ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
92) บทที่ ๙๑: ขออนุญาตพี่สาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๙๑
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ขออนุญาตพี่สาว
หญิงสาวผมยาวเกือบถึงกลางหลังสีครีม เกล้าผมส่วนหนึ่งเป็นมวย ส่วนที่เหลือถักเป็นเปียเดี่ยว ประดับด้วยรัดเกล้ารูปดอกไม้กับปิ่นปักผม ห่มตะเบงมานทับด้วยชุดกิโมโนชั้นเดียว นุ่งผ้าถุงลายไทยประณีต กำลังถือดอกไม้ที่มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะเล็กน้อย พอนางเป่าลมหายใจก็พลันเปลี่ยนเป็นดอกไม้แช่แข็ง
“เริ่มได้แล้วใช่ไหม?” พินทุถามขึ้นจากข้างหลัง ปักษธรตอบโดยที่ไม่หันไปมอง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าดุจน้ำทะเลยังคงจดจ้องที่ดอกไม้แช่แข็ง “ก็เริ่มได้แล้ว แต่ยังมิเต็มที่ พอมาอยู่ที่ไทยการแปรธาตุน้ำให้เป็นน้ำแข็งต้องใช้ความพยายามพอควร”
“นั่นสินะ ขนาดมาอยู่ที่ภาคเหนือแล้วก็ยังใช้ได้มิมากเท่าไหร่”
“อืม ประเทศไทยก็ขึ้นชื่อว่าเมืองร้อนนี่นะ” ปักษธรเอ่ยพร้อมกับบีบดอกไม้แช่แข็งจนแตก ปล่อยเศษน้ำแข็งให้หล่นสู่พื้นแล้วค่อยๆ ระเหยซึมกับพื้นดิน
“จะกลับประเทศญี่ปุ่นไหมล่ะ?” พินทุถาม ปักษธรหันมาพอดี นางส่ายหน้าก่อนจะตอบ “มิเป็นไรดอก เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วนี่” พินทุทราบว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรจึงกล่าว “เจ้าคิดจริงๆ ฤ ว่าตนเองเป็นผู้สังหารสามี?”
“…” ปักษธรหลุบตาลง เบือนหน้าไปทางอื่น เผลอนึกถึงไม่ดีในอดีตที่นานมาหลายร้อยปีแล้ว พินทุถอนหายใจด้วยความเวทนาก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้ามิคิดดอกนะว่าเจ้าเป็นผู้สังหารสามีตนเอง มันน่าจะเป็นฝีมือผู้อื่นมากกว่า” ได้ยินดังนั้นปักษธรก็หันกลับมาด้วยความสงสัย พินทุเห็นสีหน้าฉงนนั้นจึงกล่าวอีกครั้ง
“สงสัยล่ะสิว่าข้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร เหมือนกับไปเห็นเองใช่ไหมล่ะ? จะคิดเยี่ยงนั้นก็ได้นะ”
“อธิบายมา ว่าทำไมจึงคิดเช่นนั้น” สีหน้าปักษธรเปลี่ยนเป็นจริงจัง พินทุเกือบหลุดหัวเราะออกมากับสีหน้านั้น แต่ก็จำต้องหยุดเพราะไม่อยากมีเรื่องวิวาท ด้วยเหตุที่ตนเองอาจไปหัวเราะล้อสีหน้าอีกฝ่ายทั้งๆ ที่กำลังเครียดอยู่
“มิบอก เดี๋ยวถึงตอนจบเมื่อใดเจ้าก็จะรู้เอง” พินทุกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มมีลับลมคมใน นางหันหลังแล้วเดิน ทิ้งให้ปักษธรยืนหน้าดำหน้าแดงเพราะโมโหที่อีกฝ่ายไม่บอกเรื่องสำคัญ นางตัดสินใจเดินเข้าไปแล้วกระชากไหล่พินทุให้มาเผชิญหน้ากับตนเอง ก่อนจะกล่าว “อย่ามาทำเป็นเล่นนะ มีความสุขมากนักใช่ไหมที่เห็นคนอื่นติดทุกข์ใจน่ะ!”
“หึๆ … สามีเจ้าตายไปแล้วแต่วิญญาณมิตามมา ก็แสดงว่ามิโกรธเจ้านี่”
“ยิ่งเขามิโกรธนี่แหละข้าถึงรู้สึกผิด! แล้วพอเจ้าบอกว่าข้ามิได้เป็นคนทำ แต่คนอื่นทำจะให้ข้าคิดเยี่ยงไรกันเล่า! พินทุ!!” หญิงสาวเจ้าของนามยังคงยิ้ม อย่างไม่หวาดว่าอีกฝ่ายอาจจะหยิบลูกธนูมาบั่นคอ พอปักษธรกล่าวจบความเงียบก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก พินทุเหยียดยิ้มมากกว่าเดิมก่อนจะทำลายความเงียบ
“…ลืมมันไปเสีย ที่ผ่านไปจะเป็นร้อยปีแล้วจะเก็บมาคิดทำไมอีก แล้วอีกอย่างนะ สิ่งที่เจ้าต้องให้ความสำคัญก็คือบุตรสาวของเจ้านี่” ปักษธรเบิกตาขึ้น เมื่อนึกได้ว่าตนเองลืมสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งไป พินทุเห็นว่าปักษธรไม่เอ่ยอะไรอีกเลยกล่าวต่อไป
“สิ่งสิ่งสำคัญที่มากกว่าอดีตคือบุตรสาวของเจ้า อย่าลืมเสียล่ะ” คราวนี้พินทุเดินจากไปโดยที่ปักษธรไม่เรียกรั้งไว้ นางหลุบตาพลางนึกถึงลูกสาวของตนเอง
“โคริ…”
“…ต่อไปก็ขึ้นมัธยมแล้วสินะ” ศรีถามเสียงเบา ในขณะที่เธอกับเฉาก๊วยกำลังเดินกลับบ้าน หลังจากสอบเสร็จวันสุดท้ายของเทอม ๒ เฉาก๊วยพยักหน้าเป็นเชิงตอบก่อนจะถอนหายใจเมื่อนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่อยู่ร่วมกับเพื่อนในห้องอย่างเสียดาย “
“ทีนี้ก็ต่างคนต่างจาก น่าใจหายจังเลย”
“…อย่างนั้นเหรอ…” ศรีเอ่ยอย่างไม่ค่อยรู้สึกอะไร เพราะความทรงจำที่เธอมีต่อเพื่อนร่วมห้องไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก ก็คงไม่มีอะไรให้นึกถึง …เว้นเสียแต่ ลิลลี่ อสุเรนทร์ ชลจร คิมหันต์ เหมันต์ …และก็อีกคนที่เธอเกือบจะลืมอยู่บ่อยๆ
…ไพรสัณฑ์
“ว่าแต่ในเฟรนด์ชิพของเธอ ให้ใครเขียนบ้างเหรอ?” เฉาก๊วยถามพร้อมกับชูสมุดมิตรภาพ[1]เป็นตัวอย่าง ศรียิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือไปตบกระเป๋าข้างหลังดังตุบๆ แล้วตอบ “ก็มี ลิลลี่ อสุเรนทร์ ชลจร คิมหันต์ เหมันต์และไพรสัณฑ์น่ะ”
“อ๋อ”
เฉาก๊วยพยักหน้าโดยไม่ทันได้ฟังชื่อของอสุเรนทร์ ซึ่งก็ดีแล้วในความคิดของศรี เพราะเธอไม่อยากให้เขาต้องมากังวลอีก ทั้งสองสนทนากันถึงเหตุการณ์ระหว่างเรียน ป.๖ โดยที่เฉาก๊วยพยายามไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เครียด บรรยากาศเต็มไปด้วยความสดใส ถึงแม้อากาศจะร้อนเพราะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วก็ไม่ทำให้รู้สึกอบอ้าว กลับกันทั้งสองคนเพิกเฉยต่ออากาศนี้เพราะมีเรื่องที่ทำให้ลืมความรู้สึกร้อนอบอ้าว …ฤดูฝนผ่านมาถึงฤดูหนาว จวบจนฤดูร้อนวันนี้ชีวิตเธอก็ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น มีทะเลาะกันบ้างเพราะเพื่อนในห้องแกล้ง แต่เธอกับเพื่อนที่อยู่เคียงข้างมาตลอดก็ช่วยจนผ่านพ้นมาได้
“จริงด้วยสิ ฉันอยากให้ศรีไปเรียนที่มิติผกายน่ะ” เฉาก๊วยเปลี่ยนเรื่อง เผอิญกับที่ทั้งสองคนมาถึงหน้าเรือนของศรีพอดี ศรีมองหน้าเขาด้วยความฉงนและแปลกใจ “ทำไมนายถึงอยากให้ฉันเรียนที่นั่นล่ะ” เธอถาม เฉาก๊วยยิ้มก่อนจะตอบ “ก็มิติผกาย… อย่างที่เธอรู้ว่าเป็นมิติที่เต็มไปด้วยเรื่องไสยศาสตร์ ภูต ผี ยักษ์ อมนุษย์ ถ้าเกิดเธอไปอยู่ที่นั่นยังไงๆ ก็ไม่มีใครรังเกียจเธอหรอก”
“มันก็จริงอย่างที่นายบอกนะ เฉาก๊วย แต่ถ้าเกิดเราจะกลับมาเรียนที่นี่อีก แล้วจะใช้ผลการเรียนที่มิตินั้นมาสมัครเรียนต่อที่มิตินี้ได้เหรอ” ศรียังคงถามต่อ เฉาก๊วยหัวเราะเพราะเห็นว่าสิ่งที่เธอถามมันเล็กน้อยมาก “ได้อยู่แล้วน่า ผู้อำนวยการโรงเรียนเราและผู้ที่ให้การสนับสนุนส่วนใหญ่ก็รู้จักมิติผกายทั้งนั้นแหละ และถ้าเกิดเธอจะถามว่าแล้วใช้ผลการเรียนที่นี่สมัครได้ไหม ฉันขอตอบเลยนะว่าได้” คำท้ายเฉาก๊วยบอกดักศรีที่กำลังอ้าปากถามต่อ เธอหุบปากก่อนที่จะเอ่ย
“…อืม ฟังดูๆ แล้วก็อยากเข้านะ แต่พี่อสุรา…”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ให้พี่เธอสมัครเข้าด้วยสิ อย่างไรเสียถ้าพี่ไม่ได้อยู่ห่างกับน้องสาวสุดที่รักอย่างเธอ พี่อสุราก็คงไม่คัดค้านหรอก” เฉาก๊วยเอ่ยแทรกติดตลก ศรียิ้มก่อนจะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ได้จ้ะ แล้วเฉาก๊วยจะสมัครด้วยไหม?”
“สมัครสิ! ฉันไม่ปล่อยให้เพื่อนรักอยู่คนเดียวหรอก” เฉาก๊วยยิ้มกว้าง ชูนิ้วก้อยขึ้นมาตรงเบื้องหน้า ศรีมองอยู่ครู่หนึ่งด้วยความฉงน ก่อนจะยิ้มบางๆ เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“ถึงกับสัญญาเลยเหรอจ๊ะ?”
“ใช่ ฉันไม่สบายใจจริงๆ นะ ถ้าเกิดปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในที่ไม่คุ้นเคยน่ะ” สีหน้าจริงจังแต่ติดตลกนั้นทำให้ศรีขำเบาๆ เธอชูนิ้วก้อยมายังตรงหน้าก่อนที่นิ้วจะเกี่ยวกับนิ้วก้อยของเฉาก๊วย
“ถ้าผิดสัญญาฉันงอนจริงด้วยล่ะ” ศรีกล่าวติดตลก หลังจากนั้นทั้งสองก็ลาพร้อมกับโบกมือให้ เธอมองตามหลังจนกระทั่งเขาเดินลับหายไป เธอมองเขาเช่นเดียวกับทุกๆ วันที่ผ่านมา …มองเพื่อสังเกตการณ์ว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นบ้างเปล่าจะได้เข้าไปช่วย เพราะเป็นห่วงเพื่อนสนิทของตนเอง
“…เฉาก๊วย นายยังคงดีกับฉันเสมอเลยนะ” ศรีเอ่ยเบาๆ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยินก็ตาม
ฤดูหนาว คริสต์ศักราช ๒๐๑๕
ณ คฤหาสน์แบบตะวันตกที่ตั้งเกือบอยู่ในป่านั้น เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน หิมะทับถมพื้นดินที่เคยมีหญ้าและดอกไม้เบ่งบาน ใบไม้ที่เคยผลิออกตามกิ่งก้านต้นไม้นั้นต่างหลุดร่วงไปหมด …ภาพนี้คล้ายกับเด็กหญิงผมยาวถึงสะโพกสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้านั้นงามอย่างมีเสน่ห์ ริมฝีปากมีสีชมพูอมส้มที่อ่อนอยู่แล้วก็ซีดขึ้นอีก เธอนอนบนเตียงโดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ภาพอันน่าเวทนานี้อยู่ในสายตาของเด็กหญิงผมยาวสีทอง สวมเสือเชิ้ตทับด้วยเสื้อแขนยาวสีดำ กางเกงยาวและรองเท้าบู้ทสีเดียวกับเสื้อ ดวงตาสีม่วงอมแดงของเธอฉายความเศร้าหมอง ริมฝีปากขยับเอ่ยถ้อยคำเบาๆ
“ทำไมเธอถึงต้องมาแบบนี้ด้วยนะ?” เอ่ยไปก็ไล้ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าหิมะด้วย ก่อนจะเลื่อนมือไปทาบกับหน้าอกของหญิงสาวบนเตียง สัมผัสเย็นดั่งน้ำแข็งทำให้เธอหายใจวาบทุกครั้งยามเมื่อสัมผัส
“ถ้าเป็นเรื่องราวในตำนานก็น่าลองเชื่อ แต่นี่เป็นเพียงนิทานที่แต่งขึ้น จะให้ฉันเชื่อหรือว่าเธอถูกคำสาปของราชินีหิมะจริงๆ”
“…” หญิงสาวบนเตียงไม่สามารถจะตอบเธอได้ เพราะร่างกายถูกสาปจนเหมือนตายทั้งเป็น หญิงสาวผมสีทองถอนหายใจเพราะรู้อยู่ดีถึงสภาพของอีกฝ่าย
“…โปรดอย่าทิ้งฉันไปเลยนะ”
“…”
“หวังว่าพระเจ้าจะเมตตา” หญิงสาวผมสีทองยังคงเอ่ยต่อไป ภาวนาในใจให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา นึกแค้นบุคลที่มีนามว่า ราชินิหิมะ …ทั้งๆ ที่อาจจะเป็นเพียงคนที่ไม่มีตัวตน แต่กลับทำให้เธอรู้สึกอยากฉีกกระชากจนแทบจะคลั่งเสียให้ได้
…ราชินีหิมะ …จะมีตัวตนอยู่จริงเหรอ? เป็นเพียงนิทานนี่ …แต่หากไม่มีจริงๆ ก็แสดงว่ามีคนสวมบทอยู่สินะ
……ผู้ต้องคำสาปน้ำแข็ง……
เด็กหญิงเกล้าผมสองข้างสูงสีดำ คาดผ้ารอบหน้าผากมีหัวกะโหลกขนาดเล็กประดับอยู่ด้านข้าง ผ้าพันแผลผืนหนึ่งพันเฉียงที่ใบหน้า ราวกับจะแบ่งแยกซีกหน้าอย่างไรอย่างนั้น ทว่าแท้จริงแล้วมันปกปิดบางสิ่งอยู่ สวมชุดนักเรียนทับด้วยเสื้อกันหนาวสีดำลายไทยสีแดง ขอบตาคล้ำ ดวงตาสีดำที่ฉายความลับลมคมในทำให้เธอดูน่าระแวงในสายตาผู้อื่น ริมฝีปากนั้นมักจะยิ้มมุมปากเสมอ เธอกำลังเดินบนผืนหิมะ ฟากฟ้าสีหม่นมีหิมะโปรยปรายเบาบาง อากาศที่เย็นยะเยือกนั้นทำให้ลมหายใจที่ออกมาเป็นสีขาว แม้จะมีเพียงเสื้อกันหนาวบางๆ กับชุดนักเรียนด้านในเธอก็ไม่รู้สึกว่าอากาศในฤดูหนาวที่ประเทศอังกฤษไม่หนาวสักเท่าไหร่ กลับกันเธอรู้สึกว่าเหมือนอากาศในฤดูหนาวของประเทศไทยมากกว่า
“ออกมาจนได้สินะ แล้วเมื่อไหร่จะเปิดศึกสงครามกัน? ....เอาเถิด ถ้ารีบไปก็คงหมดเรื่องสนุกกันพอดี” เธอพึมพำ หายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป แม้จะแสบจมูกแต่พอนานๆ ไปก็ชินขึ้นมา
“…สมรภูมิ… ไม่สิ เวทีที่ข้าอุตส่าห์สร้างขึ้นมาพร้อมกับเหล่าวิญญาณพวกนั้น หวังว่าศรีกับคาโรสจะแสดงได้น่าประทับใจนะ”
หือ?
ศรีลืมตาขึ้น หลังจากที่ตนเองนอนเมื่อกลับเข้ามาในเรือน
เธอคนเมื่อกี้คือใครกัน?
ศรีถามในใจ รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างเพราะคำที่เด็กหญิงในความฝันเอ่ย
“…สมรภูมิ… ไม่สิ เวทีที่ข้าอุตส่าห์สร้างขึ้นมาพร้อมกับเหล่าวิญญาณพวกนั้น หวังว่าศรีกับคาโรสจะแสดงได้น่าประทับใจนะ”
ยิ่งนึกก็จำได้ว่าเด็กหญิงในความฝันกล่าวถึงชื่อเธอด้วย และก็ชื่อใครอีกคนที่เธอไม่รู้จัก แต่ฟังดูแล้วว่าจะต้องได้เจอกับบุคคลที่ชื่อ คาโรส แน่นอน ศรีลุกมานั่งก่อนจะเดินไปยังชั้นวางหนังสือเพื่อหาหนังสือมาอ่าน เผื่อจะได้ลืมเรื่องในความฝัน หัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาดใจ อาจเป็นเพราะเธอตื่นตระหนกกับเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้
ว่าแล้วเชียว ชีวิตสงบสุขของเราคงจะไม่มีวันเป็นจริงแน่ๆ
กลางคืน
เวลาประมาณสองทุ่ม ศรีก็ลงมาทานอาหารด้วยความรู้สึกที่ไม่แจ่มใสนัก เพราะความฝันเมื่อตอนเย็น พอลงมาเธอก็พบว่าอสุรานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ศรียกมือไหว้พี่สาวตนเองซึ่งอสุราก็รับไหว้พร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรเหรอจ๊ะ? สีหน้าหนูดูหมองนะ”
“ไม่เป็นค่ะ หนูแค่รู้สึกปวดหัว สงสัยจะนอนอ่านหนังสือนานไปน่ะค่ะ” ศรีตอบพร้อมกับพยายามยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะอสุราไม่ถามอะไรมากกว่านั้น
“อย่านอนอ่านมากไปนะ เดี๋ยวเผลอหลับไปตะวันทับตาไม่รู้ด้วยนะจ๊ะ”
อสุรากล่าวติดตลก ศรียิ้มแห้งๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มทานอาหาร สนทนาอย่างขบขันเกี่ยวกับข้อสอบที่ได้ทำ พยายามเลี่ยงเรื่องเพื่อนในห้อง เพราะทั้งคู่ต่างเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ศรีไม่ค่อยมีเพราะเพื่อนรังเกียจที่เธอเป็นยักษ์และเป็นกาลกิณีของตระกูล ส่วนอสุรานั้นไม่พอใจเพราะแม้กระทั่งเพื่อนร่วมห้องก็รังเกียจศรี และด้วยความที่เธอเป็นพี่สาวเลยถูกคิดไปด้วยว่าอาจจะเป็นเหมือนน้องตนเอง
“พี่อสุราคะ หนูมีเรื่องอยากจะขอร้องน่ะค่ะ”
“ว่ามาสิ”
“คือหนูอยากไปเรียนในโรงเรียนที่มิติผกายน่ะค่ะ… ถ้าพี่ไม่ว่า….” ในขณะที่ศรีกล่าว อสุราก็กล่าวแทรกขึ้นเสียก่อน “มิติผกาย? ทำไมต้องที่นั่นด้วย” เสียงที่ถามนั้นห้วนและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ สีหน้าที่เคยร่าเริงเปลี่ยนเป็นจริงจัง ศรีหลุบตาลงก่อนจะกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“กะ ก็เฉาก๊วยบอกว่าถ้าหนูไปที่นั่นก็อาจจะไม่มีใครรังเกียจหนู เพราะอย่างไรเสียคนที่มิตินั้นก็คุ้นเคยกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ อมนุษย์ แล้วเฉาก๊วยบอกว่าเขาจะไปด้วยหนูก็เลย…” ศรีค้างไว้เพราะไม่แน่ใจว่าจะอธิบายยังไงดีไม่ให้ตนเองเป็นพวกตามผู้ชายทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง ในขณะที่จะตอบว่าอยากอยู่กับเพื่อนสนิทอสุราก็ถามขึ้นเสียก่อน
“อืม… ถ้าเกิดอยากไปพี่ก็ให้ไปนะ แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง”
“อะไรเหรอคะ?” ศรีถามพร้อมกับยิ้มอย่างไม่ปิดบังด้วยความดีใจ
“ให้พี่ไปด้วยได้ไหมล่ะ? จะให้เฉาก๊วยและเพื่อนๆ ในมิติผกายที่รู้จักกันแล้วดูแล พี่ก็ไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่ เกิดเรื่องขึ้นมาให้นายิกาที่เรารู้จักกันดูแลก็ไม่ไหวนะ” ศรีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างมากขึ้น เพราะข้อแม้ที่อสุราบอกเธอไม่ลำบากใจอะไรเลย ศรีพยักหน้าก่อนจะตอบ
“ได้สิคะ หนูเองก็ว่าจะชวนพี่อสุราไปด้วย”
“จริงเหรอ แล้วทำไมไม่ชวนแต่แรกล่ะ ให้อธิบายเสียยาวเลยนะ” อสุราถามด้วยความไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ ศรียิ้มบางๆ ก่อนจะเข้าไปกอดอสุรา “ก็พี่อสุราพูดขึ้นก่อนหนูก็เลยไม่รู้จะถามยังไงดีน่ะค่ะ” อสุราไม่กล่าวอะไรต่อ เธอยิ้มด้วยความเอ็นดูพลางลูบศีรษะศรีก่อนจะทานอาหารต่อ
หวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับศรีนะ
[1] มิตรภาพ แปลจากภาษาอังกฤษคำว่า friendship (เฟรนด์ชิพ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ