[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) Chapter 18 : ลักพาตัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 18 : ลักพาตัว



 

สองสัปดาห์หลังจากนั้นพี่ลุกซ์แทบไม่คุยกับผมเลย  นอกจากสั่งงานก็ไม่คุยอะไรอีกจนผมอึดอัด  ขนมอะไรก็ไม่ซื้อมาให้  เอกก็ทำงานยุ่งจนไม่มีเวลาเอาขนมมาฝาก  ทุกวันนี้ผมเลยอดอยากปากแห้งไปเพราะผมก็ไม่ได้แวะไปร้านขนมเลย  ที่ไม่ไปไม่ใช่เพราะไม่ว่างหรอกนะแต่เพราะผมรอให้พี่ลุกซ์เอาขนมมาให้ต่างหาก  แต่สุดท้าย...เขาก็ไม่เอามาให้

“เอาล่ะครับ ในที่สุดโปรเจ็กต์นี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี  ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกันทำงานนะครับ  คิดว่าโบนัสปีนี้คงพุ่งกระฉูดแน่ ฮึๆ” พี่ลุกซ์พูดปิดประชุมหลังจากมาสรุปโปรเจ็กต์นำเข้ารถครั้งล่าสุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว  แค่ได้ยินว่าโบนัสจะขึ้น คนที่มาประชุมก็ร่วมใจกันเฮอย่างดีใจ  ส่วนผมก็ดีใจเพราะบริษัทประสบความสำเร็จแม้ว่าผมจะไม่ได้โบนัสกับเขาก็ตาม

ที่บอกว่าจะไม่ได้โบนัสก็เพราะเมื่อจบโปรเจ็กต์นี้ผมก็ตั้งใจจะลาออก  ที่จริงถ้าพี่ลุกซ์ตามง้อผมมากกว่านี้ผมอาจจะไม่ลาออกก็ได้  แต่ดูเขาปั้นปึ่งใส่ผมขนาดนี้ผมก็คงต้องยื่นซองขาวจริงๆ

เมื่อประชุมเสร็จ ผมก็ปลีกตัวออกมาโทรศัพท์หาที่บ้านทันที

[สวัสดีค่ะ] เสียงแม่รับโทรศัพท์

“แม่ครับ ผมเองนะ” ผมบอก

[ว่าไงลูก?] แม่ถามเสียงสดใส

“แม่ครับ  ที่บ้านเรามีเงินเก็บมากหรือเปล่าครับ?” ผมถามออกไปเพราะเงินส่วนใหญ่ที่ผมทำงานได้มาผมจะโอนเข้าบัญชีพ่อเพื่อให้เป็นค่าใช้จ่าย ส่วนผมใช้เงินอย่างประหยัดและพยายามเก็บหอมรอมริบมาตลอดหลายปี  ถ้ามันจำเป็นผมคงต้องงดส่งเงินให้ชั่วคราวจนกว่าจะหางานใหม่ได้  ส่วนผมก็พอมีเงินเก็บไว้ใช้ส่วนตัวอยู่บ้าง

[เกิดอะไรขึ้นลูก?] แม่ถามอย่างตกใจ

“ผมจะลาออกจากบริษัทนี้แล้วล่ะครับแม่  ผมคงทนทำงานกับเขาไม่ได้แล้ว  แต่กว่าจะหางานใหม่ทำได้คงต้องใช้เวลา  ผมอยากแน่ใจว่าบ้านเราจะไม่ลำบากถ้าผมออกจากที่ทำงาน” ผมบอกเสียงแผ่วๆ  ใจมันหวิวๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ  ทั้งกลัวพ่อกับแม่ผิดหวังทั้งกลัวว่าหัวใจของตัวเองจะทรมานมากกว่าเดิม

[ไม่ต้องกังวลหรอกนะเปอร์  เงินที่เปอร์ส่งมาให้พวกเรามันมากมายจะตายลูก  ถ้าอึดอัดก็ออกมาเถอะนะ  พ่อเขาอยากให้เราออกจะตาย] แม่บอก

“ครับแม่  งั้นวันนี้ผมคงได้กลับบ้านเร็ว  เดี๋ยวซื้อขนมร้านเอกไปฝากเยอะๆ เลยนะครับ” ผมบอกเสียงร่าเริงก่อนจะวางสายไป

ผมหุบยิ้มก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อพิมพ์ใบขอลาออก  เอาวะ! ค่อยไปหางานทำใหม่ก็ได้

 

ผมชั่งใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของพี่ลุกซ์เพื่อยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ  ผมเคยบอกไว้แล้วว่าถ้าโปรเจ็กต์นี้เสร็จผมก็จะลาออกทันที  มันคงถึงเวลาที่ผมต้องออกจากชีวิตของเขาจริงๆ  ผมอยู่กับเขาไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ  ไม่ไหวหรอกกับคนแบบนั้น

“อะไร?” เขาถามเสียงห้วนเมื่อผมวางซองขาวไว้บนโต๊ะทำงานของเขา

“ผมมาลาออกครับ” ผมพูดแล้วเม้มปากแน่นรอดูปฏิกิริยาของเขา

“อืม จะไปก็รีบไป  ผมงานยุ่ง คงไม่มีเวลาส่งคุณหรอกนะ” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะก้มหน้าก้มตาเปิดเอกสารแล้วเซ็นยิกๆ  ผมเม้มปากแน่นมองเขาอย่างตัดพ้อก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องทำงานของเขาทันที

เมื่อออกมาแล้วผมก็พยายามข่มใจไม่ให้เสียใจกับการกระทำของเขาก่อนจะเก็บของของตัวเองใส่กล่องที่เตรียมมา  ของของผมมีไม่เยอะหรอกครับ  มีนิดเดียวจริงๆ เพราะผมก็เพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน

“เปอร์ เก็บของทำไม?” พี่พลอยที่เพิ่งเดินออกจากห้องประชุมกลับมาที่โต๊ะทำงานถามขึ้นด้วยสีหน้าหม่นๆ

“ผมลาออกแล้วครับพี่พลอย” ผมบอกเสียงแผ่วๆ แล้วยิ้มให้พี่พลอยนิดๆ

“ทำไมเปอร์ต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะจ๊ะ?” พี่พลอยทำหน้าเศร้า

“เขาไม่ได้รักผมจริงๆ หรอกพี่พลอย  เอาคืนไปก็ไม่มีประโยชน์  ผมถอยห่างออกไปดีกว่า  ผมไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเสียเต็มประดา

“โธ่เปอร์  มานี่มา  มาให้พี่กอดหน่อยมา” พี่พลอยย่นคิ้วย่นจมูกก่อนจะเดินมากอดปลอบ  มือบางๆ ลูบผมของผมอย่างอ่อนโยน  ผมเองก็เหนื่อยจึงละมือที่เก็บของอยู่ไปกอดพี่พลอยเอาไว้แน่นเหมือนคนต้องการที่พึ่งทางใจ

แกร๊ก!

ผมกับพี่พลอยสะดุ้งพลางรีบผละออกจากกันเมื่อประตูห้องทำงานของพี่ลุกซ์เปิดออก  ผมมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาเลิ่กลั่กก่อนจะรีบหลบสายตา  ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าการที่เขาไม่สนใจผมตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมันทำให้ผมเสียใจมากแค่ไหน

“ขอโทษที่มาขัดจังหวะ  ผมเซ็นเช็คมาให้ ค่าเหนื่อย” พี่ลุกซ์วางเช็คเงินสดไว้บนโต๊ะผมก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง  ผมเม้มปากย่นคิ้วก่อนจะโผเข้าไปกอดพี่พลอยอีกครั้ง

“เห็นไหมครับพี่พลอย  เขาไม่ได้สนใจผมเลย  เขาไม่รู้สึกอะไรกับผมอีกแล้วพี่พลอย  ผมควรไปจากเขาซักที” ผมกระชับอ้อมแขนที่กอดพี่พลอยให้แน่นขึ้นก่อนพูดออกมาเหมือนคนเพ้อ

“ไม่เป็นไรนะเปอร์  ไม่เป็นไรนะ” พี่พลอยลูบหลังผมแล้วพูดปลอบเสียงอ่อนโยน  ผมกอดพี่พลอยอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสงบใจได้ก่อนจะเก็บของต่อแล้วขนของไปที่โรงจอดรถเพื่อขับรถกลับบ้าน

 

ลาก่อน...

 

หมับ!

“เฮือก!!” ขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูขึ้นรถคอผมก็ถูกล็อคอย่างแน่นหนาพร้อมกับผ้านิ่มๆ ที่โปะมาที่จมูกและปากของผม  ผมดิ้นไปมาเพื่อที่จะหันไปมองคนที่เข้ามาชาร์จตัวผมจากทางด้านหลังแต่ผมสู้แรงเขาไม่ได้อีกทั้งสติผมยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะความตกใจผมจึงงัดวิชาต่อสู้ที่เรียนมามาใช้ไม่ได้

เพียงเวลาไม่นาน สติผมก็หลุดไป



70% left


 

“เฮือก!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจก่อนจะนึกย้อนกลับไปว่าอะไรเกิดขึ้นกับผม  เมื่อนึกออกว่าผมถูกใครก็ไม่รู้โปะยาสลบผมก็รีบลุกออกจากเตียงนอนหนานุ่มแล้วหันไปมาเพื่อมองหาคนร้าย  ใจก็เต้นแรง  ทั้งกลัวทั้งตกใจเพราะไม่รู้ว่าที่ผมถูกจับตัวมาแบบนี้เพราะคนร้ายต้องการอะไร

เมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน ผมจึงลองเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดมันออกแต่ไม่ว่าจะเขย่ามันแรงแค่ไหนประตูก็เปิดออกไม่ได้  คาดว่าน่าจะถูกล็อคจากข้างนอก  ผมหน้าเสียก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงแล้วนั่งลงกุมขมับอย่างคิดไม่ตก

แกร๊กๆๆ

เสียงทำอะไรบางอย่างที่ประตูดังขึ้นเหมือนเสียงไขกุญแจและเหมือนเสียงโซ่กระทบประตู  ผมรีบลุกขึ้นยืนก่อนจะมองหาอะไรที่พอจะเป็นอาวุธได้มาถือไว้เพื่อป้องกันตัว  ผมเหลือบไปเห็นแจกันจึงรีบวิ่งไปหยิบมันมาถือไว้ในมือแล้วตั้งท่าเตรียมฟาดเต็มที่

ผ่าง

ฟิ้ว

เพล้ง!!

“ทำเหี้ยอะไร!?!” เสียงคำรามเหมือนเสียงขู่ดังขึ้นเมื่อประตูเปิดออกแล้วผมก็ขว้างแจกันไปที่ประตูทันทีเพื่อจัดการกับคนร้ายที่จับตัวผมมาแต่คงเป็นเคราะห์กรรมของผมเองที่ทำให้คนร้ายนั่นหลบได้จนแจกันกระแทกพื้นแตกกระจาย

“คุณ...!!” ผมชี้หน้าคนร้ายคนนั้นก่อนจะขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ

“มึงทำให้กูไม่มีทางเลือกเองนะเปอร์  ง้อดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง ใช้วิธีสกปรก กูก็เลยจัดให้ตามแบบที่มึงชอบไง” พี่ลุกซ์วางถุงกระดาษหลายถุงที่บรรจุอะไรบางอย่างลงที่พื้นก่อนจะเดินช้าๆ เข้ามาหาผม

ฉิบหายละ! นี่ผมถูกพี่ลุกซ์จับมางั้นเหรอ?  ให้ตายเถอะ ผมยอมถูกคนอื่นจับไปซะยังจะดีกว่าเพราะถูกคนแบบนี้จับมาผมก็คงไม่พ้นกลายเป็นอีตัวให้เขากระทำย่ำยี

“ถอยออกไป! อย่าเข้ามานะ!” ผมชี้นิ้วไปที่เขาก่อนจะขยับถอยหลังออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งขาผมชิดขอบเตียง

“สั่งกูเหรอ? ฮึ! กูยอมให้มึงเป็นเจ้าชีวิตกูแล้วนะแต่มึงไม่เอาเอง  เพราะฉะนั้นตอนนี้...กูจะเป็นเจ้าชีวิตของมึงเอง” พี่ลุกซ์เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตัว  ผมที่กลัวจนตัวสั่นรีบวิ่งหนีออกไปทางด้านข้างด้วยท่าทางลนลานแต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเพราะถูกเขาคว้าเอวเอาไว้แล้วเหวี่ยงไปที่เตียง

ด้วยความกลัวผมจึงรีบลุกแล้วหวังจะคลานหนีแต่ก็ถูกจับมานอนหงายแล้วกดข้อมือตรึงเอาไว้เหนือหัว  ขาทั้งสองข้างก็ถูกคร่อมทับไว้จนขยับไม่ได้  ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจากพันธนาการร่างกายนี้ซักที

“จะทำอะไร!?” ผมถามเสียงหลงเมื่อเขายื่นหน้ามาใกล้ๆ จนจมูกจรดลงที่ริมฝีปากล่างของผม  ผมรีบเบือนหน้าหลบทำให้จมูกเขาซุกมาที่ซอกคอของผมเต็มๆ

“ฮึๆ เปอร์  ผัวเมียกัน หอมนิดหอมหน่อยไม่ได้หรือไง?” พี่ลุกซ์สูดดมตรงซอกคอนิดหน่อยแล้วผงกหัวกลับขึ้นมาก่อนจะมองผมด้วยสายตาโลมเลียจนผมรู้สึกขนลุกไปหมด

“ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ!” ผมหันมาตะคอกใส่เขาอย่างโมโห  เขาพูดเหมือนดูถูกผมเลย  ทั้งสายตา น้ำเสียง เขาทำเหมือนกับผมเป็นแค่คนที่ต้องมาคอยปรนนิบัติและยอมพลีกายให้เขารู้สึกดีเท่านั้นเอง  ความหมายของคำว่า เมีย สำหรับเขาคงมีแค่นั้นสินะ  ไม่งั้นคงไม่จับผมมาแบบนี้หรอก

“ขนาดนี้แล้วมึงยังไม่ยอมรับอีกเหรอว่ามึงเป็นเมียกู! ทำไม? เพราะไอ้เอกเหรอ? มึงไม่ได้รักมันนี่ มึงรักกู! มึงรักกูคนเดียว!!” พี่ลุกซ์ทำหน้าดุดันก่อนจะตะคอกใส่หน้าผมชนิดที่น้ำลายกระเด็นมาโดนเลยทีเดียว

“หลงตัวเองเกินไปหรือเปล่า? ผมเคยบอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าถ้าวันหนึ่งคุณทำให้ผมเสียใจผมก็จะไปจากคุณและไม่หันกลับมาอีก  คุณทำมันลงไปแล้ว คุณยังจะอยากได้อะไรจากผมอีกในเมื่อคุณทำลายผมด้วยมือของคุณเอง!” ผมตะคอกกลับอย่างโมโห  ยิ่งนึกถึงตอนที่ผมรู้ว่าเขามีลูกมีเมียแล้วผมยิ่งอยากจะเอาคืนเขาให้หนักๆ เพราะตอนนั้นผมเหมือนคนตายทั้งเป็น  ผมรู้สึกถึงการสูญเสียเหมือนกับว่าคนรักผมได้ตายไปจริงๆ  ช่วงเวลานั้นผมผ่านมันมาอย่างยากลำบาก  เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาต้องเจอตอนนี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ

“กูขอโทษ! กูไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนนั้นกูคิดอะไรไม่ออกแล้วนี่เปอร์  มึงเสียใจกูก็เสียใจ  กูอยากจะเข้าไปกอดไปปลอบมึงแต่กูก็ทำไม่ได้เพราะกลัวว่ามึงจะเดือดร้อน  กูขอโทษ” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นไปนั่งพลางดึงผมให้ไปนั่งด้วยโดยที่เรานั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันและพี่ลุกซ์ก็จับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้

“ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว  ผมไม่มีความศรัทธาในตัวคุณแล้ว ผมไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับคนแบบคุณเพราะมันมีแต่ความเสียใจและทุกข์ทรมาน  เมื่อก่อนผมอาจจะรักคุณมากแต่คุณก็ทำร้ายจิตใจผมมาเกินพอแล้วล่ะ  ปล่อยผมไปเถอะ  ให้ผมไปอยู่กับคนดีๆ นิสัยดีๆ เถอะ  ผมเหนื่อยกับคนเลวๆ แบบคุณเต็มที” ผมมองหน้าพี่ลุกซ์นิ่งๆ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ

“งั้นมึงก็ต้องเหนื่อยต่อไปเพราะกูไม่มีทางยอมให้มึงไป  กว่ากูจะได้มึงมากูลำบากมากแค่ไหนมึงไม่เข้าใจหรอก” พี่ลุกซ์พูดด้วยน้ำเสียงติดตัดพ้อนิดๆ ในตอนท้ายประโยค

“เฮอะ! กว่าจะได้มางั้นเหรอ? ตลกนะที่คุณกล้าพูดคำนี้  ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันผมไม่เคยเห็นคุณพยายามเพื่อผมเลย  จะมาทำเอาตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยเหรอ?” ผมยิ้มเยาะนิดๆ อย่างเอือมระอาที่เขากล้าพูดออกมาว่าเขาต้องลำบากเพื่อที่จะได้ผมมาครอบครอง  รู้สึกว่าผมต่างหากที่พยายามอยู่ตลอด

“เพราะกูพยายามเพื่อมึงต่างหากกูถึงต้องทำแบบนั้น” พี่ลุกซ์พูดด้วยเสียงที่เบาลง

“เหตุผลเห็นแก่ได้แบบนั้นก็เหมาะกับคนแบบคุณดีนะ  เอาเถอะ  ต่อให้คุณพล่ามออกมาจนไม่มีอะไรจะพล่าม ผมก็คงเชื่อใจคุณไม่ได้  แล้วนี่คุณพาผมมาที่ไหน? ผมจะกลับบ้าน” ผมพูดเหมือนไม่สนใจคำแก้ตัวของเขาก่อนจะถามเพื่อตัดบท  ไม่อยากดราม่า  ขืนเจอเขาดราม่าใส่ผมต้องใจอ่อนแน่  ตอนนี้ขอผมพิสูจน์เขาให้ผมได้มั่นใจอีกหน่อยละกันว่าต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขเขาต้องบอกต้องคุยกับผมทุกเรื่อง  ตอนนี้ผมยังไม่มั่นใจในตัวเขาเท่าที่ควร  เมื่อไหร่ที่เขาเข้าใจ เมื่อนั้นผมจะกลับมาเป็นเปอร์คนเดิมของเขา

“ก่อนจะบอกว่าอยู่ที่ไหนมึงช่วยเลิกพูดคุณๆ อะไรแบบนั้นได้ไหม  ฟังทีไรแสลงหูทุกที  เรียกกูเหมือนเดิมดิ” พี่ลุกซ์ย่นคิ้วก่อนจะบอก

“เรื่องอะไรผมต้องเรียกเหมือนเดิม? ไม่เรียก” ผมตอบกลับทันที

“ไม่เรียกเหมือนเดิมก็ไม่บอก” พี่ลุกซ์ยักคิ้วแล้วกอดอกเหมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่า

“ไม่บอกก็ไม่อยากรู้  ลักพาตัวผมมาแบบนี้กรุณาโทรไปบอกที่บ้านผมด้วย  แล้วก็ไสหัวออกไปจากห้องนี้  ถ้าจะให้ผมอยู่ที่นี่ผมก็จะอยู่ห้องนี้คนเดียว!” ผมยื่นคำขาดเพราะรู้ดีว่าต่อให้พยายามหนีผมก็คงหนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี  ถ้าผมคิดหนีผมว่าโซ่ที่ล่ามประตูอยู่คงเปลี่ยนมาล่ามที่ขาผมแทน

“ไม่ได้  ที่นี่มีห้องนอนห้องเดียว” พี่ลุกซ์บอก

“ถ้ามีห้องเดียวคุณก็ออกไปนอนข้างนอกสิ  ผมจะไม่นอนห้องเดียวกับคุณเด็ดขาด” ผมพูดพลางมองเขาตาขวาง

“เรื่องอะไร? บ้านกู” พี่ลุกซ์ลอยหน้าลอยตาตอบ

“งั้นผมจะไปนอนข้างนอก” พูดแล้วก็จะลุกออกจากเตียงแต่ก็ถูกมือหนาฉุดข้อมือเอาไว้

“เรื่องอะไร? เมียกู” พี่ลุกซ์ตอบหน้าตาย

“หยุดมโน  ผมไม่ได้เป็นเมียของคุณเพราะตอนนี้ผมเป็นแฟนกับเอก  ถ้าจะอ้างว่าผมเป็นเมียคุณเพราะเรามีอะไรกันแล้วงั้นผมก็คงเป็นเมียเอกด้วยเพราะผมก็มีอะไรกับเขาแล้วเหมือนกัน” ผมพูดโกหกแล้วกอดอกยิ้มเยาะพี่ลุกซ์  ดูซิว่าจะทำหน้ายังไง  เมื่อก่อนชอบว่าผมไปมีอะไรกับคนอื่นตลอดเลย ทั้งพี่จักร ทั้งเอก  ชอบว่าดีนักก็สนองให้เลยแม่ง  ถึงจะโกหกก็เถอะ

พี่ลุกซ์หน้าเสียไปก่อนจะไม่พูดอะไรแล้วลุกออกไปจากห้องโดยไม่ลืมที่จะล็อกห้องเอาไว้อย่างแน่นหนาจากด้านนอก  ผมรีบวิ่งไปเขย่าประตูเพื่อเปิดมันออกแต่มันก็ไม่ออกเพราะเขาใช้โซ่ล็อกเอาไว้

“ไม่ว่าเรื่องที่มึงพูดมาจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหกแต่กูอยากจะให้มึงรู้เอาไว้ ว่ากูก็มีหัวใจ  การที่ต้องรู้ว่าคนที่ตัวเองรักไปมีสัมพันธ์กับคนอื่นมันเจ็บมากแค่ไหนมึงก็คงรู้ดี” พี่ลุกซ์พูดเสียงแผ่วเบาแต่ผมก็ได้ยินมันชัดเจนทั้งน้ำเสียงและความหมาย  พี่มันดูเจ็บปวดมากเหลือเกิน “กูห้ามไม่ให้มึงรักใครไม่ได้หรอก  แต่กูก็หวังตลอดว่าใจของมึงจะยังเป็นของกูอย่างที่มึงเคยบอก  วันนี้มึงเอามันไปให้คนอื่น  แต่ซักวัน...กูจะเอามันกลับคืนมา” พูดจบเสียงฝีเท้าก็ดังห่างจากประตูไปจนกระทั่งผมมั่นใจว่าเขาเดินออกไปแล้ว

คำพูดของเขาทำให้ผมแทบยืนไม่อยู่เพราะความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นมันมากมายเหลือเกิน  เขารักผมมากก็เลยเสียใจมากเมื่อรู้ว่าผมมีคนอื่นแม้ว่าจริงๆ แล้วผมจะไม่มีใครก็ตาม  เขาดูเจ็บปวดจนผมเจ็บตาม  เจ็บจนอยากจะร้องไห้  ผมสงสารเขาแต่ก็ยังทำใจให้อภัยเขาอย่างเต็มร้อยไม่ได้อยู่ดีเพราะสิ่งที่เขาทำเอาไว้มันมากมายเหลือเกิน

ผมหอบร่างกายอ่อนแรงของตัวเองกลับไปนั่งพักที่เตียงก่อนจะจมดิ่งสู่ความคิดอันแสนสับสนของตัวเอง

 

ผมหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้แต่พอตื่นขึ้นมาผมก็เห็นพี่ลุกซ์นั่งมองผมนอนหลับอยู่ไม่ห่าง  พี่มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้บุนวมที่ตั้งอยู่ห่างจากเตียงไม่มากนัก  สายตาที่มองมาดูเหม่อๆ ขนาดผมตื่นแล้วพี่มันก็ยังมีสายตาเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าพี่มันรู้หรือเปล่าว่าผมตื่นแล้ว

“จะมองอีกนานไหม?” ผมถามออกไปเสียงห้วน

“เอ๊ะ? เอ่อ...หิวยัง?” พี่ลุกซ์สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะถามขึ้น  สายตาพี่มันกลับมาดูเหมือนคนมีสติแล้ว

“ยังครับ” ผมตอบเพราะเพิ่งตื่นเลยยังไม่หิว

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” พี่ลุกซ์ถาม

“ไม่ครับ” ผมตอบกลับทันที

“อืม นี่ก็เย็นแล้ว ถ้าอยากอาบน้ำ เสื้อผ้าก็อยู่ในตู้นั่นแหละ  ถ้าหิวก็ไปกินข้าว  กูจะรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น  เดินออกไปก็เจอเลย” พี่ลุกซ์พูดนิ่งๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป  ผมมองตามแล้วคิดได้ว่าพี่มันคงเตรียมอาหารไว้ให้แล้วจึงตามออกไปทันที

“ถ้าเตรียมอาหารไว้แล้วก็บังคับให้ผมกินเหมือนที่เคยทำก็ได้นี่” ผมพูดกึ่งประชดนิดๆ ก่อนจะมองอาหารที่จัดไว้บนโต๊ะแล้วน้ำลายสอ  ให้ตายเถอะ มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย  ทั้งปลาหมึกย่างตัวโต ยำทะเล กุ้งเผา กั้งเผา ปลานึ่งมะนาว แล้วก็หมูมะนาว  อ่า...อยากกินแต่ต้องเก็บอาการ  แต่ดูเหมือนว่าหมูมะนาวนั่นพี่มันจะไม่ได้ทำเองแฮะเพราะหน้าตาดูไม่เหมือนที่พี่มันเคยทำให้กินเลย

“อยากให้บังคับเหรอ?” พี่ลุกซ์ถามแล้วเหลือบตามองผมนิดๆ

“ใครจะชอบถูกบังคับล่ะ? การที่ผมถูกบังคับมาที่นี่ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน” ผมพูดประชดอีก

“ถ้าไม่หยุดพูดประชดกูจะเอาข้าวยัดปากมึง  มานั่งกินข้าวได้แล้ว” พี่ลุกซ์พูดขู่ๆ ผมจึงย่นจมูกอย่างหงุดหงิดแล้วเดินไปนั่งบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับพี่ลุกซ์

จากการสำรวจด้วยสายตาคร่าวๆ ผมคิดว่าที่นี่อาจจะเป็นห้องพักหรือไม่ก็บ้านพักที่มีห้องนอน 1 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง อยู่ในห้องนอนและอยู่ข้างนอก  มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และกว้างมาก  มาบาร์เหล้าอยู่ในห้องนั่งเล่นและมีห้องครัวที่มีโต๊ะทานข้าวอยู่ด้านใน  ดูสะดวกสบายดีครับ

“ที่นี่ที่ไหน?” ผมถามขึ้นหลังจากนั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว

“บ้านกู”

“ไม่ใช่  บ้านคุณไม่มีที่แบบนี้” ผมบอกเพราะบ้านพี่ลุกซ์ไม่ได้มีลักษณะที่เป็นห้องที่รวมทุกอย่างแบบนี้

“บ้านที่อยู่ท้ายเกาะ  เป็นบ้านเล็กๆ ชั้นเดียว  ตัวบ้านก็มีแค่นี้แหละ  แล้วบ้านหลังนี้ก็ไม่มีใครเข้ามาเพราะมันอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว” พี่ลุกซ์บอก

“แล้วเมื่อไหร่คุณจะปล่อยตัวผมไป” ผมถามโดยนั่งนิ่งๆ ไม่แตะอาหารตรงหน้าแม้ว่าจะอยากกินมากก็ตาม

“ไม่ปล่อย” พี่ลุกซ์ตอบแล้วเอากุ้งที่แกะเสร็จมาวางไว้บนจานข้าวของผม

“ทำไมต้องขังผมไว้ด้วย  สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมขมวดคิ้วถามอย่างจริงจัง

“แล้วมึงล่ะสนุกไหมที่เห็นกูเจ็บเพราะมึงไปยุ่งกับคนอื่น  ทั้งไอ้เอกและคุณพลอย  มึงก็รู้ว่ากูขี้หึง ขี้หวงมากแค่ไหน  แต่ตอนนี้กูไม่มีสิทธิ์หึงหรือหวงอะไรเลย  กูไม่มีสิทธิ์เพราะกูทำลายสิทธิ์นั้นด้วยตัวกูเอง  แค่จะกอดมึงกูยังไม่กล้าเลยเปอร์เพราะกูละอายแก่ใจในสิ่งที่กูทำลงไป  และที่กูจับมึงมาแบบนี้เพราะกูไม่อยากให้มึงหนีกูไปอีก  ถ้ามึงไม่พอใจ กูขอโทษ” พี่ลุกซ์บอก

“...” ผมเงียบไปเพราะรู้สึกสงสารเขา

“กูว่าถ้ากูยังนั่งอยู่แบบนี้มึงอาจจะกินอะไรไม่ลง  มึงกินข้าวไปก่อนละกัน  ถ้าอิ่มแล้วมีขนมอยู่ในตู้เย็น” พี่ลุกซ์บอกแค่นั้นก่อนจะรีบลุกเดินไปเปิดประตูออกจากบ้านโดยไม่ลืมที่จะใส่กุญแจขังผมเอาไว้ในบ้านคนเดียว

“ยังไม่ได้บอกซักคำว่ากินไม่ลง” ผมมองประตูที่ปิดลงก่อนจะพึมพำออกไปเบาๆ  เฮ้อ เขาทิ้งผมเอาไว้แบบนี้ยิ่งทำให้ผมกินข้าวไม่ลง  ผมน่ะยังไม่หิวหรอกแต่ดูเหมือนเขาคงหิว  ถ้าให้ผมกินแล้วเขาจะกินอะไร? ของเหลืองั้นเหรอ?

เฮ้อ งั้นผมรอให้เขากลับมาแล้วค่อยกินก็ได้

 

ลุกซ์วิ่งออกมาจากบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่บนเนินผาบริเวณหลังเกาะที่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลเพื่อที่จะออกไปสงบสติอารมณ์ที่ทะเล  ลุกซ์วิ่งลัดเลาะผ่านป่าลงมาจนถึงชายหาดก่อนจะถอดเสื้อทิ้งลงบนพื้นทรายแล้ววิ่งลุยน้ำลงไปแล้วว่ายโต้คลื่นที่ซัดเข้าฝั่งแล้วม้วนตัวกลับลงทะเลอย่างบ้าคลั่ง

“ทำไม! ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย!?!” ลุกซ์ผุดขึ้นมาจากน้ำก่อนจะตะโกนออกมาอย่างอัดอั้น

เวลาผ่านไปจนฟ้ามืด น้ำทะเลขึ้นสูงจนกระทั่งเสื้อของลุกซ์ที่ถอดไว้บนหาดเปียกและลอยขึ้นมาเหนือน้ำที่ท่วมสูงขึ้น  ถ้ำเล็กๆ ที่อยู่บนหาดเองก็ถูกน้ำท่วมจนมิด  ทะเลในเวลาค่ำคืนอันตรายมากแค่ไหนลุกซ์รู้ดีแต่เขาก็ไม่อยากจะกลับขึ้นไปเพราะเขาไม่อยากกลับไปเห็นสายตาหมางเมินของเปอร์

 

ผมนั่งรอพี่ลุกซ์จนกระทั่งสองทุ่มพี่มันถึงกลับเข้ามา  สภาพดูแย่มากครับ  ไม่รู้ไปตกน้ำที่ไหนมาตัวถึงเปียกมะลอกมะแลกแบบนั้นแต่ถ้าให้เดาจากกลิ่นคงไปตกทะเลมาแน่นอน

“ยังไม่กินข้าวอีกเหรอ?” พี่ลุกซ์ถามทั้งๆ ที่ยังยืนตัวเปียกอยู่หน้าประตูบ้าน

“อืม” ผมหันไปมองอาหารก่อนจะพยักหน้าบอก  อาหารทุกอย่างเหลือเหมือนเดิม  แม้กระทั่งกุ้งตัวโตที่เขาแกะให้ผมก็ยังวางอยู่ที่เดิม

“ทำไมไม่กิน? เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก!” เขาขมวดคิ้วพูดดุๆ ก่อนจะบิดเสื้อเปียกที่ถือมาด้วยตั้งแต่แรกจนน้ำที่ออกจากเสื้อนองพื้นบริเวณหน้าประตู

“ไปอาบน้ำก่อนสิ  ผมจะไปอุ่นอาหาร” ผมบอกแล้วยกอาหารเข้าครัวเพื่ออุ่นให้มันร้อน จะได้น่ากิน  ขืนให้กินตอนที่มันเย็นๆ แบบนี้มันคงเสียรสชาติแย่

 

พอผมอุ่นอาหารเสร็จพี่ลุกซ์ก็อาบน้ำเสร็จพอดี  พี่มันเดินเข้ามาในห้องครัวแล้วยกอาหารออกไปไว้ที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น

“กินในนี้ก็ได้นี่ครับ  ทำไมต้องเอาออกไปกินข้างนอกด้วย?” ผมถามเพราะในห้องครัวก็มีโต๊ะกินข้าว

“จะได้ดูทีวีด้วย  มึงคงไม่อยากนั่งอยู่กับกูสองคนเงียบๆ” พี่ลุกซ์พูด

“ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแล้วพาผมมาทำไม?” ผมถามออกไปจี้ใจดำจนพี่ลุกซ์นิ่งไปแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ  คงจะพูดไม่ออกล่ะสินะ  ฮึ! เข้าใจหรือยังว่าเวลาผมโดนพูดใส่แบบไม่มีเยื่อใยผมรู้สึกยังไง

เราต่างคนก็ต่างกินข้าวกันไปเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร  พี่ลุกซ์เองก็คอยแกะกุ้งแกะกั้งให้ผมกินเรื่อยๆ  ผมก็กินนะ  ถ้าไม่กินก็เสียดายของแย่

 

+++++++++++++++++++++++++++++

ลุกซ์เอ้ย  โดนแค่นี้ยังน้อย
แกทำไว้เยอะ  ถึงจะมีเหตุผลแต่แกก็ทำร้ายน้องไปแล้ว เสียใจด้วยนะยะ อิ๊ๆ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา