว ทำไมไม่เข้าไปในรถเล่า มองหน้าทำไม เขินนะเว้ย
“อื้อ หมูมะนาวนะ” ผมบอกยิ้มๆ คิดถึงหมูมะนาวฝีมือพี่ลุกซ์สุดๆ นอกจากจะหล่อ เก่ง รวยแล้วยังทำอาหารเก่งอีกนะ ถ้าไม่ติดที่นิสัยเสียนี่จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาก
“ไม่เผ็ดด้วยนะ” พี่ลุกซ์ยิ้มกลับก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในรถ ผมยิ้มกว้างแล้วรีบกระโดดเข้าไปในรถบ้าง
อ๊ากกกกก ตื่นเต้นชะมัด!
ผมเดินเลือกซื้อของสดกับพี่ลุกซ์ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเหล่าแม่บ้านไปเรื่อยๆ ตามเมนูที่ต้องการ ก็นะ ผู้ชายใส่สูทสองคนเดินเข็นรถเข็นมาด้วยกันแบบนี้คงแปลกมากพอสมควร ที่จริงถ้าไม่ติดประชุมผมไม่ใส่สูทหรอกนะ แรกๆ ก็ใส่แหละ หลังๆ ไม่ใส่ละ บางคนก็แต่งสบายๆ ไม่ซีเรียส ยิ่งฝ่ายเครื่องยนต์นะ ใส่ชุดบอลมาทำงานก็มี อย่าถามว่าใคร พี่ลันนั่นเอง
พอช้อปเสร็จเราก็รีบบึ่งไปที่คอนโดทันที แค่เห็นป้ายชื่อคอนโดผมก็ตื่นเต้นแล้วครับ ตอนที่มาครั้งล่าสุดก็ตื่นเต้นนะ แต่คราวนี้ตื่นเต้นยิ่งกว่าเพราะผมมากับพี่ลุกซ์ และที่สำคัญ...ผมมั่นใจว่าคราวนี้ผมจะไม่ได้มารับรู้เรื่องแย่ๆ เหมือนครั้งที่แล้ว
แกร๊ก!
พี่ลุกซ์เปิดประตูเข้าไปในห้องพลางจูงมือผมเข้าไปด้วยทั้งๆ ที่มือก็ถือข้าวของเสียรกรุงรัง ผมยืนลังเลนิดๆ ทำให้พี่มันหันมามองหน้า ผมเม้มปากพลางกวาดสายตามองเข้าไปในห้อง
จุ๊บ
“เข้ามาเถอะ ที่นี่เป็นที่ของเรานะ” พี่ลุกซ์ยื่นหน้ามาหอมหน้าผากผมแล้วพูดเหมือนจะปลอบ ก็แหงล่ะ คราวที่แล้วผมมาที่นี่อย่างมีความหวังแต่ต้องกลับไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่ทำให้ผมแทบจะบ้า เป็นธรรมดาที่ผมจะสะเทือนใจอยู่เล็กๆ
“ครับ” ผมพยักหน้านิดๆ แล้วเดินตามพี่มันเข้าไปในครัว
“ทุกอย่างที่นี่ยังเหมือนเดิมนะ ข้าวของของกูและของมึงยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใครเข้ามาเปลี่ยนแปลงมันได้หรอก” พี่ลุกซ์จูงมือผมเดินตรงดิ่งเข้าไปในครัว วางของแล้วหันมาพูดกับผมอย่างมีความหมาย ผมเม้มปากมองหน้าพี่มันก่อนจะก้มหน้าลง พี่มันคงอยากจะบอกว่าความรักของเรายังไม่เปลี่ยนแปลงสินะ แต่ผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยน มันไม่เหมือนเดิมจริงๆ นะ ผมรู้สึกเหมือนกับเราได้เริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่ยังไม่เต็มร้อยนัก ยิ่งนึกถึงตอนที่ผมรู้ว่าพี่ลุกซ์มีลูกผมยิ่งรู้สึกแย่ แต่มันก็น้อยมากๆ แล้วล่ะ
“ผม...” ผมก้มหน้าขมวดคิ้ว มือกำเข้าหากันแน่น
หมับ
“ที่มึงรู้สึกแย่แบบนี้มันเป็นเพราะกูเอง กูขอโทษ” พี่ลุกซ์ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังปลอบเบาๆ อย่างอ่อนโยน ผมกัดปากแน่นแล้วยกแขนขึ้นกอดพี่มันบ้าง แค่ได้กอดผมก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ ผมรักพี่ลุกซ์จริงๆ ผมยอมให้อภัยพี่มันแล้ว ผมไม่อยากเจ็บที่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป
“อย่าทำเรื่องไม่ดีอีกนะ ขอร้อง ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว” ผมบอกพลางผละออกจากพี่ลุกซ์ รู้สึกหน่วงในใจจนอยากจะร้องไห้แฮะ
“ขอโทษ” พี่ลุกซ์ลากเสียงยาวพลางจับหน้าผมหมุนไปมาเหมือนจะง้อ จังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัวพี่มันก็ยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บที่ปากของผมเบาๆ
พรึ่บ! จุ๊บ!
ขณะที่ลุกซ์กำลังจะผละห่างออกไปผมก็รวบคอพี่มันเอาไว้แล้วกดให้พี่มันก้มลงมาเพื่อที่จะได้จูบสะดวกๆ พี่มันน่ะยังเกรงใจผมอยู่ก็เลยไม่เข้ามารุ่มร่ามมากนัก ผมรู้หรอกว่าพี่มันอยากจะได้แบบนี้ผมก็เลยให้รางวัล ที่จริง...อยากได้เองด้วยแหละ เหอๆ
จากตอนแรกที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มและรุก พอพี่มันได้สติหลังจากที่นิ่งไปก็เริ่มรุกเข้ามาเสียเอง มือที่ผละออกไปจากผมเริ่มเหนี่ยวที่เอวแล้วรั้งให้เข้าไปใกล้ ผมไม่ขยับหนีซ้ำยังยืดตัวและเขย่งเท้าขึ้นไปหาด้วย ตัวพวกเราโยกไปมาตามจังหวะการจูบจนกระทั่งหลังของผมแนบไปกับผนังครัวเราจึงผละหน้าออกจากกัน
“ปลุกกันขนาดนี้ก็รับผิดชอบด้วยละกันนะ” พี่ลุกซ์ปล่อยเอวผมแล้วใช้ศอกทั้งสองข้างค้ำกับผนังส่วนผมก็ยังกอดคอพี่มันอยู่
“ผมขอเตรียมใจก่อนไม่ได้เหรอ?” ผมเอียงคอขอ ก็ผมไม่ได้ทำนานแล้วนี่หว่า อย่างมากก็แค่ช่วยด้านหน้า ด้านหลังไม่ได้ทำเลยซักที หวั่นๆ อยู่นะถ้าจะมาโดนทำเอาซะตอนนี้ ยังไม่ทันเตรียมใจเลย
“กูอยากสัมผัสมึงใจจะขาดแล้วนะ” พี่ลุกซ์ขยับตัวเข้ามาชิดชนิดไม่เหลือช่องว่างด้วยท่าทางอ้อนแบบเซ็กซี่สุดติ่ง อ่า...หวังว่าไอ้วิธีแบบนี้คงไม่ได้ไปเอามาจากพี่เคย์หรอกนะ คิดภาพพี่มันทำแบบนี้กับพี่ถังไม่ออกเลย ขนลุกชะมัด ฮ่าๆๆ
“ที่พามากะจะมาทำแบบนี้อย่างเดียวเลยใช่ไหม?” ผมดึงมือออกจากคอมาบีบแก้มพี่ลุกซ์
“ไม่ใช่อย่างนั้น ตอนแรกก็ไม่ได้ว่าจะทำหรอกนะแต่มึงยั่วกู” พี่ลุกซ์ลูบเอวผมผ่านเสื้อเบาๆ แต่ลูบไม่หยุดเลย
“พี่ลุกซ์...รอก่อนได้ไหม? รอให้เราไปคุยกับพ่อแม่ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยทำทีหลังก็ได้” ผมเปลี่ยนจากบีบแก้มมาเป็นลูบอย่างแผ่วเบา
“อืม เอางั้นก็ได้ แต่กูขอเข้าห้องน้ำก่อนละกันนะ” พี่ลุกซ์ผละออกไปก่อนจะรีบเดินออกจากครัวไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำในห้องนอนด้วยนะ
เฮ้ย น่าสงสารไปป่ะเนี่ย? นี่ถึงขนาดต้องเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำเลยเหรอ? โธ่ ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าต้องอดกลั้นมานานแถมพอได้อยู่ด้วยกันก็ทำอะไรไม่ได้เพราะผมขอ โอ๊ย เอาไงดีๆ แต่ผมยังไม่พร้อมจริงๆ นี่หว่า
อืม...เอาวะ! สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำใจซะเปอร์ ไม่ได้มีอะไรกันครั้งแรกซักหน่อยนี่หว่า เอ้า สู้โว้ย!
ก๊อกๆ
ผมแง้มประตูเข้าไปในห้องนอนก่อนจะขยับไปหน้าห้องน้ำแล้วเคาะประตูเบาๆ
“อะแฮ่ม ให้ผมช่วยไหม?” ผมแกล้งถามออกไป
“...” แน่ะ เงียบอีก นี่ปล่อยอารมณ์จนไม่ได้ยินเสียงกันเลยเหรอเนี่ย
“พี่ลุกซ์ ไม่ต้องทำเองแล้ว ออกมาเถอะ ข้าวน่ะ ค่อยกินทีหลังก็ได้เนอะ” ผมยืนพิงผนังใกล้ๆ ประตูห้องน้ำก่อนจะพูด พี่มันเงียบไปอีกสักพักก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้านิ่งๆ เก็บอาการอยู่ล่ะสิ
ฟึ่บ! ตุบ!
ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัวพี่ลุกซ์ก็คว้าคอผมแล้วเหวี่ยงไปที่เตียงทันที โห รุนแรงตั้งแต่เริ่มแบบนี้ผมยังพอจะถอนตัวทันไหมเนี่ย?
“ห้ามหนีนะ” พี่ลุกซ์กดข้อมือผมไว้เหนือหัวแล้วจ้องผมด้วยสายตาที่นิ่งงัน แต่ความนิ่งของสายตาคู่นี้กลับแสดงออกถึงอารมณ์ที่กำลังปะทุอย่างรุนแรง โถ ไอ้หื่น
“อย่ารุนแรงนะ” ผมบอกก่อนจะถูกโถมเข้าหาจนแทบกระอัก
มองโคมไฟที่หัวเตียงไปซะ
37.5% left
หอม...หอมจัง...
หิว...หิวจัง...
อ๊า หอมอะไรเนี่ย? ทำไมกลิ่นมันน่ากินน่าซี้ดขนาดนี้ว้า?
ผมลืมตาตื่นทันทีที่ได้กลิ่นอาหารพร้อมเครื่องเทศที่แสนจะยั่วน้ำลายและนั่นก็ทำให้ผมตระหนักว่าหลังจากทำอะไรเสร็จเรียบร้อยผมก็สลบคาอกพี่ลุกซ์เลยล่ะครับ อ่า...สงสัยผมจะห่างหายไปจากอะไรแบบนี้นานจริงๆ นั่นแหละครับเพราะผมไม่ไหวจริงๆ พี่มันไม่ได้พิสดารหรือรุนแรงเกินไปเลยนะแต่ว่า...ผมคงอ่อนไป ไม่ไหวเอาซะเลยนะเรา
“กำลังจะมาปลุกไปกินข้าวพอดี” พี่ลุกซ์ที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนชะงักนิดๆ เมื่อเห็นผมตื่นแล้ว
“อื้ม หอมจัง” ผมยิ้มนิดๆ
“งั้นก็ไปกินข้าวกัน ลุกไหวไหม?” พี่ลุกซ์ถามพลางเดินเข้ามาจะประคอง อ่า...พอลุกขึ้นมาแล้วรู้สึกมึนๆ แฮะ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไหวน่า” ผมปัดมือพี่มันออกแล้วลงจากเตียงด้วยตัวเอง โอ้ย เสียดๆ หน่วงๆ แฮะ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร คิดว่าถ้าให้เทียบกับตอนแรกล่ะก็คงไม่ไหว ตอนนั้นผมลุกเองไม่ได้เลยจริงๆ ต้องให้พี่ถังมันอุ้มหนีพี่ลุกซ์เลยทีเดียว
“เดี๋ยวก็ชินน่า” พี่ลุกซ์ดื้อที่จะช่วยประคองผมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้ม
“พี่ลุกซ์” ผมเรียกชื่อพี่ลุกซ์เมื่อรู้สึกเปรี้ยวปากขึ้นมากะทันหัน รู้สึกอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ อยากกินทั้งหมูมะนาวแล้วก็ผลไม้เปรี้ยวๆ แฮะ พอลุกขึ้นแล้วผมรู้สึกหน้ามืดและก็คลื่นไส้นิดๆ สงสัยเป็นเพราะผมฝืนร่างกายตัวเองเกินไปล่ะมั้ง
“หืม?” พี่ลุกซ์หันมามองหน้าผมเพื่อรอคำถาม
“อยากกินมะม่วง ไม่ต้องมะม่วงก็ได้ อยากกินผลไม้เปรี้ยวๆ อ่ะ” ผมบอก โอ้ย นึกถึงภาพผลไม้แล้วน้ำลายจะไหล
“ฮะ!?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางงงๆ
“อยากกิน!” ผมขมวดคิ้วแล้วเริ่มพูดแต่ใจ เมื่อกี้ผมพูดว่าอยากกินพี่มันไม่เข้าใจหรือไงนะ?
“กินอะไร?” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วถาม
“ผลไม้ไง! เอาที่เปรี้ยวๆ นะ ไปซื้อมาหน่อย” ผมเม้มปากแล้วเขย่าแขนพี่มันแรงๆ อย่างขัดใจที่พี่ลุกซ์มีท่าทางงงๆ ก็คนมันหน้ามืดแถมยังรู้สึกผะอืดผะอมก็เลยอยากกินอะไรแก้อาการนี้ซักหน่อย
“เฮ้ย! มึงมีมดลูกรือเปล่า? นี่ท้องแล้วเหรอ? เร็วไปนะบางที” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วสลับกับขมวดพลางเกาท้ายทอยด้วยท่าทางงุนงง โอ้ย! คนอยากกินของเปรี้ยวมันต้องท้องทุกคนเลยหรือไงวะ!?! ก็คนมันเปรี้ยวปากนี่หว่า!
“ถ้าไม่ไปซื้อมาให้ ผมไปเองก็ได้” ผมดันตัวพี่ลุกซ์ออกอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินไปที่ประตูทางออก
“เปอร์ๆ ไปนั่งรอไป เดี๋ยวไปซื้อมาให้” พี่ลุกซ์รีบวิ่งมาดึงแขนผมไว้แล้วพาไปนั่งที่โซฟา
“ก็แค่นั้น” ผมกระแทกเสียงพลางกอดอก
“โอ้โห เมนส์มาเหรอ? อารมณ์แปรปรวนจัง” พี่ลุกซ์มองผมด้วยสายตางุนงงก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไปเพราะผมตวัดสายตาไปมองพี่มันด้วยสายตาเหวี่ยงๆ
ที่ผมเหวี่ยงเพราะผมเพิ่งตื่นด้วยแหละ พออยากได้อะไรแล้วไม่ได้มันเลยหงุดหงิด ถึงจะตื่นมาพร้อมกับอารมณ์ที่ดีก็เถอะ อาการของผมตอนนี้ก็ด้วย ถ้ากินข้าวเข้าไปล่ะก็อาจจะอ้วกออกมาก็ได้ ตอนที่ทำ ท้องก็ว่างซะด้วยสิ
เอาเถอะ ขอเอาแต่ใจหน่อยละกัน ช่วงนี้พี่ลุกซ์ยังเกรงใจผมอยู่เพราะงั้นผมน่าจะเอาแต่ใจมากๆ ก่อนที่จะหมดโปรโมชั่น
“ผลไม้มาแล้ว” รอเพียงไม่กี่อึดใจพี่ลุกซ์ก็เข้ามาพร้อมกันผลไม้หลากชนิด ทันทีที่พี่มันวางผลไม้ไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาผมก็รีบจ้วงมากินทันที
“ซี้ดดด เปรี้ยวสะใจมาก” ผมหยิบมะม่วงขึ้นมากินก่อนจะหลับตาปี๋ห่อไหล่ด้วยความซี้ด
“ลูกดิ้นยัง?” พี่ลุกซ์เดินมานั่งข้างๆ แล้วเอื้อมมือมาลูบท้องผมเบาๆ
“อย่ามากวนตอนกินสิ!” ผมตีมือพี่ลุกซ์ทำให้พี่มันรีบชักมือกลับ
“เมนส์มาใช่ไหมเนี่ย?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วถาม
“บ้าสิ ผมเป็นผู้ชายนะ แล้วที่อยากกินของพวกนี้เพราะผมคลื่นไส้ ก็ผมห่างจากเรื่องบนเตียงมานานนี่หว่า ที่หงุดหงิดก็เพราะพี่ไม่รีบไปซื้อมาให้ต่างหากล่ะ” ผมบอกแล้วจิ้มกระท้อนเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“อย่ากินเยอะนะเว้ย เดี๋ยวอิ่มก่อนกินข้าว ท้องจะเสียเอาด้วย” พี่ลุกซ์บอกผมจึงพยักหน้ารับแต่ก็ยังกินอยู่เรื่อยๆ
พออาการเริ่มดีขึ้นผมจึงไปกินข้าวพร้อมกับพี่ลุกซ์ วันนี้มีหมูมะนาวกับกระเพราปลาหมึกด้วย หวังว่าฝีมือพี่ลุกซ์คงยังไม่ตกหรอกนะ หน้าตาอาหารมันดูดีมากเลย น่ากินสุดๆ อิ่มพุงแตกแน่วันนี้
ไม่ผิดหวังเลยครับ อาหารอร่อยมาก แม้จะไม่เผ็ดสะใจผมแต่รสชาติก็ดีสุดๆ นี่ผมโชคดีมากเลยนะเนี่ยที่ได้กินอาหารฝีมือพี่ลุกซ์ นิสัยอย่างพี่มันคงไม่มีทางไปทำให้ใครกินบ่อยๆ หรอกเนอะ อิๆ ฟิน
“จะอาบน้ำเลยไหม?” พี่ลุกซ์ถามหลังจากเก็บจานไปล้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้พี่มันทำเองทุกอย่างแต่วันต่อๆ ไปผมคงเป็นคนทำล่ะมั้ง แต่เอาเถอะ ผมว่าเรื่องจุกจิกให้เป็นหน้าที่ผมดีกว่าเพราะผมไม่ได้ทำงานหนักอย่างพี่ลุกซ์
“ไม่ล่ะครับ จะกินผลไม้ต่อ” ผมบอกพลางเดินไปนั่งขัดสมาธิบนโซฟาแล้วกดเปิดทีวีดู
“งั้นมาคุยกันเรื่องเลขาคนใหม่ของกูดีกว่า ถ้าหาได้ก็จะย้ายมึงไปอยู่กับพวกไอ้ลัน ทำงานไปซักปีสองปีจะให้ไปช่วยไอ้กีร์” พี่ลุกซ์พูด อ่า...แอบใจหายแฮะที่ต้องทำงานห่างจากพี่มัน แต่ผมจะมาหาพี่มันเวลาที่ผมว่างก็ได้นี่เนอะ ยังไงก็ทำงานที่บริษัทเดียวกัน
“ทำงานกับพี่กีร์ ที่ต้องดีลงานกับต่างประเทศน่ะเหรอครับ?” ผมถาม พี่กีร์ทำงานเป็นวิศวกรที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดพี่ลันและไม่มีลูกน้องคนอื่น จะรับงานและคุยงานกับพี่ลุกซ์โดยตรงแต่ก็ดีลงานกับพี่ลันอยู่ตลอด
“ใช่” พี่ลุกซ์พยักหน้า ผมหน้าหม่นไปนิดๆ เพราะถ้าทำงานกับพี่กีร์ผมก็ต้องไปต่างประเทศบ่อยน่ะสิ
“แล้วผมไม่ต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ เหรอ?” ผมถามเสียงอ่อน
“ก็ไม่ได้ไปบ่อยขนาดนั้น ส่วนมากเวลาไปดูงานน่ะกูก็ไปด้วย แต่ช่วงนี้ให้ไอ้กีร์ไปคนเดียวเพราะเรื่องยุ่งๆ มันเยอะ” พี่ลุกซ์พูดพลางหรี่ตามองผมแล้วอมยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก แน่ะ จะบอกว่าผมคือเรื่องยุ่งๆ ล่ะสินะ ชิ! ตัวเองทำยุ่งเองแท้ๆ
“แล้วเลขาน่ะ จะเอายังไง?” พี่ลุกซ์ถาม
“ก็คงต้องเลือกคนที่ทำงานเป็นล่ะนะ ขี้เกียจเริ่มต้นใหม่” พี่ลุกซ์บอกพลางขมวดคิ้วนิดๆ เหมือนกำลังคิดว่าจะเลือกคนแบบไหนดี
“ไม่เอาผู้หญิง” ผมบอกออกไป
“หา?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วมองหน้าผมงงๆ
“ไม่เอาคนหนุ่ม เอาผู้ชายที่มีลูกมีเมียแล้ว” ผมบอกอีก ถ้าเอาผู้หญิงมาทำงานด้วยผมคงพะว้าพะวงจะไม่เป็นอันทำอะไร อีกอย่าง ถ้าเอาเด็กหนุ่มมาทำงาน เขาอาจจะมาหลงรักพี่ลุกซ์ก็ได้ เพื่อเป็นการตัดกังวล ต้องเอาผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วเท่านั้น
“หึงดิ?” พี่ลุกซ์ที่เข้าใจเจตนารมณ์ผมแล้วยืดตัวขึ้นแล้วเหยียดยิ้มอย่างล้อเลียน
“ผมไม่อยากมาคอยพะวงว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจนต้องเสียใจ” ผมจ้องหน้าพี่ลุกซ์นิ่งๆ แล้วพูดออกไปอย่างจริงจัง
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน กูไม่นอกลู่นอกทางอยู่แล้วล่ะ” พี่ลุกขยับมานั่งข้างๆ ผมแล้วดันหัวผมเข้าไปซบไหล่ของตัวเอง
“ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้กอดพี่มานานมากเลยแฮะ” ผมกอดเอวพี่ลุกซ์เอาไว้พลางพูด รู้สึกอบอุ่นมากๆ เลยล่ะครับ เหมือนขาดหายไปนานมากจริงๆ
“เราจะไม่ห่างกันอีกแล้ว มึงอย่าหนีกูไปไหนนะ” พี่ลุกซ์ลูบหัวผมเบาๆ พลางเอียงหน้ามาจูบที่ขมับ
“ดูพฤติกรรมก่อน” ผมบอกยิ้มๆ
“ถึงหนีไปที่ไหนกูก็จะไปลากกลับมาให้ได้ กูทำอะไรได้มากกว่าที่มึงคิดนะขอบอก” พี่ลุกซ์พูด
“ใช่สิ ขนาดปิดบังเรื่องแต่งงานกับผมก็ยังทำมาแล้วเลย เนียนมากด้วย” ผมทำปากยื่นอย่างงอนๆ เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ที่จริงก็ไม่ได้คิดมากอะไรแล้วล่ะครับ อาจจะมีคิดบ้างช่วงที่รู้สึกตกต่ำแต่ถ้าปกติก็ไม่คิด
“ถ้าไม่อยากโดนปล้ำอย่าพูดเรื่องนี้อีก กูเจ็บนะเนี่ย” พี่ลุกซ์ว่า
“โอ๋ๆ ไม่เอาน่า อย่าร้องนะเด็กดี ฮ่าๆ” ผมลูบหลังพี่ลุกซ์ก่อนจะใช้มือพี่มันหมุนคางเล่นแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน
พี่ลุกซ์ดีดหน้าผากผมเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะบีบจมูกผมแล้วดึงไปมา ผมหัวเราะก่อนจะแกล้งเล่นกับพี่มันต่อไปจนกระทั่งเหนื่อย เราแยกกันไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนที่เตียงเดิมที่มีผ้าปูที่นอนลายน่ารักที่ผมเคยเลือกเอาไว้ก่อนที่พี่ลุกซ์จะไปอเมริกา จำได้ไหมที่พี่ลุกซ์เคยบอกว่าสีห้องทึมๆ ไป อยากได้ผ้าปูสีสดใสหน่อยผมก็เลยแกล้งเลือกผ้าปูลายหมีพูห์มาซะเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++++ เดี๋ยวมาต่ออัตภีร์ทีหลังเน้ออออ
สงสัยจะจริงอย่างที่พี่ลุกซ์บอกว่าช่างกลัวพี่ลุกซ์จนแทบจะลางาน ทันทีที่ผมกับพี่ลุกซ์เข้ามาในห้องเครื่อง ช่างหลายๆ คนรีบหลบไปทำงานกันคนละมุมอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงคุยที่เคยดังแข่งกับเครื่องยนต์พลันเงียบไปถนัดตา
“ไอ เอาขนมมาฝาก” ผมกวักมือไอ้ไอที่กำลังยืนคุยกับพี่ลันพลางจดอะไรบางอย่างลงสมุดเปื้อนๆ ในมือ
“พี่เปอร์! พี่ลุกซ์!” ไอ้ไอทำตาโตเมื่อเห็นผมมากับพี่ลุกซ์ ถึงจะตกใจแต่มือมันก็ทำงานดีเหลือเกิน รีบยื่นมารับขนมถุงใหญ่เบ้อเริ่มจากผมอย่างไวเชียว
หมับ!
“พี่ลุกซ์!” ผมเอ็ดเมื่อพี่ลุกซ์โอบเอวผมไว้แล้วดึงให้เข้าไปชิดกับตัวเองทำให้ไอ้ไออึ้งหนักยิ่งกว่าเดิม ส่วนพี่ลันก็ยืนมองหน้านิ่งๆ อย่างเข้าใจ พี่มันคงเพิ่งรู้พร้อมไอ้ไอว่าผมกับพี่ลุกซ์คืนดีกันแล้วแต่ก็เก็บอาการเอาไว้เหมือนเดิม พี่ลันก็งี้แหละครับ หน้านิ่งและสงบนิ่งซะเหลือเกิน พี่ลุกซ์น่าจะเป็นแบบนี้ซะบ้าง วันๆ เอาแต่ทำหนวกหู โวยวายบ้าง ด่าพนักงานบ้าง ใครทำอะไรไม่ถูกใจนี่เหวี่ยงเป็นพายุหมุนเลยล่ะ(ฟังคนอื่นเขานินทามาอีกที)
“พวกพี่คืนดีกันแล้วเหรอ!?! เย้! ดีใจจังเลยครับ กลับมาเหมือนเดิมซักที! พี่ลันๆ พวกพี่เขาคืนดีกันแล้วล่ะ” ไอ้ไอกระโดดโลดเต้นเสียยกใหญ่ ไม่วายไปดึงพี่ลันมาโหวกเหวกโวยวายด้วยอีก
“เออ ดูสีหน้าพวกมันก็รู้แล้ว” พี่ลันพูดพลางขยี้หัวไอ้ไออย่างหมั่นเขี้ยว
“เฮ้ย มือสกปรก” ไอ้ไอพูดอย่างนึกขึ้นได้ว่ามือพี่ลันที่ใหญ่ถุงมือช่างอยู่มีคราบน้ำมันเครื่องติด
“เอาขนมไปให้พวกช่างซะสิ เหลือเวลาพักอีกตั้งยี่สิบนาที ทำไมรีบทำงานกันจัง ลูกค้าเร่งเหรอ?” พี่ลุกซ์บอกพลางถามเมื่อเห็นว่าพวกช่างเริ่มทำงานกันแล้ว
“เพราะมึงนั่นแหละไอ้ลุกซ์ ก่อนหน้านี้มึงอาละวาดที่พวกช่างทำงานช้าไม่ใช่หรือไง พอเห็นว่ามีคนอู้มึงก็เรียกอบรมด้วยตัวเองซะพวกช่างกลัวมึงจนหัวหด ห่า” พี่ลันกอดอกพลางว่าพี่ลุกซ์ทำให้ผมแอบขำที่พี่ลันที่อยู่ในฐานะน้องและลูกน้องมายืนด่าที่ลุกซ์ที่เป็นพี่และเจ้านายแบบนี้ ใครเห็นก็คงขำเหมือนผม แต่ติดตรงที่ว่าจะมีใครกล้าหัวเราะออกมาให้พี่ลุกซ์เห็นเหมือนผมหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“เห็นไหมเปอร์ เพราะมึงคนเดียวเลย” พี่ลุกซ์หันมาว่าผมที่ยืนนิ่งให้พี่มันโอบอยู่
“เอ๊า เกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย” ผมหัวเราะนิดๆ ก่อนจะดันตัวพี่มันออกห่างเพราะตอนนี้พวกช่างเริ่มหันมามองพวกเราแล้ว
“ทุกคนครับ มากินขนมกันก่อนสิครับ ยังไม่หมดเวลาพักเลย” ไอ้ไอป้องปากเรียกพวกช่างไปกินขนมแต่ทุกคนก็หันมาองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาหวั่นๆ และก็ไม่มีใครกล้าละจากงานที่กำลังทำอยู่ด้วย
“เฮ้ย! ซื้อมาให้ก็ไปกินดิวะ รออะไรอยู่ หรือจะรอให้หมดเวลาพักแล้วค่อยกิน!?” พี่ลุกซ์นิ่งไปเมื่อเห็นว่าพวกช่างไม่ยอมไปกินขนมก่อนจะพูดออกไปเสียง อืม...นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการชวนคนกินขนมงั้นเหรอเนี่ย?
“พี่ลุกซ์ พูดดีๆ พูดแบบนี้เขาก็กลัวกันหมดสิครับ” ผมตีพี่ลุกซ์เบาๆ เพื่อเตือน
“แล้วจะให้พูดยังไงล่ะ?” พี่ลุกซ์ทำหน้ายุ่ง
“ก็พูดดีๆ ไง แบบ...ไม่ดุ ไม่ห้วนจนเกินไป เหมือนที่พูดกับผมก็ได้” ผมบอก
“โวะ! เรื่องมากว่ะ” พี่ลุกซ์ทำหน้าเซ็ง ผมมองพี่ลุกซ์ก่อนจะเม้มปากทำหน้านิ่ง เห็นอย่างนั้นพี่มันก็ถอนหายใจ “เฮ้อ มากินขนมดิวะ ซื้อมาให้ เวลาพักก็พัก ไม่ต้องขยันทำงานขนาดนั้นก็ได้ ไม่ขึ้นโบนัสให้หรอกนะ” พี่ลุกซ์หันไปพูดกับพวกช่างด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่พวกเขาก็ยังคงเกร็งๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะครับ ประธานไม่ดุแล้ว นี่เขาซื้อของอร่อยมาฝากพวกพี่ๆ เลยนะครับเนี่ย” ผมช่วยพูดเพื่อให้พวกช่างเขาผ่อนคลายความเกร็งลงบ้าง
“มาเถอะครับ เมียมันกลับมาแล้ว คงไม่อารมณ์เสียแล้วล่ะ สบายใจได้” พี่ลันที่ยืนกอดอกทำหน้าตายอยู่พูดขึ้น เข้าใจนะว่าอยากช่วยให้พวกช่างเขาหายกลัวแต่ว่าทำไมต้องพูดเรื่องน่าอายด้วยวะ
“ใช่ๆ ไม่อารมณ์เสียแล้ว เดี๋ยวเมียหนี” พี่ลุกซ์มองหน้าพี่ลันพลางยิ้มมุมปากก่อนจะดึงตัวผมไปกอดเอวไว้แสดงความเป็นเจ้าของ
“พี่ลุกซ์ ทำบ้าอะไรเนี่ย?” ผมตีไหล่พี่มันพลางกัดฟันถาม
“อ้าว ประธาน มาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาดึงความสนใจทำให้พวกเราหันไปมองก็พบว่าเป็นพี่อู๊ดหัวหน้าช่างนั่นเองที่เดินเข้ามาพร้อมกับพี่สองที่เป็นช่างสมัยที่พี่ลุกซ์ยังเป็นเด็กฝึกงาน ทั้งสองคนนี้สนิทกับพี่ลุกซ์ก็เลยไม่เกร็งเหมือนคนอื่นๆ
“ซื้อขนมมาฝาก แต่ลูกน้องพี่ไม่ยอมมากิน” พี่ลุกซ์พูดกับพี่อู๊ด
“โอ้ ขนมน่ากินนี่หว่า เฮ้ย กินดิวะ ช้าหมดอดนะเว้ย นานๆ ทีประธานจะใจดี มาๆ มากินด้วยกันเลยดิ” พี่อู๊ดพูดเสียงดังก่อนจะเดินไปค้นถุงขนมมือไอ้ไอแล้วหันมาชวนพี่ลุกซ์
หลังจากนั้นพวกช่างก็เริ่มเข้ามากินขนมโดยจับกลุ่มกันนั่งกินเป็นวงกลมโดยมีพวกเราร่วมแจม ตอนแรกก็เกร็งกันแหละครับ หลังๆ มาพี่ลุกซ์เริ่มคุยและหัวเราะไปด้วยพวกช่างก็เลยผ่อนคลายและร่วมหัวเราะไปด้วยกัน อ่า...อีกหน่อยพี่ลุกซ์ก็คงจะซื้อใจพนักงานได้ทั้งแผนก ถึงจะดุและไร้เหตุผลไปบ้างแต่ก็ใจดีนะ
รักจัง...คนนี้
หลังเลิกงานผมก็ถูกพี่ลุกซ์ตื๊อให้ไปอยู่ที่คอนโดด้วยจนใจอ่อน เดินเข้าไปบอกพี่ถังที่ห้องทำงานเพื่อให้พี่มันโทรหาพ่อกับแม่ให้ว่าผมจะไปค้างที่บ้าน ขอโกหกก่อนเถอะ ช่วงนี้ยังไม่พร้อมโดนพ่อเฉ่งจริงๆ โอย รู้สึกบาปจัด
“เพิ่งบอกให้แม่บ้านไปทำความสะอาดไว้ให้” พี่ลุกซ์บอกขณะที่เรากำลังเดินไปที่จอดรถประจำตำแหน่งของพี่ลุกซ์ วันนี้พี่มันขับปอร์เช่ของตัวเองมาแฮะ ปกติไม่ค่อยขับคันนี้มาหรอก สงสัยกลัวรถสุดที่รักเป็นอะไรไปล่ะมั้ง คนยิ่งหาเรื่องมาทำร้ายอยู่ด้วย
“อื้ม” ผมพยักหน้านิดๆ อ่า...เขินแฮะ ทำอย่างกับไม่เคยไปบ้านแฟน ให้ตายเถอะ ทำตัวเหมือนสาวน้อยไปได้ ไอ้เปอร์เอ๊ย
“วันนี้ทำอาหารกินเองไหม?” พี่ลุกซ์ถามพลางหันมามองหน้าผมเมื่อเดินถึงรถแล้ว ทำไมไม่เข้าไปในรถเล่า มองหน้าทำไม เขินนะเว้ย
“อื้อ หมูมะนาวนะ” ผมบอกยิ้มๆ คิดถึงหมูมะนาวฝีมือพี่ลุกซ์สุดๆ นอกจากจะหล่อ เก่ง รวยแล้วยังทำอาหารเก่งอีกนะ ถ้าไม่ติดที่นิสัยเสียนี่จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาก
“ไม่เผ็ดด้วยนะ” พี่ลุกซ์ยิ้มกลับก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในรถ ผมยิ้มกว้างแล้วรีบกระโดดเข้าไปในรถบ้าง
อ๊ากกกกก ตื่นเต้นชะมัด!
ผมเดินเลือกซื้อของสดกับพี่ลุกซ์ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเหล่าแม่บ้านไปเรื่อยๆ ตามเมนูที่ต้องการ ก็นะ ผู้ชายใส่สูทสองคนเดินเข็นรถเข็นมาด้วยกันแบบนี้คงแปลกมากพอสมควร ที่จริงถ้าไม่ติดประชุมผมไม่ใส่สูทหรอกนะ แรกๆ ก็ใส่แหละ หลังๆ ไม่ใส่ละ บางคนก็แต่งสบายๆ ไม่ซีเรียส ยิ่งฝ่ายเครื่องยนต์นะ ใส่ชุดบอลมาทำงานก็มี อย่าถามว่าใคร พี่ลันนั่นเอง
พอช้อปเสร็จเราก็รีบบึ่งไปที่คอนโดทันที แค่เห็นป้ายชื่อคอนโดผมก็ตื่นเต้นแล้วครับ ตอนที่มาครั้งล่าสุดก็ตื่นเต้นนะ แต่คราวนี้ตื่นเต้นยิ่งกว่าเพราะผมมากับพี่ลุกซ์ และที่สำคัญ...ผมมั่นใจว่าคราวนี้ผมจะไม่ได้มารับรู้เรื่องแย่ๆ เหมือนครั้งที่แล้ว
แกร๊ก!
พี่ลุกซ์เปิดประตูเข้าไปในห้องพลางจูงมือผมเข้าไปด้วยทั้งๆ ที่มือก็ถือข้าวของเสียรกรุงรัง ผมยืนลังเลนิดๆ ทำให้พี่มันหันมามองหน้า ผมเม้มปากพลางกวาดสายตามองเข้าไปในห้อง
จุ๊บ
“เข้ามาเถอะ ที่นี่เป็นที่ของเรานะ” พี่ลุกซ์ยื่นหน้ามาหอมหน้าผากผมแล้วพูดเหมือนจะปลอบ ก็แหงล่ะ คราวที่แล้วผมมาที่นี่อย่างมีความหวังแต่ต้องกลับไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่ทำให้ผมแทบจะบ้า เป็นธรรมดาที่ผมจะสะเทือนใจอยู่เล็กๆ
“ครับ” ผมพยักหน้านิดๆ แล้วเดินตามพี่มันเข้าไปในครัว
“ทุกอย่างที่นี่ยังเหมือนเดิมนะ ข้าวของของกูและของมึงยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใครเข้ามาเปลี่ยนแปลงมันได้หรอก” พี่ลุกซ์จูงมือผมเดินตรงดิ่งเข้าไปในครัว วางของแล้วหันมาพูดกับผมอย่างมีความหมาย ผมเม้มปากมองหน้าพี่มันก่อนจะก้มหน้าลง พี่มันคงอยากจะบอกว่าความรักของเรายังไม่เปลี่ยนแปลงสินะ แต่ผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยน มันไม่เหมือนเดิมจริงๆ นะ ผมรู้สึกเหมือนกับเราได้เริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่ยังไม่เต็มร้อยนัก ยิ่งนึกถึงตอนที่ผมรู้ว่าพี่ลุกซ์มีลูกผมยิ่งรู้สึกแย่ แต่มันก็น้อยมากๆ แล้วล่ะ
“ผม...” ผมก้มหน้าขมวดคิ้ว มือกำเข้าหากันแน่น
หมับ
“ที่มึงรู้สึกแย่แบบนี้มันเป็นเพราะกูเอง กูขอโทษ” พี่ลุกซ์ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังปลอบเบาๆ อย่างอ่อนโยน ผมกัดปากแน่นแล้วยกแขนขึ้นกอดพี่มันบ้าง แค่ได้กอดผมก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ ผมรักพี่ลุกซ์จริงๆ ผมยอมให้อภัยพี่มันแล้ว ผมไม่อยากเจ็บที่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป
“อย่าทำเรื่องไม่ดีอีกนะ ขอร้อง ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว” ผมบอกพลางผละออกจากพี่ลุกซ์ รู้สึกหน่วงในใจจนอยากจะร้องไห้แฮะ
“ขอโทษ” พี่ลุกซ์ลากเสียงยาวพลางจับหน้าผมหมุนไปมาเหมือนจะง้อ จังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัวพี่มันก็ยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บที่ปากของผมเบาๆ
พรึ่บ! จุ๊บ!
ขณะที่ลุกซ์กำลังจะผละห่างออกไปผมก็รวบคอพี่มันเอาไว้แล้วกดให้พี่มันก้มลงมาเพื่อที่จะได้จูบสะดวกๆ พี่มันน่ะยังเกรงใจผมอยู่ก็เลยไม่เข้ามารุ่มร่ามมากนัก ผมรู้หรอกว่าพี่มันอยากจะได้แบบนี้ผมก็เลยให้รางวัล ที่จริง...อยากได้เองด้วยแหละ เหอๆ
จากตอนแรกที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มและรุก พอพี่มันได้สติหลังจากที่นิ่งไปก็เริ่มรุกเข้ามาเสียเอง มือที่ผละออกไปจากผมเริ่มเหนี่ยวที่เอวแล้วรั้งให้เข้าไปใกล้ ผมไม่ขยับหนีซ้ำยังยืดตัวและเขย่งเท้าขึ้นไปหาด้วย ตัวพวกเราโยกไปมาตามจังหวะการจูบจนกระทั่งหลังของผมแนบไปกับผนังครัวเราจึงผละหน้าออกจากกัน
“ปลุกกันขนาดนี้ก็รับผิดชอบด้วยละกันนะ” พี่ลุกซ์ปล่อยเอวผมแล้วใช้ศอกทั้งสองข้างค้ำกับผนังส่วนผมก็ยังกอดคอพี่มันอยู่
“ผมขอเตรียมใจก่อนไม่ได้เหรอ?” ผมเอียงคอขอ ก็ผมไม่ได้ทำนานแล้วนี่หว่า อย่างมากก็แค่ช่วยด้านหน้า ด้านหลังไม่ได้ทำเลยซักที หวั่นๆ อยู่นะถ้าจะมาโดนทำเอาซะตอนนี้ ยังไม่ทันเตรียมใจเลย
“กูอยากสัมผัสมึงใจจะขาดแล้วนะ” พี่ลุกซ์ขยับตัวเข้ามาชิดชนิดไม่เหลือช่องว่างด้วยท่าทางอ้อนแบบเซ็กซี่สุดติ่ง อ่า...หวังว่าไอ้วิธีแบบนี้คงไม่ได้ไปเอามาจากพี่เคย์หรอกนะ คิดภาพพี่มันทำแบบนี้กับพี่ถังไม่ออกเลย ขนลุกชะมัด ฮ่าๆๆ
“ที่พามากะจะมาทำแบบนี้อย่างเดียวเลยใช่ไหม?” ผมดึงมือออกจากคอมาบีบแก้มพี่ลุกซ์
“ไม่ใช่อย่างนั้น ตอนแรกก็ไม่ได้ว่าจะทำหรอกนะแต่มึงยั่วกู” พี่ลุกซ์ลูบเอวผมผ่านเสื้อเบาๆ แต่ลูบไม่หยุดเลย
“พี่ลุกซ์...รอก่อนได้ไหม? รอให้เราไปคุยกับพ่อแม่ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยทำทีหลังก็ได้” ผมเปลี่ยนจากบีบแก้มมาเป็นลูบอย่างแผ่วเบา
“อืม เอางั้นก็ได้ แต่กูขอเข้าห้องน้ำก่อนละกันนะ” พี่ลุกซ์ผละออกไปก่อนจะรีบเดินออกจากครัวไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำในห้องนอนด้วยนะ
เฮ้ย น่าสงสารไปป่ะเนี่ย? นี่ถึงขนาดต้องเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำเลยเหรอ? โธ่ ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าต้องอดกลั้นมานานแถมพอได้อยู่ด้วยกันก็ทำอะไรไม่ได้เพราะผมขอ โอ๊ย เอาไงดีๆ แต่ผมยังไม่พร้อมจริงๆ นี่หว่า
อืม...เอาวะ! สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำใจซะเปอร์ ไม่ได้มีอะไรกันครั้งแรกซักหน่อยนี่หว่า เอ้า สู้โว้ย!
ก๊อกๆ
ผมแง้มประตูเข้าไปในห้องนอนก่อนจะขยับไปหน้าห้องน้ำแล้วเคาะประตูเบาๆ
“อะแฮ่ม ให้ผมช่วยไหม?” ผมแกล้งถามออกไป
“...” แน่ะ เงียบอีก นี่ปล่อยอารมณ์จนไม่ได้ยินเสียงกันเลยเหรอเนี่ย
“พี่ลุกซ์ ไม่ต้องทำเองแล้ว ออกมาเถอะ ข้าวน่ะ ค่อยกินทีหลังก็ได้เนอะ” ผมยืนพิงผนังใกล้ๆ ประตูห้องน้ำก่อนจะพูด พี่มันเงียบไปอีกสักพักก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้านิ่งๆ เก็บอาการอยู่ล่ะสิ
ฟึ่บ! ตุบ!
ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัวพี่ลุกซ์ก็คว้าคอผมแล้วเหวี่ยงไปที่เตียงทันที โห รุนแรงตั้งแต่เริ่มแบบนี้ผมยังพอจะถอนตัวทันไหมเนี่ย?
“ห้ามหนีนะ” พี่ลุกซ์กดข้อมือผมไว้เหนือหัวแล้วจ้องผมด้วยสายตาที่นิ่งงัน แต่ความนิ่งของสายตาคู่นี้กลับแสดงออกถึงอารมณ์ที่กำลังปะทุอย่างรุนแรง โถ ไอ้หื่น
“อย่ารุนแรงนะ” ผมบอกก่อนจะถูกโถมเข้าหาจนแทบกระอัก
มองโคมไฟที่หัวเตียงไปซะ
37.5% left
หอม...หอมจัง...
หิว...หิวจัง...
อ๊า หอมอะไรเนี่ย? ทำไมกลิ่นมันน่ากินน่าซี้ดขนาดนี้ว้า?
ผมลืมตาตื่นทันทีที่ได้กลิ่นอาหารพร้อมเครื่องเทศที่แสนจะยั่วน้ำลายและนั่นก็ทำให้ผมตระหนักว่าหลังจากทำอะไรเสร็จเรียบร้อยผมก็สลบคาอกพี่ลุกซ์เลยล่ะครับ อ่า...สงสัยผมจะห่างหายไปจากอะไรแบบนี้นานจริงๆ นั่นแหละครับเพราะผมไม่ไหวจริงๆ พี่มันไม่ได้พิสดารหรือรุนแรงเกินไปเลยนะแต่ว่า...ผมคงอ่อนไป ไม่ไหวเอาซะเลยนะเรา
“กำลังจะมาปลุกไปกินข้าวพอดี” พี่ลุกซ์ที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนชะงักนิดๆ เมื่อเห็นผมตื่นแล้ว
“อื้ม หอมจัง” ผมยิ้มนิดๆ
“งั้นก็ไปกินข้าวกัน ลุกไหวไหม?” พี่ลุกซ์ถามพลางเดินเข้ามาจะประคอง อ่า...พอลุกขึ้นมาแล้วรู้สึกมึนๆ แฮะ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไหวน่า” ผมปัดมือพี่มันออกแล้วลงจากเตียงด้วยตัวเอง โอ้ย เสียดๆ หน่วงๆ แฮะ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร คิดว่าถ้าให้เทียบกับตอนแรกล่ะก็คงไม่ไหว ตอนนั้นผมลุกเองไม่ได้เลยจริงๆ ต้องให้พี่ถังมันอุ้มหนีพี่ลุกซ์เลยทีเดียว
“เดี๋ยวก็ชินน่า” พี่ลุกซ์ดื้อที่จะช่วยประคองผมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้ม
“พี่ลุกซ์” ผมเรียกชื่อพี่ลุกซ์เมื่อรู้สึกเปรี้ยวปากขึ้นมากะทันหัน รู้สึกอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ อยากกินทั้งหมูมะนาวแล้วก็ผลไม้เปรี้ยวๆ แฮะ พอลุกขึ้นแล้วผมรู้สึกหน้ามืดและก็คลื่นไส้นิดๆ สงสัยเป็นเพราะผมฝืนร่างกายตัวเองเกินไปล่ะมั้ง
“หืม?” พี่ลุกซ์หันมามองหน้าผมเพื่อรอคำถาม
“อยากกินมะม่วง ไม่ต้องมะม่วงก็ได้ อยากกินผลไม้เปรี้ยวๆ อ่ะ” ผมบอก โอ้ย นึกถึงภาพผลไม้แล้วน้ำลายจะไหล
“ฮะ!?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางงงๆ
“อยากกิน!” ผมขมวดคิ้วแล้วเริ่มพูดแต่ใจ เมื่อกี้ผมพูดว่าอยากกินพี่มันไม่เข้าใจหรือไงนะ?
“กินอะไร?” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วถาม
“ผลไม้ไง! เอาที่เปรี้ยวๆ นะ ไปซื้อมาหน่อย” ผมเม้มปากแล้วเขย่าแขนพี่มันแรงๆ อย่างขัดใจที่พี่ลุกซ์มีท่าทางงงๆ ก็คนมันหน้ามืดแถมยังรู้สึกผะอืดผะอมก็เลยอยากกินอะไรแก้อาการนี้ซักหน่อย
“เฮ้ย! มึงมีมดลูกรือเปล่า? นี่ท้องแล้วเหรอ? เร็วไปนะบางที” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วสลับกับขมวดพลางเกาท้ายทอยด้วยท่าทางงุนงง โอ้ย! คนอยากกินของเปรี้ยวมันต้องท้องทุกคนเลยหรือไงวะ!?! ก็คนมันเปรี้ยวปากนี่หว่า!
“ถ้าไม่ไปซื้อมาให้ ผมไปเองก็ได้” ผมดันตัวพี่ลุกซ์ออกอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินไปที่ประตูทางออก
“เปอร์ๆ ไปนั่งรอไป เดี๋ยวไปซื้อมาให้” พี่ลุกซ์รีบวิ่งมาดึงแขนผมไว้แล้วพาไปนั่งที่โซฟา
“ก็แค่นั้น” ผมกระแทกเสียงพลางกอดอก
“โอ้โห เมนส์มาเหรอ? อารมณ์แปรปรวนจัง” พี่ลุกซ์มองผมด้วยสายตางุนงงก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไปเพราะผมตวัดสายตาไปมองพี่มันด้วยสายตาเหวี่ยงๆ
ที่ผมเหวี่ยงเพราะผมเพิ่งตื่นด้วยแหละ พออยากได้อะไรแล้วไม่ได้มันเลยหงุดหงิด ถึงจะตื่นมาพร้อมกับอารมณ์ที่ดีก็เถอะ อาการของผมตอนนี้ก็ด้วย ถ้ากินข้าวเข้าไปล่ะก็อาจจะอ้วกออกมาก็ได้ ตอนที่ทำ ท้องก็ว่างซะด้วยสิ
เอาเถอะ ขอเอาแต่ใจหน่อยละกัน ช่วงนี้พี่ลุกซ์ยังเกรงใจผมอยู่เพราะงั้นผมน่าจะเอาแต่ใจมากๆ ก่อนที่จะหมดโปรโมชั่น
“ผลไม้มาแล้ว” รอเพียงไม่กี่อึดใจพี่ลุกซ์ก็เข้ามาพร้อมกันผลไม้หลากชนิด ทันทีที่พี่มันวางผลไม้ไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาผมก็รีบจ้วงมากินทันที
“ซี้ดดด เปรี้ยวสะใจมาก” ผมหยิบมะม่วงขึ้นมากินก่อนจะหลับตาปี๋ห่อไหล่ด้วยความซี้ด
“ลูกดิ้นยัง?” พี่ลุกซ์เดินมานั่งข้างๆ แล้วเอื้อมมือมาลูบท้องผมเบาๆ
“อย่ามากวนตอนกินสิ!” ผมตีมือพี่ลุกซ์ทำให้พี่มันรีบชักมือกลับ
“เมนส์มาใช่ไหมเนี่ย?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วถาม
“บ้าสิ ผมเป็นผู้ชายนะ แล้วที่อยากกินของพวกนี้เพราะผมคลื่นไส้ ก็ผมห่างจากเรื่องบนเตียงมานานนี่หว่า ที่หงุดหงิดก็เพราะพี่ไม่รีบไปซื้อมาให้ต่างหากล่ะ” ผมบอกแล้วจิ้มกระท้อนเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“อย่ากินเยอะนะเว้ย เดี๋ยวอิ่มก่อนกินข้าว ท้องจะเสียเอาด้วย” พี่ลุกซ์บอกผมจึงพยักหน้ารับแต่ก็ยังกินอยู่เรื่อยๆ
พออาการเริ่มดีขึ้นผมจึงไปกินข้าวพร้อมกับพี่ลุกซ์ วันนี้มีหมูมะนาวกับกระเพราปลาหมึกด้วย หวังว่าฝีมือพี่ลุกซ์คงยังไม่ตกหรอกนะ หน้าตาอาหารมันดูดีมากเลย น่ากินสุดๆ อิ่มพุงแตกแน่วันนี้
ไม่ผิดหวังเลยครับ อาหารอร่อยมาก แม้จะไม่เผ็ดสะใจผมแต่รสชาติก็ดีสุดๆ นี่ผมโชคดีมากเลยนะเนี่ยที่ได้กินอาหารฝีมือพี่ลุกซ์ นิสัยอย่างพี่มันคงไม่มีทางไปทำให้ใครกินบ่อยๆ หรอกเนอะ อิๆ ฟิน
“จะอาบน้ำเลยไหม?” พี่ลุกซ์ถามหลังจากเก็บจานไปล้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้พี่มันทำเองทุกอย่างแต่วันต่อๆ ไปผมคงเป็นคนทำล่ะมั้ง แต่เอาเถอะ ผมว่าเรื่องจุกจิกให้เป็นหน้าที่ผมดีกว่าเพราะผมไม่ได้ทำงานหนักอย่างพี่ลุกซ์
“ไม่ล่ะครับ จะกินผลไม้ต่อ” ผมบอกพลางเดินไปนั่งขัดสมาธิบนโซฟาแล้วกดเปิดทีวีดู
“งั้นมาคุยกันเรื่องเลขาคนใหม่ของกูดีกว่า ถ้าหาได้ก็จะย้ายมึงไปอยู่กับพวกไอ้ลัน ทำงานไปซักปีสองปีจะให้ไปช่วยไอ้กีร์” พี่ลุกซ์พูด อ่า...แอบใจหายแฮะที่ต้องทำงานห่างจากพี่มัน แต่ผมจะมาหาพี่มันเวลาที่ผมว่างก็ได้นี่เนอะ ยังไงก็ทำงานที่บริษัทเดียวกัน
“ทำงานกับพี่กีร์ ที่ต้องดีลงานกับต่างประเทศน่ะเหรอครับ?” ผมถาม พี่กีร์ทำงานเป็นวิศวกรที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดพี่ลันและไม่มีลูกน้องคนอื่น จะรับงานและคุยงานกับพี่ลุกซ์โดยตรงแต่ก็ดีลงานกับพี่ลันอยู่ตลอด
“ใช่” พี่ลุกซ์พยักหน้า ผมหน้าหม่นไปนิดๆ เพราะถ้าทำงานกับพี่กีร์ผมก็ต้องไปต่างประเทศบ่อยน่ะสิ
“แล้วผมไม่ต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ เหรอ?” ผมถามเสียงอ่อน
“ก็ไม่ได้ไปบ่อยขนาดนั้น ส่วนมากเวลาไปดูงานน่ะกูก็ไปด้วย แต่ช่วงนี้ให้ไอ้กีร์ไปคนเดียวเพราะเรื่องยุ่งๆ มันเยอะ” พี่ลุกซ์พูดพลางหรี่ตามองผมแล้วอมยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก แน่ะ จะบอกว่าผมคือเรื่องยุ่งๆ ล่ะสินะ ชิ! ตัวเองทำยุ่งเองแท้ๆ
“แล้วเลขาน่ะ จะเอายังไง?” พี่ลุกซ์ถาม
“ก็คงต้องเลือกคนที่ทำงานเป็นล่ะนะ ขี้เกียจเริ่มต้นใหม่” พี่ลุกซ์บอกพลางขมวดคิ้วนิดๆ เหมือนกำลังคิดว่าจะเลือกคนแบบไหนดี
“ไม่เอาผู้หญิง” ผมบอกออกไป
“หา?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วมองหน้าผมงงๆ
“ไม่เอาคนหนุ่ม เอาผู้ชายที่มีลูกมีเมียแล้ว” ผมบอกอีก ถ้าเอาผู้หญิงมาทำงานด้วยผมคงพะว้าพะวงจะไม่เป็นอันทำอะไร อีกอย่าง ถ้าเอาเด็กหนุ่มมาทำงาน เขาอาจจะมาหลงรักพี่ลุกซ์ก็ได้ เพื่อเป็นการตัดกังวล ต้องเอาผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วเท่านั้น
“หึงดิ?” พี่ลุกซ์ที่เข้าใจเจตนารมณ์ผมแล้วยืดตัวขึ้นแล้วเหยียดยิ้มอย่างล้อเลียน
“ผมไม่อยากมาคอยพะวงว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจนต้องเสียใจ” ผมจ้องหน้าพี่ลุกซ์นิ่งๆ แล้วพูดออกไปอย่างจริงจัง
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน กูไม่นอกลู่นอกทางอยู่แล้วล่ะ” พี่ลุกขยับมานั่งข้างๆ ผมแล้วดันหัวผมเข้าไปซบไหล่ของตัวเอง
“ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้กอดพี่มานานมากเลยแฮะ” ผมกอดเอวพี่ลุกซ์เอาไว้พลางพูด รู้สึกอบอุ่นมากๆ เลยล่ะครับ เหมือนขาดหายไปนานมากจริงๆ
“เราจะไม่ห่างกันอีกแล้ว มึงอย่าหนีกูไปไหนนะ” พี่ลุกซ์ลูบหัวผมเบาๆ พลางเอียงหน้ามาจูบที่ขมับ
“ดูพฤติกรรมก่อน” ผมบอกยิ้มๆ
“ถึงหนีไปที่ไหนกูก็จะไปลากกลับมาให้ได้ กูทำอะไรได้มากกว่าที่มึงคิดนะขอบอก” พี่ลุกซ์พูด
“ใช่สิ ขนาดปิดบังเรื่องแต่งงานกับผมก็ยังทำมาแล้วเลย เนียนมากด้วย” ผมทำปากยื่นอย่างงอนๆ เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ที่จริงก็ไม่ได้คิดมากอะไรแล้วล่ะครับ อาจจะมีคิดบ้างช่วงที่รู้สึกตกต่ำแต่ถ้าปกติก็ไม่คิด
“ถ้าไม่อยากโดนปล้ำอย่าพูดเรื่องนี้อีก กูเจ็บนะเนี่ย” พี่ลุกซ์ว่า
“โอ๋ๆ ไม่เอาน่า อย่าร้องนะเด็กดี ฮ่าๆ” ผมลูบหลังพี่ลุกซ์ก่อนจะใช้มือพี่มันหมุนคางเล่นแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน
พี่ลุกซ์ดีดหน้าผากผมเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะบีบจมูกผมแล้วดึงไปมา ผมหัวเราะก่อนจะแกล้งเล่นกับพี่มันต่อไปจนกระทั่งเหนื่อย เราแยกกันไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนที่เตียงเดิมที่มีผ้าปูที่นอนลายน่ารักที่ผมเคยเลือกเอาไว้ก่อนที่พี่ลุกซ์จะไปอเมริกา จำได้ไหมที่พี่ลุกซ์เคยบอกว่าสีห้องทึมๆ ไป อยากได้ผ้าปูสีสดใสหน่อยผมก็เลยแกล้งเลือกผ้าปูลายหมีพูห์มาซะเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++++ เดี๋ยวมาต่ออัตภีร์ทีหลังเน้ออออ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ