ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
84) บทที่ ๘๔: สตรีสีขาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๘๔
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
สตรีสีขาว
“ท่านแม่!” ปักเป้าวิ่งไปหาพินทุที่เพิ่งลงจากรถเทียมม้าตามด้วยมณฑาและกาสะลอง ก่อนจะส่งแววตาระยิบระยับให้พลางกล่าว “ซื้อขนมมาฝากข้าบ้างไหม? ขนมในเรือนใกล้จะหมดแล้วนะครับ!”
“เห็นแก่กินจริงลูกคนนี้ มิคิดจะถามไถ่บ้างฤว่าแม่เป็นเช่นไร”
“ท่านแม่ก็แข็งแรงอยู่แล้วนี่”
“ฮึ! กล่าวเช่นนี้อย่าได้คิดเลยว่าแม่จะซื้อขนมให้เจ้าอีก” นางกล่าวก่อนจะเดินเข้าไป ทิ้งให้ผู้เป็นลูกนั้นยืนมองตาละห้อย ปักเป้ารีบเดินตามไปด้วยโดยที่ยังคงขอให้แม่ของตนนั้นซื้อขนมให้ไม่เลิกรา
เมื่อมาถึงเรือนแล้วบ่าวก็รีบนำอาหารมาให้โดยที่มีเด็กๆ มานั่งร่วมด้วย ทำให้พินทุส่ายหน้าด้วยความระอาใจปนเอ็นดู ส่วนมณฑาและกาสะลองไปรักษาแผล พินทุมองไปยังเด็กๆ แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าศรีหายไปไหน จากนั้นนางก็หันไปมองดินขาวที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะถาม “เจ้าพอจะรู้บ้างไหมว่าศรีอยู่ไหน?”
“ไปนั่งสมาธิตามที่ท่านมณฑาฝากบอกขนมชั้นน่ะครับ”
“…เช่นนั้นฤ” ดูเหมือนว่าดินขาวจะนึกอะไรได้เลยถามนางบ้าง “ขอถามนะครับ ไยท่านพินทุกับท่านมณฑาและท่านกาสะลองถึงกลับเร็วจังครับ? ให้ทุกคนแข่งกับนายิกาภาคอื่นจนกว่าจะครบทุกคนก็มิน่าจะเร็วถึงเพียงนี้”
“คดีเกิดกะทันหัน เป้าหมายจริงๆ ของผู้ลักมีดคือสังหารเพื่อนของตน นั่นก็คือ คมกฤช นายิกาประจำจังหวัดอยุธยา แล้วคมกฤชก็ตายไปแล้วด้วย” น้ำเสียงเรียบๆ นั้นช่างขัดกับแววตาที่มีความสนุกฉายอยู่ ดินขาวและเพื่อนคนอื่นๆ ที่เผอิญได้ยินนั้นมองนางเป็นตาเดียว
“ท่านคมกฤชเสียชีวิตแล้ว?” ปักเป้าพึมพำถามย้ำ
“เป็น… เป็นไปมิได้” บรรพตพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ พินทุพยักหน้าก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างไม่รู้สึกอะไร “ตามที่ได้ยินนั่นแหละ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังไปเพราะข้าลองถามโคมรัตติกาลแล้วว่านางได้ร่วมทำพิธีกับวิรงรอง รองนายิกาของคมกฤชเพื่อฟื้นคืนชีพ ก็พอจะมีหวังได้เหมือนกัน”
“เอ๊ะ? …” ศรีที่เพิ่งนักสมาธิเสร็จกลับมาที่เรือนอุทานเบาๆ คำว่า ‘ฟื้นคืนชีพ’ นั้นทำให้เธอยืนนิ่งไปพักหนึ่ง พงสณะที่รู้สึกถึงการมาเยือนของเธอก็ยิ้มบางๆ ให้ช่างขัดกับบุคลิกของเขาที่เป็นคนกะล่อน ก่อนจะตบเก้าอี้ข้างๆ ที่เขาจองไว้ให้เธอ ศรีเดินเข้าไปนั่งแล้วหันไปสนใจพินทุที่กำลังจะเล่าต่อ
“จุดประสงค์มิแน่ชัดนักว่านางจะขโมยมีดไปเพื่อทำการใด แต่ข้ารู้สึกว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีมากกว่านั้น”
“…” ความเงียบเข้าปกคลุม พินทุดูจะไม่มีท่าทีอะไรกับบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ นางจิบชาไปเรื่อยๆ ก่อนจะกล่าวติดตลก “รีบทานเสียเถิด บัดเดี๋ยวอาหารก็ชืดหมดดอก”
“ค่ะ/ครับ” เด็กๆ รับคำก่อนจะเริ่มลงมือทาน ปักเป้ามือไวกว่าเพื่อนเลย ตักเอาๆ จนขนมชั้นต้องทำตาดุใส่ ปักเป้าไม่สนใจแถมยังโต้กลับโดยการแลบลิ้น เมื่อนั้นสงครามจึงเริ่มขึ้นเรียกบรรยากาศสดใสมาได้ดี พินทุขำในลำคอด้วยความเอ็นดูในขณะที่ในใจคิดด้วยความนึกสนุก
…เริ่มแล้วสินะ ออกจากคุกในนรกเมื่อใดกัน?
“มันจบง่ายไป” ธัญ นายิกาประจังหวัดลพบุรีกล่าว ณ ในห้องประชุมที่ทำการนายิกาประจำจังหวัดตะวันออก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด บางคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำที่นางกล่าว
“คมกฤชก็ตายแล้ว รายต่อไปใครจะตายกัน? หวังว่าคงมิเป็นเช่นนั้นดอกนะ” วิศิษฏ์ปรลัยกล่าวด้วยความกังวล เมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงกล่าวต่อ “จุดประสงค์ของนางที่แท้จริงคืออันใด? หากเป็นไปตามที่พวกเราคิดว่านางจะใช้มีดเปิดประตูนรกที่ทะเลทางภาคใต้มันก็คงมิน่าเป็นไปได้ ทะเลกว้างใหญ่นัก สมบัติของสยามใช้เพียงอย่างเดียวมันคงมิได้ดอก เรื่องนี้พลับพลึงก็น่าจะรู้ดีนี่” ความอึดอัดมีมากขึ้น ทุกคนตกอยู่ในห้วงความคิดหนึ่งในนั้นก็มีโคมรัตติกาลที่หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่งแล้วก็กล่าวขึ้นทำลายความเงียบ
“ข้าว่าเรื่องนี้อาจจะมีใครอีกคนอยู่เบื้องหลัง”
“ทำไมจึงคิดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ?”
“สิ่งที่ข้าจะกล่าวต่อไปนี้เป็นเพียงความคาดเดาจากความรู้สึกและความเป็นไปได้นะ ข้าว่าหากนางต้องการสังหารนายิกาและรองนายิกาจริงๆ ก็สามารถสังหารในมิติความฝันได้อย่างง่ายดาย แต่นางกลับให้นายิกาและรองนายิกานั้นเห็นเพียงภาพในความทรงจำแล้วหากทำใจไม่ได้ก็จะเสียสติฤๅเสียใจจนพลังในมิตินั้นทำลายฤๅควบคุมได้ ข้าว่านางต้องทำได้มากกว่านี้แน่ แล้วคนที่นางต้องการสังหารจริงๆ ก็คือคมกฤชซึ่งได้ตายไปแล้ว หลังจากนั้นวิรงรอง รองนายิกาของนางก็บอกว่าพลับพลึงหายตัวไป ท่าทีที่นางดูมาพลับพลึงคงมิต้องการสังหารใครอีกแล้ว …ข้าสรุปเลยละกันนะ จากที่ข้าอธิบายมาสิ่งที่นางทำก็มิมีความจำเป็นต้องพึ่งมีดอรัญญิกและใช้ทะเลเป็นประตูไปสู่นรกเลย …ข้าอธิบายยากไปไหม?”
โคมรัตติกาลมองทุกคนด้วยความกังวล บางคนก็พยักหน้า บางคนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงน
“เจ้าหมายความว่า… แท้จริงแล้วนางอาจมิต้องการสังหารใครฤๅเปลี่ยนใจมิสังหารเลยตั้งข้อสงสัยว่าจะขโมยมีดและเปิดประตูนรกตามที่เราคาดไว้ไปทำไมกัน” วิศิษฏ์ปรลัยสรุปเมื่อนั้นนายิกาคนอื่นที่ไม่เข้าใจจึงเข้าใจในสิ่งที่โคมรัตติกาลต้องการจะบอก
“ใช่ จะว่าไปข้าว่าพลับพลึงน่าจะเปลี่ยนใจมากกว่า เพราะหากเกิดมิต้องการสังหารใครเว้นเสียแต่คมกฤชก็สามารถลอบสังหารได้ และคงมิลงทุนไปขโมยมีดเพื่อเปิดประตูนรกจะได้สังหารนายิกาทีเดียว ฉะนั้นแล้วนางอาจจะถูกใครบางคนยุก็ได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวนางเอกและคนที่ยุนาง”
วาริชฟังโคมรัตติกาล นายิกาและรองนายิกาคนอื่นที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ในใจสงสัยว่าหากเป็นไปตามที่โคมรัตติกาลกล่าวจริงๆ คนที่อยู่เบื้องหลังจะทำการใดกันแน่…
กลางคืน
นับตั้งแต่ที่เด็กๆ เข้ามาอาศัยที่เรือนของมณฑา บรรยากาศจะสดใสมีชีวิตชีวาและคึกคักมากขึ้น เสียงหัวเราะและการเล่นทำให้มณฑาและกาสะลองที่นั่งดื่มชาอยู่พลอยมีความสุขไปกับเหล่าเด็กๆ ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ค่อยเหงาเพราะเดิมทีก็อยู่แบบแต่ก่อนนานแล้วแถมยังมีคนที่ตนเองรักอยู่ด้วยกันและงานที่เข้ามาทำให้ทั้งสองไม่รู้สึกเหงาและเคว้งคว้างนัก แต่พอเด็กๆ มาเท่านั้นแหละก็รู้สึกว่าหากพวกเขากลับไปเรือนนี้จะเงียบถึงเพียงใด …แค่คิดใจก็โหวงเหวงแล้ว
“ท่านมณฑา ท่านธวัลมาเยือนเจ้าค่ะ” จู่ๆ บ่าวคนหนึ่งก็กล่าวก่อนที่ร่างจะมาถึง มณฑาและกาสะลองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ทั้งสองมองหน้ากันเป็นเชิงถามก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินลงจากเรือนไปที่ประตูรั้ว
“ราตรีสวัสดิ์ ธวัล เธอมีเรื่องเร่งด่วนอันใดฤถึงมายามวิกาลเช่นนี้”
มณฑากับกาสะลองทักทายพร้อมกันโดยที่มณฑาเป็นคนถามก่อน เบื้องหน้าทั้งสองคือหญิงสาวดวงตาโตสีดำ หางตาเรียวเล็กน้อยช่วยให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมยาวสีดำนั้นถูกรวมเป็นมวยผมต่ำๆ ไม่รวบดีนักเห็นได้จากผมที่หย่อนลงมา ผมหน้าหม้าและปอยผมที่ปรกลงมาเล็กน้อยช่วยทำให้ใบหน้าดูเรียวมากขึ้น สวมด้วยหมวกปีกกลมแบนสีดำ ตัดกับเสื้อลูกไม้สีขาวที่ส่วนบ่าและแขนที่จับจีบบานระยายนั้นใสจนเห็นเนื้อขาวดุจดอกมะลิลางๆ นุ่งผ้าถึงสั้นถึงเข่าไม่มีลาย พันด้วยผ้ารอบเอวที่ปลายเป็นเกลียวบางๆ ผูกปมที่ด้านขวาปล่อยชายไว้ด้านข้างเลยหน้ามาเล็กน้อย ใส่สร้อยคอแบบติดคอที่ร้อยเรียงด้วยไข่มุกสีขาวออกไข่นวล สวมรองเท้าส้นสูงสีขาว มือถือร่มประดับลูกไม้ตามขอบ การแต่งกายที่ไม่ตกแต่งอะไรมากนักรวมถึงโทนสีที่มีเพียงสีดำกับสีขาวทำให้ดูเรียบง่ายในขณะเดียวกันก็หรูดูเป็นสตรีในสมัยก่อนของตะวันตกและดูลึกลับชวนค้นหาด้วยหมวกสีดำ
มณฑาและกาสะลองถูกสะกดไว้เพราะความงามอย่างเรียบง่ายแต่ขณะเดียวกันก็หรูด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จนกระทั่งหญิงสาวที่ถูกมองอยู่ผู้เป็นเจ้าของนาม นิศาบดีธวัล อุทุมพรวายชนม์ หรือที่ผู้อื่นเรียกว่า ธวัล จะตอบเสียงเรียบ
“ราตรีสวัสดิ์ เหตุที่เรามานั้นเพราะต้องการมาหาเด็กหญิงที่ชื่อ ศรี เจ้าค่ะค่ะ มิทราบว่าเธออยู่ไหมเจ้าคะ?”
“อยู่เจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังว่างพอดี แต่ก่อนจะไปข้าว่าท่านธวัลควรจะพักผ่อนดีกว่านะเจ้าคะ …เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” กาสะลองที่ได้สติกล่าวพร้อมกับผายมือเชิญไปทางประตูเรือน ธวัลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าว
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ รบกวนด้วยนะเจ้าคะคะ” มณฑา กาสะลองและธวัลเดินเข้าไปในเรือน เมื่อบ่าวเห็นว่าแขกมาก็รีบนำขนมมาให้ พอชาถูกวางบนโต๊ะตรงหน้าธวัลนางก็กล่าวขอบคุณก่อนจะตักขนมทานโดยที่ไม่ยกถ้วยชามาดื่ม ทำให้กาสะลองแปลกใจและคาดไปว่าธวัลอาจจะไม่ชอบชาก็ได้ คิดเช่นนั้นแล้วนางก็ถามธวัล
“ท่านธวัลเจ้าคะ มิชอบชาฤๅเจ้าคะ?”
“เจ้าค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะที่ทำให้สิ้นเปลืองชา” ธวัลกล่าวพลางเหลือบมองชานิ่งๆ กาสะลองพยักหน้าก่อนจะถามต่อ “มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะ เป็นความผิดทางเราเองที่มิถาม แล้วชอบดื่มอันใดฤๅเจ้าคะ คราหลังข้าจะได้เตรียมให้ถูกน่ะเจ้าค่ะ”
“กาแฟเจ้าค่ะ”
“จะเปลี่ยนไหมเจ้าคะ?”
“มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะ” นางตอบก่อนจะตักขนมทานต่อ มณฑามองธวัลด้วยแปลกใจและฉงนโดยที่ธวัลยังคงทานขนมต่อไป
…มาหาศรี… มิใช่ว่าจะมาทำร้ายดอกนะ
.
.
.
เมื่อทานเสร็จแล้วทั้งสามคนก็มาที่ศาลาซึ่งศรีนั่งฝึกสมาธิอยู่ ตะเกียงสองดวงตั้งฝั่งซ้ายและขวาเพื่อไม่ให้มืดจนเกินไปนั้นส่องแสงเรืองๆ เสมือนดวงจิตวิญญาณที่ล่องลอยในความมืดของโลกหลังความตาย ทั้งสามคนมองภาพนั้นเงียบๆ
“ขอตัวนะเจ้าคะ”
“เชิญเลย” มณฑากล่าว ธวัลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไป ขณะนั้นมณฑาและกาสะลองก็เดินห่างออกไป ซ่อนกายอยู่ตามแมกไม้และอาศัยเงาของต้นไม้บังเพื่อจับตาดูธวัล
“ข้ารู้สึกมิวางใจเลยเจ้าค่ะ”
“ฉันก็เหมือนกัน ปรกตินางมิค่อยสนใจใคร การที่มาหาศรีแบบนี้ ถ้ามิใช่ว่านางสนใจพลังของศรีฉันก็คิดมิออกแล้วล่ะว่านางจะมาหาทำไม” กล่าวจบก็ไม่มีใครกล่าวอีก ทั้งสองหรี่ตาเผื่อจะเห็นทั้งสองคนได้ชัดขึ้น ทว่าไม่ได้ผลเมื่อแสงจากตะเกียงทำให้สะท้อนจนร่างสองร่างในศาลาเป็นเงาไป พยายามเงี่ยหูฟังว่าทั้งสองคนจะคุยอะไรกัน ธวัลเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวนางจึงกล่าวเบาๆ กับศรีเพื่อให้มณฑากับกาสะลองได้ยิน
“เราจะรอดูอยู่อย่างนี้ดีไหม?”
“ลองดูไปเรื่อยๆ ดีกว่าเจ้าค่ะ เผื่อท่านธวัลทำร้ายศรีเราจะได้เข้าไปช่วยทันน่ะเจ้าค่ะ”
มณฑาพยักหน้าก่อนจะหันไปดูอีกครั้ง
ณ ศาลา
ในขณะที่มณฑาและกาสะลองคุยกัน ธวัลก็สะกิดศรีเบาๆ เด็กหญิงรู้ตัวจึงลืมตาขึ้นก่อนจะหันไปหาผู้มาเยือน เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ มีอะไรเหรอคะ?”
“เรามีเรื่องจะคุยด้วย ขึ้นมานั่งก่อนสิ” ธวัลกล่าวก่อนจะนั่งลงบนที่นั่ง ศรีลุกขึ้นมานั่งตามก่อนจะถาม “มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“เจ้าเคยเห็นเด็กผู้หญิงในชุดสีขาวไหม?”
“เด็กผู้หญิง…” ภาพเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อน สวมชุดสีขาวนั้นปรากฏในความคิด ศรีมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน แปลกใจและไม่อยากเชื่อ อีกฝ่ายรู้ถึงตัวตนของเพื่อนเธอ
“สีหน้าเช่นนั้น แสดงว่าเธอเคยเห็นสินะ?”
“ค่ะ ว่าแต่เธอมีอะไรเหรอคะ?” ศรีถามเข้าประเด็น ธวัลมองเธอนิ่งๆ ก่อนจะตอบ “เราจะบอกว่าเด็กคนนั้นมีตัวตนจริงๆ มีพลังปีศาจอยู่ หากได้รับการปลดปล่อยเราก็อยากให้ดูแลดีๆ …เหมือนกับเธอที่เป็นอสูรที่หากไม่ได้รับการดูแลดีๆ พลังนั้นก็จะควบคุมตนเอง” ศรีเผลอสบตานางด้วยความตกตะลึง
“…ทราบด้วยเหรอคะว่าหนูเป็น… ยักษ์…” คำท้ายๆ แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน หัวใจพลันเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่นที่ความลับถูกเปิดเผย ธวัลมองเด็กหญิงด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา นางยิ้มมุมปากโดยที่ศรีไม่ทันสังเกตก่อนจะตอบ
“…ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องของเธอ ฉะนั้นแล้วช่วยฟังด้วย”
อสุรานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด จิตใจไม่อยู่กับเนื้อหาเลยแม้แต่น้อย ใจนั้นร่ำหาผู้เป็นน้องด้วยความเป็นห่วง
นี่ก็กลางคืนแล้วทำไมยังไม่กลับมาอีก?
นางคิดในขณะที่ปิดหนังสือก่อนจะเก็บในชั้นวาง ออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังศาลาที่คาดว่าศรีจะอยู่
.
.
.
ความมืดนั้นทำให้อสุราต้องระวังตัวมากขึ้นเพราะไม่รู้ว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีมาลอบทำร้ายเมื่อใด ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลที่ปกคลุมนี้ประกายวาววับเสมือนผู้ล่าที่จะล่าเหยื่อ …เหยื่อของนางก็คือผู้ที่มาทำร้ายศรี ในมือกำดาบแน่นโดยมีดวงตาสองคู่มองอย่างแปลกใจ
“อสุรามาหาศรีฤ?”
มณฑาถามกับตนเอง มองฝ่าความมืดไปยังเงาที่เริ่มเข้ามาใกล้ แม้จะมืดแล้วแต่สำหรับนางที่เป็นนายิกานั้นก็ย่อมต้องทำงานมาทุกเวลาแล้วก็เลยชินและปรับสายตาได้ กาสะลองเองก็เช่นกันแต่เผลอๆ นางจะสายตาดีกว่ามณฑาอีก ทั้งสองเงียบและรอดูว่าอสุราจะทำการใด ดาบประกายวาววับทั้งๆ ที่ไม่มีแสงจากไหนให้ส่องกระทบมา หากเกิดจะบอกว่าเป็นดวงจันทร์ก็ไม่ถูกนักเพราะแสงไม่สว่างขนาดจะส่องลงมาได้ อสุราไม่หลบซ่อนแต่ยืนนิ่งๆ ตรงหน้าศาลา ดวงตาสีดำมองไปยังธวัลและศรีที่มองมาอย่างแปลกใจ
“กลับ”
อสุรากล่าวสั้นๆ เสียงเรียบ ทว่าทำให้ศรีหวาดหวั่นพอสมควร ในใจภาวนาว่าขอให้อสุราไม่ทำร้ายธวัล เพราะไม่อยากให้มีเรื่องบาดหมาง เจ็บตัวและสร้างความรบกวนให้ใคร เธอหันไปมองธวัลเหมือนจะถามว่าขอกลับก่อนได้ไหม ดูเหมือนธวัลจะรู้นางจึงพยักหน้าตอบเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากศาลาไป ในขณะที่เดินผ่านอสุรา เด็กสาวก็มองตามด้วยความไม่ไว้วางใจ ดาบในมือเตรียมจะปลิดชีพอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล ศรีที่เดินตามออกมาก็มองอสุราสลับกับธวัลด้วยความสบายใจที่ไม่มีเรื่องวิวาท อสุราเห็นน้องสาวตนเองมาแล้วก็จูงมือกลับไปที่เรือนโดยไม่พูดอะไรอีก
เดี๋ยวนี้ปล่อยศรีไว้ตัวคนเดียวไม่ได้จริงๆ มิติผกายอันตรายกว่าที่มิติสามัญนัก ฉะนั้นแล้วเราต้องดูแลเธอให้ดีขึ้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ