[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  236.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) Chapter 11 : คนเดิม...ที่ยังรัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 11 : คนเดิม...ที่ยังรัก



พอกลับไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยเจ๊เปรียวก็เดินออกไปตรงหน้าเวทีพร้อมกับควงพี่ลุกซ์ออกไปด้วย  ผมนั่งเม้มปากก้มหน้าต่ำทันที  นี่เขาจะมาแสดงความรักอะไรให้ผมเห็นอีกวะเนี่ย?

“วันนี้นอกจากจะมีการเลี้ยงต้อนรับประธานกับเลขาคนใหม่แล้วเรายังมีเรื่องน่ายินดีอีกหนึ่งเรื่องนั่นก็คือ...! อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้จะมีงานวิวาห์เกิดขึ้น ฮุๆ วันที่เท่าไหร่นะครับ?” พี่ผู้ชายที่ชื่อต้นผู้เป็นคนตลกเฮฮาถือไมค์เป็นพิธีกรตั้งแต่หลังทานข้าวเสร็จพูดขึ้น

“วันที่5 เดือนหน้าจ้ะ” เจ๊เปรียวป้องปากบอก

“ครับผม  วันที่5 เดือนหน้าจะมีการแต่งงานของผู้จัดการทั่วไปของเรานะครับ  แต่แหม...ทำไมถึงแต่งงานอีกรอบล่ะครับ? หรือว่า...ครั้งที่แล้วจัดเงียบเกินไป?” พี่ต้นถามแซวๆ ใส่ไมค์ทำให้คนอื่นๆ โห่ร้องแซวกันระงม

“ใจเย็นๆ กันนะคะ  ครั้งที่แล้วดิฉันจัดแบบเงียบๆ คนมาร่วมงานไม่เยอะครั้งนี้ก็เลยขอจัดแบบจัดเต็มซักหน่อยเพราะสามีดิฉันหน้าตาดีแถมรวย  ผู้หญิงมาติดพันกันเยอะก็เลยหวงน่ะค่ะ” เจ๊เปรียวพูดใส่ไมค์ที่พี่ต้นส่งให้โดยที่ควงแขนพี่ลุกซ์ที่กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่  พอผมมองหน้าพี่ลุกซ์ผมก็พบว่าพี่มันก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน  มองด้วยสายตาหงุดหงิดงุ่นง่าน

“ถัง กูขอกลับก่อนได้ไหม?” ผมถาม  ถึงจะพยายามทำเหมือนไม่คิดอะไรแต่เจอแบบนี้เข้าไปผมกลัวว่าผมจะหลุดน่ะสิครับ

“เออน่า ปิดหู” พี่ถังเอามือมาปิดหูผม  แต่ทำแบบนี้มันก็ได้ยินเหมือนเดิมนั่นแหละ  เสียงดังซะขนาดนั้น

“ถัง...” ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่ถัง

“พลอยๆ มานั่งเป็นเพื่อนไอ้เปอร์หน่อย  มันเปลี่ยว” พี่ถังตะโกนเรียกพี่พลอยแข่งกับเสียงไมค์ทำให้พี่พลอยต้องรีบมานั่งข้างๆ ผมเป็นเพื่อน

“ไม่เอานะเด็กดี  ไม่เสียใจนะจ๊ะ” พี่พลอยลูบหัวผมอย่างหยอกล้อทำให้ผมมองค้อนพี่พลอยอย่างงอนๆ โทษฐานทำเหมือนผมเป็นเด็ก

“พี่พลอยอ่ะ  ผมไม่ใช่เด็กนะ” ผมทำปากยื่นใส่พี่พลอย

“อย่าเพิ่งอยากรีบกลับเลยนะจ๊ะ  เดี๋ยวดึกกว่านี้เราไปต่อกันที่บาร์  ชอบแอลกอฮอล์ใช่ไหมล่ะเรา?” พี่พลอยหยิกแก้มผมเบาๆ

“ช่วงนี้ผมไม่ดื่มอ่ะพี่พลอย  ผมเป็นโรคกระเพาะ  หมอให้งด” ผมบอก

“งั้นไปนั่งด้วยกันเฉยๆ ก็ได้นะ” พี่พลอยตื๊อ

“ไว้คราวหน้าละกันครับ  ผมต้องรีบกลับไปดูคนที่บ้านน่ะ  มีแต่คนแก่กับเด็ก  ผมเป็นห่วง” พูดแล้วก็คิดถึงที่บ้าน  ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังรอผมกลับบ้านหรือเปล่า  แต่ก็บอกเอาไว้แล้วแหละว่าวันนี้จะกลับดึก  ถึงจะบอกไปอย่างนั้นแต่ผมก็อยากจะรีบกลับไปดู  ตั้งแต่ครอบครัวล้มละลายมาผมก็เป็นคนติดบ้านไปเลย

“เหรอ? แล้วเปอร์กลับยังไงล่ะจ๊ะ?” พี่พลอยถามเพราะผมไม่มีรถ

“กลับแท็กซี่ครับ” ผมบอก

“รอง น้องจะกลับแท็กซี่  ไปส่งหน่อยสิ” พี่พลอยหันไปว่าพี่ถังด้วยเสียงจิกๆ อย่างหยอกเย้า

“เออเปอร์ กูว่าจะพูดเรื่องนี้กับมึงมานานแล้ว  กูจะเอารถไปไว้ที่บ้านมึงซักสองคันนะ  บอกพ่อกับแม่มึงไว้แล้วด้วย  เขาบอกแล้วแต่มึง” พี่ถังบอก

“ไม่เป็นไรถัง  มึงเอาไว้ใช้เหอะ” ผมบอก  ถึงจะรักกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ แต่เรื่องแบบนี้ผมเกรงใจมันมากเลยล่ะครับ

“นี่ บ้านกูมีรถตั้งหลายคันแล้วเว้ย  กูก็ขับรถของกู  พ่อกับแม่กูก็ไม่ค่อยได้ใช้รถ ส่วนใหญ่ก็ใช้คันเดียวกัน  แล้วเท่าที่เห็น  ช่วงนี้พ่อมึงบ้าต้นไม้มาก เห็นบอกว่าอยากเอาต้นไม้มาลงที่บ้านกูเลยว่าจะเอารถกระบะไปไว้ให้ใช้  ส่วนมึงก็รถเก๋งเหมือนเดิม” ไอ้พี่ถังว่า

“แต่ว่า...”

“มึงเป็นน้องกูไหมเปอร์? แล้วกูใช่พี่มึงหรือเปล่า? มึงเห็นพ่อกับแม่ของกูเป็นพ่อกับแม่มึงด้วยไหม? ถ้ามึงไม่เห็นก็ไม่ต้องรับแต่ถ้ามึงเห็น...คิดซะว่าเป็นของที่คนในครอบครัวให้ละกันนะ” มือหนายื่นมาวางไว้บนหัวผมก่อนจะขยี้เบาๆ เมื่อพูดจบ

“ถัง...ขอบใจนะ” ผมเม้มปากมองหน้ามันก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณมันอย่างซึ้งใจ

“แค่นี้เรื่องเล็กเว้ย ก็มึงเป็นน้องกูนี่” ไอ้พี่ถังยิ้มก่อนจะดึงผมไปกอด  ผมกอดตอบก่อนจะขอตัวกลับโดยไม่ให้พี่ถังไปส่งเพราะอยากให้มันไปสนุกกับคนอื่นๆ ต่อโดยไม่ขาดช่วง  ก่อนกลับผมก็ไปลาพวกผู้ใหญ่กับคนอื่นๆ จากนั้นก็กลับบ้านทันที

 

วันต่อมา

ไอ้พี่ถังก็ให้คนที่บ้านขับรถมาให้ผม  คันแรกเป็นกระบะอีกคันเป็นรถคล้ายๆ กับคันที่ผมเคยใช้  พูดแล้วก็นึกถึงอดีต  เมื่อก่อนบ้านผมมีรถตั้งหลายคัน  อาจจะไม่ใช่รถหรูหราไฮโซอย่างรถที่บ้านพี่ถังหรือพี่ลุกซ์แต่อย่างน้อยก็มีให้เลือกขับหลายคัน  เฮ้อ  อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน  แต่เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรมากหรอก

“ขับตามสบายเลยนะมึง  เดี๋ยวกูให้ค่าน้ำมัน” พี่ถังบอกหลังจากที่ให้คนขับรถไปเก็บในโรงจอดรถแล้วเรียบร้อย

“ถัง กูไม่ใช่เด็กแล้ว  ไม่ต้องมาให้ค่าน้ำมันอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมบอก

“กูก็เหมือนพ่อแม่มึงนั่นแหละ  ไม่ว่ามึงจะโตแค่ไหนกูก็เห็นมึงเป็นเด็ก  กูเลี้ยงมึงมาตั้งแต่เด็กนี่เปอร์  ไม่ต้องมาเกรงใจอะไรก็เลยนะเว้ย” พี่ถังตบหลังผมแรงๆ จนผมแทบเซ

“งั้น...กูจะพยายามไม่ใช้รถถ้าไม่จำเป็นละกัน” ผมบอก  ผมไปทำงานโดยรถโดยสารจนชินแล้วล่ะ

“ใช้ไปเหอะ  ค่าน้ำมันรถแค่สองคันทำไมกูจะไม่มีปัญญาจ่าย  มึงแม่งไม่ชอบรับเงินจากกู แค่นี้ก็ให้กูได้ช่วยมึงหน่อยนะ” ไอ้พี่ถังเปลี่ยนจากตบหลังมาเป็นลูบหัวผมจึงเข้าไปกอดมันอ้อนๆ  ก็มันยังเห็นผมเป็นเด็กเพราะฉะนั้นผมก็ต้องทำตัวเป็นเด็กให้มันดีใจสิครับ  ผมรักมันจัง

“ขอบคุณนะถัง  ถ้ากูไม่มีมึงกูก็ไม่รู้จะเดินต่อไปยังไง  ช่วงเวลาที่กูถึงทางตันก็มีแค่มึงนี่แหละที่ช่วยดึงกูไปทางอื่น  เมื่อก่อนกูให้ความสำคัญกับคนอื่นมากเกินไปแต่ตอนนี้กูมีแค่ครอบครัวเท่านั้น  คนอื่น...ไม่เคยให้ความสำคัญกับกูอย่างแท้จริง” ผมพูดเสียงแผ่วในตอนท้าย  ใช่...ถ้ารักกันจริง เขาคงไม่ทิ้งผมในเวลาที่ผมลำบาก

“ไม่ต้องไปสนใจคนอื่นหรอกเปอร์  นะ” พี่ถังลูบหัวสลับกับหลังผมเบาๆ อย่างปลอบโยน

“อะไรกันสองพี่น้อง? มากอดกันอะไรตรงนี้เนี่ย หืม?” พ่อผมเดินเข้ามาทัก ผมกับไอ้พี่ถังจึงผละออกจากกันแล้วหันไปยิ้มให้พ่อ

“ก็ตามประสาพี่น้องแหละครับอา” พี่ถังยิ้ม

“อาขอบใจมากนะถังที่เอารถมาให้ขับ  ไอ้เจ้าเปอร์จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเบียดกับคนอื่นบนรถเมล์ด้วย” พ่อพูด

“โธ่พ่อ  ผมไม่ได้เหนื่อยอะไรซักหน่อย” ผมบอก

“ไม่เหนื่อยอะไร  ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปหน้าปากซอยแล้วนั่งรถเมล์ต่อแล้วก็ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ต่ออีกรอบ  แค่คิดก็เหนื่อยแล้วเปอร์” พ่อพูดพลางถอนหายใจ  ผมก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะผมก็เหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ  ร้อนมากด้วย

“ที่จริงผมว่าผมจะมารับมันไปทำงานด้วยทุกเช้าเลยนะครับแต่ผมไม่ได้ขับรถเองผมก็เลย...” พี่ถังว่า

“ไม่เป็นไรหรอกถัง  ตอนนี้มึงก็ไปอยู่บ้านพี่เคย์แล้วนี่    บ้านพี่เคย์กับบ้านกูมันคนละทางเลยนี่หว่า” ผมรีบพูดตัดบทมันทันที  แค่นี้มันก็ให้ผมมากพอแล้วล่ะครับ

“อืม น่ารักจริงๆ น้องใครวะ?” ไอ้พี่ถังมันพยักหน้าก่อนจะยีหัวผมรัวจนผมต้องรีบวิ่งไปหลบหลังพ่อ  ต่อหน้าคนในครอบครัวผมพยายามทำตัวเป็นเด็กเข้าไว้  ผมรู้ว่าทุกคนเห็นผมเป็นเด็ก ถ้าผมทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีนิสัยเด็กเลยพวกเขาก็จะเสียใจ  โดยเฉพาะพ่อกับแม่ที่เอ็นดูเราอยู่เสมอ  ถ้าผมสูญเสียความเป็นเด็กในตัวเองไป ระยะห่างระหว่างผมกับครอบครัวก็จะเพิ่มมากขึ้น  ไอ้ป้องเองก็คงจะคิดเหมือนกับผม แม้มันจะโตขึ้นมากแล้วแต่มันก็ยังอ้อนผมเหมือนตอนแปดขวบไม่มีผิด

หลังจากคุยกันอีกนิดหน่อยไอ้พี่ถังก็มาแย่งข้าวผมกับไอ้ป้องกิน  แม้จะเป็นมื้อข้าวที่วุ่นวายไปนิดแต่ก็มีความสุขมากๆ เลยครับ

 

วันทำงานวันต่อมา ผมก็มาทำงานตามปกติแต่วันนี้ดูวุ่นวายมากกว่าปกติเล็กน้อย  ไม่รู้เพราะอะไร

“พี่พลอย ทำไมบรรยากาศวันนี้มันเป็นแปลกๆ ล่ะครับ” ผมวางกระเป๋าสะพายไว้ที่โต๊ะทำงานของตัวเองก่อนจะเดินไปถามพี่พลอยที่กำลังเปิดเอกสารแฟ้มใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“อื้อ วันนี้มีการสัมภาษณ์พนักงานใหม่ของแผนกเราน่ะ  ประธานจะสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง พวกเราเลยกระตือรือร้นกันมากกว่าปกติน่ะ” พี่พลอยเงยหน้ามาบอกผมยิ้มๆ

“สัมภาษณ์กี่โมงครับ?” ผมถาม  เพราะเก้าโมงครึ่งพี่ลุกซ์มีประชุมกับฝ่ายขาย

“เก้าโมงครึ่งจ้ะ” พี่พลอยบอก  นั่นไงล่ะ!

“แล้วเขาเข้าออฟฟิศหรือยังครับ?” ผมถามอย่างรีบร้อนเพราะจะได้รีบเข้าไปเตือนเรื่องที่เขามีประชุม

“มาแล้วจ้ะ  ช่วงนี้ประธานเข้าออฟฟิศเช้าทุกวันเลย” พี่พลอยบอก  ผมพยักหน้าก่อนจะรีบไปเคาะประตูห้องทำงานพี่ลุกซ์

“เชิญ” เมื่อได้รับคำอนุญาตผมก็เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานทันทีและพบว่าพี่ลุกซ์กำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่

“ผมจะมาเตือนว่าตอนเก้าโมงครึ่งคุณมีประชุมกับฝ่ายขายนะครับ” ผมพูดเสียงเย็น

“ว่าไงนะ? ทำไมคุณไม่บอกผมก่อน!?” พี่ลุกซ์เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าเครียดๆ

“ชิ ผมบอกคุณแล้วครับ” ผมขมวดคิ้วจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ

“งั้นไปบอกคุณพลอยว่าให้คนอื่นไปสัมภาษณ์พนักงานแทนผม  แล้วคุณรีบไปเตรียมเอกสารเข้าประชุมด้วย  ผมเช็คงบประมาณการนำเข้าอะไหล่ก่อน  เสร็จประชุมติดต่อไปที่แผนกเครื่องยนต์  ผมจะนัดประชุม” พี่ลุกซ์ก้มหน้าก้มตาเปิดแฟ้มเอกสารด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนผมเริ่มเครียดตาม

“ครับ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะรีบไปจัดการธุระตามคำสั่งทันที

 

“เฮ้อ ไปชงกาแฟให้ผมหน่อย  เข้มๆ นะ”  หลังจากประชุมกับฝ่ายขายเสร็จพี่ลุกซ์ก็ไปตรวจดูแฟ้มพนักงานใหม่ก่อนจะกลับมาตรวจงบประมาณต่อทำให้พี่มันดูเหนื่อยมาก  ตอนนี้พี่มันเลยนั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางเพลียๆ

“ครับ” ผมพยักหน้ารับแล้วไปชงกาแฟมาให้พี่ลุกซ์อย่างรวดเร็ว  พอเอากาแฟมาให้เสร็จผมก็กำลังจะกลับออกไป

“เดี๋ยวสิ  ผมเมื่อย  มานวดให้หน่อยสิ” พี่ลุกซ์เรียกทำให้ผมชะงักแล้วเม้มปากแน่นแล้วหันไปมองเขาด้วยสายตาเย็นชา  เวลาพี่ลุกซ์เหนื่อยๆ ผมก็มักจะนวดขมับให้  เวลาพี่มันเพลียจนไม่ได้ดูแลตัวเองผมก็คอยช่วยดูแล  เวลานวดขึ้นเยอะๆ ผมก็ถอนให้  ทุกครั้งที่พี่ลุกซ์เหนื่อยผมก็จะช่วยให้พี่มันหายเหนื่อยเสมอ  และทุกครั้งที่ผมเหนื่อยพี่มันก็มักจะกอดผมไว้แล้วลูบหัวกล่อมให้หลับ  อ่า...ช่วงเวลาเก่าๆ มันวิ่งเข้ามาในหัวผมอีกแล้ว

“ครับ” ผมจำใจพยักหน้ารับก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อนวดให้กับเขา

“นวดมือให้หน่อย” เขาบอก  ผมมองมือที่วางไว้บนที่วางแขนก่อนจะขยับไปยืนข้างๆ แล้วจับมือเขามาเพื่อนวดให้

“อย่ากำมือได้ไหมครับ  ผมนวดไม่ได้” ผมบอกเมื่อพี่ลุกซ์กำมือเข้าหากันทำให้มือของผมถูกจับเอาไว้ด้วย

พรึ่บ!

ผมอึ้งไปเมื่อร่างถูกดึงไปกอดไว้หนำซ้ำตอนนี้ผมยังนั่งอยู่บนตักของพี่ลุกซ์อีกด้วย  พอตั้งสติได้ผมจึงก็พยายามดึงมือของเขาออกไปแต่ยิ่งดึงผมยิ่งถูกกอดเอาไว้แน่น

“ขอเวลาซักห้านาทีได้ไหม? ทุกครั้งที่ได้กอดมึง...ความเหนื่อยมันหายไปเหมือนปลิดทิ้ง” พี่ลุกซ์พูดเสียงแผ่วแล้วซุกจมูกมาตรงซอกคอของผม

“มันเป็นงานหรือเปล่าครับ? ถ้าใช่ ผมก็จะไม่ว่าอะไรคุณเลย” ผมหยุดดิ้นแล้วนั่งนิ่งๆ ให้เขากอดแต่โดยดี

“งั้นกูก็ใช้ข้ออ้างเรื่องงานได้ใช่ไหม?” พี่ลุกซ์เอาคางเกยไหล่ผมแล้วเอียงหน้านิดๆ ทำให้จมูกของพี่มันซุกอยู่ที่แก้มผมแทน

“ครับ” ผมตอบรับอย่างจำใจ “แต่ก็อย่าให้มันมากเกินกว่านี้นะครับ  ให้ผมมีค่าเหลือพอสำหรับคนอื่นบ้าง” ผมพูดเสียงนิ่ง

“ฮึ!” เมื่อผมพูดแบบนั้นออกไปผมก็ถูกผลักออกทันทีและแรงผลักนั้นก็ทำให้ผมกระแทกกับโต๊ะทำงานอย่างแรงทันที

“อึก!” ผมครางเบาๆ ด้วยความจุกก่อนจะหันกลับไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ

“ไอ้เอกงั้นเหรอ? มันมีดีตรงไหน? ขายขนมอย่างนั้นจะมีปัญญามาเลี้ยงใครได้? หรือว่าเอากับมันแล้วติดใจ? ใหญ่เหรอ? หรือลีลาดีล่ะ?” พี่ลุกซ์ยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนจะมองผมด้วยสายตาดูถูก

“ชีวิตผมทั้งชีวิต เจอแต่คนรักเลวๆ หรือไม่ก็แค่รักข้ามคืนมันเลยทำให้โลกของผมมีแต่ความมืดบอด  แต่พอมาเจอกับเอก ผมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วผมก็มีโลกสวยๆ ได้เหมือนกัน  ถึงเอกจะไม่ได้รวยล้นฟ้า ไม่ได้มีรถหรูขับ แต่เขาก็เป็นคนดี  ใส่ใจทุกรายละเอียดของผม แคร์ทุกอย่างที่เป็นผม  ไม่บังคับ ไม่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ  ต่อให้เขาไม่มีจะกินผมก็เชื่อว่าเขาสามารถดูแลผมได้  และไม่มีทางที่จะทิ้งผมไปหาคนอื่น  ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่เปิดใจให้ใคร  แต่อีกไม่นานเอกก็คงจะทำลายกำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาปกป้องตัวเองจากคนเลวๆ อย่างคุณ!” ผมพูดด้วยความโมโหจนตัวสั่นไปหมด  ผมไม่เคยคิดว่าเอกจะเป็นคนที่ทำลายกำแพงของผมได้แต่ในเวลานี้ผมไม่รู้จะหาข้ออ้างไหนมาลบความเจ็บปวดที่พี่ลุกซ์ทำไว้กับผมอีกแล้ว  เขาทำตัวต่ำทรามมากยิ่งกว่าที่ผมคิดอีก

“แล้วมึงรักมันเหรอ!?!” พี่ลุกซ์ลุกจากเก้าอี้ขึ้นมาแล้วขยับมาดึงแขนผมให้เข้าไปใกล้ๆ ตัวเอง  ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขาพลางพยายามบิดแขนออกจากการเกาะกุมแต่ไม่หลุด

“ไม่  ผมไม่รักใครทั้งนั้น  แต่ถ้าเอกเขาสามารถพิสูจน์ให้ผมเห็นว่าเขาจะไม่ตายไปจากผมอีกคนล่ะก็...ผมก็จะรักเขา” ผมพูดพลางจ้องหน้าพี่ลุกซ์อย่างไม่ยอมแพ้

“แล้วบอกมันไปหรือเปล่าว่ามึงไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ตาเห็น  บอกมันไปไหมว่าร่างกายของมึงถูกกูกอดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  แล้วได้บอกมันไหมว่ามึงเป็นเมียกู!!” พี่ลุกซ์ตะคอกเสียงดังแล้วลากผมไปที่โซฟาก่อนจะรีบไปล็อกประตูแล้ววิ่งมาขวางหน้าผมที่กำลังจะวิ่งหนีออกจากห้องเอาไว้

“บอกสิครับ  แต่เขาก็ดูสนุกกับร่างกายผมดีนะ” ผมยืนจ้องตากับพี่ลุกซ์อยู่กลางห้องพลางพยายามหาวิ่งหนี  ตอนนี้พี่ลุกซ์ดูเหมือนจะโมโหมาก  ผมคิดว่าวันนี้ผมไม่น่าจะรอด

“งั้นเหรอ?  กูคิดว่ามึงจะมีค่ามากกว่านี้นะ  แต่ดูเหมือนว่าพอไม่มีกู...มึงก็เที่ยวไปอ้าขาให้ใครต่อใครโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีซะก่อน” พี่ลุกซ์มองผมด้วยสายตาดูถูกพลางถอดสูทของตัวเองแล้วขว้างทิ้ง  ผมนิ่งไปเพราะกำลังคิดหาวิธีหนี  แต่ขณะนั้นเขาก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาผมพลางถอดเสื้อผ้าของตัวเองทีละชิ้นจนกระทั่งเหลือแต่ส่วนล่าง

“...” ผมเบือนหน้าหนีแล้วเม้มปากแน่นเมื่อเห็นร่างกายส่วนบนที่เปลือยเปล่าของเขา  เมื่อก่อนผมเคยเป็นเจ้าของร่างกายนี้  อ้อมแขนแข็งแรงนั่นก็เคยโอบกอดและปกป้องผมแต่ตอนนี้มันไม่ใช่  และเมื่อมันไม่ใช่ของของผม ผมก็ไม่อยากจะถูกมันโอบกอดอีกแล้ว  ผมรู้ว่าต่อให้เขาจะกอดผมด้วยอ้อมแขนนั้นแต่วันหน้าเขาก็ต้องไปกอดคนอื่น  ผมไม่ชอบใช้ของที่ไม่ใช่ของของตัวเอง

“เปอร์!! มึงแก้ตัวหน่อยได้ไหม!? ทำไมไม่พูด ไม่บอกกูเหมือนอย่างที่มึงเคยบอก!?! ทำไมไม่ด่ากูเรื่องที่กูดูถูกมึง!?! ช่วยแก้ตัวหน่อยได้ไหม!?!” พี่ลุกซ์คว้าไหล่ผมไว้แล้วบีบแน่น  ผมหลบตาคมที่กำลังจ้องมาที่ตัวเองทันที  ทำไมเขาถึงทำหน้าเจ็บปวดแบบนั้นล่ะ? คนที่เจ็บมันผมไม่ใช่เหรอ?

“ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว  ที่คุณพูดมา...มันถูกทุกอย่าง” ผมเม้มปาก

“งั้นเหรอ? เข้าใจแล้วล่ะ” พี่ลุกซ์พูดเสียงแผ่วก่อนจะถอยออกไปแล้วหยิบเสื้อมาสวม “มึงมันก็ไม่ได้ซื้อสัตย์อย่างที่ปากพูดหรอก” พี่ลุกซ์พูดแค่นั้นจากนั้นห้องทั้งห้องก็เงียบไป  ผมที่ถูกปล่อยตัวถึงกับทรุดลงไปนั่งอยู่บนพื้นเพราะคำพูดที่ดูเหมือนจะผิดหวังในตัวผมมากของพี่ลุกซ์มันเหมือนตอกย้ำอดีต  เหมือนกับว่า...พี่มันยังรักผมอยู่

“แล้วคุณมันซื่อสัตย์ตรงไหน?” ผมพึมพำออกมาเสียงเบา

“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปี  คนที่กูรัก...ก็ยังเป็นคนเดิม” พี่ลุกซ์หันหลังพูดทำให้ผมนิ่งเงียบเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ลุกซ์พูด  ผมไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร “พักเที่ยงแล้ว  ไปกินข้าวเถอะไป” พี่ลุกซ์เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้วบอก  ผมเงยหน้ามองเขาที่กำลังก้มหน้าลงอ่านเอกสารนิดๆ ก่อนจะรีบลุกออกไป

อ่า...ทำไงดีครับ? เหมือนน้ำตามันจะไหลออกมาเลยล่ะ   ใจผมมันเจ็บจนจุกไปหมดเลย

 

สองวันหลังจากนั้นก็มีงานเข้าครับ  หลังจากที่พี่ลุกซ์นั่งตรวจเอกสารข้ามคืนข้ามวันมาเป็นเวลาสองวันผมก็ได้รับเรื่องให้ไปตามพี่ลันมาเข้าพบเพราะเห็นว่างบประมาณของฝ่ายเครื่องยนต์มีปัญหา  ปัญหาที่ว่าก็เป็นปัญหาหารโกงเงินกันนั่นแหละครับ  รู้สึกคนโกงจะเป็นฝ่ายเครื่องยนต์ที่พี่ลันดูแลอยู่

“งบประมาณที่ขอเบิกไปไม่ได้มีปัญหาอะไร  แต่การใช้งบสั่งซื้อของมันแปลก  เบิกงบไปยี่สิบล้าน  จำนวนเงินที่ออกก็ยี่สิบล้านแต่ของที่ได้มากลับมีราคาเพียงสิบห้าล้าน  อีกห้าล้านหายไปไหน?” พี่ลุกซ์พูดกับพี่ลันเสียงเครียดขณะที่พี่ลันเองก็นั่งหน้าเครียดอยู่ตรงข้ามพี่ลุกซ์  ส่วนผมก็ได้แต่ยืนฟังอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของพี่ลุกซ์เล็กน้อย

“เรื่องนี้กูก็เช็คอยู่เหมือนกันแต่จับมือใครดมไม่ได้  แล้วมึงไปเช็คมาจากที่ไหน?” พี่ลันถาม

“กูไปที่โกดังแล้วลองเช็คสต็อคดู  ถ้าดูเผินๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ราคาของที่สั่งมาจากต่างประเทศมันแปลกๆ  กูเคยทำงานกับบริษัทของทางนั้นกูเลยพอจำได้  พอลองเอาจำนวนของกับราคามาคำนวณดูถึงได้รู้  นี่เฉพาะครั้งนี้นะ  ไม่รู้ว่าครั้งก่อนๆ โดนยักยอกไปกี่สิบกี่ร้อยล้าน” พี่ลุกซ์เหวี่ยงเอกสารลงไปที่โต๊ะอย่างโมโห

“มึงติดต่อไปทางบริษัทคู่ค้าแล้วถามเรื่องราคาแล้วเหรอ?” พี่ลันถาม

“เช็คทุกอย่างจนแน่ใจหมดแล้วว่ามีการโกงเกิดขึ้น  เหลือแค่สืบคนที่ทำ  งานนี้ไม่ได้ทำคนเดียวแน่นอน” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกอดอกไปมารอบโต๊ะทำงาน  เอิ่ม...กูชักจะมึน

“งั้นเดี๋ยวกูสืบหนอนในแผนกกูเอง  ถ้าจับได้ก็คงสาวไปได้ทั้งขบวนการ” พี่ลันยกขาไขว่ห้างพลางกอดอก

“อืม หลังจากนี้คงต้องฝากมึงด้วยเพราะกูต้องไปจัดการเรื่อง...” พี่ลุกซ์ชะงักแล้วหันมามองหน้าผม “เรื่อง...งานแต่ง” เสียงพูดเบาและอ่อนลงเมื่อพี่มันเบือนหน้าหลบสายตาผม  นั่นสินะ...งานแต่งงานจะเริ่มในอีกไม่กี่สัปดาห์แล้วเขาก็ต้องไปเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวสิ  คงจะไปดูแลตัวเองให้ดูดีสำหรับงานแต่งล่ะมั้ง  เป็นเจ้าบ่าวทั้งทีจะโทรมได้ไงล่ะ

“อืม เดี๋ยวก็จะจัดการให้เงียบที่สุด  ยังไงก็ขอยืมลูกน้องที่ไว้ใจได้ของมึงซักสองสามคนละกัน” พี่ลันเหลือบตามามองผมก่อนจะถอนหายใจนิดๆ แล้วหันไปพูดกับพี่ลุกซ์ต่อ

“ไปเรียกเอาที่อู่กลุ่มของกูละกัน  เดี๋ยวเรียกรวมลูกน้องให้” พี่ลุกซ์บอก

“พรุ่งนี้ห้าโมงเย็น  เดี๋ยวกูเข้าไปคุย” พี่ลันบอกแค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหลือแค่ผมกับพี่ลุกซ์สองคน

“อีกหนึ่งชั่วโมงมีประชุมนะครับ” ผมเตือนเมื่อเห็นพี่ลุกซ์เดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วพักสายตา

“อืม”

“เอากาแฟไหมครับ?” ผมถามเพราะกลัวว่าเขาจะพักสายตานานจนเลยเวลาประชุม  ดูจากขอบตาที่ดำคล้ำก็รู้แล้วว่าเขาไม่ค่อยได้นอน

“ไม่ล่ะ จะไปไหนก็ไป” เมื่อได้รับคำตอบผมก็เดินตัวปลิวออกจากห้องทันที  ดีที่วันนี้เขาไม่อาละวาดหรือทำอะไรบ้าๆ ผมก็เลยสบายไป

 

สองวันต่อมาพี่ลุกซ์ไม่มาทำงาน ไม่บอกอะไรผมซักคำผมก็เลยไม่กล้ารับงานให้เขา  ผมไม่กล้าโทรไปหาเขาด้วย  ไม่รู้ว่าทำงานหนักจนไม่สบายหรือเกิดอะไรขึ้น  แต่ผมไม่คิดว่าคนที่รักงานอย่างเขาจะทิ้งงานโดยไม่มีสาเหตุ  หรือว่า...เขาจะไปทำงานต่างจังหวัดหรือไม่ก็...ไปเตรียมงานแต่งงาน  อืม เหตุผลหลังเขาคงไม่กล้าบอกผม

“อ้าว ถัง  จะไปไหนวะ?” ผมถามเมื่อเห็นพี่ถังมันเดินรีบๆ ผ่านโต๊ะทำงานผมไป

“ไปทำงานข้างนอก  อ้อ เปอร์ ช่วงนี้ไอ้ลุกซ์มันติดงานข้างนอก  ไม่ได้เข้าออฟฟิศซักพัก  มึงหยุดงานได้เลยนะ  วันไหนไอ้ลุกซ์มันเข้าออฟฟิศเดี๋ยวกูให้พลอยโทรหามึงละกัน  เอาเป็นว่าช่วงนี้มึงพักงานยาวเกือบเดือนเลยล่ะ” ไอ้พี่ถังบอก

“เฮ้ย ได้ไงวะ? แล้วงานอื่นๆ ของพี่ลุกซ์ที่ยังไม่เคลียร์ล่ะ?” ผมถามอย่างตกใจ  นี่หนีไปเตรียมงานแต่งจนยอมทิ้งงานเลยเหรอ? ทีเมื่อก่อนไม่เห็นเคยทิ้งงานมาหาผมบ้างเลย  เอิ่ม...อาจจะเคยมีบ้างแต่ก็ช่างมันเถอะ  ยังไงตอนนี้เขาก็ไม่มีทางทิ้งงานมาหาผมหรอก ไม่มีทาง

“เออน่า วันนี้มึงจัดเอกสารไปให้พลอย  เดี๋ยวกูรับงานเอง” ไอ้พี่ถังบอกแล้วรีบเดินไปขึ้นลิฟต์ทันที

“มันเกิดอะไรขึ้นน่ะพี่พลอย?” ผมเดินไปถามพี่พลอยอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไรพิเศษหรอกจ้ะ  ประธานเขายุ่งน่ะเลยให้รองรักษาการช่วงนี้แทนไปก่อน  ระหว่างนี้เปอร์ก็พักได้นะ  ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ” พี่พลอยบอก

“ให้ผมมาช่วยงานพี่พลอยก็ได้นะ” ผมบอก

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่ทำคนเดียวได้  ก่อนหน้าที่ประธานจะมางานพี่หนักกว่านี้อีก ฮ่าๆ” พี่พลอยปฏิเสธยิ้มๆ ส่วนมือนี่คีย์ข้อมูลลงคอมรัวเลยครับ

“งั้นเหรอครับ  งั้น...เดี๋ยวผมเอาเอกสารงานที่เหลือมาให้พี่พลอยนะครับ  แล้วก็จะไปยกเลิกประชุมทั้งหมดให้”

“เอาแค่เอกสารมาก็พอนะ  ส่วนเรื่องประชุมไม่ต้องยกเลิก  เปอร์ช่วยไปก็อปปี้ตารางงานของประธานในช่วงหนึ่งเดือนนี้ให้หน่อยนะ  ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง” พี่พลอยบอกทั้งๆ ที่สายตายังไม่ละออกจากคอมพิวเตอร์

“ครับ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะรีบไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง

 

+++++++++++++++++++++++++


อิพี่ลุกซ์  อย่ามาทำให้น้องเปอร์หวั่นไหวน้าาาาาา

ตอนนี้เริ่มเครียดเรื่องงานกันซะแล้ว อิ๊ๆ

อีกไม่นานเรื่องของพี่ลุกซ์ก็จะเปิดเผยแล้ววว

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา