ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
90) บทที่ ๙๐: ใบเมเปิ้ลกับศพว่าที่เจ้าสาว [จบภาค ๑]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๙๐
บทส่งท้าย
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ใบเมเปิ้ลที่พัดผ่าน
วันพุธที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
ศรีลืมตาขึ้นพร้อมกับน้ำตา น้อยใจในชีวิตที่มีเรื่องน่ากลัวเข้ามามากมาย …ความฝันเมื่อครู่ก็เป็นลางแล้วว่าชีวิตต่อจากนี้คำว่า สงบ อาจจะไม่มีอีกหรือมีก็คงน้อยมาก เธอกัดริมฝีปากเพื่อข่มอารมณ์ตนเองและห้ามไม่ให้สะอื้นให้ออกมา เช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้ใครเห็น ก่อนจะหันไปมองรอบก็พบว่าทุกคนหลับกันหมดแล้ว คงจะยกเว้นพ่อของเธอที่ยังคงขับอยู่ ซึ่งนั่นก็ดีเพราะไม่อยากให้ใครไม่สบายใจเพราะเพียงแค่เธอฝันร้าย ถึงจะลืมไปได้บ้างแล้วแต่พอเรื่องราวที่ผ่านมาและความฝันก็พลันฉายในความคิด น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ที่เล็ดลอดเบาๆ
พงสณะที่เผอิญตื่นพอดีได้ยินเสียงนั้นก็ลืมตาขึ้นเพื่อดูว่าใครเป็นต้นกำเนิดเสียง เมื่อพบว่าเป็นศรีซึ่งกำลังร้องไห้และกัดริมฝีปากไม่ให้เสียงออก เขาก็รีบเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาพร้อมกับถามอย่างอ่อนโยน
“ศรี เป็นอะไรไป ฝันร้ายเหรอ?”
“ก็… ใช่… ฮึก… ฮือๆ …” เสียงดังกว่าเดิม แววไพรลืมตาขึ้นตามด้วยเฉาก๊วย ธันนะและอสุรา ก่อนที่พวกเขาจึงเข้ามาหาศรี ส่วนพ่อแม่ของเธอนั้นอยู่ไกลจากตรงที่พวกเขาอยู่เลยไม่ได้ยิน ถึงแม้เสียงของศรีจะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังคงเบากว่าเสียงที่พูดปรกติ อสุราลูบศีรษะเธอเบาๆ พงสณะหยุดเช็ดน้ำตา ส่วนแววไพรก็กุมมือศรีเบาๆ
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ” ศรีพยักหน้าเบาๆ ทุกคนยกเว้นพ่อแม่ของเธอปลอบไปเรื่อยๆ ไม่ได้ปลอบส่งๆ แต่ปลอบอย่างใส่ใจ จนกระทั่งศรีเริ่มข่มอารมณ์และสงบได้ ก็เผลอหลับไปอีกเพราะความเพลีย เมื่อเป็นดังนั้นแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปนั่งที่เดิม ในใจก็ภาวนาไม่ให้เธอฝันร้ายหรือในอนาคตไม่ให้มีเรื่องไม่ดีกับเธอ
เมื่อมาถึงแล้ว ก็ยกสัมภาระเข้าไปในเรือนไทยแบบภาคเหนือซึ่งมีหลายหลังเชื่อมต่อกัน ศรีเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ครึ้ม ลมเย็นๆ พัดผ่านมา ทว่าไม่ใช่ลมเย็นแบบสดชื่น แต่เป็นลมที่เย็นเชียบเสมือนวิญญาณเข้ามาสัมผัส ดวงอาทิตย์นั้นเผยให้เห็นแวบๆ ก่อนจะโดนเมฆบดบัง เธอละความสนใจก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป
ทุกคนทักทายพร้อมกับยกมือไหว้พ่อแม่ของแววไพร ทั้งสองคนทราบมาแล้วว่าแววไพรจะพาทุกคนมาค้างที่นี่ เลยจัดห้องกับอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั่งคุยกันได้สักพักก็ไปทานอาหารกัน สนทนาตามประสาคนรู้จักกันอย่างสนิทสนม นานๆ ทีจะได้มาเจอกันก็เลยสนทนามากกว่าจะทานอาหาร กระนั้นแม้ว่าจะปล่อยเลยไปจนอาหารชืด แต่เพราะได้อรรถรสจากการที่คุยไปทานไปก็เลยทำให้อาหารอร่อยมากกว่าจะชืด
“น่าเสียดายจังนะที่หยุดช่วงกุมภาพันธ์ไม่ได้ ดอกนางพญาเสือโคร่งกำลังผลิพอดีเลยค่ะ” แม่ของศรีกล่าวอย่างเสียดาย พ่อของเธอหัวเราะก่อนจะเอ่ย “เด็กเองก็ไม่อยากหยุด กลัวตามงานไม่ทันครับ” อสุราพยักหน้าเพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่พ่อบอก
“ไว้ชมพรรณไม้อื่นๆ ก็ได้ค่ะ อย่างเมเปิ้ลนี่ก็คงสวยดีเหมือนกันค่ะ” แม่ของศรีกล่าวพร้อมกับยิ้มแห้งๆ “น่าเสียดายจังที่ไม่ได้มาช่วงธันวาคมประมาณวันที่ ๑-๑๐ ใบเมเปิ้ลจะแดงจัด สวยมากเลยค่ะ” แม่ของแววไพรกล่าวเสริม ระหว่างนั้นแววไพรก็กระซิบบอกศรี
“ไว้มาช่วงเดือนกุมภาพันธ์เมื่อไหร่ ฉันจะพาศรีไปดูดอกนางพญาเสือโคร่งนะ รับรองว่าเธอต้องชอบมากแน่” ศรีพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม ในใจก็หวังว่าจะมีโอกาสไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงแม้เธอจะเคยมาเชียงใหม่มากกว่า ๒ ครั้งแล้ว แต่ช่วงที่ดอกนางพญาเสือโคร่งผลิบานเต็มๆ ยังไม่เคยเลย
“ว่าแต่… คำแก้วไปไหนเหรอจ๊ะ” ศรีถามพลางมองหันหลังไปมองทางเดินข้างนอก แววไพรถอนหายใจก่อนจะตอบอย่างเบื่อหน่าย
อุตส่าห์ไม่พูดถึงมันยังจะถามอีกนะศรี …เฮ้อ
“ไม่รู้สิ ปรกติถ้าไม่ออกไปไหนก็นั่งวาดลายร่มบ่อสร้างกับฉันนั่นแหละ ก่อนหน้าที่กลับมิตินี้ก็คงออกไปหาอะไรทำกระมัง อาจจะเบื่อที่ฉันไม่อยู่ให้แกล้ง” ศรียิ้มอย่างขบขันกับคำของแววไพร ไม่ทันบุคคลที่ทั้งสองกล่าวถึงอยู่ก็เดินเข้ามาปิดตาศรี
“คำแก้วเหรอจ๊ะ?” ศรีทาย อีกฝ่ายยิ้มอย่างพอใจที่เธอยังไม่ลืม
“ค่ะ”
อีกฝ่ายตอบก่อนจะคลายมือออก ศรีหันไปมองพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งอีกฝ่ายก็ส่งยิ้มหวานให้เช่นกัน คำแก้วเป็นเด็กชายที่ชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง หน้าคล้ายกันกับแววไพรซึ่งเป็นพี่สาวของเขา สวมเสื้อแขนยาวคอเสื้อสูงสีอ่อน ทับด้วยผ้าที่พันเป็นสไบสั้นๆ กระโปรงจับจีบหลายชั้นมีระบาย สวมเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ เกล้าผมสองข้างต่ำ แววไพรไม่พอใจที่คำแก้วชอบศรี เช่นเดียวกับเธอที่ชอบมาตั้งแต่ ป.๔ อาจด้วยเพราะเหตุนี้ทั้งสองคนเลยไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่
คำแก้วยกมือสวัสดีไหว้พ่อแม่ของศรีและอสุรา ก่อนที่แม่ของเขาจะถาม
“ไปไหนมาล่ะเรา? ตั้งแต่เที่ยงนี่หายหน้าหายตาไปเลยนะ”
“ก็มันเบื่อนี่คะ” คำแก้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ ผู้เป็นพ่อได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยต่อจากภรรยา “เฮ้อ… ทางที่ดีอยู่บ้านดีกว่า อีกอย่างนะ พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าใช้หางเสียงผู้หญิง”
“ไม่ หนูจะใช้แบบนี้” คำแก้วยังคงยืนยันอย่างดื้อรั้น พ่อแม่ของเขาส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะทานอาหารต่อ เพราะไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเขาและคนอื่นๆ แล้ว จะมีบ้างอย่างเฉาก๊วยและธันนะที่ยังคงทายโจ๊กกันอยู่ จนศรีอดล้อไม่ได้ “เล่นมาตั้งแต่บนรถ ไว้ทานข้าวเสร็จฉันขอเล่นด้วยนะ”
“ได้เลย ใครทายได้น้อยกว่า ๕ ทำอาหารเย็นพรุ่งนี้”
“เอ๋?! …ไม่นะ!” ศรีแสร้งทำเป็นกลัว เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี ในขณะที่แม่ของแววไพรและแม่ศรีกำลังคิดรายการอาหารที่จะให้ทำอย่างอดไม่ได้
“มาพูดถึงวันนี้ดีกว่า ใครกินเสร็จเป็นคนสุดท้ายล้างจาน” พ่อของศรีเอ่ยขึ้น ทุกคนนิ่ง มองเขาเป็นตาเดียว เมื่อได้สติก็รีบตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างรวดเร็ว เว้นแต่พ่อแม่ของแววไพร และพ่อแม่ของศรีที่ขำกับความร้อนรนของแต่ละคน จากนั้นก็ทานอาหารต่อบ้าง
.
.
.
เมื่อเสร็จเป็นคนสุดท้าย ศรีก็ล้างจานที่ทุกคนวางในกะละมัง พงสณะ แววไพร อสุรา เฉาก๊วย ธันนะและคำแก้วก็มาช่วยกันล่าง ถึงแม้จะไม่ใช่งานของตนเองแต่ก็อยากช่วยเหลือคนที่ตนเองชอบ ส่วนเฉาก๊วยกับธันนะเป็นข้อยกเว้นเพราะอย่างเฉาก๊วยที่ช่วยไปเพราะไม่อยากให้เพื่อนรักตนเองลำบาก ส่วนธันนะยังบอกไม่แน่ชัดว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกับศรี เขาบอกตนเองว่าที่ช่วยก็เพราะเห็นแก่ที่เธอเคยช่วยก่อนหน้านี้
เฉาก๊วยวักน้ำใส่ศรีเล็กน้อย ศรีเองก็วักน้ำคืน เมื่อเริ่มเช่นนี้เลยพาลไปวักน้ำใส่คนอื่นๆ ด้วย ซึ่งทุกคนก็ยอมเล่นด้วย เห็นจะมีเพียงธันนะนี่แหละที่ยังคงทำหน้านิ่ง ไม่สุงสิงกับใคร
“เฮ้อ… เสร็จเสียที”
ศรีหลบเพื่อนๆ มาเดินอยู่คนเดียวข้างนอก โดยพยายามเดินไม่ให้ไกลจากเรือนของแววไพร ปล่อยให้สติหลุดลอยไปกับสายลมเย็นเชียบที่พัดผ่านมา ศรีนึกว่าฝนจะตกตั้งแต่ตอนมาถึงแล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าจะตกเสียที แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเธออยากสัมผัสบรรยากาศของจังหวัดเชียงใหม่ในภาคเหนือ ชมพรรณไม้ที่ปลูกในที่เย็นแล้วดูสวยกว่าที่ปลูกในอุณหภูมิอื่น …สำหรับเธอแล้วภาคเหนือเหมาะแก่การปลูกพืชเมืองหนาว หากพืชได้อยู่ที่เหมาะกับตนเองก็ผลิดอก ออกผลได้ดีกว่าที่ที่ไม่ใช่ของตนเอง
“หืม มาที่นี่ด้วยเหรอ?” เสียงใครบางคนดังจากข้างหลัง ศรีหยุดเดินก่อนจะหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครดวงตาสีดำก็เบิกขึ้นด้วยความตกตะลึงว่าอีกฝ่ายมาทำอะไรที่นี่ “…คาตานะ นายมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
“ก็มาหาเธอนั่นแหละ” คาตานะตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้ ศรีเองก็เช่นกัน เธอถามต่อด้วยความสงสัย “ว่าแต่มีอะไรเหรอ ถึงต้องมาหาที่มิติสามัญเลยน่ะ?”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่บอกอะไรเธอเล็กๆ น้อยๆ และก็มาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างน่ะ” ศรีแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ คาตานะเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ ก่อนจะเอ่ย “ที่จะมาบอกก็คือ… อย่าให้อีกร่างของเธอออกมา” คำพูดเริ่มเบาลงคล้ายกับเสียงลมพัด …เหมือนสิ่งต่างๆ จะอยากสร้างบรรยากาศ เมื่อครั้นลมพัดแรงครู่หนึ่งนั้นพัดหอบใบไม้มากกว่าเดิม ระหว่างนั้นคาตานะก็เดินถอยหลังก่อนจะสลายหายไปกลายเป็นใบเมเปิ้ล กลุ่มใบไม้ปลิวและใบเมเปิ้ลปลิวผ่านหน้าเสมือนจะคั่นกลางไม่ให้ศรีวิ่งเข้าไปหาเขาเพื่อรั้งไว้ พอเข้าถึงตรงที่เขาเคยยืนอยู่ก็ไม่ทันเสียแล้ว…
…เรื่องชักจะซับซ้อนแล้ว…
รู้สึกเหมือนผ่านไปเป็นปีเลย…
วิรงรองคิด ในขณะที่ตนเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ร่างขาวซีดของคมกฤชนอนอยู่บนเตียงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะตื่น วิรงรองพยายามทำใจว่าหากวิญญาณของคมกฤชกลับเข้าร่างไม่ได้ อัญเชิญวิญญาณคมกฤชให้มาอยู่ด้วยอย่างน้อยก็ยังดี เพราะแต่ไหนแต่ไรร่างคนเราก็เป็นเพียงที่สถิตของดวงวิญญาณที่ต้องชดใช้กรรม ด้วยเหตุนั้นดวงวิญญาณจึงเป็นแก่นที่แท้จริง
“คมกฤช…” นางพึมพานามของอีกฝ่ายมาหลายรอบแล้ว เสมือนว่าหากเรียกหลายๆ ครั้งอีกฝ่ายจะได้ยิน …ทว่าไม่เป็นไปตามนั้น คมกฤชยังคงหลับตาเช่นเดิม ไม่มีอวัยวะส่วนไหนขยับเพื่อบ่งบอกถึงการมีชีวิต …จู่ๆ วิรงรองก็คิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างได้
หากนางฟื้นคืนชีพแล้ว จัดพิธีสมรสเลยจะดีกว่า พิธีสมรสของมิติผกายจะเป็นการเชื่อมวิญญาณให้เป็นเช่นเดียวกันด้วย
ที่นางคิด คือพิธีสมรสของมิติผกายนั้นจะเป็นการทำให้วิญญาณเป็นอันหนึ่งอันเดียว เช่น ฝ่ายเจ้าสาวเป็นสายเลือดปรกติ ส่วนฝ่ายชายเป็นสายเลือดอมตะ พอทั้งสองคนสมรสกันแล้ววิญญาณก็จะผสานกันจนฝ่ายหญิงมีสายเลือดอมตะ …วิรงรองไล้แก้มอีกฝ่ายเบาๆ แก้มเริ่มซูบลงไปเพราะไม่ได้รับอาหาร นางถอนหายใจ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
…แล้วปิดประตูห้อง ให้ศพว่าที่เจ้าสาวนอนอย่างสงบ…
สงครามไสยศาสตร์ ณ ผืนโลหิตบุปผาไหว้ศพ / จบ / ภาค ๑
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ