ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

87) บทที่ ๘๗: หญิงสาวสวมหน้ากากคืนอวัยวะแก่เด็กหญิง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่ ๘๗

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

หญิงสวมหน้ากากคืนอวัยวะแก่เด็กหญิง

                ทั้งหกคนมาปรากฏที่ในบริเวณเรือนของศรี เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าจางๆ แสงอาทิตย์ถักทอแสงอุ่นๆ โอบล้อมไปทั่ว คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน ก่อนจะหันไปถามเฉาก๊วย

                “เฉาก๊วย ตอนนั้นบรรพตบอกว่า ๗ วันของมิติผกายเท่ากับ ๑ วันของมิติสามัญ แล้วทำไมเวลาถึงเท่ากันล่ะ?” เฉาก๊วยขำเบาๆ ด้วยความเอ็นดูกับความสงสัยของเพื่อนสนิทตนเอง เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะอธิบาย

                “ก็… ยังไงนะ ถึงแม้เวลาของมิติผกายจะช้ากว่ามิติสามัญ แต่ก็ยังเท่ากันอยู่ดีแหละ”

                “อืม… งงจังเลย” ศรีขมวดคิ้วมากกว่าเดิมทำให้ใบหน้าของเธอดูเอ๋อขึ้นมาทันที เฉาก๊วยขำกับสีหน้านั้น ในขณะที่อสุราถาม “พงสณะ แววไพร กลับเองได้ใช่ไหม?” พงสณะกับแววไพรหันมามองอสุราก่อนจะตอบทีละคน

                “ครับ …แต่ถ้าจะกรุณาขอค้างที่นี่จะได้ไหมครับ?” พงสณะถามพร้อมกับมองไปทางศรีอย่างโลมเลีย ทำให้เธอขนลุกขึ้นมาทันใด แววไพรเองก็เช่นกันแต่ศรีไม่รู้ตัวเพราะเห็นเป็นเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร “นั่นสิคะ” ดวงตาสีดำใต้กระจกแว่นประกายวาววับ พงสณะสังเกตดังนั้นจึงหันมาทำตาดุใส่ ซึ่งผลที่ได้ก็คือแววไพรหันมาแลบลิ้นใส่อย่างไม่เกรงกลัว เฉาก๊วยเหลือบมาเห็นพอดีเลยเดินเข้ามาดึงพงสณะไว้

                “จะค้างที่นี่? เฮอะ! ฝันไปเถอะ” อสุรากล่าวก่อนจะเข้าไปจูงมือศรี แล้วเดินขึ้นเรือนไป ปล่อยให้พงสณะกับแววไพรทะเลาะกันโดยที่มีเฉาก๊วยเป็นคนคั่นกลางเพื่อห้ามทั้งสองคน ธันนะที่ยืนเงียบๆ จนบางคนอาจลืมไปแล้วว่าเขายังอยู่ก็ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองรอบๆ

                แล้วทีนี้จะกลับยังไง?

                “อ้าว? หนูเป็นเพื่อนของศรีเหรอจ๊ะ?”

                 จู่ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังเขา ธันนะหันไปมองว่าใครเป็นคนพูด ก็พบว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีแก่ นุ่งผ้าถุงลายเรียบๆ ข้างเธอนั้นมีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ต ใบหน้าของเขายังดูเยาว์อยู่ มีรอยย่นไม่มากนัก ธันนะมองด้วยความฉงนว่าทั้งสองคนอยู่วัยกลางคนหรือเปล่า เพราะดูจากศรีที่อายุประมาณ ๑๒ ปีและอสุราที่อายุประมาณ ๑๖ ปี ก็น่าจะหมายความว่าหญิง-ชายคู่นี้อายุไม่น่าจะถึง ๕๐ …หรือจะถึงแล้วกันแน่นะ?

                พ่อแม่ของศรีเหรอ?

                “สวัสดีครับ ท่านคงเป็นพ่อแม่ของศรีสินะครับ?”

                “จ้ะ” เธอตอบพลางยิ้มบางๆ ให้ธันนะ จากนั้นชายผู้เป็นพ่อของศรีก็เอ่ยขึ้น “เข้าไปข้างในก่อนเถอะ จะว่าไปคราวนี้ดีจังนะที่พงสณะกับแววไพรมาด้วย ศรีคงจะหายเหงาได้มากเลย”

                “นั่นสิคะ” แม่ของศรีเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับสามีของเธอและธันนะ โดยที่พงสณะ แววไพรและเฉาก๊วยขึ้นไปก่อนแล้ว

                เมื่อมาถึงก็พบว่าอสุรากำลังทานขนมกับเด็กๆ อยู่ เมื่อเหลือบเห็นว่าใครมาทุกคนที่นั่งทานขนมอยู่ก็ยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ/ครับ” พ่อกับแม่ของศรียกมือไหว้รับ ก่อนที่แม่ของศรีซึ่งเห็นผ้าพันแผลปิดตาข้างขวาจะถามด้วยความเป็นห่วง

                “หนูไปโดนอะไรมา! แล้วนี่เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?!!”

                “ก็ดีค่ะ เกิดอุบัติเหตุน่ะค่ะ ว่าแต่แม่จะไปอีกเมื่อไหร่เหรอคะ?” ศรีตอบพร้อมกับหลุบตาลง ไม่กล้าสบตาผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกผิด แม้ใจของแม่เธอจะร้อนรนที่เห็นลูกของตนสูญเสียอวัยวะไปแล้วแต่ก็ไม่อยากถามมากนัก เพราเกรงว่าจะทำให้ศรีหนักใจกว่าเดิม เธอเข้าไปนั่งข้างๆ ศรีซึ่งแววไพรที่นั่งอยู่ก่อนก็เขยิบให้ ก่อนจะลูบศีรษะเบาๆ พร้อมกับผู้เป็นพ่อที่นั่งลงตามแล้วมองด้วยความเป็นห่วง ได้ยินเสียงถอนหายใจจากทั้งสองคนเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นในที่นี้ก็เงียบ เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่

                ผู้เป็นแม่ยิ้มอย่างสดใสเมื่อนึกถึงข่าวดีที่อยู่ในใจจะบอกลูกสาวของตนเอง ทำให้บรรยากาศกลับมาสดใสดังเดิม “ไม่ต้องไปแล้วจ้ะ ได้พักงาน ๕ สัปดาห์ ไหนๆ ก็หยุดปิดเทอมแล้วจะไปไหนกันดีเอ่ย?”

                “เชียงใหม่ค่ะ! ช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้ ต้นเมเปิ้ลและไม้ป่าอื่นๆ เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว คงจะสวยน่าดูเลยค่ะ” แววไพรเสนอด้วยความตื่นเต้น เพราะอยากให้ศรีไปค้างเรือนของตนที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และจะได้ชมพืชพรรณช่วงปลายฝนต้นหนาว แม่ของศรีเห็นท่าทางกระตือรือร้นของแววไพรก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู

                “พิพิธภัณฑ์ที่ชลบุรีดีกว่าครับ!” พงสณะเสนอด้วย เขาและแววไพรต่างตะโกนถึงสถานที่ที่จะไปจนดังแทบลั่นเรือน ผู้เป็นแม่หัวเราะแห้งๆ ในขณะที่เหงื่อเริ่มไหลเพราะรับมือไม่ค่อยจะไหวแล้ว จนสามีของเธอเห็นท่าไม่ดีนั่นแหละถึงได้กล่าวเสียงดังเพื่อห้าม

                “สรุปก็คือไปเชียงใหม่ก่อนหลังจากนั้นก็ค่อยไปชลบุรีนะ”

                “ค่ะ/ครับ” เมื่อทั้งสองคนรับคำตกลงแล้ว ผู้เป็นพ่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปถามบุตรสาวสองคนของตนเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แล้วหนูสองคนมีที่อยากไปบ้างหรือเปล่า?”

                “ก็… ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ ไปตามที่แววไพรกับพงสณะบอกก่อนก็ได้ค่ะ” ศรีตอบพร้อมกับยิ้ม ซึ่งอสุราก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เมื่อเป็นดังนั้นแล้วพ่อของทั้งสองคนจึงกล่าวสรุป “ตกลงตามนี้ใช่ไหม? เช่นนั้นก็เตรียมเก็บของไปได้เลย ว่าแต่หนูแววไพรสะดวกแน่นะ?”

                “ค่ะ”

                “เอ๊ะ แล้วนี่หนูกับพงสณะมายังไงเหรอ? น่าจะโทรฯ บอกก่อนนะ ลุงจะได้ไปรับ” แววไพรที่ลังเลว่าจะตอบอะไรดีก็เผลอไปมองพงสณะที่ตอนนี้กำลังมองเธออยู่เช่นกัน เธอยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบ

                “ก็… พ่อแม่มาส่งน่ะค่ะ แต่ติดธุระเลยไปก่อน ท่านบอกว่าฝากขอโทษที่มาทักทายไม่ได้ด้วยค่ะ”

                “ฝากบอกพ่อแม่หนูด้วยนะว่าทางเราไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดทางเราดูแลหนูสองคนไม่ดีน่าจะเป็นฝ่ายขอโทษเสียกว่า” พ่อของศรีตอบอย่างขบขัน ขณะนั้นเองเขาก็เหลือบเห็นธันนะที่นั่งเงียบๆ อยู่ ด้วยความไม่คุ้นหน้าเขาจึงถาม

                “ว่าแต่หนูชื่ออะไรเหรอ? เป็นเพื่อนใหม่ของศรีสินะ”

                “ผมชื่อธันนะครับ เพิ่งรู้จักกับศรีไม่นานนี้เองครับ”

                “แล้วบ้านอยู่ไหนเหรอ? ไม่คุ้นหน้าเลยนะ ดูแล้วไม่น่าจะใช่คนระยอง”

                “คนกรุงเทพฯ ครับ” เมื่อได้ฟังคำตอบนั้นพ่อของศรีก็เบิกตาด้วยความตกตะลึง ภรรยาของเขาก็เช่นกัน ก่อนจะถามอย่างร้อนรนเจือด้วยความเป็นห่วง “แล้วนี่มายังไงเหรอ? จากกรุงเทพฯ มาระยองไม่ได้ใกล้เคียงเลยนะ แล้วนี่พ่อแม่ของหนูจะรู้เปล่า? ที่อยู่อยู่ไหนเหรอจะได้พาไปส่ง แต่ถ้ายังไม่อยากกลับจะอยู่ต่อก็ได้นะ”

                “ก็… เอ่อ” ธันนะเอ่ยติดอ่างเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ศรีเห็นท่าไม่ดีเลยตอบเขาแทน “เผอิญเจอน่ะค่ะ เลยให้เขาตามมาด้วยค่ะ” พ่อกับแม่มองเธอและธันนะสลับไปมาเพราะไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่บุตรสาวของตนบอกนะ แต่ไม่อยากถามให้หนักใจเลยปล่อยไว้ หลังจากนั้นพ่อแม่ของเธอก็ไปคุยกับคนอื่นๆ เลยทำให้ธันนะรู้สึกโล่งใจที่ไม่ถูกถามอีก เขาหันไปสบตาศรีด้วยแววตาที่สื่อคำขอบคุณ ดูเหมือนศรีจะเข้าใจเธอเลยพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้

                ระหว่างนั้นธันนะที่มองและนั่งฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ ก็คิดว่ากลับเลยจะดีกว่า เพราะอย่างไรเสียก็ไม่เคยรู้จักและไม่ได้สนิทสนมกับศรีด้วย อยู่ไปก็เป็นคนแปลกหน้าเสียเปล่า คิดได้ดังนั้นเขาก็ตัดสินใจลงจากเรือนอย่างเงียบๆ พอเดินพ้นขอบเขตไม่ทันไรก็ถูกศรีเอ่ยรั้งไว้

                “อย่าเพิ่งกลับสิ! ไปเที่ยวด้วยกันนะ”

                “เฮ้อ…” ธันนะถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปและนั่งลงตามเดิม เขามองไปยังพงสณะกับแววไพรที่ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ เพราะศัตรูหัวใจจะไปกับทั้งสองคนด้วย ธันนะทำเป็นไม่สนใจแล้วหันกลับไปตามเดิม

                หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยเรื่องสัพเพเหระ ถามไถ่ทุกข์สุกดิบบ้างและเล่าถึงเหตุการณ์ที่ประสบในช่วงวันหยุดนี้ มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นครั้งคราว ทุกคนต่างยิ้มแย้มด้วยความสนุก เห็นจะมีเพียงธันนะนี่แหละที่แทบจะไม่ยิ้มเลย

 

                กลางวัน

                มื้อนี้พ่อกับแม่ศรีตัดสินใจว่าจะทำทานเอง เพราะนานๆ ทีจะได้ทำให้บุตรของตนเองทาน และยังทำให้เกิดความผูกพันที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วย แววไพรและพงสณะที่ได้ยินว่ามื้อจะทำอาหารทานเองก็แทบจะติดจรวดไปซื้อวัตถุดิบเลยทีเดียว เพราะอยากแสดงฝีมือในการทำอาหารให้ศรีเห็นเพื่อมัดใจเธอ …ดูเหมือนว่าศึกประชันทำอาหารจะเริ่มขึ้นแล้ว…

                ส่วนอีกสี่คนที่ยังอยู่ก็จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้ แล้วนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้อีกสองที่ไปซื้อของกลับมาก่อนจะได้เริ่มทำกันเลย เมื่อมาแล้วแววไพรกับพงสณะก็รีบหยิบวัตถุดิบออกจากถุงผ้า จัดเป็นฝั่งของตนเองและแบ่งส่วนให้คนอื่นด้วยก่อนที่จะกล่าว

                “ทำเลยค่ะ/ครับ”

                ทุกคนที่รออยู่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา พ่อกับแม่ของศรีช่วยเป็นครั้งเพราะอยากเห็นว่าบุตรของตนเองและเด็กๆ จะสามารถทำได้ในระดับไหน ระหว่างนั้นแววไพรกับพงสณะก็ใจจดใจจ่อกับอาหารที่ตนเองทำราวกับว่าหากละสายตาหรือมือแม้เพียงวินาทีเดียวตนเองจะแพ้ พ่อแม่ ศรี อสุราและเฉาก๊วยหัวเราะกับความกระตือรือร้นที่ดูจะเกินจริง เวลาผ่านไปจนกระทั่งทำเสร็จ สองคนแรกที่เริ่มทำก่อนใครเลยก็ตรงเข้ามาหาศรีพร้อมพร้อมกับจานใส่อาหารให้มือ

                “ทานเลยนะจ๊ะ” ศรีกล่าวก่อนจะตักแกงแคซึ่งอาหารพื้นบ้านภาคเหนือของแววไพร มาทานพร้อมกับข้าวสวย เธอค่อยๆ เคี้ยวเพื่อเข้าถึงรสชาติให้มากขึ้น เมื่อเคี้ยวหมดแล้วก็ทานของพงสณะบ้าง อาหารที่เขาทำคือต้มยำกุ้ง เป็นอาหารโปรดของศรี เขารู้ว่าเธอชอบทานอะไรและไม่ชอบทานอะไรจากการที่ไปสืบมาเองและถามจากเฉาก๊วยเป็นการส่วนตัว

                “ของใครอร่อยกว่ากันเหรอ?” ทั้งสองถามพร้อมกัน ทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยก็มองมาเป็นตาเดียวเพราะอยากรู้ว่าศรีจะตัดสินใครให้เป็นผู้ชนะ เธอมองไปรอบๆ ก่อนจะตอบพร้อมกับยิ้ม “เสมอกันจ้ะ”

                “ฮะ?!” แววไพรและพงสณะอุทานพร้อมกัน ศรียิ้มแห้งๆ ก่อนจะอธิบายว่าทำไมผลการตัดสินถึงเป็นเช่นนี้ “แหม ทั้งสองคนทำอาหารอร่อยไม่แพ้กันเลย อีกอย่างไม่ใช่แบบเดียวกันฉันก็เลยตัดสินไม่ค่อยเป็นน่ะ”

                เมื่อได้ฟังดังนั้นทั้งสองคนก็ทำหน้าอาลัยตายอยาก หากพวกเขาเป็นของแข็งป่านนี้คงระเหิดหายไปแล้วล่ะ ระหว่างนั้นทุกคนที่นั่งรออยู่ก็หัวเราะกับความคิดของศรีและสีหน้าของแววไพรกับพงสณะ หลังจากนั้นก็เริ่มทานอาหาร มีพูดคุยบ้างหัวเราะบ้าง การมารวมตัวกันครั้งนี้ทำให้อาหารที่ทานอยู่อร่อยมากกว่าครั้งไหนๆ

                เพียงได้อยู่ด้วยกันก็ทำให้อร่อยมากเลยทีเดียว…

 

                หลังจากนั้นเด็กๆ ก็พากันไปที่ห้องสมุดประจำอำเภอ หาอะไรอ่านแก้เบื่อ อสุรากับธันนะไปนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ ส่วนศรีเดินไปตรงชั้นวางหนังสือประเภทประวัติศาสตร์และศิลป์ มาอ่านบนโต๊ะที่มีเก้าอี้ ๖ ตัว ซึ่งมี พงสณะ แววไพร เฉาก๊วยมานั่งอ่านอยู่ก่อนแล้ว เธอนั่งลงตรงที่อยู่ใกล้ๆ เฉาก๊วยก่อนจะอ่านบ้าง บรรยากาศสงบทำให้ใจของเธอพลอยสงบไปด้วย แม้จะไม่ได้เปิดไฟแต่แสงยามทิวากาลนั้นก็สามารถทดแทนได้เป็นอย่างดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปทำให้ไม่แสบตา ได้ยินเสียงนกร้องและใบไม้ที่ไหวไปมาเพราะลมที่พัดผ่านทำให้บรรยากาศสดชื่น

                ผ่านไปสักพักก็มีกลุ่มเด็กชายเดินเข้ามาในห้องสมุดประจำอำเภอ ซึ่งก็คือพี่น้องฝาแฝด คิมหันต์กับเหมันต์ ชลจรและอสุเรนทร์ บางคนที่อยู่ในนั้นก็เผลอเงยหน้าจากหนังสือว่าใครมา แต่ก็ไม่ได้จ้องเพราะจะเสียมารยาท หนึ่งในนั้นก็มีศรีด้วย เธอยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องและต่างห้องที่ตนเองรู้จักจะกวักมือเรียก

                “มานั่งโต๊ะนี้สิ” เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสี่คนก็มานั่งตามที่ศรีบอก เว้นแต่ชลจรกับอสุเรนทร์ที่ไม่มีที่นั่งเลยไปนั่งโต๊ะอื่นที่ใกล้กับโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ ศรีรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยามที่อสุเรนทร์มองเธอด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา เธอทำเป็นไม่รู้สึกหรือสังเกตถึงสายตานั้นก่อนจะอ่านหนังสือต่อ

                …แม้บรรยากาศจะสดใส ทว่าเธอรู้สึกได้ถึงความเศร้าหมองที่แผ่ล้อมจากตัวเขา…

 

                พอกลับมาศรีก็เข้าไปในห้องแล้วพิงกับหน้าต่างไม้ ก่อนที่จะมาเธอบอกแววไพรและเฉาก๊วยให้ไปเล่นกับเพื่อนคนอื่น เธอรู้สึกเพลียๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ มือขวาเผลอลูบผ้าพันแผลที่ปกปิดเบ้าตาที่กลวง ถึงแม้จะเจ็บเป็นบางครั้งแต่เธอก็ชินเสียแล้ว เฉกเช่นกับจิตใจที่บอบช้ำจนแทบจะเยียวยาไม่หาย ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตเธอคำว่า เรื่องดี แทบจะไม่มีเลย แม้ปีนี้เรื่องร้ายจะไม่ค่อยมี แต่ก็มีอยู่บ้างอย่างเรื่องที่ถูกควักลูกตาออกไป ศรีปล่อยให้สติหลุดลอยไปโลดแล่นในอดีต หวนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในแต่ละวัน เดือน ปี

                เวลาผ่านไปเร็วจัง หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรอีกนะ

                เธอภาวนาด้วยความหวังที่ริบหรี่ เพราะใจหนึ่งก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าคงไม่มีความสงบจริงๆ ในชีวิตตนเอง และเพราะชีวิตคนเรานั้นมันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาและบุญกับกรรมว่าจะให้ดำเนินทิศทางใด ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หญิงสวมหน้ากากแบบหน้าหุ่นกระบอกก็มาปรากฏตัวข้างเตียงไม้ของศรี พอรู้สึกตัวถึงการมาเยือนเธอก็รีบลุกมานั่งห้อยขาจากเตียง ก่อนจะถามถึงเหตุผลการมาแม้ในใจจะสงสัยว่าหญิงสวมหน้ากากเข้ามาได้อย่างไร

                “ท่านมีธุระอะไรกับหนูเหรอคะ?”

                “ข้ามีของจะให้” หญิงสาวสวมหน้ากากตอบ มือที่ออกซีดนั้นถือกล่องไม้เล็กๆ อยู่ มันสลักลวดลายไทยอย่างวิจิตร ประณีตมากจนศรีที่สังเกตกล่องไม้นี้เผลอคิดอยากจะได้มัน “ของเหรอคะ?” ความคิดอีกหนึ่งก็สงสัยว่าของข้างในคืออะไรเธอจึงถามต่อ “แล้วเป็นอะไรเหรอคะ?”

                “ดวงตาของเจ้าอย่างไรล่ะ” ได้ฟังดังนั้นดวงตาข้างซ้ายของศรีก็เบิกขึ้นด้วยความตกตะลึง เธอเอ่ยอะไรไม่ออกเพราะแทบจะไม่อยากเชื่อว่าจะได้ดวงตาของตนเองคืน หญิงสวมหน้ากากเห็นว่าศรีไม่เอ่ยอะไรเลยกล่าวต่อ “บัดเดี๋ยวข้าจะใส่ให้

                ยักษ์ตนนั้นขโมยไปแล้วนี่?

                “ไม่ต้องผ่าตัดอะไรอย่างนี้เหรอคะ?” เมื่อตั้งสติได้เธอจึงถาม หญิงสวมหน้ากากพยักหน้าโดยที่ไม่ตอบหรือเอ่ยอะไรอีก นางเดินไปนั่งลงข้างๆ ศรีก่อนจะหยิบดวงตาสีดำออกจากกล่อง แกะผ้าพันแผลออกแล้วค่อยๆ สอดเข้าไปในเบ้าตา

                …เมื่อใส่เข้าไปแล้วศรีก็เผลอยกมือไปทาบกับดวงตาข้างขวา รู้สึกเติมเต็มราวกับได้อะไรใหม่ๆ ทั้งที่มันก็คือดวงตาของเธอในแต่ก่อน

                ไม่อยากจะเชื่อเลย…

                หญิงสวมหน้ากากเห็นเด็กหญิงไม่มีท่าทีอะไรเลยตัดสินใจจะออกจากห้องเงียบๆ ทว่าถูกคำขอบคุณของเธอรั้งไว้

                “ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” หญิงสวมหน้ากากหันมามอง นางพยักหน้าก่อนจะสลายหายไปเป็นกลีบดอกราชพฤกษ์ วิธีนี้เองที่นางอาจจะใช้เข้าห้องมา ศรีมองกลีบดอกราชพฤกษ์ด้วยความเข้าใจและขอบคุณ… ที่ทำให้เธอได้ดวงตากลับมา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา