[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) Chapter 16 : เริ่มต้นใหม่ได้ไหม?
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวันต่อมา
วันนี้ที่ทำงานวุ่นวายอีกครั้งเนื่องจากมีพนักงานใหม่แผนกบริหารเข้ามาทำให้พวกผมต้องไปดูและคุยกันว่าใครจะเป็นตัวหลักในการสอนงาน
“ทำไมวันนี้ดูวุ่นวายจัง?” พี่ถังที่กำลังจะเดินเข้าห้องทำงานชะงักแล้วถามขึ้น
“พนักงานใหม่มาน่ะ กำลังคุยกันอยู่ว่าจะให้ใครสอนงาน” ผมบอกพลางเปิดดูเรซูเม่ของน้องเด็กฝึกงาน อืม...จบมาจากที่เดียวกันกับผมแถมคณะเดียวกันอีกแต่ไปเรียนต่อทางด้านบริหารสินะ ประวัติดีแถมหน้าตาสวยซะด้วย แต่...หน้าคุ้นๆ ว่ะ
ผมขมวดคิ้วลูบคางเพ่งพิจารณารูปที่ติดบนเรซูเม่อย่างชั่งใจ ผมว่าน้องเขาหน้าตาคุ้นๆ แฮะ แบบ...เหมือนเคยรู้จัก แต่ไม่แน่ น้องอายุน้อยกว่าผมแค่ปีเดียวแถมอยู่คณะเดียวกัน ผมอาจจะเคยเห็นหน้าน้องจากคณะก็ได้
“เปอร์ ตกลงให้น้องมาฝึกงานกับเปอร์นะ” เสียงของพี่พิมดึงสติผมให้หลุดออกจากภวังค์ ผมสะบัดหัวเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาพี่พิมแล้วเหลือบมองไปที่น้องเด็กฝึกงานที่ยืนข้างๆ กัน
“ผมเหรอ? ผมก็เพิ่งมาทำงานเองนะ” ผมพูดอย่างตกใจ ผมเองยังต้องเรียนรู้งานจากพี่พลอยอยู่เลย
“ช่วงนี้เปอร์สอนงานพื้นฐานให้น้องไปก่อนนะเพราะมีแต่คนวุ่นๆ เลยอ่า” พี่พิมบอกพลางส่งยิ้มแหยๆ ให้
“โอเค ได้ครับพี่พิม เดี๋ยวผมดูแลเอง” ผมบอกก่อนจะแตะแขนพี่พิมเบาๆ เพื่อบอกให้วางใจผมได้เลย ถึงผมจะเพิ่งทำงานแต่คิดว่าคงสอนน้องได้อยู่หรอกมั้ง
“ขอบใจมากนะเปอร์ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเคลียร์งานก่อนนะ” พี่พิมยิ้มอย่างขอบคุณก่อนจะรีบเดินไปที่ออฟฟิศฝั่งของตัวเองทันที
“งั้นก่อนอื่น พี่ชื่อเปอร์นะครับ” ผมเดินไปแตะที่เอวน้องเขาก่อนจะพาเดินมานั่งตรงหน้าโต๊ะทำงานของผมก่อนจะแนะนำตัวเอง
“ค่ะพี่เปอร์ หนูชื่อบิวตี้นะคะ หนูรู้จักพี่เปอร์ด้วย” น้องบิวตี้บอกก่อนจะยิ้มกว้างอย่างน่ารัก ผมชะงักไปนิดเพราะรู้สึกคุ้นทั้งชื่อทั้งหน้าของน้องบิวตี้นี่จริงๆ เหมือนเคยรู้จักจริงๆ นะ
“อ่า พี่อ่านประวัติเราแล้วนะ เป็นรุ่นน้องที่คณะพี่ด้วยนี่” ผมยิ้ม
“ดีใจจังเลยค่ะที่ได้ฝึกงานกับพี่เปอร์ ยิ่งพี่เปอร์เป็นเลขาของประธานแล้วบิวตี้ยิ่งดีใจ” น้องบิวตี้พูดออกมาอย่างร่าเริงและดีใจจนผมเริ่มจะยิ้มไม่ออกเพราะรอยยิ้มของน้องบิวตี้มันดูมีเลศนัยยังไงก็ไม่รู้
“โทษนะ เราเคยคุยกันมาก่อนไหม? พี่คุ้นหน้าเรามากเลย” ผมถามออกไปอย่างคาใจ
“เคยค่ะ แต่คุยกันตอนไหน เรื่องอะไร บิวตี้ว่าพี่เปอร์น่าจะนึกให้ได้เองดีกว่านะคะ” น้องบิวตี้บอกก่อนจะลุกขึ้นยืนทำให้ผมยืนตามเพราะงงว่าน้องจะลุกทำไม “งั้นบิวตี้ขอไปรายงานตัวกับเจ้านายได้ไหมคะ?” น้องบิวตี้ถามพลางจ้องไปที่ประตูห้องทำงานของพี่ลุกซ์
“ตอนนี้ประธานยังไม่เข้าเลยครับ น่าจะอีกประมาณยี่สิบนาที” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะบอก
“งั้นพี่เปอร์มีงานอะไรให้บิวตี้ทำไหมคะ?” น้องบิวตี้ถาม
“พอดีเลย ช่วยไปถ่ายเอกสารนี่ให้พี่เจ็ดชุดหน่อยนะ เดี๋ยวพี่ต้องเอามันเข้าที่ประชุมน่ะ” ผมบอกอย่างนึกขึ้นได้ว่าพี่ลุกซ์มีประชุมกับผู้จัดการโชว์รูมทุกสาขาภายในบ่ายวันนี้
“ได้ค่ะ” น้องบิวตี้ยิ้มรับก่อนจะยื่นมือมารับเอกสารจากผมก่อนจะเดินไปที่ออฟฟิศรวมของฝ่ายบริหารเพราะที่นั่นมีเครื่องถ่ายเอกสาร ที่จริงที่โต๊ะผมก็มีแต่มันเป็นเครื่องปริ๊นท์เล็กที่ผมจะใช้ถ่ายแค่งานชิ้นเล็กๆ ส่วนออฟฟิศรวมคือห้องทำงานของฝ่ายบริหารที่ไม่ใช่ระดับเฮด ผมที่เป็นเลขาเลยต้องมาประจำหน้าห้องแทนที่จะไปอยู่ในออฟฟิศรวม
สักพักพี่ลุกซ์ก็เข้ามาที่ออฟฟิศโดยมีถุงขนมของโปรดผมมาด้วย
“กินด้วยนะ” พี่ลุกซ์บอกยิ้มๆ
“ผมไม่กิน” ผมบอกนิ่งๆ เหมือนไม่สนใจ
“บอกแล้วไงว่าถ้าผมซื้อให้ คุณต้องกิน” พี่ลุกซ์บอก
“ผมไม่ได้ตกลงกับคุณซักหน่อย อีกอย่าง...ถ้าคุณเอายาพิษมาให้ ผมก็ต้องกินงั้นเหรอครับ?” ผมเหลือบตามองพี่ลุกซ์นิดๆ ก่อนจะก้มหน้าเปิดดูเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ผมไม่เอายาพิษมาให้คุณหรอก ผมรักคุณขนาดนี้ ผมจะฆ่าคุณลงได้ยังไง?” ใจผมเต้นรัวทันทีที่ได้ยินคำบอกรักของเขา ผมกำมือและเม้มปากแน่น พยายามไม่แสดงความหวั่นไหวออกมาทางสีหน้า
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ต่อปากต่อคำเสียงแหลมๆ ของผู้หญิงก็ดังขึ้นขัดการสนทนา
“พี่เปอร์คะ ถ่ายเอกสารเสร็จแล้วค่า” น้องบิวตี้เดินยิ้มเข้ามาพลางยื่นเอกสารที่ผมฝากให้ไปจัดการมาให้ ผมลุกขึ้นยืนแล้วรับเอกสารมาไว้ในมือ
“ขอบใจนะบิวตี้ อ้อ นี่พนักงานใหม่ครับ ผมรับหน้าที่สอนงานให้” ผมยิ้มให้น้องบิวตี้ก่อนจะหันไปพูดกับพี่ลุกซ์โดยปราศจากรอยยิ้ม
“ฝ่ายบริหารไม่มีใครว่างแล้วหรือไง? ทำไมต้องให้เลขาของผมสอนงานด้วย!? ถ้ายุ่งจนไม่มีเวลาสอนงานพนักงานใหม่ขนาดนั้นอยากว่างตลอดไหม ผมจะได้ไล่ออก!!” พี่ลุกซ์หน้าตึงเมื่อผมบอกว่าผมจะสอนงานให้เด็กใหม่ พี่มันตะโกนออกไปเสียงดังจนคนที่ออฟฟิศรวมออกมาดูและก้มหน้าสำนึกผิดกันใหญ่
“ขอโทษจริงๆ ค่ะประธาน” พี่พิมเดินออกมาขอโทษ
“พวกคุณคิดว่างานผมน้อยงั้นเหรอถึงเอาเด็กใหม่มาฝากให้เลขาผมดู? เอาไว้งานพวกคุณยุ่งกว่าผมเมื่อไหร่ค่อยมาใช้เขา!” พี่ลุกซ์ตะคอกใส่จนพี่พิมหลับตาปี๋ด้วยความกลัว
“พอเถอะครับ ผมอาสาดูแลน้องเขาเอง ตอนนี้พวกพี่ๆ เขามีงานเยอะมากจนไม่มีเวลาจะสอนงานเด็กใหม่จริงๆ ส่วนผมพอมีเวลาเพราะประธานไม่ค่อยสั่งงาน” ผมพูดติดประชดนิดๆ ก็แหงล่ะ เขาไม่ค่อยใช้งานผมเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะเขาเกรงใจผมก็ได้มั้ง ผมไม่ต้องการแบบนั้น ผมอยากให้เขาใช้งานผมให้คุ้มกับเงินเดือนที่ได้
“ตอนนี้ผมไม่สบายอยู่ คุณต้องมีเวลาให้ผมมากกว่าเดิม ถ้าคุณเอาเวลาไปดูแลเด็กใหม่แล้วใครจะมาดูแลผม? คุณเป็นเลขาของผมนะ” พี่ลุกซ์หันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ทำแบบนี้เดี๋ยวผมก็โดนหมั่นไส้หรอก
“เดี๋ยวบิวตี้ช่วยดูแลให้เองก็ได้ค่ะ” น้องบิวตี้พูดขึ้นพลางยิ้มซะกว้าง
“ผมขอความคิดเห็นจากคุณหรือยัง?” พี่ลุกซ์ตวัดสายตาไปมองน้องบิวตี้ทันทีพลางพูดเสียงเย็น ใบหน้าของพี่มันตอนนี้เต็มไปด้วยคำว่า เสือก ทำเอาน้องบิวตี้หน้าเสียไปเลย น่าสงสารชะมัด หมอนี่ก็ปากร้ายเหลือเกิน
“อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ ผมดูแลน้องได้และผมก็จะไม่ให้เสียงาน” ผมพูดอย่างใจเย็น
“เอ่อ ประธานคะ” พี่พลอยที่มีสีหน้าละล่ำละลักลุกออกจากโต๊ะทำงานมาสะกิดให้พี่พิมกลับไปทำงานเหมือนเดิมก่อนจะมากระซิบบอกกับพี่ลุกซ์เบาๆ ว่า “เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณตะวันลูกค้ารายใหญ่ค่ะ เขาฝากมาทำงานที่ฝ่ายของเรา”
“อ๋อ เด็กเส้น” พี่ลุกซ์ก่อนจะก่อนจะหรี่ตามองน้องบิวตี้ด้วยสายตาเหยียดนิดๆ แต่คำว่าเด็กเส้นนี่มันกระทบผมแฮะ
“ขอโทษด้วยนะคะประธาน เดี๋ยวน้องเป็นงานแล้วก็จะให้ไปอยู่ที่ออฟฟิศรวมค่ะ” พี่พลอยบอกพลางไหว้ขอโทษ
“ไม่เป็นไร คุณไปทำงานต่อเถอะ ส่วนคุณ ขอกาแฟให้ผมด้วย” พี่ลุกซ์พูดแค่นั้นก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน ผมมองตามจนประตูปิดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อย่าไปใส่ใจเลยนะ เขาก็ดุไปตามหน้าที่” ผมหันไปบอกน้องบิวตี้ก่อนจะเดินไปที่ห้องสวัสดิการโดยมีน้องบิวตี้เดินตามเข้ามา
“พี่เปอร์ บิวตี้ขอชงกาแฟให้พี่ลุกซ์ เอ้ย ประธานได้ไหมคะ?” น้องบิวตี้พูดพลางบิดตัวไปมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเหมือนคนกำลังเขิน อย่าบอกนะว่าน้องบิวตี้ชอบไอ้โหดนั่น? อ่า...ถ้าชอบจริงๆ ล่ะก็ผมคง...
คงไรวะ? ไม่คงอะไรทั้งนั้นแหละ ใครจะชอบเขาก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมเลย เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย
“ได้สิ ว่าแต่...รู้จักชื่อเล่นเขาด้วยเหรอ?” ผมถาม
“รู้จักสิคะ ออกจะดัง ตอนอยู่มหาลัยประธานฮอตจะตาย คนชอบเยอะแยะแต่ไม่กล้าเข้าหาเพราะได้ยินว่าโหดมากและเป็นประธานปกครองด้วยเลยยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แต่บิวตี้ก็เคย...” น้องบิวตี้ชงกาแฟไปพูดไปก่อนจะทำท่าเขิน
“เคยอะไร!?” ผมถามเสียงดังทันที น้องบิวตี้หันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มนิดๆ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ผมเผลอตวาดน้องไป ถ้าตอนมหาลัยล่ะก็...ผมคบกับเขาอยู่นี่หว่า
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร อ่า...บิวตี้ชงกาแฟเสร็จแล้วค่ะ รบกวนพี่เปอร์ยกเข้าไปหน่อยนะคะ บิวตี้กลัวประธานเหวี่ยง” น้องบิวตี้บอกผมจึงพยักหน้ายิ้มๆ แล้วยกกาแฟไปให้พี่ลุกซ์ในห้องทำงาน
65% left
ผมยกกาแฟไปให้พี่ลุกซ์เสร็จก็จะเดินออกจากห้องแต่ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปเปิดประตูเสียงพี่ลุกซ์ก็ดังขึ้นซะก่อน
“วันนี้กาแฟหวานจัง หวานเหมือนหน้าคนชงหรือเปล่านะ?” ผมแทบอ้วกกับมุกเสี่ยวๆ ที่พี่ลุกซ์ไม่เคยเล่นกับผมมาก่อนเลยทีเดียว เขากล้ามากที่เล่นมุกนี้
“คงจะใช่ครับ คนชงหน้าหวานมาก” ผมหันไปตอบ
“ขอชิมหน่อยได้ไหมล่ะ?” พี่ลุกซ์ประสานมือไว้ตรงคางก่อนจะมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“เดี๋ยวจะไปถามคนชงให้ก็แล้วกันนะครับ พอดีว่าผมไม่ได้ชง” พอผมบอกออกไปแบบนั้นพี่ลุกซ์ก็หุบยิ้มแล้วทำหน้าตึงเปรี๊ยะทันที
“ใครชง?” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วทันที
“เด็กใหม่ไงครับ ถ้ารสชาติถูกใจเอาไว้ผมจะให้น้องเขาชงตลอด และถ้าน้องเขาทำงานเป็นก็กรุณาให้น้องเขามาทำงานแทนผมแล้วให้ผมย้ายแผนกด้วยก็ยิ่งดี” ผมบอก
“ไปชงมาใหม่ หวานไป ไม่ชอบ” พี่ลุกซ์วางแก้วกาแฟลงเสียงดังก่อนจะบอก
“ทำไมล่ะครับ? เมื่อกี้คุณก็ชอบนี่” ผมถามกลับทันที
“ผมอยากให้คุณชงให้ คุณรู้ใจผมมากกว่า” พี่ลุกซ์บอก
“ไม่ ผมไม่เคยรู้ใจคุณ” ผมตอบแล้วเม้มปากแน่น “ถ้าไม่ชอบผมจะเปลี่ยนให้” ผมบอกก่อนจะเดินไปหยิบแก้วกาแฟ
“เปอร์ ถ้ามึงอยากรู้อะไรมึงก็ถามกูสิ” พี่ลุกซ์ฉุดข้อมือผมเอาไว้ทำให้แก้วกาแฟหล่นลงบนพื้นแต่ไม่แตกเพราะพื้นปูพรม
“ผมไม่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับคุณ ไม่มีความจำเป็นต้องรู้” ผมเบือนหน้าหนีแล้วพูดออกมาเสียงแข็ง
“เปอร์ ทำไมมึงดื้อแบบนี้ฮึ? อยากรู้เรื่องอะไรกูจะบอกมึงทุกอย่างเลย กลับมาคืนดีกันได้ไหม?” พี่ลุกซ์ขอร้องพลางดึงผมเข้าไปใกล้ ผมพยายามขืนตัวเมื่อพี่มันจะดึงผมไปนั่งตัก
“ผมไม่อยากรู้เรื่องของคุณครับ ไม่อยากรู้อะไรซักอย่างเพราะถ้าผมรู้แล้วผมเหนื่อย ผมปวดหัวกับการที่รู้อะไรครึ่งๆ กลางๆ จนต้องกังวลและเป็นห่วง คุณในอดีตไม่เคยบอกอะไรให้ผมรู้ซักอย่างในขณะที่ผมบอกคุณทุกเรื่องแล้วตอนนี้ผมเลือกที่จะไม่ถามไม่อยากรู้ ทำไมคุณถึงจะมาบอกล่ะ!?!” ผมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วถอยออกห่างจากเขาพอสมควร
“มึงก็ไม่บอกกูเหมือนกันนั่นแหละเปอร์! มึงไม่เห็นจะบอกกูเลยว่าบ้านมึงล้มละลาย ไม่มีใครบอกกูเลยซักคน! ทั้งพ่อแม่ พี่ถัง ไอ้เคย์ และคนอื่นๆ ทุกคนรู้หมดยกเว้นกู!!” พี่ลุกซ์ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเผลอตัว ยืนได้เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ต้องล้มลงนั่งที่เดิมเพราะขาเขาเจ็บ
“ก็...เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของครอบครัว...” ผมหลบตาเขาทันที
“แล้วกูไม่ใช่คนในครอบครัวมึงใช่ไหม!?! มึงอยากจะทิ้งกูก็เลยหาข้ออ้างใช่ไหมเปอร์? มึงมีคนใหม่ใช่ไหมถึงพยายามผลักไสกูออกไปจากชีวิตมึง!? ใช่ไหม!?!” พี่ลุกซ์ตะคอกด้วยสีหน้าเจ็บปวดจนผมใจหาย
“ไม่ใช่! ไม่ใช่ ที่ผมไม่บอกก็เพราะผมไม่อยากรู้สึกว่าผมเกาะพี่กิน ถ้าพี่รู้พี่จะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงธุรกิจครอบครัวผมและนั่นอาจจะทำให้พี่ลำบาก มันต้องใช้เงินไม่น้อยเพื่อที่จะให้ครอบครัวผมอยู่ได้ ตอนนั้นพี่เองก็คงเรียนหนัก ผมไม่อยากเป็นภาระให้พี่คิดมาก ถ้าพี่รู้เรื่องนี้พี่คงไม่เรียนต่อ ผมรู้...ผมก็เลยไม่บอก” ผมก้าวถอยหลังพลางพูดจนกระทั่งหลังผมปะทะกับประตู ความรู้สึกที่ผมได้พูดออกมามันเป็นจริงทั้งหมด ผมต้องทนแบกรับมันไว้และยอมลำบากเพื่อที่จะไม่ให้พี่ลุกซ์ทิ้งอนาคตตัวเองเพื่อผม ในกรณีนี้มันต่างจากกรณีที่พี่ลุกซ์ไม่บอกผม เรื่องของผมมันเป็นเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องหัวใจเหมือนที่เขาทำ
“เปอร์...กูรักมึงนะ ต่อไปนี้กูจะไม่ปล่อยให้มึงกับครอบครัวลำบากแล้ว กลับมาหากูได้ไหม?” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนอีกครั้งโดยใช้มือค้ำที่โต๊ะเพื่อพยุงตัวเอง
“คุณทำร้ายหัวใจผมจนยับเยินยังจะกล้ามาขอคืนดีอีกเหรอ? ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยอมทนและให้อภัยเพราะคิดว่าคุณจะไม่ทำอีก แต่คุณก็ทำมันซ้ำๆ ทำร้ายจิตใจผมซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณอยากให้ผมบ้าตายไปเลยไหม? ถ้าผมให้อภัยคุณ คุณก็คงจะหาเรื่องมาให้ผมเสียใจอีกอยู่ดี แค่คุณกลับมาพร้อมลูกกับเมียมันยังทำให้ผมเจ็บไม่พอหรือไง? ถ้าคุณบอกว่ารักผม...ผมขอร้อง ปล่อยผมไป ผมไม่อยากกลับไปตกนรกอีก” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะกรอกตามองฟ้าเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา
“แต่เรื่องนั้นก็เข้าใจกันไปแล้วนี่เปอร์” พี่ลุกซ์พยายามจะอธิบาย
“เข้าใจสิ แต่ความรู้สึกที่เสียไปมันเอาคืนมาได้ไหม!?! น้ำตาที่ผมเสียไป ความรู้สึกดีๆ ที่มันหายไปพร้อมกับความทุกข์ทรมานกับการไม่รู้อะไรมาตั้งแต่แรกมันเอากลับคืนมาได้ไหม!?! คำตอบคือไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะให้ผมกลับไปรักคุณอย่างเดิม...ก็ไม่ได้เหมือนกัน!” ผมกัดฟันพูดในท้ายประโยคอย่างอัดอั้น ผมยังทำใจให้กลับไปหาเขาไม่ได้ ผมกลัวการไม่รู้ ผมกลัวการไม่บอก ผมกลัวการไม่อยู่ในสายตา ผมกลัวใจของเขาและกลัวใจของตัวเองเหลือเกิน ผมเจ็บมาเยอะ แต่มันไม่เคยชิน
“ถ้างั้นเรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมเปอร์ ถ้ามึงเจ็บปวดทรมานเพราะกูคนเก่า มึงลบมันออกจากใจ แล้วเปิดใจให้กูในตอนนี้ได้ไหม?” พี่ลุกซ์ขอร้อง
“ผมลืมไม่ได้...” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้มันจะไหลออกมา ผมอ่อนแอเหลือเกิน แค่นี้ก็ร้องไห้ซะแล้ว อุตส่าห์สัญญากับตัวเองไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่ร้องไห้กับเรื่องพรรค์นี้อีก สงสัยมันคงถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้วล่ะ ที่นี่...ไม่เหมาะกับผม
“...” พี่ลุกซ์เงียบไป ไม่แม้แต่จะขยับตัว
“จำได้ไหมว่าผมเคยบอกอะไรไว้กับคุณ? ผมเคยบอกว่าถ้าผมร้องไห้ผมจะลาออกใช่ไหม? มันคงถึงเวลาแล้วล่ะครับ ฮึก แต่ผมคงลาออกทันทีไม่ได้เพราะมีงานที่ผมต้องรับผิดชอบ ถ้าโปรเจ็คท์นี้เสร็จผมจะลาออกทันที ผมทำงานกับคุณไม่ได้จริงๆ” ผมพูดก่อนจะหันหลังให้เขาแล้วเอื้อมมือไปแตะที่ประตู
ฟึ่บ!!
“ไม่เปอร์ไม่ อย่าไปไหนอีกเลย แค่มึงเมินเฉยใส่กูทุกวันกูก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว ถ้ามึงไปจากกู กูคงทรมาน” พี่ลุกซ์วิ่งเข้ามากอดผมเอาไว้โดยไม่สนใจขาที่เจ็บก่อนจะอ้อนวอนขอร้องไม่ให้ผมไป
“ผมก็ทรมานที่ต้องเห็นหน้าคุณ ถ้าสงสารผมบ้าง ก็ปล่อยผมไปเถอะนะครับ จบไปแล้วก็ให้มันจบไป ผมไม่อยากมีพันธะอะไรกับคุณอีก” ผมพูดพลางพยายามแกะมือที่ประสานกันตรงหน้าท้องของตัวเองออก
“ไม่จริง มึงรักกู เรารักกัน รักกันแล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะ? มึงจะทรมานหัวใจตัวเองทำไมเปอร์ รักกูก็บอกว่ารักสิ มาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ นะ...นะที่รักนะ” พี่ลุกซ์กอดรัดผมแน่นพลางขอร้องเสียงสั่นเครือจนผมอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีก เขาน่าสงสารมาก แต่ถ้าผมสงสารเขาคนที่จะเจ็บก็คงไม่พ้นเป็นผมเหมือนเดิม
“ฮึก ฮือ” ผมสะอื้นอย่างหมดแรง
“เปอร์ ให้กูได้แก้ตัวได้ไหม? มึงจะให้กูทำอะไรกูยอมได้ทุกอย่างเพื่อมึงนะเปอร์ กูรักมึงคนเดียว รักมากนะ” พี่ลุกซ์ซบหน้าลงบนไหล่ผมก่อนจะพูดเสียงอู้อี้อย่างขอร้อง
“ผมเคยให้โอกาสคุณแก้ตัวมาตั้งหลายครั้ง ทั้งเรื่องที่คุณทำร้ายร่างกาย ตบตีทำร้ายหัวใจของผม ทั้งเรื่องที่คุณบอกว่ารักแฟนของน้องทั้งๆ ที่ไม่เคยบอกรักผม ฮึก รู้ไหมว่าช่วงเวลานั้นผมทรมานมากแค่ไหน รู้ไหมว่าผมแทบบ้า ผมต้องทนเห็นคุณนัวเนียกับคนอื่น เห็นคุณสนใจคนอื่นโดยที่ไม่มีผมในสายตา ผมผ่านเวลานั้นมาได้ก็เหนื่อยเต็มกลืน ฮือ ผมไม่อยาก...ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ผมทนไม่ได้แล้ว” ผมส่ายหน้าไปมาแล้วแกะมือที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าท้องออกอย่างสุดความสามารถและสุดท้ายพี่มันก็ยอมปล่อย ผมหันกลับไปมองหน้าพี่ลุกซ์ทั้งน้ำตาอย่างตัดพ้อ
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ แต่กูพร้อมจะอธิบายทุกเรื่องที่มึงคาใจ ไม่ว่าจะเรื่องที่กูต้องทำร้ายมึงหรือเรื่องไอ้ไอก็ตาม เรื่องผู้หญิงคนอื่นๆ ในอดีตกูก็อธิบายได้นะ ถึงเมื่อก่อนกูจะไม่ค่อยแสดงออกว่ารักมึงแต่ที่จริงแล้วกู...รักมึงมานานกว่าที่มึงจะรักกูซะอีกนะ” พี่ลุกซ์จับมือผมเอาไว้ก่อนจะหอมที่มือผมเบาๆ
“ผมจะเอาอะไรมาเชื่อในสิ่งที่คุณกำลังจะบอก ผมหมดศรัทธาในตัวคุณไปนานแล้ว ฮึก ต่อให้คุณพูดจาหวานหูมากแค่ไหนผมก็ไม่อยากฟัง” ผมดึงมือออกจากการเกาะกุม
“ขอร้องล่ะนะเปอร์ กูไม่อยากห่างจากมึงอีกแล้ว กูอยากดูแลมึง อยากให้มึงมาดูแล นี่ไง! มึงจำได้ไหม? ตอนเด็กๆ กูเคยขาหัก ข้างที่กำลังเจ็บนี่เลย ตอนนั้นกูอยู่ที่โรงพยาบาล กูไม่อยากออกก็เลยจะทำลายขาของตัวเองแต่มึงก็มาห้ามไว้ ตอนนั้นแหละที่ทำให้กูรักมึง และรักมาจนถึงทุกวันนี้” พี่ลุกซ์อธิบายด้วยท่าทางมีความหวัง พี่มันยิ้มและพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ พี่มันรักคนอื่นแล้วมาโมเมว่าเป็นผมสินะ ถ้ารักเด็กคนนั้นมากขนาดนั้นแล้วมาขอความรักจากผมทำไม ทำไมไม่ไปตามหาเด็กคนนั้นแล้วบอกรักเขาเลยล่ะ มาบอกว่ารักคนอื่นต่อหน้าผมแบบนี้ เขาต้องการให้ผมเจ็บงั้นเหรอ? ใจร้ายเกินไปแล้ว
“คุณจะรักใครก็เรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับผม ส่วนเรื่องที่คุณพูดมาผมไม่รู้เรื่อง คุณจะรักใครตั้งแต่ตอนไหนคุณก็รักไป อย่าดึงผมเข้าไปเกี่ยว” ผมปาดน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวมพลังกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีก
“เปอร์...”
ตึก!
“โอ๊ย!” ผมอุทานออกมาเมื่อจู่ๆ ประตูที่ผมกำลังพิงอยู่เปิดออกอย่างแรงทำให้ผมกระเด็นออกไปพร้อมกับประตูที่เปิดออกต้อนรับผู้มาเยือน
“อ่า...ผมขอโทษครับ” เอกหันมามองผมด้วยสายตารู้สึกผิดที่ทำให้ผมต้องเจ็บตัวก่อนที่น้องบิวตี้จะโผล่หน้าเข้ามาดูในห้อง
“อ๊ะ! ประธานคะ ทำไมถึงไม่เอาไม้ค้ำมาช่วยพยุงล่ะคะ? ตายแล้ว ท่าทางจะเจ็บขามาก เดี๋ยวบิวตี้ช่วยพยุงนะคะ” น้องบิวตี้ร้องวี้ดว้ายก่อนจะรีบเข้าไปช่วยพยุงพี่ลุกซ์ที่กำลังมองเอกตาขวาง
“ไม่ต้องมายุ่ง! แล้วนี่เข้ามาในห้องทำงานผมได้ยังไง? ใครอนุญาต!?!” พี่ลุกซ์สะบัดมือออกจากน้องบิวตี้อย่างแรงก่อนจะมองทั้งเอกและบิวตี้สลับกันด้วยสายตาเหวี่ยงๆ
“เอ่อ...พอดีคุณเลขาบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน ผมที่มาหาเปอร์พอดีก็เลยถูกวานให้เข้ามาดู” เอกเกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนจะบอก
“เลขา? ใครคือเลขาของผม!?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเขียวพลางตวัดสายตาไปมองน้องบิวตี้อย่างดุดัน
“เอ่อ...คือว่า พอดีบิวตี้ไปนั่งตรงโต๊ะทำงานของพี่เปอร์ คุณคนนี้เลยเข้าใจผิดว่าบิวตี้เป็นเลขา บิวตี้ขอโทษนะคะ?” น้องบิวตี้ประสานมือเข้าหากันก่อนจะก้มหน้าบอกด้วยท่าทางน่าสงสาร
“ฮะ? แต่เมื่อกี้...”
“บิวตี้ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ว่าแต่คุณเจอพี่เปอร์แล้วใช่ไหมคะ? ถ้างั้นเดี๋ยวบิวตี้ดูแลประธานให้ค่ะ” น้องบิวตี้พูดแทรกจังหวะที่เอกกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก่อนจะเป็นคนอาสาดูแลพี่ลุกซ์ ผมเม้มปากมองน้องบิวตี้นิดๆ ก่อนจะหันไปมองพี่ลุกซ์ที่กำลังกรอกตามองเพดานพลางทำหน้าเบื่อโลกสุดๆ
“เอก!! มากวนเปอร์อีกแล้วนะ ไอ้เด็กเวร!” ขณะที่น้องบิวตี้กำลังจะเข้าไปพยุงพี่ลุกซ์พี่พลอยก็โผล่มาด้วยท่าทางโมโหทำเอาเอกถึงกับหน้าซีด “ประธานคะ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ปล่อยให้เด็กคนนี้เข้ามาก่อกวน มานี่เลยเอก มานี่เลย!” พี่พลอยไหว้ขอโทษพี่ลุกซ์ก่อนจะเดินมาดึงหูเอกแล้วลากออกไป
“โอ๊ยยยย ป้า! เจ็บ...เจ็บ!!” เอกร้องโวยวายออกไปกับพี่พลอย ผมมองสองคนนั้นก่อนจะเผลอยิ้มออกมานิดๆ ผมว่าอีกไม่นานหรอกครับ จากคู่กัดจะเปลี่ยนมาเป็นคู่รัก ฮึๆ
“เปอร์...” พี่ลุกซ์เรียกชื่อผมเสียงนุ่ม
“ถ้าคุณมีคนดูแลแล้ว...งั้นผมขอตัวไปทำงานค้างให้เสร็จก่อนนะครับ จะได้รีบไปซักที” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป แต่ซักพักผมก็ได้ยินเสียงโวยวายของพี่ลุกซ์ จากนั้นน้องบิวตี้ก็รีบวิ่งออกมา สงสัยจะเจอฤทธิ์ของพี่ลุกซ์เข้าซะล่ะมั้ง เฮ้อ ผมคิดว่าผมคงเป็นคนเดียวในบริษัทที่ไม่ถูกวีนใส่
หลังจากประชุมเสร็จผมก็รีบเดินออกจากห้องประชุมโดยไม่คิดจะรอพี่ลุกซ์ ทำให้น้องบิวตี้ที่มารออยู่หน้าห้องประชุมรีบปรี่เข้าไปช่วยประคองพี่ลุกซ์ทันที แต่ก็นะ ถูกพี่ลุกซ์ไล่ออกห่างเหมือนเดิม แต่ดูน้องบิวตี้มีความพยายามมากเลยนะครับ คงจะชอบพี่ลุกซ์มากล่ะสิ
เอาน่า! คนแบบนั้นจะมีคนมาชอบมันก็ไม่แปลกหรอก ผมจะต้องไม่รู้สึกอะไรสิ ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่...มันก็อดรู้สึกไม่ดีไม่ได้จริงๆ โว้ยยยยยยย พอๆ อย่าไปคิดอะไรมาก ถ้าพี่ลุกซ์จะหันไปชอบคนอื่นมันก็น่าจะดีแล้วเพราะนั่นหมายความว่าเขาไม่มีผมอยู่ในหัวใจและมันก็เป็นการดีต่อผมที่ว่าผมจะไม่ต้องติดอยู่ในวังวนแย่ๆ แบบนั้นอีก อยู่เป็นโสดมันก็ไม่มีอะไรแย่นี่หว่า
“เปอร์ วันนี้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม?” เมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะทำงานพี่พลอยที่เดินมาถึงพร้อมๆ กันก็เอ่ยชวน
“เอาสิครับ เดี๋ยวโทรไปบอกที่บ้านก่อน” ผมบอกพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรไปบอกคนที่บ้านว่าจะทานข้าวข้างนอก
“นี่ๆ ขอไปทานข้าวเย็นด้วยคนได้ไหม?” ผมสะดุ้งนิดๆ หลังจากที่วางสายจากที่บ้านแล้วเพราะได้ยินเสียงหวานๆ คุ้นหูเอ่ยขอ ผมหันไปก่อนจะยิ้มให้เจ๊เปรียวที่เดินเข้ามาหา
“จะดีเหรอคะผู้จัดการ ไปกินข้าวกับพวกเราแบบนี้เดี๋ยวสามีสุดหล่อก็งอนเอาหรอก คริๆ” พี่พลอยพูดเย้าๆ
“เปรียวอยากคุยกับเปอร์ด้วยน่ะพี่พลอย แล้วก็อยากคุยกับพี่พลอยด้วยค่ะ” เจ๊เปรียวยิ้มกว้างพลางมองหน้ากับพี่พลอยเหมือนจะรู้กัน ผมว่า...สองคนนี้ต้องรวมหัวกันเชียร์ผมให้ไปคืนดีกับพี่ลุกซ์แน่ๆ
“ผมไม่ไปแล้วได้ไหมอ่ะ? สังหรณ์ใจไม่ดีเลย” ผมพูดเสียงอ่อนพลางทำปากยื่น
“ไม่มีอะไรไม่ดีหรอกจ้ะเปอร์ เอาน่า ไปด้วยกันเนอะพี่พลอย” เจ๊เปรียวหันไปถามความเห็นจากพี่พลอย
“ใช่จ้ะๆ มีเรื่องเม้าธ์ด้วย” พี่พลอยพูด
“เรื่องนั้นใช่ไหม?” เจ๊เปรียวมองหน้าพี่พลอยอย่างรู้ทัน
“เรื่องนั้นเลยค่า” พี่พลอยขยิบตานิดๆ ก่อนที่สาวๆ เขาจะพูดอะไรงุ้งงิ้งๆ กันโดยที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง เฮ่อ เวลาผู้หญิงเขาสนทนากันเขาจะพูดกันแบบที่ไม่ให้ผู้ชายเข้าใจสินะ น่ากลัวจริงๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ