ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.32K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
85) บทที่ ๘๕: เรื่องอีกมากมายที่ไม่รู้กับการเล่นอีตัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๘๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
เรื่องอีกมากมายที่ไม่รู้กับการเล่นอีตัก
“คราวหน้าอย่าให้มีแบบนี้อีก ท่านมณฑากับท่านกาสะลองก็จริงๆ เลย ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน” อสุรากล่าวด้วยความเป็นห่วง ใจหายวาบเป็นบางครั้งเมื่อนึกถึงว่าหากศรีโดนทำร้ายอีกจะรอดกลับมาได้ไหม แม้ธวัลจะไม่คิดร้ายกับน้องสาวของตนเอง แต่ไม่แน่เหมือนกันว่าสักวันอาจจะลงมือก็ได้
“หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ หนูจะไม่ทำอีกแล้ว” ศรีกล่าวด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง ถึงจะมีเหตุผลให้แก้ตัวแต่ความผิดก็มากกว่าอยู่ดีรวมถึงเรื่องที่เธอประสบอยู่จนอสุราต้องตามไปช่วยหลายต่อหลายครั้ง พี่สาวของตนเป็นห่วงและยังช่วยโดยไม่นึกถึงตนเอง เท่านี้ศรีก็รู้สึกว่าเป็นบุญคุณจนไม่กล้ายกเหตุผลมาให้ตนเองถูก ดวงตาสีดำมองไปที่มือซึ่งวางอยู่บนตัก ไม่กล้าสบตากับพี่สาวของตนที่เริ่มเปลี่ยนแววตาดุมาเป็นอ่อนโยน
“เฮ้อ… เอาเถอะ พี่เองก็ต้องขอโทษด้วยเหมือนกัน ถึงจะไม่ค่อยมีใครแกล้งหรือทำร้านหนูแล้ว แต่โลกนี้นับวันยิ่งทวีความโหดร้าย มิตินี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยกว่า แม้พวกเขาจะคุ้นเคยกับเรื่องอย่าง ยักษ์ไม่ก็พลังที่หนูมีอยู่ แต่ก็อย่างว่าแหละนะว่ามีคนอีกมากที่อยากได้พลังของหนูอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วพี่ถึงอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ” อสุรากล่าวในขณะที่มือนั้นยื่นไปลูบศีรษะศรีอย่างอ่อนโยน ศรียิ้มบางๆ แม้เรื่องที่ทำให้อสุรามาตักเตือนจะไม่ร้ายแรงแต่เธอก็ไม่คิดจะเถียงอยู่ดี
“ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” อสุราพยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ไปอาบน้ำก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวเดียวก็ดึกแล้ว นอนดึกบ่อยๆ มันไม่ดีนะ” ศรีหัวเราะไปพลางนึกถึงคืนที่อยู่ร่วมกับเพื่อนๆ แล้วเล่นกันอย่างสนุกสนานจนนอนดึกบ่อยครั้ง เธอกับอสุราลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องอาบน้ำ ถึงเธอจะเข้าไปแล้วอสุราก็ไม่ยอมกลับเข้าห้อง เฝ้ารอที่หน้าห้องน้ำอย่างเป็นห่วงและระแวดระวังภัยที่อาจจะมาเยือน
พอเข้ามาในห้องก็พบว่าเพื่อนๆ กำลังนั่งเล่นเกมเศรษฐีอยู่ ศรียิ้มบางๆ อารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงเพื่อนๆ หัวเราะ จิกกัดกัน ล้อกันบ้าง เธอเข้าไปนั่งแล้วดูอย่างเพลินๆ อสุราเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็ปิดประตูลงก่อนจะเดินออกจากห้องไป มุ่งหน้าไปที่พื้นที่โล่งกว้างพอสมควร พอไปถึงแล้วก็พบว่าบุคคลที่นัดหมายไว้มาถึงก่อนแล้ว ยืนหันหลังชมทิวทัศน์รอบๆ ถึงแม้จะมืดก็ตาม อสุราถอนหายใจเบาๆ พยายามไม่ให้มีเสียงแล้วเดินเข้าไปอย่าเงียบเชียบ มือที่กำด้ามดาบอยู่นั้นเตรียมจะปลิดชีพอีกฝ่ายทุกครา พอเข้ามาใกล้พอสมควรห่างมาประมาณ ๓ ก้าวเธอก็ตวัดดาบใส่ทันที
วืด!
เคร้ง!!
อีกฝ่ายหันกลับมาพร้อมกับดาบคาตานะที่รับดาบของอสุราได้ทันพอดี
“มามิบอกกล่าวเลยนะ”
“อยากหันหลังเองทำไมคะ? รู้ก็รู้ว่าหนูมาแล้วนี่” อสุรากล่าวด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก คาตานะรู้ว่าเธอมาแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะเหตุนี้แหละเธอถึงกล้าฟันดาบใส่ด้วยความที่รู้ดีว่าอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ต้องป้องกันได้อยู่แล้ว
“หึๆ ยังบกพร่องอยู่นะ” เขากล่าวในขณะที่พุ่งเข้าไปหาอสุราพร้อมกับดาบไทยที่ตวัดลงมา อสุราเบี่ยงร่างหลบได้แต่ก็ลืมดาบอีกด้ามที่พุ่งเข้ามาเฉือนแขนเล็กน้อยๆ จนแขนเสื้อขาดตามด้วยเลือดที่ปริ่มออกมาเล็กน้อย คาตานะถอยหลังกลับไปก่อนจะดาบทั้งสองเข้าฝัก
“ช่วงนี้ก็ฝึกๆ ไปเองก่อนละกันนะ”
“ท่านมีธุระอะไรเหรอคะ?” อสุราถามโดยที่ไม่รู้สึกถึงบาดแผล เธอเองก็มีเรื่องเจ็บตัวค่อนข้างบ่อยจนบาดแผลมีความเจ็บเท่ากับโดนมดกัด คาตานะแย้มรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาให้พร้อมกับตอบ
“ก็…. อ๊ะ มิบอกดีกว่า ข้าไปล่ะ ดูแลศรีดีๆ ด้วย” พอกล่าวจบก็ใช้อาคมพาร่างตนเองลอยขึ้นไป อสุรามองตามอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้แปลกใจเพราะอีกฝ่ายชอบปกปิดตลอด กระนั้นก็ใช่ว่าจะยอมรับได้
“ท่านเป็นเช่นนี้เสมอ”
“แน่นอน อ้อ จริงด้วย ข้าว่าเจ้าพาศรีกลับไปที่มิติผกายจะดีกว่านะ” สีหน้าของเริ่มจริงจังขึ้น อสุราเข้าใจที่เขาบอกเพราะเธอเองก็อยากให้ศรีกลับเช่นกัน เหตุผลนั้นเธอรู้แก่ใจดี
“หากปล่อยไว้ ผู้ที่คิดร้ายจะต้องมากันมากกว่าเดิมแน่” กล่าวจบร่างของเขาก็สลายเป็นไอหมอก อสุราพยักหน้าให้แม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม
“ค่ะ หนูเองก็ไม่อยากปล่อยไว้เหมือนกัน”
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
“วันนี้เล่นอะไรกันดี”
“เมื่อคืนยังมิพออีกฤ?” ขนมชั้นถามเฉาก๊วยอย่างเบื่อหน่าย ทว่าเจ้าตัวกลับไม่สนใจ ริมฝีปากยังคงแย้มยิ้มยากที่จะหุบ เขาตอบอย่างสบายๆ “ก็มันเบื่อนี่” กล่าวจบก็มีเสียงถอนหายใจจากขนมชั้นตามมา ระหว่างนั้นเองศรีก็เดินมาหาทั้งสองคนด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เห็นดังนั้นแล้วขนมชั้นกับเฉาก๊วยจึงหยุดเดิมก่อนที่เฉาก๊วยจะถามขึ้นก่อน
“มีอะไรเหรอ?”
“พี่อสุราพักที่ห้องไหนเหรอจ๊ะ?”
“อ้อ ชั้นล่างน่ะ ทางหลังๆ ที่มีต้นไม้ปลูกไว้เยอะหน่อย ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอถึงดูร้อนรนนัก?” เฉาก๊วยถามกลับ ในใจหวาดหวั่นว่าจะมีเรื่องไม่ดี ทว่าคำตอบไม่เป็นดังคาดเมื่อศรีส่ายหน้าเป็นเชิงตอบ “เปล่าจ้ะ ช่วงนี้เห็นพี่อสุราไม่ค่อยมาหาฉันเลย เพราะปรกติท่านจะมาถามไถ่ฉันเสมอเลยกังวลว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพี่หรือเปล่าน่ะ”
“อ๋อ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่อสุราก็แค่ไปฝึกดาบเอง”
“ฝึกดาบ?” ศรีทวนด้วยความฉงน เฉาก๊วยทำท่าจะตอบแต่ถูกขนมชั้นแทรกตอบก่อน “ไปฝึกกับคาตานะ เห็นว่าอยากเอาชนะคนๆ หนึ่งอยู่แล้วก็ไปฝึกอย่างอื่นด้วยน่ะ”
“ทำไมพี่อสุราไม่บอกฉันบ้างเลยล่ะ?” ศรีถามแบบไม่ต้องการคำตอบ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสองคนนี้ก็คงไม่รู้อะไรไปกว่าเธอ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิดเมื่อเฉาก๊วยส่ายหน้าในขณะที่ขนมชั้นก็เงียบ “ฉันเองก็ไม่รู้นะ แต่คงไม่อยากให้เธอไม่สบายจังกระมัง ช่วงนี้ก็มีเรื่องไม่ดีกับเธอบ่อย หากบอกศรีว่าไปฝึกดาบหรืออย่างอื่นที่มีอาคมด้วย เธอคงไม่เป็นอันกินอันนอนกันพอดี” เฉาก๊วยตอบติดตลก เผื่อว่าเพื่อนของตนนั้นจะสบายใจขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผลเล็กน้อย ศรียิ้มก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าว
“ขอบคุณจ้ะ ทั้งสองคน ฉันไปนะ”
“อื้ม” เฉาก๊วยรับคำพลางมองหลังเพื่อนของตนที่เดินไปที่อื่นแล้ว ณ ตอนนี้เหลือเพียงเขากับขนมชั้น ขนมชั้นมองเฉาก๊วย สักพักเขาก็ถาม “ดูท่าจะดีขึ้นนะ อย่างไรเสียช่วงนี้เราก็พยายามผิดเรื่องที่อาจจะทำให้ศรีกังวลละกัน มิเช่นนั้นอาจทำให้ศรีมิมีสมาธิเลยก็ได้”
“อืม… ถึงนายไม่บอกฉันก็ทำอยู่แล้วล่ะ” เฉาก๊วยตอบกลับโดยที่ไม่หันกลับมามองขนมชั้น สักครู่หนึ่งทั้งสองก็เดินต่อในขณะที่เฉาก๊วยก็ถามว่าวันนี้จะเล่นอะไรดี เรียกบรรยากาศสดใสกลับมาได้ดังเดิม
หญิงสาวผมสีนวลจันทร์เกล้าหลวมๆ จุกหนึ่งจนผมหย่อนมาไว้ข้างหน้า สวมหมวดทรงสูงติดขนนก สวมชุดแบบสมัยวิคตอเรีย ท่อนบนที่เป็นเสื้อคอตั้งนั้นมีลายทางสีแดงสลับสีแก่และสีเข้ม ตรงกลางเว้นไว้เป็นลายไทยชั้นๆ กระโปรงที่โปร่งเพราะมีโครงสร้างด้านในนั้นมีผ้าชั้นนอกคลุมปลายเป็นเกลียว คาดด้วยผ้าบางๆ ที่ปลายนั้นเป็นเกลียวและมีลายไทย มือเรียวขาวข้างหนึ่งที่ออกซีดเล็กน้อยนั้นถือกล้องยาสูบที่มีควันลอยออกมาจางๆ ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ชวนให้หวาดว่าจะเป็นโรคมะเร็งปอด ธวัลมองหญิงสาวคนนี้ด้วยแววตาที่หงุดหงิด ถึงจะอยากตักเตือนแต่ก็เคยบอกไปหลายครั้งแล้วเลยไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี นางถอนหายใจเบาๆ พยายามไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินก่อนจะกล่าวทำลายความเงียบ
“คงมิต้องให้เราบอกอีกนะเจ้าคะ”
“ยาสูบนี่น่ะฤ? มิลองดูหน่อยล่ะ?” หญิงสาวคนนั้นถามแทนการตอบ ธวัลส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ราชาวดี เรามิอยากกล่าวซ้ำอีก” คราวนี้นางกล่าวไม่มีหางเสียง อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าว
“สตรีสีขาว-ดำ ผู้แสนเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง แท้จริงแล้วเป็นเพียงละอองหิมะที่พอถูกแสงสุริยันแล้วจะละลายไป” กล่าวจบก็สูบกล้องยาสูบแล้วพ่นควันสีเทาออกมา ธวัลมองโดยที่ไม่ตักเตือนเพราะรู้ดีว่าบอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
“มาเข้าเรื่องกันก่อน เราว่าศรีคงมิรู้อะไรเกี่ยวกับตนเองมากนัก คงเพราะพ่อแม่บุญธรรมของเธอพยายามปกปิด ส่วนเหตุผลมิบอกก็คงจะทราบนะ”
“เป็นเด็กที่จะบอกว่ามีกรรมมาก ฤๅเพราะโชคชะตาตั้งใจสร้างไว้กันแน่นะ”
“ชาติที่ศรีถือกำเนิดเป็นครั้งแรก เธอก็สร้างกรรมไว้มากพอควร เพราะฉะนั้นแล้วที่ว่าโชคชะตาตั้งใจสร้างน่ะ ตัดทิ้งไปได้เลย” กล่าวจบนางก็ยกถ้วยใส่กาแฟมาดื่ม หญิงสาวเจ้าของนามราชาวดีหรี่ตามองอย่างพินิจ
“ท่าทางเจ้าจะรู้มากพอควรเลยนี่”
“ความทรงจำก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้หลงเหลืออยู่บ้าง …อีกอย่าง เธออย่าลืมสิว่าเราเป็นอะไรกับศรี”
“มิลืมดอก”
ราชาวดีเอ่ยก่อนจะหยิบขนมมาทาน หลังจากนั้นก็ไม่มิใครเอ่ยอะไรอีก กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟลอยในอากาศพร้อมกับกลิ่นชาหอมอ่อนๆ ทำให้ใจใครบางคนนั้นสงบได้เล็กน้อย ลิ้นรับรสหวานพร้อมกับสัมผัสละมุนของเนื้อขนมที่ละเอียด ราชาวดีแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ
“จะนำขนมกลับไปด้วยก็ได้นะ”
“ที่เรือนเรามีมากพอแล้ว ขอบคุณสำหรับน้ำใจ” กล่าวจบธวัลก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินจากไป เหลือเพียงราชาวดีที่ยิ้มมุมปากพลางมองร่างที่ลับหายไป
“ณ ตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของจริงน่ะอีกยาวกว่านี้”
“ท่านพินทุ หนูอยากทราบค่ะ ว่าเพราะเหตุใดท่านจึงไม่ยอมให้ศรีกลับ” อสุราถามขึ้น พินทุที่อ่านหนังสืออยู่นั้นเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปาก นางละสายตาจากหนังสือมามองอสุรา เด็กสาวจ้องนางไม่วางตาจนพินทุเผลอขำเพราะรู้สึกเหมือนโดนลูกสุนัขมองเจ้านายทานอาหาร
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าทำไปเพื่ออันใดล่ะ”
“หากเกิดหนูตรัสรู้เองจะมาถามท่านไหมล่ะคะ?” อสุราตอบด้วยความไม่พอใจ “นั่นสินะ …อืม ก็แค่คิดว่าหากศรีอยู่ต่อคงจะมีเรื่องสนุกๆ น่ะ อีกอย่าง เจ้ามิคิดบ้างฤว่าศรีหน้าคล้ายใคร?”
“น้องสาวของหนูไม่ใช่ตุ๊กตาที่จะให้ใครทำร้าย ฮึ ในสายตาท่านทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก ไม่มีเรื่องอะไรก็จะคิดว่าน่าเบื่อ …เดี๋ยวก่อนนะ ที่ท่านถามว่าศรีหน้าคล้ายใครน่ะ ท่านคงมิได้หมายถึงย่าของหนูหรอกใช่ไหมคะ?” พินทุพยักหน้าเป็นเชิงตอบก่อนจะกล่าวต่อ
“ก็ใช่ แต่มีอีกคนน่ะ”
“อีกคน? …” อสุราทวนคำพร้อมกับนึกว่ามีใครอีกที่ศรีเหมือน ผ่านไปสักพักเธอก็ยังนึกไม่ออกว่าใคร “ใบ้หน่อยเถอะค่ะ”
“เป็นนายิกา”
“ครอบคลุมไปนะคะ”
“เป็นนายิกาคนแรกที่ตั้งกฎที่ว่า ฝ่ายชาย มิว่าจะเป็นชายแท้ฤๅเป็นหญิงมาก่อน เมื่อใดที่แต่งกับนายิกาฤๅรองนายิกาจะต้องใช้นามสกุลของฝ่ายหญิงซึ่งเป็นนายิกาฤๅรองนายิกา” พอฟังจนจบ อสุราก็เบิกตาเป็นเชิงว่าเธอนึกได้ว่าเป็นใคร “ท่านหมายถึง…”
“นึกได้แล้วสินะ” พินทุถามโดยที่ใบหน้านั้นยังคงรอยยิ้มที่ดูมีลับลมคมใน อสุราพยักหน้าก่อนจะตอบ “ค่ะ ว่าแต่ทำไมท่านถึงถามล่ะคะ คงไม่ใช่ว่าศรีไปเกี่ยวข้องอะไร”
“เกี่ยวมากเลยล่ะ …ส่วนเหตุผลนั้นเจ้าก็ไปนึกเอาเองละกันนะ” พินทุบอกดักเพราะรู้ว่าเด็กสาวผมหยักศกต้องถามต่อแน่ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะปากที่อ้าจะถามนั้นหุบลงทันที อสุราถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
“ต้องพาศรีกลับแล้ว ความลับนี่ชักจะเยอะขึ้นจริงนะ”
อสุราพึมพำกับตนเองเมื่อปิดประตูห้องแล้ว เธอเดินต่อไปด้วยความไม่สบายใจโดยที่มุ่งหน้าไปหาน้องสาวของตนเอง
เมื่อไปถึง อสุราก็พบว่าน้องสาวของตนเองเล่นอีตัก[1]กับเพื่อนอยู่ที่ชานเรือน วันนี้ศรีไม่ได้ไปนั่งสมาธิเพราะเฉาก๊วยบอกว่าอสุราอาจจะพาเธอกลับไปในเร็ววันเลยอยากให้เล่นกับเพื่อนๆ ในมิตินี้ก่อน ซึ่งเธอก็เห็นด้วยจึงเล่นกับเพื่อนๆ อสุรามองภาพนั้นก็พลอยยิ้มไปด้วย …เพียงได้เห็นน้องสาวที่ตนเองรักดังดวงแก้วเธอก็มีความสุขมากแล้วล่ะ อสุรามองภาพนั้นไปพักใหญ่โดยที่ไม่เข้าไปขัดเพราะอยากให้ศรีมีช่วงเวลาดีๆ ให้มากที่สุด เธอตัดสินใจเดินออกไปโดยที่ไม่มีใครสังเกต แต่เผอิญว่าศรีเหลือบเห็นพอดีจึงเรียกอสุราไว้
“พี่อสุราคะ มาเล่นกันเถอะค่ะ สนุกนะคะ” เพื่อนๆ หันไปมองอสุรา ทีแรกอสุราจะปฏิเสธต่อพอเห็นแววตาระยิบระยับจากศรีและคนอื่นๆ ก็เลยทำใจปฏิเสธไม่ลง เธอยอมแพ้กับแววตานั้นก่อนจะเดินเข้าไปร่วมวง
“ต้องเล่นใหม่สินะ”
“ไม่เป็นไรครับ คนเล่นเยอะๆ สนุกดี” รพิตอบแทนซึ่งเพื่อนๆ บางคนก็พยักหน้าเห็นด้วย อสุรายิ้มมาจากใจจริง …ที่ผ่านมาเธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจใครทำให้เพื่อนในระดับชั้นมัธยมไม่ค่อยชอบ จนกลายเป็นว่าเธอนั้นไม่ค่อยมีใครคุยหรือเล่นด้วย แต่พอมาคราวนี้ น่าแปลกว่าทำไมตนเองถึงยอมเล่นกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่เพื่อนวัยเดียวกันนั้นเธอไม่ค่อยจะชอบนัก
อาจเพราะว่าสำหรับอสุราแล้ววัยที่เธอเป็นอยู่ค่อนข้างจะรุนแรง เธอเลยสบายใจมากกว่าเมื่ออยู่กับเด็กๆ
“เอาล่ะ โอนอยออกละกันว่าใครจะเริ่มก่อนนะ”
“ค่ะ/ครับ” ทุกคนรับคำก่อนจะยื่นมือรวมกันในวง เมื่อใดที่คำว่า ‘โอนอยออก’ เอ่ยขึ้นมือของทุกคนก็จะพลิกกลับไปตามแต่ละคน ใครที่ออกต่างจากคนอื่นก็รอคนอื่นที่เป็นเหมือนตนเอง เพื่อจะได้เป่ายิงฉุบตัดสินกันอีกทีว่าใครจะเล่นก่อน
“ตาแรกฉันนะ”
บรรพตกล่าวก่อนจะใช้ใบไม้ที่ทำเป็นรูปช้อนนั้นตักเม็ดน้อยหน่าขึ้นมาสองสามเม็ด โดยพยายามไม่ให้กระทบกระเทือนเม็ดอื่น จากนั้นกลีบเย้าก็ตักต่อ เรียงตามไปเรื่อยๆ ทุกคนมองกันไม่วางตาด้วยความตื่นเต้นว่าใครจะหมดสิทธิ์เล่นเป็นคนแรก …และแล้วก็ถึงยามที่ทุกคนรอคอยเมื่อดอกเข็มตักเม็ดน้อยหน่าไปโดนเม็ดอื่น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในทันใด เธอยิ้มแห้งๆ ก่อนจะออกไปนั่งนอกวง ดูต่อไปว่าใครจะเป็นรายต่อจากเธอ
[1] อีตัก คือ การเล่นแบบไทยที่มีอุปกรณ์ในการเล่น คือ เม็ดน้อยหน่าหรือเม็ดมะขาม และใบไม้หรือกระดาษ วิธีการเล่นนั้นให้ผู้เล่นโปรยเม็ดเท่าๆ กัน ใช้ใบไม้หรือกระดาษเป็นรูปช้อนสำหรับตัก ในการตักนั้นจะต้องตักทีละเม็ด หากเม็ดไปกระเทือนเม็ดอื่นจะหมดสิทธิ์เล่น ให้ผู้เล่นคนอื่นเล่นต่อ ใครได้มากที่สุดคือผู้ชนะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ